๏ ฝ่ายหุนต๋งจู๊ซึ่งปลอมชาวเมืองคอยฟังข่าวอยู่ แลเห็นเป็นแสงสว่างขึ้นที่ในวัง พิจารณาดูก็รู้ว่าพระเจ้าติวอ๋องเผากระบี่ซึ่งทำไว้ด้วยเลขยันต์นั้นเสียแล้ว ปีศาจกลับกำเริบขึ้นมาดังเก่า จึงคิดว่าเราตั้งใจเข้ามาทำด้วยเวทมนต์หมายจะขับปีศาจเสียให้พ้นจากเมืองจิวโก๋ บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำขันกีปีศาจมันแกล้งทำมารยาทูลยุยง เสียแรงเราเข้ามาทำการก็หาสมความคิดไม่ หุนต๋งจู๊ตกใจนัก จึงทำนายไว้ว่า ชะตาเมืองจิวโก๋จะสิ้นเชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางแต่เพียงพระเจ้าติวอ๋ององค์นี้แล้ว จะเกิดรบพุ่งกัน เกียงจูแหยซึ่งอยู่ ณ เขาคุณหลุนจะออกมาเป็นกุนสือ ทำนุบำรุงแซ่จิ๋วขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองจิวโก๋สืบไป หุนต๋งจู๊จึงเดินไปถึงตึกโต้ไทสือ วันนั้นโต้ไทสือมิได้อยู่เข้าไปว่าราชการอยู่ในวัง หุนต๋งจู๊จึงจารึกอักษรไว้ที่ผนังตึกภายนอกแล้ว กลับไปทำที่อาศัย

