อธิบายเรื่อง สุธนูกลอนสวด
[๑]เรื่องสุธนูปรากฏในปัญญาสชาดก เรื่อง “สุธนุชาดก” ซึ่ง พระคันถรจนาจารย์ชาวเชียงใหม่นำเอานิยายโบราณมารจนาเป็นภาษามคธในรูปของชาดก แสดงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติต่าง ๆ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่า ปัญญาสชาดกนำจะรจนาขึ้น ระหว่างพุทธศักราช ๒๐๐๐ - ๒๒๐๐ เรื่องราวในปัญญาสชาดกมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วรรณคดีไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เรื่องสุธนูเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา กวีหลายท่านนำเอาการพลัดพรากชองตัวละครเอกในเรื่องคือพระสุธนูกับนางจีรัปภามาประพันธ์เป็นโวหารเปรียบเทียบในวรรณคดีหลายเรื่อง เช่น โคลงนิราศหริภุญไชย ซึ่งกวีชาวเชียงใหม่เป็นผู้ประพันธ์ อ้างถึงเรื่องสุธนู ว่า
ปภาพิโยคสร้อย | สุธนู ก็ดี |
สมุทโฆษว้างพินทู | แม่งม้าง |
ขุนบาจากเจียนอู | ษาราช |
อกพี่แวนร้อนร้าง | กว่าเบื้องบูรเพ ฯ |
โคลงกำสรวล วรรณคดีสำคัญสมัยอยุธยาอีกเรื่องหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วรรณคดีนิราศในชั้นหลัง อ้างถึงการพลัดพรากของตัวละครจากนิทานโบราณเรื่องต่าง ๆ ไว้ดังนี้
รามาธิราชใช้ | พานร |
โถกนสมุทรวายาม | ย่านฟ้า |
จองถนนเปล่งศิลปศร | ผลาญราพ |
ใครอาจมาขวางข้า | ก่ายกอง ฯ |
เพรงพลัดนรนารถสร้อย | ษีดา |
ยังคอบคืนสมสอง | เศกไท้ |
สุธนูปภาฟอง | ฟัดจาก จยรแฮ |
ยังคอบคืนหว้ายได้ | สู่สํสองสํ ฯ |
ผยองม้ามณีกากเกื้อ | ฤทธี |
สองสู่สองเสวอยรํย | แท่นไท้ |
เพรงพินธุบดีพลัด | พระโฆษ |
ขอนขาดสองหว้ายไสร้ | จากจยร ฯ |
โคลงทวาทศมาส วรรณคดีสำคัญสมัยอยุธยาอีกเรื่องหนึ่ง อ้างถึงเรื่อง “สุธนู” ว่า
ปางศิลปบรเมศรท้าว | สุธนู |
จากสมเด็จนุชจันทร | แจ่มเหน้า |
เจียรับประภาตรู | เตราสวาดิ |
ยังพร่ำนำน้องเข้า | คอบสมร ฯ |
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาอิศรานุภาพ (อ้น) ได้นำเรื่องราวของพระสุธนูจากปัญญาสชาดกมาประพันธ์เป็น “สุธนูคำฉันท์” จากตัวอย่างดังกล่าวแสดงว่าเรื่องนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายในสังคมไทย สืบเนื่องมานานหลายร้อยปี
เรื่องย่อ
เรื่องราวของพระสุธนูกับนางจีรัปภาตามที่ปรากฏใน “สุธนูกลอนสวด” สำนวนที่พิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ ดำเนินเนื้อความตั้งแต่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร กรุงสาวัตถี คราวหนึ่งพระสงฆ์สาวกประชุมสนทนากันถึงพุทธบารมีที่ทรงชนะพญามาราธิราชก่อนที่จะตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงทราบข้อสนทนานั้นด้วยทิพโสตญาณจึงเสด็จไปยังธรรมศาลาและตรัสเทศนาถึงการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีในอดีตชาติ ว่าได้ทรงทรมานพญายักษ์ชื่อท้าวโกนดัน (ปัญญาสชาดกว่า “ฆันตารยักษ์”) ให้มีความประพฤติดีประพฤติชอบ พระสงฆ์สาวกจึงกราบทูลให้ทรงแสดงอดีตนิทาน ดังนี้
พระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในเมืองสาวัตถี (บัญญาสชาดกว่า “พาราณสี”) มีพระมเหสีชื่อเกศนี แต่มิได้มีพระโอรสธิดาที่จะสืบสันตติวงศ์ ชาวพระนครจึงพากันไปประชุมที่หน้าพระลานแสดงความประสงค์จะให้พระเจ้าพรหมทัตมีพระโอรสธิดาเพื่อปกครองบ้านเมืองสืบไป พระมเหสีเกศนีจึงทรงสมาทานศีลตั้งจิตอธิษฐานขอให้ประสูติพระราชบุตร ด้วยอำนาจของกุศลเจตนาบันดาลให้ร้อนถึงพระอินทร์ต้องอาราธนาเทวบุตร (พระโพธิสัตว์) ให้จุติลงมาอุบัติในครรภ์ของพระนาง ราตรีหนึ่งพระอินทร์ลงมากระซิบที่พระกรรณว่า เพลารุ่งเช้าจะมีเหยี่ยวตัวหนึ่งคาบผลพุทรามาตกลงเฉพาะพระพักตร์ ขอให้พระนางจงเสวยผลพุทรานั้นแล้วทิ้งเมล็ดไป พระนางเกศนีปฏิบัติตามคำของพระอินทร์ ไม่ช้าก็ทรงครรภ์และประสูติพระโอรสนามว่า “สุธนูกุมาร” ส่วนเมล็ดพุทราที่พระนางทิ้งลงไปนั้น นางลาตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใต้ถุนตำหนักมาพบจึงกินเข้าไป ไม่ช้าก็ตั้งครรภ์ตกลูกเป็นม้าอาชาไนยวันเดียวกับที่สุธนูกุมารประสูติ ม้านั้นได้นามว่า “มณีกาก” (ปัญญาสชาดกว่า “มณีกักขิอัศวราช” เกิดจากนางม้าแก่)
ครั้นสุธนูกุมารมีชันษาได้ ๑๖ ปี พระบิดาก็เตรียมการให้อภิเษกกับนางกเรณุวดีซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้าอา เมื่อถึงวันกำหนดเจ้าพนักงานก็จัดม้าต้นผูกเครื่องให้เป็นม้าทรงสำหรับสุธนูกุมารแต่ไม่เป็นที่สบพระทัย ขอให้นำม้ามณีกากซึ่งอาศัยอยู่ใต้ถุนตำหนักพระมารดามาแต่งเป็นม้าทรง ขณะที่สุธนูกุมารประทับบนหลังม้ามณีกากแห่แหนไปสู่โรงพิธีนั้น ม้ามณีกากก็พาสุธนูกุมารเหาะขี้นบนอากาศและทูลว่าจะพาพระกุมารไปแสวงหานางกษัตริย์ที่งดงามยิ่งให้เป็นชายา
ม้ามณีกากพาสุธนูกุมารเหาะไปจนถึงเมืองเสตนคร ซึ่งท้าวเสตราชเป็นกษัตริย์ครอบครอง มีพระบุตรีทรงสิริโฉมงดงามยิ่งชื่อนางจีรัปภา ครั้นถึงยามราตรีม้ามณีกากก็พาสุธนูกุมารลอบเข้าไปถึงปราสาทของนางจีรัปภาขณะที่นางบรรทมหลับ สุธนูกุมารได้เห็นรูปโฉมของนางก็มีความเสน่หา เฝ้าพิศดูจนใกล้รุ่งจึงนำพวงมาลัยคล้องข้อพระหัตถ์ของนางไว้แล้วขึ้นหลังม้าเหาะกลับไป ประพฤติอยู่เช่นนั้นติดต่อกัน ๓ ราตรี
เมื่อนางจีรัปภาบรรทมตื่นก็มีความพิศวง จึงสั่งนางค่อมพี่เลี้ยงให้คอยระวังและจับตัวสุธนูกุมารไว้ได้ในราตรีที่ ๓ ทั้งสองพระองค์ต่างมีความเสน่หาต่อกัน แต่นั้นมาสุธนูกุมารก็ประทับอยู่กับนางบนปราสาท หลายวันต่อมาเหล่านางกำนัลเกรงว่าหากสุธนูกุมารพานางจีรัปภาขึ้นหลังม้าเหาะหนีไปพวกนางจะมีความผิดจึงนำความขึ้นทูลพระบิดา ท้าวเสตราชได้ทรงทราบก็กริ้วเป็นกำลังแต่เมื่อทราบว่าพระสุธนูเป็นโอรสกษัตริย์ก็ค่อยคลายความขุ่นพระทัย รับสั่งให้พระสุธนูเข้าเฝ้าแสดงความสามารถในวิชายิงธนู หากเป็นที่พอพระทัยจะจัดพิธีอภิเษกให้ มิฉะนั้นจะประหารเสีย
ท้าวเสตราชรับสั่งให้เสนาเตรียมแผ่นเหล็ก ๗ ชั้น แผ่นทองแดง ๗ ชั้น แผ่นไม้ ๗ ชั้นแต่ละชั้นหนาได้ ๗ องคุลีกำบังรูปกวางยนต์ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สุธนูกุมารแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการยิงธนูทำลายเครื่องกำบังไปต้องรูปกวางยนต์ล้มลง ท้าวเสตราชทรงพอพระทัย จึงจัดการอภิเษกสุธนูกุมารกับพระธิดาและให้ประทับอยู่ที่เมืองเสตนคร
อยู่มาสุธนูกุมารมีความระลึกถึงพระมารดาซึ่งอยู่ที่กรุงสาวัตถีจึงทูลลาท้าวเสตราชพานางจีรัปภาขึ้นหลังม้ามณีกากเหาะไป นางจีรัปภาต้องแดดลมจากการเดินทางก็มีความอิดโรยเป็นกำลัง สุธนูกุมารจึงลงแวะหยุดพักที่ศาลากลางป่า ม้ามณีกากทูลว่าศาลาดังกล่าวเป็นของพญายักษ์โกนดันสร้างไว้และได้รับพรจากพระอิศวรว่า หากใครมาพำนักท้าวโกนดันเรียกแล้วไม่ขานรับจะต้องตกเป็นอาหารของพญายักษ์ ยามราตรีขณะที่พำนักอยู่ในศาลานั้น ท้าวโกนดันก็เหาะมาเรียกถาม ทั้ง ๓ เหนื่อยอ่อนจากการเดินทางก็พากันหลับสนิทมิได้ขานตอบ ท้าวโกนดันจะเข้าไปจับมนุษย์ในศาลาแต่ม้ามณีกากเข้าขัดขวางจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น พญายักษ์ถูกม้าทำร้ายจนบาดเจ็บ พระสุธนูเกรงว่าม้ามณีกากจะเพลี่ยงพล้ำเสียที จึงร้องเตือนให้คอยระวังบังเหียน ท้าวโกนดันรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ สบโอกาสก็กุมบังเหียนไว้ได้แล้วก็บังคับม้ามณีกาก นำไปขังไว้ในกรงเหล็กท้ายเมือง
