ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน

๏ ขอร้างบทงดอยู่ในคูหา กล่าวกรุงแก้วโกญจาไปตามเรื่อง
ตั้งแต่คงคาประลัยมันได้เมือง ก็ขัดเคืองทุกอาณาประชาชน
ด้วยเสนาข้าเฝ้านั้นเหล่าโลภ เหลือละโมบมีแต่ล่อข้างฉ้อฉล
ปรึกษาความกดกินแต่สินบน จนฝูงคนทุกข์ตรอมระกำใจ
ทั้งเขตขัณฑ์บรรดาประชาราษฎร์ คิดถึงท้าวอินณุมาศแล้วร้องไห้
เมื่อพระองค์ทรงเศวตฉัตรไชย ย่อมเย็นใจไพร่ฟ้าทั้งธานี
พอสิ้นบุญขุ่นเคืองทุกหย่อมหญ้า อุปมาเหมือนหนึ่งไฟไหม้กรุงศรี
คิดถึงตัวทั่วไปไพร่ผู้ดี อพยพหลบหนีไปมากมาย ฯ
๏ ฝ่ายเสนาข้าทูลละอองบาท ขององค์ท้าวอินณุมาศที่สูญหาย
เที่ยวตั้งกองซ่องซุ่มอยู่มากมาย บรรดานายที่มาพบสมทบกัน
ทั้งพวกไพร่ได้ประมาณสักสองแสน อยู่ปลายแดนกรุงไกรในไพรสัณฑ์
ต่างคิดถึงเจ้านายไม่วายวัน ปรึกษากันว่าจะรบเอาเมืองคืน
ก็ยินยอมพร้อมใจทั้งนายไพร่ ใครมิได้แก่งแย่งจะแข็งขืน
จึงรวบรวมสาตราบรรดาปืน ได้สักหมื่นหนึ่งถ้วนล้วนคาบชุด
กับดาบหอกกั้นหยั่นก็ครันครบ เข้าสมทบเกณฑ์ทัพจะสับประยุทธ์
ครั้นพรั่งพร้อมโยธาถืออาวุธ ก็รีบรุดตรงมายังธานี
พวกกองหน้ามาถึงร้องประกาศ ว่าทัพท้าวอินณุมาศเจ้ากรุงศรี
ประชาราษฎร์รู้สิ้นก็ยินดี ชาวบูรีวิ่งเข้ากับกองทัพ
ข้างฝ่ายพวกโจราคงคาประลัย ครั้นแจ้งใจว่าเขามาโจมจับ
เห็นคนมากยากที่จะรบรับ ก็หลีกกลับหลบตัวด้วยกลัวตาย
พอทัพมาถึงหน้าราชฐาน นายทวารเปิดให้เหมือนใจหมาย
ไม่มีความยากแค้นแสนสบาย เหมือนลอยชายฉุยเข้าในเวียงไชย
ขึ้นจับคงคาประลัยในปราสาท กับอำมาตย์ที่มันตั้งขึ้นใหม่ใหม่
เอาฟาดฟันบั่นศีรษะฉะเสียบไว้ หวังมิให้ดูเยี่ยงเอาอย่างกัน
อันชีพราหมณ์โหราพฤฒามาตย์ ก็เกลื่อนกลาดมาชุมนุมทุกเขตขัณฑ์
ทั้งพวกเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล มาพร้อมกันตามตำแหน่งทุกนางใน
ฝ่ายมหาเสนาจึงว่าท่าน ปราบพวกพาลทรลักษณ์ก็ตักษัย
พระปิ่นเกล้าเจ้านายเราหายไป ทำไฉนจึงจะรู้ว่าร้ายดี
ขอพระครูโหราปรีชาชาติ จงคูณคาดกระษัตราในราศี
อันจอมเจ้าสากลกับชนนี หรือชีวีวายสวรรคครรไล
พระโหรรับขับไล่ในโฉลก อุษาโยคฤกษ์ยามตามวิสัย
แล้วเรียงเรียบเทียบเคราะห์พระเวียงไชย ประจักษ์ใจแล้วจึงเล่าตามเค้ามูล
อันพระองค์ทรงแผ่นพิภพพื้น ชะตาคืนอัปราชัยไหศูรย์[๑]
เดี๋ยวนี้ท้าวเธอสถิตอยู่ทิศบูรพ์ แต่เสียวงศ์พงศ์ประยูรไปจากกัน
แม้นตามไปคงจะได้เสด็จกลับ อันตำรับนี้แน่ไม่แปรผัน
จงรีบไปในวันหนึ่งสองวัน จะได้องค์ทรงธรรม์มากรุงไกร ฯ
๏ ฝ่ายมหาเสนาปรีชาฉลาด ฟังโหรคาดยินดีจะมีไหน