๏ ฝ่ายโต้ไทสือออกจากวังมาถึงบ้าน เห็นอักษรมีผู้มาเขียนไว้ที่ผนังตึกผิดประหลาดอยู่ จึงแวะเข้าไปอ่านในหนังสือนั้นว่า เฮาหลีปีศาจเข้ามาปลอมปนอยู่ในวังทำอุบายมารยา จะให้กษัตริย์เมืองจิวโก๋สิ้นเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่ปีม้าไปถึงปีหนูครบเจ็ดรอบ เลือดชาวจิวโก๋จะดาดแดงทั่วแผ่นดิน หัวเมืองฝ่ายตะวันตกจะเลื่องลือเกียรติยศ โต้ไทสืออ่านหนังสือแล้วก็ตกใจ จึงถามคนใช้ผู้อยู่เฝ้าบ้านว่า ผู้ใดเขียนอักษรไว้ คนใช้จึงบอกว่าซินแสคนหนึ่ง มิได้รู้จักหน้ามาเขียนไว้ โต้ไทสือเห็นถ้อยคำในหนังสือนั้นว่ากล่าวหลักแหลมอยู่ เกรงความจะฟุ้งเฟื่องไป จึงให้คนใช้ลบล้างอักษรนั้นเสียแล้วขึ้นมาบนตึก นั่งตรึกตรองตามกระแสเรื่องราวความในหนังสือ ซึ่งจารึกไว้ให้ลบเสียนั้น ก็เห็นว่าผู้ซึ่งมาจารึกอักษรนี้ ชะรอยจะเป็นฤษีซึ่งมาทำเลขยันต์ขับปีศาจในพระราชวังเป็นมั่นคง ครั้นเวลาค่ำลงจึงขึ้นไปบนกวนแซ่เหลาเป็นที่สำหรับดูดาว เวลาดึกประมาณเวลาสามยามเศษ ดาวพระมหากษัตริย์ขึ้นมา มีเมฆเป็นหมอกมืดเหมือนควันเพลิงเข้าบดบังดาวกษัตริย์ไว้ให้รัศมีมัวหมองไม่ผ่องใสเหมือนแต่ก่อน โต้ไทสือเห็นดังนั้นจึงคิดว่า บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงด้วยนางขันกีมิได้เสด็จออกว่าราชการ เราเป็นขุนนางมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว เมื่อเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระมหากษัตริย์ฉะนี้จะนิ่งเสียไม่ควร โต้ไทสือจึงทำเรื่องราวกราบทูลฉบับหนึ่ง พอเวลารุ่งเช้าจึงไปเล่าเนื้อความซึ่งได้ดูดาวให้เสียงหยงขุนนางผู้ใหญ่ฟังทุกประการแล้วว่า ขอท่านจงนำเรื่องราวข้าพเจ้าขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องให้ทราบด้วย เสียงหยงรับเรื่องราวมาอ่านดูเห็นชอบด้วยการแผ่นดิน จึงพาโต้ไทสือเข้าไปในวัง ให้โต้ไทสือยับยั้งอยู่แต่ที่หอหนังสือ เสียงหยงนำเรื่องราวโต้ไทสือเข้าไปถึงพระตำหนักข้างใน จึงให้ฮองงีกั๋วผู้อยู่รักษาพระตำหนักขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เสียงหยงจะขึ้นมาเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง จึ่งสั่งให้หาขึ้นมาเฝ้าบนตำหนักนั้น จึงตรัสถามเสียงหยงว่า เราอยู่ถึงที่ข้างในมิใช่ตำแหน่งขุนนางเคยเฝ้า เหตุใดท่านจึงล่วงเข้ามาในที่ห้ามฉะนี้ มีธุระร้อนประการใดหรือ เสียงหยงจึงทูลว่าเวลาคืนนี้โต้ไทสือดูดาวเห็นรัศมีดาวของพระองค์มัวหมองเพราะปีศาจเข้าย่ำยีอยู่ โต้ไทสือทำเรื่องราวมาให้กราบทูล ครั้นจะคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้า พระองค์ก็มิได้เสด็จออก ข้าพเจ้าเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระองค์ จึงเข้ามาถึงที่ห้าม หวังจะกราบทูลเรื่องราวโต้ไทสือให้ทราบ เสียงหยงจึงเอาเรื่องราวโต้ไทสือถวายต่อพระหัตถ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องรับหนังสือมาคลี่ออกอ่านใจความว่าข้าพเจ้าโต้ไทสือผู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ขอกราบทูลให้ทราบด้วยคำโบราณกล่าวไว้สืบมาว่า บ้านเมืองใดจะอยู่เย็นเป็นสุข สิ่งซึ่งเป็นศิริมงคลก็บังเกิดในบ้านเมืองนั้น ถ้าเมืองใดจะเกิดอันตราย สิ่งอันมิได้เป็นมงคลก็เกิดมีมาต่างๆ เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าดูฤกษ์บน เห็นดาวของพระองค์เศร้าหมอง เพราะปีศาจเข้ามาอยู่ในวัง ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จอยู่ ณ ที่เสด็จออกขุนนาง หุนต๋งจู๊เอากระบี่ลงเลขยันต์เข้ามาขับปีศาจพระองค์มิได้เชื่อฟัง ให้เผาเลขยันต์และกระบี่เสีย ปีศาจจึงกำเริบทวีขึ้นทุกวัน ตั้งแต่พระองค์ได้บุตรเชาฮูเข้ามาไว้ในวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการที่ข้างหน้า ขุนนางทั้งปวงซึ่งเคยเฝ้าตามตำแหน่ง มิได้เฝ้าต่างคนมีใจเศร้าหมอง เหมือนดังเมฆหมอกอันบังแสงพระจันทร์ไว้ให้มืด พระเจ้าติวอ๋องทรงอ่านออกชื่อหุนต๋งจู๊ขัดเคืองพระทัย ว่าหุนต๋งจู๊มาทำให้นางขันกีป่วยแทบจะสิ้นชีวิต จนต้องเผาเลขยันต์และกระบี่ซึ่งหุนต๋งจู๊ทำไว้เสีย นางขันกีจึงรอดจากความตาย บัดนี้โต้ไทสือเอาความหุนต๋งจู๊นั้นมาว่าอีกเล่า พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสปรึกษากับนางขันกีว่า โต้ไทสือทำเรื่องราวมาว่ากล่าวฉะนี้เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีจึงคำนับแล้วทูลว่า วันวานนี้หุนต๋งจู๊เป็นคนรู้ทำกฤตยาคม แกล้งนำความเท็จเข้ามากราบทูลว่าปีศาจปลอมอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลืออื้ออึงไปทั้งเมือง ขุนนางทั้งปวงก็พลอยทุกข์ร้อนด้วยเกรงว่าพระองค์จะมีอันตรายครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้โต้ไทสือยังซ้ำนำเนื้อความหุนต๋งจู๊มากราบทูลอีกเล่า ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นพรรคพวกร่วมคิดกันกับหุนต๋งจู๊ แกล้งยุยงให้พระองค์สงสัยว่าข้าพเจ้า ปิศาจจะกำจัดเสียจากวัง หวังจะให้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ ขอให้เอาตัวโต้ไทสือไปฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธโต้ไทสือ จึงตรัสแก่เสียงหยงว่า โต้ไทสือไม่ซื่อตรงต่อเรา แกล้งนำเอาความชั่วมาว่ากล่าวฉะนี้ เราเห็นว่าโต้ไทสือพรรคพวกหุนต๋งจู๊เป็นมั่นคง ชอบให้ตัดศีรษะเสียบประจานอย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง เสียงหยงได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางรับราชการในตำแหน่งพนักงานสำหรับดูฤกษ์บนมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว บัดนี้โต้ไทสือเห็นดาวสำหรับพระองค์เศร้าหมอง จึงทำเรื่องราวให้ข้าพเจ้ากราบทูลพอรู้พระองค์ว่าดีและร้ายตามตำรับซึ่งได้เล่าเรียนมา หวังจะเอาความชอบ จะได้เป็นพวกหุนต๋งจู๊ แกล้งมากราบทูลให้ขัดเคืองพระทัยหามิได้ ซึ่งพระองค์จะลงอาญาให้ฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโต้ไทสือผิดแต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าโต้ไทสือเอาความมิดีมาว่ากล่าวให้กำเริบไปทั้งเมืองโทษถึงตาย ซึ่งจะให้มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนั้นมิได้ เสียงหยงกราบทูลขอโทษโต้ไทสือเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็มิให้ จึงออกมาบอกโต้ไทสือตามเรื่องราวซึ่งได้กราบทูลทุกประการ แล้วว่าบัดนี้พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธจะให้ฆ่าท่านเสีย เราได้ทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้