สุธนูกุมารกับนางจีรัปภาต่างเสียพระทัยนัก ทรงดำเนินด้วยพระบาทบุกป่าฝ่าดงไปจนถึงฝั่งน้ำ พอดีมีสำเภาลำหนึ่งแล่นผ่านมาจึงขอโดยสาร นายสำเภาอาสาจะไปส่งให้ถึงกรุงสาวัตถี ระหว่างที่อยู่กลางทะเล สำเภาต้องพายุใหญ่อับปางลง พระสุธนูกับนางจีรัปภาได้อาศัยไม้กระดานแผ่นหนึ่งเกาะลอยไปในสายน้ำ ทรงนำชายภูษาผูกพระองค์ไว้ด้วยกันหวังจะมิให้พลัดพราก แต่ผลกรรมในอดีตชาติบันดาลให้ไม้กระดานที่เกาะมานั้นแตกออกเป็น ๖ ซีก ภูษาที่ผูกอยู่ก็ขาดออก สองกษัตริย์ต้องพลัดกันไปคนละทิศ นางจีรัปภาขึ้นฝั่งใต้ในเขตเมืองอินทปัต ได้อาศัยอยู่กับสองตายายแล้วนำพระธำมรงค์ที่สวมติดพระหัตถ์ไปขายได้เงินถึง ๔ เกวียน นางให้สร้างศาลาทานแต่งโภชนาหารไว้ เลี้ยงดูผู้ยากไร้และคนเดินทาง ภายในศาลาให้ทำฉากเขียนภาพเรื่องราวของนางกับสุธนูกุมารตั้งแต่ต้นจนพลัดจากกัน และสั่งคนเฝ้าศาลาว่า หากใครดูภาพในศาลาแล้วเกิดความโศกเศร้าขอให้นำตัวไปพบนาง
ฝ่ายสุธนูกุมารถูกคลื่นซัดไปขึ้นฝั่งที่เมืองของท้าวโกนดัน แอบซ่อนอยู่ในดงกล้วยใกล้ท่านํ้า กล่าวถึงนางกเรณุวดี ธิดาพระเจ้าอาของสุธนูกุมารถูกท้าวโกนดันลักพาตัวมาให้เป็นข้ารับใช้นางอัญชวดีน้องสาวของท้าวโกนดัน ขณะที่นางกเรณุวดีพร้อมด้วยนางทั้ง ๗ ธิดาของกษัตริย์เมืองต่าง ๆ ที่ถูกท้าวโกนดันลักพาตัวมาพากันลงไปอาบนํ้า ผ่านดงกล้วย พระสุธนูเห็นนางเข้าก็จำได้จึงร้องทัก เมื่อทั้งสองได้พบกัน ต่างร่ำรักด้วยความเสน่หา สุธนูกุมารได้นางกเรณุวดีและนางกษัตริย์ทั้ง ๗ เป็นชายาแล้วนางก็พากันกลับไป นางอัญชวดีได้กลิ่นมนุษย์ที่ติดกายนาง ข้าหลวงก็คาดคั้นจนได้ความจริง ครั้นทราบว่าสุธนูกุมารมีรูปโฉมงดงาม ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ใคร่จะได้เป็นคู่ จึงให้นางกเรณุวดีไปเชิญมาไว้ในตำหนัก สุธนูกุมารมีความคิดถึงห่วงใยนางจีรัปภายิ่งนัก จึงทำอุบายให้นางอัญชวดีทูลขอม้ามณีกากจากท้าวโกนดัน ครั้นได้สมความปรารถนาแล้ว วันหนึ่ง สุธนูกุมารก็ขึ้นม้ามณีกากเหาะจากไป
สุธนูกุมารออกติดตามหานางจีรัปภาไปจนถึงเมืองอินทปัตได้เข้าพักในศาลาทาน เมื่อเห็นเรื่องราวในภาพวาดก็เกิดความโศกเศร้า คนเฝ้าศาลาจึงนำไปพบนางจีรัปภา เมื่อสองกษัตริย์ได้พบกันแล้ว ก็ลาตายายเดินทางต่อไปยังกรุงสาวัตถี อยู่มาพระสุธนูรำลึกถึงนางกเรณุวดี และนางอัญชวดีซึ่งพระองค์ได้ให้สัตย์สัญญาว่าจะกลับไปรับในภายหลัง จึงลานางจีรัปภาขึ้นม้ามณีกากเหาะไป ครั้นถึงเมืองของท้าวโกนดันแล้ว ได้แสดงธรรมให้ท้าวโกนดันรู้จักผิดชอบชั่วดี ยึดมั่นในหลักเบญจศีลและยอมเป็นข้า จากนั้นจึงพานางกเรณุวดีกับนางอัญชวดีและนางกษัตริย์ทั้ง ๗ กลับไปยังเมืองสาวัตถี
ตอนท้ายของเรื่อง สุธนูกลอนสวด เป็นการ “ประชุมชาดก” หรือ “กลับชาติ” ว่า ท้าวโกนดันกลับชาติมาเป็นพระการเถระ (ต่างกับในปัญญาสชาดกที่ว่า ฆันตารยักษ์กลับชาติเป็นพระยามาราธิราช) ม้ามณีกากกลับชาติเป็นม้ากัณฐกะ นางจีรัปภากลับชาติเป็นพระนางพิมพา และพระสุธนูได้แก่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯลฯ
การชำระต้นฉบับ