จึงจัดแจงโยธาจะคลาไคล เทียมพิไชยรถแก้วแกมสุวรรณ
อภิรุมชุมสายรายสะพรั่ง บนบัลลังก์ใส่เศวตฉัตรกั้น
ครั้นจัดการครบเสร็จสำเร็จพลัน แล้วแบ่งปันอยู่รักษาซึ่งธานี
ครั้นได้ฤกษ์เลิกพลออกตามติด ไปตามทิศบูรพาในราศี
พารถรัตน์จัตุรงค์เข้าพงพี ครั้นราตรีหยุดพักสำนักนอน
ครั้นรุ่งไปในพนมพนาเวศ ตามขอบเขตโขดเขินเนินสิงขร
ได้หลายวันดั้นเดินในดงดอน ตั้งอาวรณ์รํ่าไห้ฟายนํ้าตา
พวกเสนาว่าทูลกระหม่อมแก้ว หรือมาแคล้วทางที่จะเที่ยวหา
ขอเทวัญชั้นรุกขฉายา ช่วยชักพาให้แน่อย่าแชเชือน
มาตยาว่าโอ้พระทูลกระหม่อม เคยชุบย้อมรักใคร่ใครจะเหมือน
พระโปรดเกล้าเข้าเดือนออกสามเดือน[๒] ทั้งค่านํ้าเชิงเรือนไม่เรียกเลย
พวกเสนาว่าเมื่อไรจะไปถึง พระร่มโพธิที่พึ่งของข้าเอ๋ย
มาลำบากยากไร้พระไม่เคย จะเสวยความเทวษไม่วายวัน
ต่างครวญครํ่ารํ่าไห้พิไรร้อง ทั้งเสียงกลองก้องไปในไพรสัณฑ์
เทพเจ้านำทางกลางอารัญ ถึงเขตคันพวกบ้านนายพรานไพร
ซึ่งเป็นส่วยเชือกหนังกับมังสา ที่สองกระษัตริย์ขัตติยาอยู่อาศัย
ให้หาพรานบ้านนั้นมาทันได แล้วถามไถ่ถ้วนทั่วทุกตัวคน
เมื่อครั้งแรกบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาราษฎร์พลัดแพลงทุกแห่งหน
เอ็งอยู่ย่านบ้านนี้ก็ชอบกล เห็นผู้คนมาอยู่บ้างหรืออย่างไร
พวกพรานเนื้อว่าเมื่อแต่ก่อนนั้น อีนางจันกับอออินมาอาศัย
อ้ายเพิกพวกข้าพเจ้ามันเอาไว้ ให้เฝ้าไร่ถั่วงาอยู่นาโน้น
พ่อเจ้าขามาไยพ่อทูนหัว ล้วนแต่งตัวหรือเขาหาไปเล่นโขน
มีทั้งเกวียนปิดทองแลกลองโยน หรือเที่ยวโพน[๓]ช้างป่าพนาวัน
พวกเสนาพากันล้อหัวร่อเล่น มันไม่เคยพบเห็นทุกสิ่งสรรพ์
แต่รถเขียนก็ว่าเกวียนช่างเคอะครัน จะชวนมันพูดด้วยก็ป่วยการ
จึงว่าคนอาศัยอยู่ไหนเล่า เอ็งพาเราไปถึงซึ่งถิ่นฐาน
แล้วเสนาพาตัวอ้ายเพิกพราน ออกจากบ้านนำทางมากลางไพร
สนั่นเสียงผู้คนพลทัพ ออกคั่งคับทิมวันต์ก็หวั่นไหว
ทั้งเสียงกงรถลั่นสนั่นไป มาถึงไร่ริมกระท่อมเข้าพร้อมกัน
สงสารท้าวอินณุมาศมเหสี เห็นโยธีเกลื่อนไปในไพรสัณฑ์
จะหลบลี้หนีไปก็ไม่ทัน พระองค์สั่นสิ้นสมประดีไป
ปิดทวารเข้าไว้เอาไม้ขัด แล้วท้าวตรัสบอกพระมเหสี
มัจจุราชมาทันแล้ววันนี้ เจ้ากับพี่สองคนไม่พ้นตาย
ชะรอยคงคาประลัยให้ค้นหา จะเข่นฆ่าเราให้เหมือนใจหมาย
พระตรัสพลางยกหนังขึ้นบังกาย แล้วฟูมฟายชลนาโศกาลัย
อ้ายเพิกพรานพาอำมาตย์มาขึ้นทับ ก็เห็นหับประตูมิดคิดสงสัย
จึงแหกฝาให้เป็นช่องมองเข้าไป เห็นห้าวไทเธอเอาหนังมาบังกาย
