ตอนที่ ๕๙

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งเปนเจ้าเมืองฮันต๋งนั้น จึงสั่งให้อุยเอี๋ยนคุมทหารตั้งอยู่ในเมืองเสฉวนตรวจตรามิได้ขาด ส่วนเล่าปี่ยกทัพกลับมายังเมืองเสฉวนแล้ว จึงให้สร้างวังแลจัดแจงบ้านเมืองบริบูรณแล้ว ให้นามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองเซงโต๋ จึงให้ตระเตรียมซ่องสุมทแกล้วทหารแลเครื่องศัสตราวุธที่จะทำสงครามพร้อมทุกประการ

ฝ่ายทหารซึ่งไปเที่ยวสอดแนม ได้ข่าวจึงมาบอกแก่เล่าปี่ว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่า โจโฉกับซุนกวนคิดกัน จะยกกองทัพไปตีเอาเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ครั้นรู้ดังนั้น จึงปรึกษากับขงเบ้งว่า ซึ่งโจโฉจะยกไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วนั้น เห็นจะจริงหรือประการใด

ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า โจโฉจะยกมาจริง ด้วยเดี๋ยวนี้ซุนกวนเปนพวกเดียวกัน แล้วก็มีคนดีที่ปรึกษามาก จะให้โจโฉใช้โจหยินมาตีเมืองเกงจิ๋วมั่นคงอยู่ เล่าปี่จึงถามว่า ถ้าดังนั้นเราจะคิดประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า ควรเราจะให้ทหารถือหนังสือไป ตั้งกวนอูให้เปนทหารเสือที่เอก แล้วให้เร่งไปตีเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ก่อน เห็นว่าข้าศึกจะเสียทีย่อท้อใจ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงใช้ให้บิสีถือหนังสือไปณเมืองเกงจิ๋วตามคำขงเบ้งว่า

ฝ่ายกวนอูครั้นรู้ว่าบิสีมาแล้ว จึงให้คนไปรับเข้ามาให้นั่งที่อันสมควร เคารพกันตามประเพณีแล้วจึงถามว่า ท่านมาบัดนี้ด้วยเหตุประการใด บิสีจึงบอกว่า พระเจ้าเล่าปี่ให้ข้าพเจ้าถือตรามาตั้งท่านให้เปนทหารเสือที่เอก กวนอูจึงถามว่า ที่ทหารเสือทั้งห้านี้ตั้งผู้ใดบ้าง บิสีจึงบอกว่า คือท่านหนึ่ง เตียวหุยหนึ่ง จูล่งหนึ่ง ม้าเฉียวหนึ่ง ฮองตงหนึ่ง

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เตียวหุยก็เปนน้องของเรา จูล่งเล่าก็ได้ติดตามพี่เรามาช้านานแล้ว ก็เหมือนหนึ่งเปนน้องของเรา ฝ่ายม้าเฉียวเล่าก็เปนชาติเชื้อตระกูลอยู่ แต่ฮองตงคนนี้เปนแต่เชื้อพลทหารชาติตํ่า เปนคนแก่ชราหาควรจะตั้งให้เสมอด้วยเราไม่ ซึ่งมีตรามาดังนี้เรายังหายอมไม่ก่อน

บิสีหัวเราะแล้วจึงว่า ซึ่งท่านโกรธว่ากล่าวดังนี้มิชอบ ประเวณีก็มีมาแต่ก่อน เหมือนครั้งเสียวโหแลโจฉำ ซึ่งทำราชการด้วยพระเจ้าฮั่นโกโจมาก็เปนที่ชอบพระอัชฌาสัย ครั้นอยู่มาฮั่นสินซึ่งอยู่ด้วยพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ๆ ไม่นับถือ ว่าเปนคนตระกูลอันตํ่า ฮั่นสินจึงหนีมาเปนข้าทหารทำราชการอยู่ด้วยพระเจ้าฮั่นโกโจ คุมทหารไปตีเอาเมืองพระเจ้าฌ้อปาอ๋องได้ พระเจ้าฮั่นโกโจปูนบำเหน็จตั้งให้เปนขุนนางอันมียศไปกินเมืองเจ๋ มียศศักดิ์มากกว่าเสียวโหโจฉำ ซึ่งเปนข้าหลวงเดิมนั้นอีก เสียวโหโจฉำก็มิได้มีใจคิดอิจฉากัน แลซึ่งท่านกับเล่าปี่ก็ได้ปฏิญาณเปนพี่น้องกัน ตัวท่านก็เหมือนพระเจ้าเล่าปี่ ซึ่งตั้งแต่งมานี้ขอท่านจงเห็นแก่ราชการเถิด อย่าถือเลยจงรับเอาตราตั้งนี้ไว้เถิด

กวนอูจึงว่า แต่แรกเราหาทันคิดไม่ ต่อท่านมาว่าดังนี้เราจึงคิดขึ้นได้ ถ้าหาไม่เราก็จะได้ความผิด แล้วก็รับเอาตราตั้งไว้ บิสีจึงเอาหนังสือรับสั่งออกแจ้งแก่กวนอูว่า พระเจ้าเล่าปี่ให้ท่านยกทหารไปเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ กวนอูก็ทำตามรับสั่ง จึงใช้เปาสูหยินแลบิฮองสองนาย คุมทหารเปนทัพหน้าไปตั้งอยู่นอกเมืองเกงจิ๋วให้พร้อมกันแล้ว จึงให้พนักงานแต่งโต๊ะมาให้บิสีกัน แต่เลี้ยงดูกันอยู่จนเวลายามเศษจึงมีผู้มาบอกว่า กองทัพหน้าซึ่งออกไปตั้งอยู่นอกเมืองนั้นเกิดเพลิงไหม้ขึ้นแล้ว

กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ใส่เสื้อเกราะแล้วขึ้นขี่ม้ารีบออกไปให้ทหารดับเพลิง แล้วรู้ว่าเปนเปาสูหยินกับบิฮองสารวลเสพย์สุราอยู่มิได้เอาใจใส่ราชการ จึงเกิดเพลิงไหม้ขึ้นดังนี้ ครั้นกวนอูดับเพลิงแล้วกลับเข้ามา จึงให้หาเปาสูหยินกับบิฮองเข้ามาแล้วว่า เราใช้ให้ท่านยกออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ยังมิทันจะได้ยกไปท่านทำให้เพลิงไหม้สเบียงแลเครื่องศัสตราวุธ ผู้คนป่วยเจ็บเปนอันมาก ให้เสียราชการไปทั้งนี้ เราจะยกโทษเสียก็มิได้ จึงสั่งทหารให้เอาตัวเปาสูหยินกับบิฮองไปฆ่าเสีย

บิสีจึงทัดทานว่า ยังจะยกทัพไปทำการสงครามเปนการใหญ่อยู่ อันจะมาฆ่าทหารเสียดังนี้ไม่บังควร จะเสียฤกษ์ไป กวนอูยังมิหายโกรธ จึงตวาดเอาแล้วว่ากับเปาสูหยินแลบิฮองว่า ถ้าเรามิเห็นแก่บิสีผู้ห้าม เราก็จะตัดสีสะท่านทั้งสองเสีย จึงสั่งแก่ทหารให้เอาตัวเปาสูหยินแลบิฮองไปโบยคนละสี่สิบที แล้วให้ถอดออกเสียจากที่แม่กองทัพหน้า ให้บิฮองไปรักษาเมืองลำกุ๋น ให้ เปาสูหยินไปอยู่เมืองกังอั๋น แล้วจึงสำทับว่า บัดนี้เรางดโทษท่านไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าแลเราไปทำสงครามมีชัยกลับมา ภายหลังถ้าทำความผิดเราจะให้ประหารชีวิตท่านเสีย บิฮองเปาสูหยินได้ความอัปยศแก่ทหารทั้งปวง ด้วยความกลัวก็ไปตามคำกวนอูสั่ง

ฝ่ายกวนอูจึงตั้งให้เลียวหัวเปนแม่ทัพหน้า ให้กวนเป๋งเปนทัพหลัง ม้าเลี้ยงอิเจี้ยเปนที่ปรึกษา ฝ่ายกวนอูเปนกองหลวง ให้ตระเตรียมทหารพร้อมไว้ ได้ฤกษ์จะยกไป ในขณะนั้นกวนอูจึงว่าแก่งอปั้นผู้เปนบุตรงอหัวว่า ท่านมีคุณเมื่อเรายกออกจากด่านโจโฉ ท่านได้ช่วยชีวิตเราไว้ครั้งหนึ่งเราก็คิดถึงคุณอยู่ บัดนี้สิเราจะยกทัพไปแล้ว ท่านจงไปเมืองเสฉวนกับบิสีไปอยู่ด้วยพระเจ้าฮันต๋งเถิด กวนอูก็ให้งอปั้นไปกับบิสี ไปทำราชการอยู่กับพระเจ้าฮันต๋งในเมืองเสฉวน

ครั้นกวนอูบูชาเทวดาอันรักษาธงชัยแล้วก็นอน กวนอูจึงฝันเห็นว่ามีสุกรตัวหนึ่งดำใหญ่เท่าโค เข้ามากัดเอาเท้ากวนอู ๆ ก็เอากระบี่ฟันสุกร ๆ ก็สูญหายไป กวนอูก็สดุ้งตกใจตื่นขึ้น จึงให้หากวนเป๋งบุตรเลี้ยงเข้ามาเล่าความฝันให้ฟัง กวนเป๋งจึงทำนายว่า ซึ่งสุกรกัดเอาเท้าท่านนั้น ใช่อื่นไกลได้แก่มังกร ท่านจะได้ดีเปนที่สูงศักดิ์ประเสริฐกว่าคนทั้งปวง เวลาเช้ากวนอูจึงให้หาทหารทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน แล้วจึงเล่าความฝันนั้นให้ทหารทั้งปวงฟัง ทหารทั้งปวงจึงทำนายว่าร้ายบ้างดีบ้าง กวนอูจึงว่า อายุเราก็ถึงห้าสิบเศษแล้วจะเปนประการใดก็ตามเถิด อันเกิดมาเปนชายจะกลัวความตายก็หาควรไม่

ขณะนั้นพอคนถือหนังสือมาแจ้งแต่เมืองเสฉวนว่า บัดนี้เล่าปี่ซึ่งเปนเจ้าฮันต๋งนั้น มีรับสั่งซ้ำมาตั้งให้ท่านเปนทหารเอกฝ่ายหน้า ถืออาญาสิทธิเปนใหญ่ในหัวเมืองทั้งเก้าซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว กวนอูก็รับตามรับสั่ง ทหารทั้งปวงจึงพร้อมกันว่า ซึ่งท่านฝันนั้นได้แก่รับสั่งแล้วกวนอูก็มีความยินดี จึงให้ยกทหารไปโดยทางใหญ่เมืองซงหยง