ได้กล่าวมาแล้วว่า เรื่องพระสุธนูเป็นที่รู้จักในสังคมไทยมาแต่โบราณ กวีสมัยอยุธยานำมาอ้างถึงในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง การตรวจชำระเรื่อง “สุธนูกลอนลวด” ครั้งนี้ มุ่งที่จะเผยแพร่วรรณกรรมโบราณซึ่งกรมศิลปากรยังไม่เคยจัดพิมพ์มาก่อน เพื่อเป็นการสืบทอดมรดกวรรณกรรมของชาติไว้ให้คงอยู่สืบไป การตรวจสอบชำระได้คัดเลือกเอกสารโบราณ ต้นฉบับสมุดไทยซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ตามรายละเอียดดังนี้
เอกสารเลขที่ ๕๖๗ |
หมวด วรรณคดี หมู่ กลอนสวด เรื่อง สุธนู ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ พุทธศักราช ๒๔๕๐ |
เอกสารเลขที่ ๕๖๘ |
หมวด วรรณคดี หมู่ กลอนสวด เรื่อง สุธนู ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ พุทธศักราช ๒๔๕๐ |
เอกสารเลขที่ ๕๖๙ |
หมวด วรรณคดี หมู่ กลอนสวด เรื่อง พระวิสัดชะนู เล่ม ๒ ประวัติ สมบัติเดิมของหอพระสมุดฯ |
เอกสารโบราณเรื่องสุธนูกลอนสวดเท่าที่พบ แบ่งออกเป็น ๒ สำนวน ได้แก่
สำนวนที่ ๑ เอกสารเลขที่ ๕๖๗ อักขรวิธีที่ใช้เป็นแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น เขียนด้วยลายมือบรรจง อ่านง่าย มีเนื้อหาครบ ตั้งแต่ต้นจนจบบริบูรณ์ ลักษณะคำประพันธ์ถูกต้องตามบังคับฉันทลักษณ์ แต่มีคำประพันธ์บางวรรคคัดลอกตกไป การตรวจสอบชำระใช้เอกสารฉบับนี้เป็นหลัก คำประพันธ์บางส่วนที่ขาดหายไปได้แต่งซ่อมโดยมีเครื่องหมายวงเล็บกำกับไว้ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักเรียนผู้ศึกษา เมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจเรื่องและรูปแบบคำประพันธ์ได้อย่างต่อเนื่อง
สำนวนที่ ๒ เอกสารเลขที่ ๕๖๘ และเอกสารเลขที่ ๕๖๙ เป็นเรื่องสุธนูกลอนสวดอีกสำนวนหนึ่งซึ่งต่างไปจากเอกสารเลขที่ ๕๖๗ มีเนื้อหายาวกว่าสำนวนที่พิมพ์ในหนังสือนี้ประมาณเท่าตัว อักขรวิธีที่ใช้ไม่สม่ำเสมอ ลายมือเป็นอย่างชาวบ้าน อ่านยาก คำประพันธ์แต่ละตอนมีความลักลั่นสับสน เช่น ตอนที่แต่งเป็น “สุรางคนางค์ ๒๘” ซึ่งต้องมี ๗ วรรค แต่ในเอกสารต้นฉบับปรากฏเพียง ๓- ๔ วรรคบ้าง ๔- ๖ วรรค บ้าง บางตอนสัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสระหว่างบทขาด ไม่ปะติดปะต่อ ทำให้มีบัญหาอย่างยิ่งในการคัดลอกชำระ หากนำมาพิมพ์จะทำให้นักเรียนที่นำไปศึกษาเกิดความสับสน
เนื้อหาเรื่องสุธนูกลอนสวดสำนวนที่ ๒ ตามเอกสารเลขที่๕๖๘ เริ่มต้นด้วยบทนมัสการพระรัตนตรัย มีข้อความตอนหนึ่งระบุชัดเจนว่า แต่งขึ้นเพื่อใช้สำหรับ “อ่าน” หรือ “สวด” และขอให้ผู้อ่าน ผู้สวด ระมัดระวังรักษาหนังสือด้วย
๏ ลางคนเกียจคร้าน | |
นอนสวดนอนอ่าน | หนังสือทุกใบ |
ลางคนอ้าปาก | น้ำหมากหยดไหล |
หยดย้อยลงใน | หนังสือลบเลือน |
๏ คนพวกเหล่านี้ | |
ตกนรกอเวจี | มิพักตักเตือน |
ตกลงอยู่ใน | นรกเป็นเรือน |
ด้วยใจของเพื่อน | ชั่วช้าทรพล |
๏ เราอตส่าห์แต่ง | |
หิวโหยโรยแรง | แต่งไว้เป็นผล |
อันเป็นประโยชน์ | เทศน์โปรดผู้คน |
ให้เป็นกุศล | เข้าสู่นีฤๅพาน |
จากนั้นดำเนินเรื่องตามปัญญาสชาดก หน้าสมุดสุดท้ายจบความลงตอนที่ สุธนูกุมารพานางจีรัปภาโดยสารสำเภาต้องพายุใหญ่กลางทะเล แต่งเป็น “ยานี” ดังนี้
๏ มืดมัวทั่วทิศา | ลมฝนฟ้ามาปะกัน |
บังเกิดอัศจรรย์ | ฟ้าร้องสนั่นเสียงอื้ออึง |
๏ ฟ้าร้องคะนองสาย | ลมพระพายพัดตึงตึง |
เป็นพยับพยุอึง | ทั่วไตรตรึงษ์ทั้งสาคร |
๏ สายฟ้าฟ้าฟาดสาย | เป็นแสงพรายอยู่ขจร |
เงือกงูผุดอยู่สลอน | ตื่นชอกซอนขจรเจิง ฯ |