๏ ขณะเมื่อเสียงหยงกับโต้ไทสือพูดกันยังมิทันสิ้นคำ พอมีผู้รับสั่งมาบอกโต้ไทสือว่า ท่านทำเรื่องราวให้เสียงหยงกราบทูลให้ขัดเคืองนั้น มีรับสั่งให้เอาตัวท่านไปฆ่าเสีย ผู้รับสั่งก็ให้ถอดเสื้อหมวกสำหรับขุนนางออกเสียแล้ว มัดมือโต้ไทสือพาไปถึงสะพานมังกร พอพบขุนนางผู้หนึ่งชื่อป่วยเป๊ก ป่วยเป๊กเห็นโต้ไทสือจึงเข้าไปถาม เหตุใดท่านจึงต้องผูกมัดมาฉะนี้ โต้ไทสือจึงเล่าความให้ป่วยเป๊กฟังแล้วว่า บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย ขอท่านได้กรุณาช่วยเพ็ดทูลขอโทษข้าพเจ้าไว้ด้วย

๏ ป่วยเป๊กได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่ผู้คุมว่า ท่านจงงดโต้ไทสือไว้ก่อน เราเข้าไปทูลขอโทษโต้ไทสือ ว่าแล้วก็รีบไป พอพบเสียงหยงเดินมา ป่วยเป๊กจึงเข้าไปคำนับเสียงหยงแล้วถามว่าโต้ไทสือผิดด้วยสิ่งใดเสียงหยงจึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า ทุกวันนี้พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี นางขันกีจะทูลประการใดก็เชื่อฟังสั่งให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย เราทูลขอโทษเป็นหลายครั้งพระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรด เราจนในความคิดมิรู้ที่จะทำประการใด ป่วยเป๊กจึงว่าโต้ไทสือเป็นขุนนางซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกีจะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้นข้าพเจ้าเสียดายโต้ไทสือนัก ขอท่านจงพาข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้า จะทูลขอโทษโต้ไทสืออีกสักครั้งหนึ่งก่อน เสียงหยงก็พาป่วยเป๊กเข้าไปถึงพระที่นั่งข้างใน เสี่ยวหยงกับป่วยเป๊กจึงขึ้นไปเฝ้า ป่วยเป๊กทูลถามถึงโทษโต้ไทสือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือคบคิดกันกับหุนต๋งจู๊ เอาความเท็จมาว่าปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไป โต้ไทสือโทษถึงตายเราจึงให้เอาไปฆ่าเสีย ป่วยเป๊กจึงทูลว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวฮองเต้นั้น พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดินได้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ซึ่งเป็นคนโกหกสอพลอ พระองค์กำจัดเสียมิได้ใช้สอยเป็นขุนนาง ผู้ซึ่งมีสติปัญญา และมีใจเจ็บร้อนซื่อตรงด้วยการแผ่นดิน พระองค์ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางตามสมควร โต้ไทสือคนนี้เป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าพระองค์จะเชื่อฟังนางขันกี และจะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะกำเริบเดือดร้อน ข้าพเจ้าขอให้งดโทษโต้ไทสือไว้ครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตรัสว่าเสียแรงเราเลี้ยงท่านเป็นขุนนางไม่เจ็บร้อนด้วยเรากลับไปเข้าด้วยคนผิด ด้านหน้าเข้ามาขอชีวิตโต้ไทสือ โทษท่านชอบตีด้วยกระบองจึงจะควร นางขันกีเห็นว่าพระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงทูลซ้ำเติมว่าป่วยเป๊กมิได้เกรงพระอาญาล่วงเกินเข้ามาเฝ้าพระองค์ถึงที่ข้างในเป็นที่ห้ามแล้วให้หน้ากระหยิบตาให้แก่ข้าพเจ้า โทษป่วยเป๊กถึงที่ตายแล้ว ขอให้เอาตัวไปจำไว้ ให้เจ้าพนักงานทำเสาทองแดงใหญ่ จึงเอาเพลิงเผาเสาทองแดงให้แดงแล้วเอาป่วยเป๊กมาผูกมัดโอบเสาทองแดงไว้กว่าจะตาย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย แล้วให้เอาตัวป่วยเป๊กไปจำไว้ เร่งทำเสาทองแดงขึ้นสำหรับจะทำโทษป่วยเป๊กตามคำนางขันกีทุกประการ ทหารก็ทำตามรับสั่ง

๏ ฝ่ายเสียงหยงเห็นดังนั้น จึงคิดว่าพระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกีให้ฆ่าโต้ไทสือ และจับป่วยเป๊กไปทำโทษ จะว่ากล่าวทัดทานก็มิได้ฟัง จะอยู่เป็นข้าเฝ้าสืบไป เห็นว่านางขันกีจะทูลให้ฆ่าเสียเป็นมั่นคง จึงทูลว่าข้าพเจ้าทำราชการมาถึงสามแผ่นดิน จนแก่ชราทั้งสติปัญญาก็เคลิ้มเขลา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ฟั่นเฟือนหลงลืม จะขอลาออกนอกราชการไปอยู่บ้านเก่า ทำไร่นาหาเลี้ยงชีวิตกว่าจะตาย พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ไป เสียงหยงก็คำนับลาพระเจ้าติวอ๋องออกมาจากวัง

๏ ฝ่ายปิกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงรู้ว่า เสียงหยงทูลลาออกจากที่ขุนนางผู้ใหญ่จะไปบ้านเก่า ต่างคนก็พากันไปตามส่ง ฝ่ายเสียงหยงครั้นมาถึงที่ขุนนางไปมาหยุดพัก จึงลงจากม้าแล้วลาปิกันกับขุนนางทั้งปวงว่า ท่านจงอุตส่าห์ทำราชการระวังตัวอย่าให้ระแวงความผิด ปิกันจึงว่า ตั้งแต่ท่านกับข้าพเจ้าทำราชการมาด้วยกันช้านาน ครั้งนี้ท่านจะหนีข้าพเจ้าไปหาที่สบายแล้วหรือ เสียงหยงจึงว่าข้าพเจ้ากับท่านทำราชการมาด้วยกันท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ข้าพเจ้าจะเพ็ดทูลสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย เพราะพระทัยกรุณานับถือว่าเป็นผู้เฒ่า ตั้งแต่พระองค์ได้นางขันกีมาไว้ พระทัยลุ่มหลงพระจริตก็ผิดกว่าแต่ก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าก็แก่ชรากำลังน้อย มีแต่เคลิ้มเขลาหลงลืมเพ็ดทูลสิ่งใดใดก็ฟั่นเฟือน เห็นว่านานไปจะไม่พ้นความผิด จึงคิดเบี่ยงบ่ายเอาตัวออกนอกราชการ ซึ่งท่านกับขุนนางทั้งปวงมาส่งข้าพเจ้าถึงที่นี่ขอบคุณนัก เชิญกลับเข้าเมืองหลวงเถิด เสียงหยงว่าแล้วก็ร้องไห้ ลาขุนนางทั้งปวงขึ้นม้าไป ปิกันกับขุนนางทั้งปวงก็กลับมาเมืองหลวง