ฝ่ายโจหยินซึ่งอยู่เมืองอ้วนเสีย ครั้นรู้ว่ากวนอูยกทัพมาจะตีเมืองซงหยงก็ครั่นคร้าม จึงเกณฑ์ทหารให้รักษาบ้านเมืองเปนกวดขัน เต๊กหงวนผู้เปนทหารรองจึงว่าแก่โจหยินว่า พระเจ้าวุยอ๋องมีรับสั่งให้ท่านไปชักชวนซุนกวนยกทหารเมืองกังตั๋งบัญจบกันไปตีเมืองเกงจิ๋ว บัดนี้กวนอูยกทัพมาตีเมืองเรา เหมือนหนึ่งเอาชีวิตมาให้เรา ๆ จะย่อท้ออยู่ว่าไร ควรเราจะยกออกต่อสู้ด้วยกวนอูเถิด

บวนทงผู้เปนที่ปรึกษาครั้นได้ยินเต๊กหงวนว่าดังนั้น จึงห้ามโจหยินว่า อันกวนอูนี้มีกำลังแลสติปัญญาความคิดเปนอันมาก ซึ่งท่านจะต่อสู้ด้วยเขานั้นเห็นขัดสน เราจงรักษามั่นไว้แต่ในเมืองเถิด ฝ่ายแฮหัวจุ้นจึงว่า บวนทงนี้เปนแต่คนรู้หนังสือ หารู้การสงครามไม่ เราก็เปนชาติทหารหรือจะกลัวตาย เขายกมาแต่ทางไกล ทหารก็เหน็จเหนื่อยมาเห็นหาชนะเราไม่ โจหยินได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้บวนทงข้ามไปรักษาเมืองอ้วนเสีย โจหยินก็ยกทหารออกจะรบด้วยกวนอู

กวนอูครั้นเห็นโจหยินยกมา ก็สั่งกวนเป๋งกับเลียวหัวว่า ท่านออกไปรบกับโจหยินแล้ว จงกระทำเปนแพ้แตกหนีมาเถิด กวนเป๋งเลียวหัวก็รับคำแล้วยกออกไป ส่วนเลียวหัวนั้นขี่ม้ามาหน้า ฝ่ายโจหยินจึงให้เต๊กหงวนขี่ม้าออกรบกันด้วยกระบวรม้า มิทันถึงเพลงหนึ่ง เลียวหัวจึงขับม้าหนีไปตั่งค่ายอยู่ไกลประมาณสองร้อยเส้น ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนเป๋งกับเลียวหัวก็ยกกองทัพออกไป โจหยินกับแฮหัวจุ้นเต๊กหงวนก็ยกออกรบ

ฝ่ายเลียวหัวกวนเป๋งก็ทำเปนแตกหนี โจหยินก็ไล่ตามไปไกลประมาณสองร้อยเส้น จึงได้ยินเสียงโห่ร้องมาข้างหลัง จึงให้ทหารซึ่งไล่ไปหน้านั้นกลับถอยมา เลียวหัวกับกวนเป๋งก็กลับไล่ไป โจหยินแจ้งว่าเปนกลก็ตกใจ พาทหารหนีข้ามมาทางเมืองซงหยง พบกวนอูขี่ม้าถือง้าวสกัดทางอยู่ โจหยินสดุ้งตกใจกลัวมิอาจจะสู้ ก็ลัดทางหนีข้ามไปทางเมืองอ้วนเสีย กวนอูก็ไล่ติดตามไป พบแฮหัวจุ้นยกสวนลงมา ก็เข้ารบกับกวนอูพอได้เพลงหนึ่ง กวนอูก็ฟันด้วยง้าวถูกแฮหัวจุ้นตกม้าตาย ฝ่ายกวนเป๋งขับม้าไล่ฟันเต๊กหงวนตัวขาดตกม้าลงตาย ทหารทั้งปวงก็ฆ่าฟันทหารโจหยินกระจัดพลัดพรายตกน้ำตายเปนอันมาก กวนอูก็ได้เมืองซงหยง จึงให้บำเหน็จแก่ทหารตามมีความชอบ แล้วเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเปนสุขโดยปรกติ

อองฮูผู้เปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่กวนอูว่า ท่านทำศึกครั้งนี้สดวกนัก แต่พริบตาเดียวก็ได้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ซุนกวนอยู่เมืองกังตั๋งนั้น ให้ลิบองคุมทหารมาตั้งอยู่ที่ด่านลกเค้า เปนแดนต่อแดนจะมาตีเมืองเกงจิ๋ว ถ้าเขาจะยกมาท่านจะคิดประการใด

กวนอูจึงว่าเราคิดเห็นอยู่แล้ว เจ้าจงไปตระเตรียมทหารให้ปลูกร้านเพลิงรายตามริมนํ้า ที่สูงนั้นแต่ด่านแฮเค้าเข้ามาจนถึงเมืองเรา ให้ไกลกันสองร้อยเส้นบ้าง สามร้อยเส้นบ้าง ให้คนอยู่รักษาแห่งละห้าสิบคน ถ้าซุนกวนข้ามมาแล้ว เวลากลางคืนให้จุดเพลิงให้สว่าง ถ้ากลางวันให้สุมเปนควันขึ้น จะได้รู้เปนสำคัญ เราจะได้ยกไปช่วยกันรบ

อองฮูจึงว่า บิฮองกับเปาสูหยิน ซึ่งไปรักษาปากอ่าวสองหัวเมืองนั้น เกลือกว่านํ้าใจจะมิคิดโดยสุจริต ท่านจงให้ทหารซํ้าไปตรวจตราดูเมืองเกงจิ๋วก่อน กวนอูจึงว่าเราก็ให้พัวโยยไปอยู่รักษาแล้ว ท่านอย่าวิตกเลย อองฮูจึงตอบว่า พัวโยยคนนี้ประกอบไปด้วยโลภเห็นแก่ลาภ ข้าพเจ้าเห็นหาไว้ใจได้ไม่ ขอท่านจงใช้เตียวลุยนายกองสเบียงเปนคนสัตย์ซื่อมั่นคงไปอยู่เถิด เห็นไม่เปนอันตราย ถึงจะทำการยิ่งกว่านี้สักหมื่นเท่าก็หามีความย่อท้อไม่

กวนอูจึงว่า อันพัวโยยนี้ชั่วดีมาอย่างไรเราย่อมรู้อยู่แล้ว ซึ่งจะให้เตียวลุยไปอยู่แทนที่นั้นอย่าให้ไปเลย อันตัวเตียวลุยสำหรับคุมสเบียงก็เปนใหญ่อยู่ ท่านอย่าสงสัยเลยจงไปทำตามคำเราเถิด อองฮูได้ฟังดังนั้นก็ลากวนอูไป กวนอูจึงสั่งกวนเป๋งให้จัดแจงเรือรบ จะยกข้ามแม่น้ำซงกั๋งไปตีเอาเมืองอ้วนเสีย

ฝ่ายโจหยินครั้นเสียทหารสองคนแล้ว จึงถอยทหารมาตั้งมั่นอยู่ณเมืองอ้วนเสีย แล้วจึงว่าแก่บวนทงว่า ท่านห้ามเราแล้วเราไม่ฟังจึงเสียทหารแลบ้านเมือง บัดนี้เราจะคิดประการใดดี บวนทงจึงว่า กวนอูคนนี้มีกำลังมาก ท่านจงคิดป้องกันให้มั่นคง ขณะนั้นลิเสียงจึงว่าแก่โจหยินว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันไปสู้ด้วยกวนอูเอาชัยชนะให้ได้ บวนทงจึงว่า ถึงท่านจะยกไปก็หาชนะเขาไม่

ลิเสียงจึงว่า ทำไฉนจะกำจัดข้าศึกเสียได้ไม่รู้หรือในพิชัยสงครามว่าไว้ว่า ข้าศึกยกมาถึงท่ามกลางแม่น้ำ ถ้าออกไปตีก็จะมีชัย บัดนี้กวนอูยกมาถึงกลางแม่นํ้าซงกั๋งแล้ว เหตุใดจึงมิได้ยกออกตี ถ้าเขาข้ามมาถึงประชิดเชิงกำแพงได้เห็นจะขัดสน โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ให้ลิเสียงคุมทหารสามพันยกออกจากเมืองอ้วนเสีย พอแลเห็นกวนอูข้ามมาขึ้นขี่ม้าถือง้าวยืนอยู่หน้า

ฝ่ายทหารลิเสียงแลไปเห็นกวนอูก็ตกใจกลัว ต่างคนต่างก็แตกหนี ลิเสียงจึงร้องห้ามทหารทั้งปวงไว้ก็ไม่หยุด ฝ่ายกวนอูเห็นได้ทีก็ขับทหารทั้งปวงไล่ฆ่าฟันทหารลิเสียงตายเปนอันมาก ส่วนตัวลิเสียงกับทหารซึ่งหนีได้นั้น ก็กลับเข้าไปในเมืองอ้วนเสีย ฝ่ายโจหยินจึงใช้ทหารไปถึงเมืองเตียงอั๋นทูลแก่โจโฉว่า กวนอูยกมาตีได้เมืองซงหยงแล้ว บัดนี้ยกมาล้อมเมืองอ้วนเสียไว้ จะขอกองทัพยกไปช่วย

โจโฉรู้ดังนั้นจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า เราเห็นแต่ท่านผู้เดียวอาจไปช่วยเมืองอ้วนเสียได้ อิกิ๋มจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารเปนกองหน้าไปด้วย บังเต๊กจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาเปนกองหน้าไปจับเอาตัวกวนอูมาถวาย โจโฉจึงว่า อันกวนอูคนนี้เปนคนมีฝีมือปรากฎ ไม่เห็นผู้ใดจะต่อสู้ได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียวอาจสามารถจะต่อสู้ได้ จึงตั้งอิกิ๋มให้เปนทัพหลวง ตั้งบังเต๊กเปนทัพหน้า ให้ตังเหงตังเฉียวเสงโห คุมทหารเจ็ดหมวดไปช่วยเมืองอ้วนเสีย ตังเหงจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า อันท่านจะยกไปช่วยราชการเมืองอ้วนเสียนั้นเห็นจะได้อยู่ ซึ่งบังเต๊กเปนทัพหน้าไปนั้นเห็นจะเสียราชการ