เอกสารเลขที่ ๕๖๙ เป็นสำนวนเดียวกับเอกสารเลขที่ ๙๖๘ เริ่มเนื้อความตั้งแต่พระสุธนูกับนางจีรัปภาเข้าพักอาศัยในศาลาของฆันตารยักษ์ (สำนวนแรกว่าท้าวโกนดัน) ดำเนินความไปจนได้ม้ามณีกากกลับคืนแล้วพากันออกติดตามหานางจีรัปภาถึงเมืองอินทปัต เนื้อหาตอนนี้แปลกไปจากสำนวนที่ ๑ และปัญญาสชาดกคือ ท้าวอินทปัตเชิญ พระสุธนูเข้าไปในเมืองและยกพระธิดาให้เป็นบาทบริจาริกา พระสุธนูประทับอยู่ที่เมืองนั้นระยะหนึ่งก็พานางจีรัปภาเดินทางต่อไปยังกรุงพาราณสี (สำนวนที่ ๑ ว่า กรุงสาวัตถี) จบลงตอนที่ท้าวพรหมที่ตกับนาง เกศนีเตรียมการสมโภชสุธนูกุมารและนางจีรัปภา
๏ ดูพระโอรส | |
งามดังมรกต | สุกใสแจ่มจันทร์ |
ดูนางเทวี | ดังสีมะลิวัลย์ |
เหมือนดวงพระจันทร์ | อันเปล่งรัศมี |
๏ รูปทรงวงหน้า | |
ดังดวงดารา | เจ้าทั้งสองศรี |
งามโฉมเฉิดฉาย | ...งามวิจี |
งามทั้งสองศรี | ดังดวงแก้วมณี |
๏ ชมพลางทางรับขวัญลูกชาย | |
แล้วกลับผันผาย | รับขวัญเทวี |
ศรีสะใภ้นั้น | ............. |
สองท้าวทรงธรรม์ | รับขวัญสองศรี |
๏ แล้วมีโองการ | |
ไปมินาน | เสนามนตรี |
จงเร่งจัดแจง | แต่งการโลกี |
บาดหมายบาญชี | ตามที่พนักงาน |
๏ ................. | |
จำแนกแจกจ่าย | ไปทั่วสถาน |
บ้านนอกขอกนา | ให้มาแต่งการ |
สมโภช............ | ................... |
หน้าปลายเล่มสมุดเอกสารเลขที่ ๕๖๙ มีข้อความว่า “จบเรื่องเท่านี้ ฯ เรื่องพระสุธนูกลับชาติกระหวัดเป็นพระชินศรี นวลนางจีรปภาได้กระหวัดกลับชาติเป็นพระพิมพา เป็นมารดาเจ้าราหุล” ไม่มีเรื่องตอนสุธนูกุมารกลับไปปราบมันตารยักษ์หรือท้าวโกนดันตามที่กล่าวในปัญญาสชาดกและกลอนสวดสำนวนที่ ๑
การนำเรื่องราวที่มีอยู่แต่เดิมมาประพันธ์เป็นร้อยกรองรูปแบบต่างๆนั้น กวีผู้แต่งมักตัดหรือเพิ่มเติมเนื้อหาให้แปลกไป เรื่องสุธนูกลอนสวดทั้งสำนวนที่ ๑ และสำนวนที่ ๒ เมื่อเปรียบเทียบกับปัญญาสชาดกซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่มาของกลอนสวดทั้ง ๒ สำนวนแล้ว จะเห็นได้ว่ารายละเอียดหลายประเด็นแตกต่างไปจากที่กล่าวในปัญญาสชาดกเช่น ตอนพระสุธนูลอบเข้าไปถึงห้องบรรทมของนางจีรัปภา ความในหนังสือปัญญาสชาดก ฉบับพิมพ์พุทธศักราช ๒๔๗๒ มีว่า
“ลำดับนั้น พระโพธิสัตวก็ลงจากหลังอัศวราชมโนมัย จึงเปิดบานพระทวารแต่ค่อย ๆ แล้วเสด็จเข้าไปในห้องที่บรรทมพระราชธิดา ทอดพระเนตรดูพระจีรัปภาราชบุตรี ตั้งแต่เบื้องพระศิโรตม์ตราบเท่าถึงเบื้องพระบาท มิได้อิ่มพระเนตร จึงลูบไล้พระวรกายพระราชบุตรีด้วยสุคนธชาติ แล้วสวมพวงกุสุมมาลัยในข้อพระกรและจารึกเป็นปฤศนาไว้ในเบื้องหลังนางปทุมาทาสี แล้วทาด้วยเครื่องลูบไล้อันเหลือจากทาพระวรกายพระราชบุตรีจีรัปภา แล้วยืนทอดพระเนตรพิจารณาพระราชบุตรีอยู่ ณ ที่นั้น
ขณะนั้น มณีกักขิอัศวราชจึงทูลเชิญพระโพธิสัตวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพงศ์สมมติเทพดา เชิญพระองค์เสด็จมาเถิด มัชฌิมยามล่วงไปนานแล้ว บัดนี้ถึงปัจฉิมยามจวนจะใกล้รุ่งอยู่แล้ว เชิญเสด็จกลับไปโดยเร็วพลันเถิด พระเจ้าข้า
พระโพธิสัตวได้ฟังสินธพอาชาทูลเชิญ มิใคร่จะทรงพระดำเนินออกจากปราสาทได้ ด้วยทรงอาลัยในพระราชบุตรีจีรัปภา แล้วฝืนพระทัยรีบทรงพระดำเนินมาขึ้นอัศดรสินธพชาติ ฝ่ายมณีกักขิอัศวราชมโนมัย ก็พาพระโพธิสัตวกลับมาสู่ที่พักภายนอกพระนคร ซึ่งเป็นที่หยุดพักระงับร้อนแต่เมื่อแรกมาถึงนั้น พระโพธิสัตว์คิดรำพึงถึงพระราชบุตรีจีรัปภา จึงตรัสแก่สินธพชาตินั้นว่า เราไม่สามารถจะอยู่ในที่อันปราศจากพระราชบุตรีจีรัปภาได้ ท่านจะไปหาอาหารในที่อันสบายก็จงไปเถิด แต่เมื่อถึงสมัยกึ่งราตรี พาชีจงรีบมาหาเราให้จงได้ มณีกักขิอัศวราชรับคำแล้ว ก็กลับไปหาอาหารกินอยู่ ณ ที่ใกล้คูพระนครนั้น
ครั้นรุ่งราตรีพระอาทิตย์อุทัยสว่างแจ้งแล้ว พระราชบุตรีจีรัปภาตื่นจากบรรทม ทอดพระเนตรเห็นรูปไซดักมัจฉาที่หลังนางปทุมาทาสีค่อม ทั้งเห็นเครื่องลูบไล้ของหอม อันทาอยู่ทั่วกายนางปทุมาทาสี ก็ทรงพระสรวลแล้วมีพระเสาวนีย์ตรัสถามว่า พี่ได้ของหอมเครื่องลูบไล้ที่ไหนมาทากายของพี่ นางค่อมปทุมาได้ฟังพระราชเสาวนีย์ตรัสถามจึงมีวาจาว่า โอน่าอัศจรรย์จริงๆ ของหอมเหล่านี้มาแต่ไหนหนอ แล้วแลไปเห็นเครื่องลูบไล้ของหอมที่พระกายพระราชบุตรีจีรัปภากับทั้งพวงมาลาอันสวมอยู่ที่ข้อพระกร จึงทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าก็ของหอมเครื่องลูบไล้ที่พระวรกาย กับทั้งพวงมาลาที่ข้อพระกรของพระแม่เจ้านั้น พระแม่เจ้าได้มาแต่ที่ไหนเล่า พระราชบุตรีจีรัปภาได้ฟังถาม จึงเดินเข้าไปส่องพระฉาย ครั้นทอดพระเนตรเห็นบวรกายของพระองค์ อันลูบไล้ประทาไปด้วยเครื่องหอมและพวงมาลาที่สวมข้อพระวรกรอยู่นั้น ก็เกิดอัศจรรย์ใจมีความสงสัยยิ่งนัก จึงดำริในพระทัยว่า ชะรอยอมรินทราธิบดี หรือเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทพดา จะมาในปราสาทที่อยู่ของเรานี้เป็นแท้ ทรงกำหนดฉะนี้แล้ว จึงตรัสแก่นางปทุมาทาสีค่อมว่า ในราตรีวันนี้เราจะพากันคอยดูให้เห็นประจักษ์แก่ตา นางทาสีปทุมาก็รับพระเสาวนีย์
ฝ่ายหน่อพระชินสีห์สุธนูโพธิสัตว ครั้นถึงกึ่งราตรีก็ทรงรำลึกถึงพาชีอัศวราช ครั้นอัศดรมาถึงก็ขึ้นทรง แล้วเสด็จเข้าไปในปราสาทพระราชบุตรี ทรงกระทำวิธีเหมือนดังนั้นในราตรีเป็นคำรบ ๒ และราตรีเป็นคำรบ ๓ ฝ่ายพระราชบุตรีจีรัปภากับนางปทุมาทาสีตั้งตาเฝ้าคอยดูก็พากันหลับไปในราตรีที่ ๒ และราตรีที่ ๓ นั้น
ครั้นถึงราตรีที่คำรบ ๔ พระราชบุตรีจีรัปภาจึงตรัสแก่นางปทุมาทาสีอีกว่า ดูกรพี่ปทุมา คืนวันนี้เราทั้งสองคนจักไม่หลับไม่นอน จะคอยจับผู้ที่เข้ามาในที่นี้ให้จงได้ ถ้าเราทั้งสองไม่อาจตื่นอยู่ได้ ยังขืนจะหลับเหมือนแต่ก่อนไซร้ เราเอาก้านอุบลมาขยี้เอาน้ำหยอดจักษุทั้งสองซ้ายขวาไว้ เมื่อกระทำดังนี้ เราทั้งสองคนก็จะหลับมิได้ จะตื่นอยู่จนรุ่งราตรี นางปทุมาทาสีจึงตอบว่า กระทำอุบายดังนี้อาจสำเร็จดั่งความปรารถนาได้ พระราชบุตรีจีรัปภากับนางปทุมาทาสีปรึกษากันฉะนี้แล้วก็กระทำเหมือนดังนั้น ก็พากันตื่นอยู่มิได้หลับ
ครั้นเวลากึ่งราตรี พระโพธิสัตวประดับพระองค์ด้วยเครื่องอลังการ ลูบไล้พระวรกายด้วยสุคนธชาติของหอมแล้ว ทรงถือของหอมและพวงมาลาขึ้นทรงอาชาสินธพชาติ ตรงไปปราสาทพระราชบุตรีจีรัปภา ครั้นถึงจึ่งเปิดบานพระทวาร ได้ทัศนาการเห็นรัศมีกายของพระราชบุตรี อันมีแสงสว่างแผ่ไปทั่วทั้งปรางค์ปราสาท ประดุจดังว่าแสงโอภาศแห่งประทีปที่บุคคลตามไว้ฉะนั้น จึงตรัสแก่สินธพอาชาไนยว่า ดูกรมณีกักขิอัศว ราชผู้สหาย ท่านได้เห็นรัศมีกายของพระราชบุตรีจีรัปภาหรือไม่ อัศวราชอาชาไนยทูลว่าหม่อมฉันได้เห็นแล้ว พระเจ้าข้า
ผ่ายพระราชบุตรีจีรัปภา ได้ทัศนาการเห็นองค์พระสุธนูโพธิสัตวจึ่งกระซิบที่ใกล้หูนางปทุมาว่า เทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทพดามาแล้วท่านเห็นหรือไม่ นางปทุมาทาสีก็รับพระเสาวนีย์ว่า หม่อมฉันได้เห็นแล้ว พระแม่เจ้าอย่าอื้ออึงไป ชนทั้งสองก็มีจิตต์ประกอบด้วยปีติโสมนัส เพราะเหตุที่ได้เห็นพระโพธิสัตวเสด็จมา จึ่งปิดจักษุทั้งสองด้วยชายพระภูษาที่ทรงห่ม ทำเป็นประหนึ่งว่านิทรารมย์หลับอยูมิได้รู้สมปฤดี