มันเดือดด่าว่าดูดู๋อ้ายทองอิน ร้องเรียกทำไม่ได้ยินอ้ายฉิบหาย
เข้ามุดนอนซ่อนอยู่ในหนังควาย เจ้าคุณนายท่านจะมาดูหน้ามึง
ยิ่งเรียกก็ยิ่งนิ่งมันด่าฟุ้ง เข้ากระทุ้งถีบฝาดังผางผึง
จบไม้หักผลักบานประตูตึง เข้าไปถึงกระษัตราคร่าเอาตัว
เขามาเรียกดีดีทำหนีหาย ไปไหว้นายท่านเสียอ้ายตัดหัว
สองกระษัตริย์องค์สั่นอยู่รันรัว แต่ความกลัวพรานป่าต้องคลาไคล
ส่วนเสนีรี้พลคนทั้งหลาย เห็นเจ้านายยินดีจะมีไหน
วิ่งเข้ากอดบาทาด้วยอาลัย ต่างรํ่าไรรักสองกระษัตรา
อนิจจาเจ้าประคุณทูลกระหม่อม ดูพระรูปซูบผอมลงนักหนา
มาอาศัยอยู่กระท่อมเท่ารังกา แสนระกำตํ่าช้าด้วยชาวพน
ต่างครวญครํ่ารํ่าไรไห้สะอื้น เสียงครึกครื้นก้องไปในไพรสณฑ์
ทั้งแสนสุระโยธาพวกสามนต์ ทุกตัวคนซวนซบสลบไป
สองกระษัตริย์ทัศนาหมู่อำมาตย์ ท้าวมิอาจจะกลั้นกันแสงได้
ลดพระองค์ลงทรงโศกาลัย ทั้งสองไห้แน่นิ่งไม่ติงกาย
อ้ายเพิกพรานนึกพรั่นประหวั่นจิต นิ่งพินิจนึกไปแล้วใจหาย
หรืออออินกับทองจันมันเป็นนาย คนทั้งหลายไหว้กราบออกราบไป
มันพูดกันยังไม่ทันแจ้งกระจ่าง ทั้งสองข้างซวนซบสลบไสล
จะแก้ไขขึ้นสักครู่ดูเป็นไร มันจะได้สนทนาพูดจากัน
แล้วลุกมาตักน้ำในลำคลอง ชโลมสองกระษัตริย์รื่นชื่นทั้งขัน
แล้วรดให้ไพร่พลคบทั้งนั้น ก็พากันฟื้นสมประดีมา ฯ
๏ ฝ่ายอำมาตย์มาตยาพวกข้าเฝ้า ต่างก้มเกล้าทูลพลันด้วยหรรษา
ตั้งแต่คงคาประลัยได้พารา อันพวกข้ามิได้อยู่ในบูรี
เที่ยวซ่องสุมคุมคนเป็นกองทัพ แล้วยกกลับคืนไปในกรุงศรี
สังหารพวกโจรร้ายวายชีวี แล้วจึงกรีธาทัพเที่ยวติดตาม
แต่ออกจากนัคราสิบห้าวัน พากันดั้นเดินป่าพนาหนาม
มาถึงบ้านพรานไพรได้เนื้อความ ออกพระนามจึงได้พามาพบพาน
เชิญเสด็จบาทบงสุ์พระทรงเดช คืนไปครองนัคเรศราชฐาน
ทั้งไพร่ฟ้าประชากรจะสำราญ พึ่งพระโพธิสมภารภูวไนย ฯ
๏ ปางพระเจ้าธรณินอินณุมาศ ฟังอำมาตย์ยินดีจะมีไหน
เหมือนม้วยมุดสุดสิ้นชีวาลัย ไปเกิดในสวรรค์ช่อชั้นฟ้า
จึงตรัสตอบขอบคุณท่านทั้งหลาย ทั้งไพร่นายจงรักเรานักหนา
ตั้งแต่เสียสมบัติพลัดเมืองมา พวกพรานป่าเลี้ยงไว้ได้สบาย
แม่จันทรหล่อนคลอดพระลูกรัก ได้ยลพักตร์เจ็ดวันก็พลันหาย
ยังมิได้รู้เห็นว่าเป็นตาย ตรัสแล้วฟายชลนา[๔]โศกาลัย
พวกเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร พลอยสงสารครวญครํ่ารํ่าร้องไห้
ครั้นเสื่อมสร่างโศกเศร้าบรรเทาใจ ภูวไนยสั่งมหาเสนาพลัน
ให้จัดแจงเงินทองของทั้งหลาย ให้มากมายอย่างยิ่งทุกสิ่งสรรพ์
ประทานให้อ้ายเพิกพลางเป็นรางวัล แล้วบ้านนั้นส่วยอะไรไม่ให้เอา