อิกิ๋มได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านเห็นเหตุผลประการใด ตังเหงจึงตอบว่า อันบังเต๊กคนนี้เมื่อก่อนนั้นเปนทหารม้าเฉียว ครั้นไม่อยู่ด้วยม้าเฉียวแล้ว จึงมาอยู่ด้วยพระเจ้าวุยอ๋อง แลม้าเฉียวนายเก่านั้น ก็เปนทหารเสืออยู่ในเล่าปี่ บังยิวผู้พี่ก็เปนขุนนางอยู่ในเมืองเสฉวน แลบัดนี้จะให้บังเต๊กเปนนายกองทัพหน้านั้น ดังเอาน้ำมันไปซัดเข้าในกองเพลิง เหตุใดท่านจึงมิทูลพระเจ้าวุยอ๋องให้จัดผู้อื่นไป อิกิ๋มได้ฟังดังนั้นก็เข้าไปในเวลากลางคืน จึงทูลแก่พระเจ้าวุยอ๋องตามคำตังเหงทุกประการ

โจโฉได้ฟังจึงให้หาบังเต๊กมาแล้วว่า ซึ่งเราตั้งท่านเปนทัพหน้านั้นท่านอย่าไปเลย เราจะจัดผู้อื่นไป บังเต๊กจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจทำราชการสนองพระคุณโดยสุจริต พระองค์จะมิให้ไปนั้นด้วยเหตุประการได โจโฉจึงว่า ซึ่งเรามิให้ท่านไปบัดนี้ เพราะบังยิวพี่ของท่านแลม้าเฉียวนายเก่าท่านนั้นก็อยู่ด้วยเล่าปี่ แลซึ่งท่านจะเปนกองหน้าไปนั้นเราก็เห็นด้วย แต่ทหารทั้งปวงหาเปนใจไม่

บังเต๊กได้ฟังดังนั้น จึงถอดหมวกออกเอาหน้าผากกระทบลงกับศิลา สีสะแตกโลหิตไหลอาบหน้าแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยพระองค์ แต่ครั้งเมืองฮันต๋ง พระองค์ได้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ยังมิได้แทนพระคุณเลย เหตุใดจึงมาสงสัยฉนี้ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยพี่ชายนั้น พี่สะใภ้ทำประทุษฐร้ายต่อข้าพเจ้า ๆ เสพย์สุราเมาแล้วจึงฆ่าพี่สะใภ้เสีย พี่ชายโกรธข้าพเจ้าก็ตัดกันแต่นั้นมา เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับม้าเฉียวนั้น เห็นว่าม้าเฉียวเปนแต่คนใจกล้าหาปัญญามิได้ พาทหารไปทำศึกตายเสียสิ้น อยู่แต่ตัวผู้เดียวจึงไปอยู่กับเล่าปี่ ข้าพเจ้าก็มาเปนข้าพระองค์ บัดนี้ต่างคนต่างก็มีเจ้าด้วยกัน ขาดไมตรีต่อกันแล้ว อันพระองค์มีคุณแก่ข้าพเจ้า ๆ ก็จะขออาสาไปทำสงครามแทนคุณท่านครั้งนี้

โจโฉจึงลุกไปจูงมือบังเต๊กเข้ามาใกล้แล้วจึงปลอบว่า อันความจริงนั้นเราก็รู้อยู่ว่า ท่านเปนคนสัตย์ซื่อประกอบไปด้วยกตัญญู ซึ่งเราแกล้งว่านั้นหวังจะให้คนทั้งปวงสิ้นสงสัย ท่านจงไปทำราชการโดยสุจริตเถิด บังเต๊กได้ฟังดังนั้นก็เคารพลาพระเจ้าวุยอ๋องไปบ้าน จึงให้ต่อโลงใบหนึ่ง แล้วเรียกชาวบ้านพวกเพื่อนมาเลี้ยงโต๊ะพร้อมกัน แล้วก็ยกโลงออกมาตั้งไว้ต่อหน้าคนทั้งปวง ๆ จึงถามว่า ท่านสิจะยกทัพไป เหตุใดจึงมาทำดังนี้จะมิเปนลางไปหรือ

บังเต๊กชูจอกเหล้าขึ้นแล้วจึงว่า พระเจ้าวุยอ๋องมีคุณแก่เรา บัดนี้เราจะอาสาไปทำการสงครามกับกวนอูครั้งนี้ก็เปนที่สุดอยู่แล้ว ถ้ากวนอูไม่ตายเราก็จะตายเปนมั่นคง คนทั้งปวงจึงสรรเสริญว่า ท่านว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ แล้วบังเต๊กจึงเรียกนางลิซีผู้เปนภรรยามาแล้วจึงสั่งว่า ถ้าเราหาบุญไม่ บังโฮยบุตรชายของเรานี้มีลักษณะอันดี จงอุตส่าห์เลี้ยงไว้จะได้ไปรบกับกวนอูแทนตัวเรา

ขณะเมื่อจะยกทัพนั้น บังเต๊กจึงสั่งแก่ทหารพร้อมกันว่า ถ้าแลเราตาย ท่านจงเอาใส่โลงนี้มาถวาย ถ้าเราฆ่ากวนอูตาย จะตัดเอาสีสะกวนอูใส่โลงมาถวาย ทหารทั้งห้าร้อยก็ชื่นชมยินดีจึงว่า ถ้าท่านตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าทั้งปวงก็เต็มใจที่จะทำราชการด้วยท่าน ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ยกทัพไป จึงมีผู้เอาเนื้อความซึ่งบังเต๊กว่านั้นไปทูลแก่พระเจ้าวุยอ๋อง ๆ ก็ชื่นชมยินดีจึงว่า ถ้าบังเต๊กสัตย์ซื่อดังนี้แล้ว เราจะวิตกอันใดกับข้าศึกเล่า