ผ่ายพระโพธสัตวตรัสสั่งสินธพพาชีแล้วก็เสด็จเข้าไปในปรางค์ปราสาท ทรงประทับ ณ แท่นที่ไสยาสน์ของพระราชบุตรีจีรัปภา ตรัสปราไสด้วยถ้อยคำอันเป็นที่รักเจริญใจแต่ลำพังพระองค์ แล้วทรงลูบไล้ทาวรกายพระราชบุตรีจีรัปภา ด้วยเครื่องลูบไล้และของหอมเป็นต้น แล้วเอาของหอมและเครื่องทาที่เหลือนั้น ไปทากายนางปทุมาทาสี กระทำดังที่ได้ทรงกระทำมาแต่ราตรีก่อน ๆ แล้วทอดพระเนตรดูพระราชบุตรีจีรัปภามิได้พริบพระเนตร เพราะมีจิตต์สิเนหาปฏิพัทธในพระราชบุตรีจีรัปภาเป็นกำลัง
ในกาลนั้น มณีกักขิอัศวราชจึงร้องเชิญเสด็จว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพงศ์เทพดา เชิญพระองค์เสด็จออกมาเถิด เวลาจวนจะสว่างแจ้งอยู่แล้ว พระโพธิสัตวได้ทรงฟังสินธพอาชาไนยทูลเชิญ จึงค่อย ๆ เคลื่อนพระองค์ลงจากพระที่ เพื่อจะเสด็จกลับออกมาทรงสินธพอัศดร
ในขณะนั้น พระราชบุตรีจีรัปภาจึงกระซิบบอกนางปทุมาว่าพี่จงจับเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาไว้ เราทั้งสองช่วยกันจับอย่าให้หนีออกไปได้ นางปทุมาทาสีรับพระเสาวนีย์แล้ว ยังมิทันที่จะลุกขึ้นจากที่ ฝ่ายพระราชบุตรีจีรัปภาก็อุฐาการจากที่ไสยาสน์ ตรงเข้ากอดพระบาทพระโพธิสัตว ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองให้มั่นแล้วทูลว่า พระองค์จงหยุดอยู่ก่อน ฝายนางปทุมาทาสีก็ลุกขึ้นจากที่นอนในขณะนั้นเข้าจับพระบาทพระโพธิสัตวให้มั่นแล้วทูลว่า ข้าแต่เทวดา พระองค์จงหยุดก่อน จะรีบร้อนเสด็จไปข้างไหนเล่า
พระโพธิสัตวมิรู้ที่จะคิดประการใด จึ่งตรัสตอบสินธพออกไปว่า ดูกรอาชาผู้เป็นสหาย บัดนี้เราถูกพระราชบุตรีกับหญิงคนใช้จับไว้มั่นคงมิรู้ที่จะทำประการใด สินธพอาชาไนยจึ่งทูลว่า ถ้ากระนั้นพระองค์จงอยู่ก่อนเถิด ที่จะเถิดบาปหยาบช้านั้นมิได้มี พระโพธิสัตวจึ่งตรัสว่า ถ้ากระนั้น พี่พาชีจงกลับไปแสวงหาอาหารก่อนเถิด ถ้าเราระลึกถึงท่านเมื่อใด ท่านจงมาหาเราเมื่อนั้น อาชาไนยรับคำพระโพธิสัตวแล้ว ก็กลับไปแสวงหาอาหารในที่นั้นๆ พระโพธิสัตวส่งอาชาไนยไปแล้ว ก็ทรงประทับนั่ง ณ ที่บรรทมของพระราชบุตรีจีรัปภา พระราชบุตรีจึ่งมีสุนทรวาจาเชิญให้ไสยาสน์ รำงับกระวนกระวายพระหฤทัย แล้วนั่งนวดฟั้นพระบาทพระโพธิสัตวให้ทรงบรรทม แล้วสองกษัตริย์ก็ทรงอภิรมย์ซึ่งกันและกัน
ในลำดับนั้น พระราชธิดาจีรัปภาเทวี จึ่งมีสุนทรวาจาทูลถามพระโพธิสัตวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงอิศรภาพ หม่อมฉันมีความสงสัยยิ่งนัก พระองค์เป็นเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลายหรือ หรือว่าเป็นองค์อมรินทราธิราช จงโปรดบอกหม่อมฉันให้ทราบในกาลบัดนี้
พระโพธิสัตวได้ทรงฟังพระราชบุตรีจีรัปภาทูลถามดังนั้น จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจะบอกว่าเราเป็นพระอินทร์ หรือเป็นเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดา พระนางจีรัปภาก็คงจะเชื่อฟังทั้งสิ้น ก็แต่ว่าถ้อยคำเช่นนั้นเป็นคำของอสัตบุรุษ มิได้มีความเจริญเลย คำใดเป็นคำจริง ปราศจากมุสาวาท คำนั้นเป็นธรรมของสัตบุรุษ อาจนำมาซึ่งประโยชน์ในภายหน้า ต้องการอะไรที่เราจะกล่าวมุสาวาท เราบอกตามจริงประเสริฐกว่า พระโพธิสัตวดำริฉะนี้แล้ว เมื่อจะบอกความตามจริง จึงตรัสว่า ดูกรพระน้องผู้มิพักตรอันเจริญ พี่นี้จะได้เป็นพระยาเทวดา หรือเป็นองค์อมรินทราหามิได้ พี่นี้เป็นราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ตัวของพี่นี้ชื่อว่าสุธนูราชกุมาร พระน้องจงทราบในกาลนี้
พระราชบุตรีจีรัปภา ได้ฟังคำพระภัศดาโพธิสัตวตรัสบอกดังนั้นก็มีพระทัยโสมนัสยินดี ประดุจดังว่ามีบุคคลมารดด้วยสุคนธวารีได้ ๑๖ กละออม ในสราทกาลฤดูร้อน พระนางก็อยู่สมัครสโมสรกับพระโพธิสัตวมาช้านาน”