จึงดำรัสตรัสสั่งพวกพรานป่า ค่อยอยู่เถิดเราจะลาไปแล้วเจ้า
แม้นมีทุกข์ข้างหน้าไปหาเรา พระตรัสเท่านั้นแล้วก็แต่งองค์
สะพรั่งพร้อมเสนาพลากร พระภูธรทรงรถทองระหง
เสียงทหารโห่ลั่นสนั่นดง พระนางทรงรถแก้วแกมสุวรรณ
ทั้งแหนแห่แตรสังข์ดังพิลึก ประโคมครึกครื้นไปทั้งไพรสัณฑ์
ให้เคลื่อนพลหน้าหลังประดังกัน พลขันธ์เบิกบานสำราญเริง
ฝูงเสือสิงห์วิ่งเกลื่อนที่กลางป่า กระทิงถึกมฤคาไล่เถลิง
บ้างออกจากสุมทุมทุกซุ้มเซิง วิ่งกระเจิงแตกกระจายออกพรายพลัด
พระชมป่ามาในสถลมารต[๕] สำราญราชหฤทัยสองกระษัตริย์
ดูครึ้มครึกพฤกษาในป่าชัฏ พระทอดทัศนาเพลินตามเนินแนว
รุกขชาติดาษดาประดู่ดอก พระชี้บอกกัลยาว่าดอกแก้ว
ระยับแสงสุริย์ฉายขึ้นพรายแพรว อังกาบแก้วกาหลงยงพะยอม
ดอกคัดเค้าสาวหยุดระย้ายื่น กลิ่นรื่นรื่นลมโชยระโหยหอม
พวกเสนาพากันเข้าเหนี่ยวน้อม เด็ดแล้วอ้อมมาถวายข้างท้ายรถ
พระเลือกสรรปันให้มเหสี แล้วภูมีหวนคิดจิตสลด
แม้นยังไม่เสียเมืองเรืองพระยศ จะพร้อมหมดด้วยสุรางค์นางกำนัล
เคยแย้มสรวลชวนกันเก็บบุปผา คราวนี้มามิได้เห็นนางสาวสรรค์
ยิ่งวังเวงหฤทัยในไพรวัน เร่งพหลพลขันธ์ให้ไคลคลา
ครั้นยามเย็นสุริยงจะลงลับ ก็หยุดทัพลงในไพรพฤกษา
สิบห้าวันดั้นเดินเนินวนา ถึงกรุงแก้วโกญจาเข้าวังใน
ประโรหิตโหราพฤฒามาตย์ มาคอยรับอภิวาทแล้วร้องไห้
พระวงศาสาวสนมกรมใน ก็ดีใจพร้อมเพรียงทั้งเวียงวัง
อันพระองค์ทรงภพสองกระษัตริย์ ผ่านสมบัติแสนสุขเหมือนหนหลัง
จึงจัดแจงเงินทองในท้องคลัง[๖] ประทานทั้งเสนาพลากร
แล้วลดราภาษีสิ้นทุกสิ่ง ทั้งชายหญิงสุโขสโมสร
อยู่ประมาณนานมาไม่อาวรณ์ นางจันทรมีราชบุตรี
โฉมสำอางอย่างยิ่งอัปสรสวรรค์ ถวายนามนางสุวรรณรัศมี
ดังดวงจิตบิตุเรศพระชนนี ถนอมเลี้ยงพระบุตรีทุกวันมา
ให้เลือกหานารีพระพี่เลี้ยง ที่พร้อมเพรียงทรวดทรงทั้งวงศา
ล้วนแต่ลูกเวียงวังแลคลังนา ชื่อประภาสารภีเป็นพี่เลี้ยง
แล้วเลือกคัดจัดเหล่านางสาวสรรค์ ที่ผิวพรรณผ่องเหลือล้วนเนื้อเกลี้ยง
ทั้งเฒ่าแก่เตี้ยค่อมก็พร้อมเพรียง ประคองเคียงองค์ราชธิดา ฯ


[๑] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า “ชะตาคืนราไชมไหศูรย์”

[๒] เข้าเดือนออกสามเดือน คือ ช่วงเวลาเข้าประจำการของทหารสมัยก่อน

[๓] โพน คือ วิธีคล้องช้างป่า

[๔] ฟายชลนา แปลว่า ร้องไห้จนนํ้าตาอาบหน้า

[๕] สถลมารต = สถลมารค

[๖] สมุดไทยเลขที่ ๔๔ ว่า จึงจัดจ่ายเงินทองท้องพระคลัง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