แกอูได้ยินจึงทูลว่า บังเต๊กนี้ดีแต่กล้าอย่างเดียว ข้าพเจ้าคิดวิตกอยู่เห็นหาชนะกวนอูไม่ พระเจ้าวุยอ๋องก็เห็นด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือตามไปว่าแก่บังเต๊กว่า กวนอูเขามีกำลังพะลังทั้งความคิดก็มาก ซึ่งจะรบกันนั้นอย่าประมาท ถ้าเห็นได้ทีแล้วจึงทำการ ถ้าไม่ได้ทีก็รักษาตัวมั่นไว้อย่าให้มีอันตรายได้

ฝ่ายบังเต๊กครั้นรู้ในรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า กวนอูนี้เปนคนกล้าปรากฎมาถึงสามสิบปีแล้ว บัดนี้เราจะมากำจัดเสียให้ได้ เหตุใดเจ้าเราจึงมาสรรเสริญกวนอูนักดังนี้ อิกิ๋มผู้เปนแม่ทัพหลวงได้ฟังบังเต๊กว่าดังนั้นจึงว่า ซึ่งมีรับสั่งมาดังนี้ก็ควรที่เราจะทำตามจึงจะชอบ ครั้นอิกิ๋มบังเต๊กปรึกษากันดังนั้นแล้ว ก็ยกทัพล่วงเข้ามาใกล้เมืองอ้วนเสีย จึงให้ทหารโห่ร้องตีกลองขึ้นพร้อมกัน

ฝ่ายกวนอูซึ่งตั้งประชิดเมืองอ้วนเสียอยู่นั้น ครั้นแจ้งว่าอิกิ๋มกับบังเต๊กยกทัพมา แลกล่าวคำหยาบช้าเอาโลงมาจะใส่สีสะ กวนอูมีความแค้นยิ่งนัก จึงว่าตัวเราก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ในแผ่นดิน เหตุใดอ้ายบังเต๊กเปนแต่คนต่ำช้าจึงมาว่าเราฉนี้ จึงสั่งให้กวนเป๋งบุตรเลี้ยงไปรบเมืองอ้วนเสีย ส่วนกวนอูนั้นจะยกไปรบกับบังเต๊ก กวนเป๋งจึงว่าแก่บิดาว่า ตัวท่านดังหนึ่งเขาอันใหญ่ อันบังเต๊กนั้นดังก้อนศิลาอันน้อย ดังรือจะไปต่อสู้กับมันนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขอไปต่อสู้ด้วยบังเต๊กแทน กวนอูจึงว่าเจ้าจะไปก็ตามเถิด เราจึงจะยกตามไปภายหลัง กวนเป๋งก็ลาบิดายกทหารไป

ฝ่ายบังเต๊กเห็นกวนเป๋งมา ก็ให้ทหารเอาธงใหญ่ซึ่งเขียนเปนอักษรสี่ตัว ชื่อว่าชาวลำหันบังเต๊กถือนำหน้า บังเต๊กนั้นใส่เสื้อเกราะถือง้าวขี่ม้าออกมายืนอยู่หน้าทหารทั้งห้าร้อย แล้วจึงให้ยกเอาโลงมาตั้งไว้ตรงหน้า กวนเป๋งครั้นเห็นบังเต๊กขี่ม้ายืนอยู่ดังนั้น จึงร้องด่าว่าอ้ายคนทรยศไม่ตรงต่อนาย

ฝ่ายบังเต๊กได้ยินจึงถามทหารทั้งปวงว่า ซึ่งยกมานี้คือผู้ใด ทหารจึงบอกว่าชื่อกวนเป๋ง เปนบุตรเลี้ยงกวนอู บังเต๊กจึงร้องว่าแก่กวนเป๋งว่า พระเจ้าวุยอ๋องใช้ให้เรายกมาจะเอาสีสะกวนอูผู้เปนบิดาตัว เองเปนแต่ลูกเล็กหาควรคู่กับเราไม่ เองเร่งกลับไปบอกให้บิดาออกมารบกับเราจึงจะควร

กวนเป๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกับบังเต๊กด้วยกระบวรม้าได้สามสิบเพลงก็มิได้แพ้ชนะกัน ต่างคนต่างก็ล่าทัพถอยไป ขณะนั้นทหารมาบอกกวนอูว่า บัดนี้กวนเป๋งซึ่งออกไปรบกับบังเต๊กนั้นยังไม่แพ้ชนะกัน กวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งเลียวหัวให้เข้าตีเอาเมืองอ้วนเสีย กวนอูก็ยกทัพรีบตามกวนเป๋งออกไป กวนเป๋งครั้นเห็นกวนอูมาจึงบอกว่า ข้าพเจ้ารบกับบังเต๊กได้สามสิบเพลง ยังไม่เอาชัยชนะได้บังเต๊กก็ล่าทัพไป กวนอูก็เร่งทหารเข้าประชิดค่ายบังเต๊กไว้ แล้วจึงร้องว่าเราชื่อกวนอู ท่านจงเร่งเอาชีวิตมาให้แก่เราเถิด