ความตอนดังกล่าวในสุธนูกลอนสวดสำนวนที่ ๑ กล่าวต่างออกไปว่า สุธนูกุมารเพียงแต่สวมพวงมาลัยที่ข้อพระหัตถ์ของนางจีรัปภา มิได้เขียนปริศนารูปไซดักปลาไว้ที่หลังของนางค่อมพี่เลี้ยง
๏ พระจับพวงมาลัย | คล้องเข้าในพระหัตถา |
พระกรแก้วลัลยา | ม้ามารับพระกลับไป |
๏ ค่ำค่ำพระกลับมา | ชมพนิดายอดพิสมัย |
แล้วคล้องพวงมาลัย | มาแล้วไปสามราตรี |
ความในกลอนสวดสำนวนที่ ๑ ตรงกับปัญญาสชาดกคือ นางจีรัปภากับนางค่อมพี่เลี้ยงกับพระสุธนูได้ในคืนที่ ๔ พระสุธนูได้อยู่ร่วมกับนางจีรัปภาในปราสาท อยู่มาเหล่านางสนมกำนัลเกรงความผิด จึงนำความขึ้นทูลท้าวเสตราช
๏ นางเลี้ยงมิ่งม้า | |
ให้ทอดนํ้าหญ้า | อยู่บนปรางค์ศรี |
บำเรอผัวรัก | ด้วยความยินดี |
ชวนพระสามี | เข้าที่สรงเสวย |
๏ ท้าวนางกำนัล | |
ร้อนโรคโศกศัลย์ | ไม่มีความเสบย |
เพียงชีพจากร่าง | เพราะนางทรามเชย |
ทำฉันใดเลย | จะพ้นโพยภัย |
๏ ครั้นจะนิ่งนาน | |
เกลือกพระภูบาล | กับแก้วอรไท |
ขึ้นหลังอาชา | พากันเหาะไป |
เราทั้งปวงไซร้ | จะสิ้นสุดปราณ |
๏ ท้าวนางกำนัล | |
คิดแล้วชวนกัน | ไปกราบทูลสาร |
สมเด็จบิตุเรศ | ให้แจ้งเหตุการณ์ |
ว่ายอดเยาวมาลย์ | คบชู้สู่ชาย |
สุธนูกลอนสวดสำนวนที่ ๒ ดำเนินเรื่องตอนที่กล่าวมาต่างจากสำนวนที่ ๑ และปัญญาสชาดกคือ ราตรีแรกที่สุธนูกุมารลอบเข้าไปในห้องบรรทม ได้เอาแป้งหอมเขียนเป็นรูปดอกบัวไว้ที่หลังของนางจีรัปภาและเขียนรูปจระเข้ไว้ที่หลังของนางค่อมพี่เลี้ยง
ราตรีที่ ๒ สุธนูกุมารเอาดอกไม้ที่เครื่องบูชาโปรยไว้ทั่วห้องบรรทม
๏ หยิบเอาแต่แป้ง | ที่นางแต่งทั้งเรียงไว้ |
มาควักเอาแป้งได้ | เปลื้องสไบที่นางคลุม |
๏ ................ | .......................... |
เขียนแป้งเป็นบัวตูม | กลีบกลัดกลุ้มหุ้มเกสร |
๏ ................ | นางนอนกับเทวี |
เขียนเป็นรูปกุมภีล์ | ไว้ที่หลังนางค่อมนั้น |
๏ จึงเอาเครี่องบูชา | นางกัลยาบูชาไว้ |
เก็บเอาเเต่ดอกไม้ | โปรยปรายไว้ทั่วองค์นาง |
๏ เรี่ยรายปรายทั่วไป | ล้วนดอกไม้ในห้องปรางค์ |
ทั่วตัวทั้งสองนาง | แล้วเดินย่างกลับออกมา |
ความในกลอนสวดสำนวนที่ ๒ ว่า ครั้นถึงราตรีที่ ๓ เมื่อนางค่อมพี่เลี้ยงก็จับสุธนูกุมารไว้ได้แล้ว นางจีรัปภาให้เหล่านางกำนัลควบคุมสุธนูกุมารไว้ ส่วนตัวนางรีบนำความไปทูลแก่พระบิดา
๏ ว่าแล้วโฉมตรู | |
ให้นางค่อมอยู่ | รักษาโฉมฉาย |
พวกนางสาวใช้ | อยู่นี่มากมาย |
รักษาโฉมฉาย | ไว้ให้จงดี |
๏ เราจะไปทูล | |
แก่พระนเรนทร์สูร | บิดาชนนี |
สั่งแล้วมิช้า | นวลนางเทวี |
ลงจากปรางค์ศรี | ไปทูลมารดา |
๏ ครั้นเถิงจึงทูล | |
บิดาพระคุณ | จงโปรดเกศา |
บัดนี้ยังมี | ชายหนึ่งโสภา |
องอาจเข้ามา | ในปรางค์ปราสาท |
๏ ลูกจับไว้ได้ | |
ให้นางสาวใช้ | เฝ้าอยู่เดียรดาษ |
.......... | จงแจ้งพระบาท |
ชายนี้ประหลาด | องอาจนักหนา |
ความแตกต่างในรายละเอียดของเรื่องประเด็นที่นางจีรัปภานำความไปทูลพระบิดาตามที่ปรากฏในสุธนูกลอนสวดสำนวนที่ ๒ น่าจะเนื่องมาจากความคิดของกวีผู้แต่งที่มุ่งจะแสดงให้เห็นว่า นางจีรัปภาเป็นกุลสตรี อยู่ในขนบประเพณีตามค่านิยมของสังคมไทยและใช้กลอนสวดเป็นสื่อในการปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวด้วย
อนึ่ง ในการจัดพิมพ์เรื่องสุธนูกลอนสวดครั้งนี้ได้ปรับอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบันเพื่อให้นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด ส่วนผู้ที่ประสงค์จะศึกษาอักขรวิธีตามต้นฉบับ โปรดดูจากสำเนาเอกสารเลขที่ ๕๖๗ ซึ่งพิมพ์ไว้เป็นภาคผนวกของหนังสือนี้