๏ ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งไปทำเสาทองแดง ครั้นสำเร็จแล้วก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้ยกเสาทองแดงเข้าไปให้นางขันกีดู แล้วตรัสแก่นางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้จะเอาตัวป่วยเป๊กไปทำโทษ ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกที่นั่งออกขุนนางให้ยกเสาทองแดงมาตั้งไว้จึงให้ตีกลองสัญญาประชุมขุนนาง

๏ ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงต่างคนเข้ามาพร้อมกัน แลเห็นเสาทองแดงตั้งอยู่มิได้รู้ว่าจะทำประการใด ก็พากันนิ่งคิดสงสัยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นขุนนางมาพร้อมแล้ว จึงสั่งจิบเตียกั่วให้เอาตัวป่วยเป๊กมา จึงสั่งให้เอาถ่านเพลิงกองเผาเสาทองแดงให้ร้อนแล้ว ชี้พระหัตถ์ไปที่เสาทองแดง ตรัสแก่ป่วยเป๊กว่า ท่านรู้จักหรือหาไม่ ป่วยเป๊กทูลว่าข้าพเจ้ามิได้รู้จัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เสาทองแดงนี้ชื่อเผาหลกสำหรับทำโทษคนหยาบช้า มิให้มีผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง จะได้เป็นกฎหมายสืบไป ป่วยเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นคนหลงด้วยสตรี ทำให้เสียประเพณีกษัตริย์ เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่เห็นผิดจึงทัดทานกลับโกรธจะฆ่าเสีย ถึงเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คิดวิตกอยู่ด้วยท่านจะทำให้เชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางสูญสิ้นครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังป่วยเป๊กกล่าวหยาบช้าก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารให้เอาโซ่ผูกเท้าและมือป่วยเป๊กโอบเสาทองแดงพัดถ่านเพลิงให้ร้อน ป่วยเป๊กร้องขึ้นคำเดียวก็ขาดใจตาย

๏ ฝ่ายขุนนางทั้งปวงเห็นพระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กดังนั้น ต่างคนกลัวอาญาท้อใจอยู่ ในขณะนั้นหาผู้จะเพ็ดทูลประการใดไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ฝ่ายปิกันครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว จึงพูดกันกับอึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสี้ยงอ๋อง และขุนนางทั้งปวงว่า เหตุทั้งนี้เพราะบุนต๋งไทสือไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือมิได้อยู่ นางขันกีไม่เกรงผู้ใด จึงทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กด้วยเผาหลกจนสิ้นชีวิต ผิดอย่างธรรมเนียม ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน อึ้งปวยฮอได้ฟังปิกันว่าดังนั้นก็โกรธ เอามือลูบหนวดแล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำเผาหลก สำหรับฆ่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินมิให้ทูลทัดทานทั้งนี้ เหมือนดังจะทำลายพระองค์เสียเอง พระเจ้าติวอ๋องเห็นจะสูญเชื้อวงศ์กษัตริย์เสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ครั้นพูดกันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน

๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องครั้นไปถึงที่บรรทม พอนางขันกีออกมาคำนับรับเสด็จ จึงตรัสบอกว่าเผาหลกซึ่งเจ้าคิดให้ทำขึ้นไว้ครั้งนี้ ขุนนางทั้งปวงกลัวเกรงนัก หาผู้ที่จะว่ากล่าวความสิ่งใดขึ้นไม่ แต่นี้ไปเราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข ตรัสแล้วก็พานางขันกีเข้าที่ นางพนักงานข้างในก็พร้อมกันดีดกระจับปี่สีซอบำเรอพระเจ้าติวอ๋อง แต่เวลาพลบค่ำจนถึงสองยามเศษ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