บังเต๊กครั้นได้ยินดังนั้นจึงออกมาร้องว่า พระเจ้าวุยอ๋องใช้ให้เรามาเอาสีสะท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อก็แลมาดูแต่โลงนี้เถิด แม้กลัวความตายก็ให้เร่งลงจากม้ามานบนอบแก่เรา ๆ จะช่วยเอาชีวิตไว้ กวนอูจึงว่า เองว่านั้นกูเห็นเกินไปไม่สมควร กูจะฆ่ามึงเหมือนฆ่าหนูน้อยเสียตัวหนึ่ง กูคิดเสียดายคมง้าวของกู กวนอูว่าดังนั้นแล้วก็ขับม้าถือง้าวเข้ารบกับบังเต๊ก รบกันได้ร้อยเพลงเศษ ก็ยังมิได้แพ้ชนะกัน ฝ่ายทหารทั้งปวงกลัวบังเต๊กจะแพ้ จึงให้ตีม้าฬ่อเปนสำคัญให้ถอยไป กวนเป๋งเห็นว่าบิดาชรากลัวจะเสียที ก็ให้ตีม้าฬ่อล่าทัพ ต่างคนต่างก็กลับไป

ฝ่ายบังเต๊กมาถึงค่ายแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เขาเล่าลือมาว่า กวนอูมีฝีมือ เราพึ่งได้เห็นวันนี้เขาดีจริง ขณะนั้นอิกิ๋มจึงว่าแก่บังเต๊กว่า ท่านเข้ารบกันกับกวนอูถึงร้อยเพลงแล้ว เหตุใดท่านจึงมิถอยทัพเสีย จะมิผิดจากรับสั่งหรือ บังเต๊กจึงตอบว่า พระเจ้าวุยอ๋องตั้งท่านเปนแม่ทัพหลวง เหตุใดจึงมาย่อท้อแก่ข้าศึกดังนี้มิบังควร เวลาพรุ่งนี้เราจะออกต่อสู้ด้วยกวนอูกว่าจะสิ้นชีวิต มิได้ถอยหลังเลย อิกิ๋มมิอาจที่จะขัดได้ก็กลับไปค่ายของตัว

ฝ่ายกวนอูครั้นกลับมาถึงค่ายแล้วจึงว่ากับกวนเป๋งว่า บังเต๊กนี้เขาก็ดีอยู่ ในกระบวรง้าวมีฝีมือก็พอทันกันกับเรา กวนเป๋งจึงว่าแก่บิดาว่า ถึงมาทว่าท่านจะต่อรบฆ่าบังเต๊กเสีย ถ้าชนะก็เหมือนชนะผู้หญิง ถ้าขุกแพ้แก่มันก็จะเสียเกียรติยศของพระเจ้าฮันต๋งหาควรไม่ กวนอูจึงว่า ถ้าเรามิฆ่าอ้ายบังเต๊กเสียได้ก็หาหายความแค้นไม่ เจ้าอย่าว่าดังนี้เลย ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูก็ยกไป ฝ่ายบังเต๊กก็ออกต่อสู้รบกันได้สิบเพลง บังเต๊กแกล้งทำเสียทีลากง้าวหนี กวนอูเห็นดังนั้นก็ไล่ติดตามไป จึงร้องด่าว่ามึงอย่าพักแกล้งทำกระบวรหนีเลย กูรู้เท่ามึงอยู่หากลัวไม่

ฝ่ายกวนเป๋งกลัวว่ากวนอูผู้บิดาจะเปนอันตรายก็ตามไป พอแลเห็นบังเต๊กเอาง้าวพาดตักชักเกาทัณฑ์ออกจะยิงจึงร้องด่าไปว่า อ้ายศัตรูมึงอย่าเพ่อยิงบิดากูก่อน กวนอูได้ยินจึงกลับหน้าเหลียวมา พอบังเต๊กยิงหลบมิทันจึงถูกไหล่ขวา กวนเป๋งก็เข้าแก้ช่วยบิดามาค่ายได้ ฝ่ายอิกิ๋มอยู่ในค่ายเห็นบังเต๊กยิงถูกกวนอู ก็คิดอิจฉากลัวบังเต๊กจะมีชัยได้ความชอบ จึงแกล้งตีม้าฬ่อให้สัญญาถอยทัพ

บังเต๊กได้ยินคิดว่าเกิดเหตุก็กลับมาค่าย จึงถามอิกิ๋มว่าเรามีชัยจะตามข้าศึกไป เหตุใดจึงตีม้าฬ่อ อิกิ๋มจึงตอบว่า มีรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องมาว่า กวนอูเปนคนมีปัญญาอุบายมาก ซึ่งถูกเกาทัณฑ์นั้นเกลือกจะลวง เราจึงตีม้าฬ่อห้ามไว้ บังเต๊กจึงว่า ถ้าท่านมิห้ามเรา ๆ ก็จะตามฆ่ากวนอูได้ อิกิ๋มจึงว่า ซึ่งจะทำใจเร็วนั้นไม่ดีเกลือกจะมีภัย เราจะต้องคิดยับยั้งให้ดีก่อน บังเต๊กหารู้ถึงใจอิกิ๋มไม่ คิดเสียดายซึ่งได้ทีนั้นไม่รู้แล้ว

ฝ่ายกวนอูครั้นกลับมาถึงค่ายแล้ว จึงให้ชักลูกเกาทัณฑ์ซึ่งติดไหล่ออกแล้วจึงเอายาใส่ คิดโกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ท่านจงเปนพยานเราด้วย เราจะแก้ฝีมืออ้ายบังเต๊กให้จงได้ ถ้าแก้แค้นมิได้เราก็ไม่ทำศึกสืบไปเลย ทหารทั้งปวงจึงว่า ท่านจงรักษาตัวเสียให้หายก่อนเถิด จึงค่อยยกออกรบกับข้าศึกอีก

ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูรู้ว่าบังเต๊กจะยกมารบ กวนอูจะออกไปรบกับบังเต๊ก ทหารทั้งปวงก็ห้ามไว้ บังเต๊กจึงให้ทหารร้องด่าหวังว่าจะให้กวนอูโกรธยกออกมารบกัน กวนอูก็มิได้ออกมารบ กวนเป๋งผู้เปนบุตรจึงให้รักษาค่ายไว้เปนสามารถ แล้วจึงสั่งทหารมิให้เอาข่าวเข้าไปบอกแก่กวนอู บังเต๊กแต่ยกไปยั่วกวนอูถึงสิบวัน ครั้นไม่เห็นทัพกวนอูออกมารบก็ปรึกษาแก่อิกิ๋มว่า ชรอยกวนอูถูกเกาทัณฑ์จะป่วยอยู่จึงไม่เห็นออกมารบกับเรา บัดนี้ควรเราจะยกทหารทั้งเจ็ดหมวดเข้าตีค่ายกวนอูเถิด จึงจะแก้เมืองอ้วนเสียไว้ได้ อิกิ๋มกลัวว่าบังเต๊กจะมีความชอบ จึงทัดทานไว้ตามรับสั่งไม่ยอม แต่ห้ามไว้เปนหลายครั้ง ส่วนอิกิ๋มนั้นก็ยกทหารไปสกัดทางใหญ่อยู่ที่ทุ่งจันเค้า ไกลเมืองอ้วนเสียทางประมาณร้อยเส้น ให้บังเต๊กไปตั้งซุ่มอยู่ข้างหลังหวังมิให้ออกรบ

ฝ่ายกวนเป๋งครั้นรู้ข่าวแล้วจึงไปบอกกับบิดาว่า บัดนี้อิกิ๋มกับบังเต๊กยกทัพไปตั้งอยู่ที่หุบเขาไม่รู้ว่าจะคิดทำเปนประการใด กวนอูพอรักษาแผลเกาทัณฑ์หายแล้ว ได้ยินข่าวดังนั้นก็ขึ้นม้าพาทหารไปยืนบนเนินเชิงเขาแห่งหนึ่ง แลไปในเมืองอ้วนเสียเห็นธงแลทหารก็ร่วงโรยไม่ตระเตรียม จึงแลไปเห็นทุ่งมีในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทิศเหนือ เห็นพวกอิกิ๋มบังเต๊กตั้งอยู่ไกลเมืองประมาณร้อยเส้น แล้วเห็นแม่นํ้าซงกั๋งไหลเชี่ยวเปนกำลัง จึงให้หาชาวบ้านออกมาแล้วถามว่า ทุ่งอันนี้ชื่อไร ชาวบ้านจึงบอกว่าทุ่งจันเค้า กวนอูดีใจจึงว่า อิกิ๋มครั้งนี้หาพ้นเงื้อมมือเราไม่ ทหารจึงถามว่า ท่านเห็นเหตุประการใด กวนอูจึงบอกว่า ข้าศึกเข้าตั้งอยู่ที่แคบ เห็นจะคิดทำการได้สดวก แล้วก็พาทหารมาค่าย จึงสั่งให้ทำเรือรบน้อยใหญ่ตระเตรียมไว้เปนอันมาก

กวนเป๋งจึงถามกวนอูว่า บัดนี้สิเราจะได้ยกโดยขบวรบกอีก เหตุใดท่านจึงให้ตระเตรียมเรือฉนี้เล่า กวนอูจึงบอกแก่กวนเป๋งว่า บัดนี้อิกิ๋มบังเต๊กยกถอยออกไปทั้งค่ายอยู่ทุ่งจันเค้าในหุบเขา เราเห็นว่าที่นั่นเปนที่ลุ่ม ตำบลเราเปนที่ดอน เห็นว่าในเดือนสิบฝนจะตกหนักน้ำจะเกิดมากก็จะท่วมที่ค่าย คนทั้งปวงก็จะลำบากหาที่อาศรัยมิได้ เราก็จะยกทัพเรือไปรบเอา เห็นจะได้โดยง่าย กวนเป๋งได้ยินดังนั้นก็นบนอบเห็นชอบด้วยบิดา

ฝ่ายทหารทั้งปวงซึ่งมาทั้งค่ายอยู่ที่นั้น ครั้นเห็นฝนตกมิได้ขาด วันหนึ่งเสงโหจึงว่าแก่อิกิ๋มว่า ซึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งจันเค้านี้ เปนที่แคบที่ลุ่มใกล้กันกับเขา บัดนี้ก็เปนฤดูฝน ๆ ก็ตกชุกทุกวันมิได้ขาด ทหารทั้งปวงได้ความลำบากนัก บัดนี้ได้ยินว่ากวนอูให้ตั้งค่ายอยู่บนเนินเขาอันสูง แล้วให้ตระเตรียมเรือรบใหญ่น้อยไว้เปนอันมาก ถ้าน้ำมามากเห็นพวกเราจะลำบากด้วยน้ำ หาที่จะอาศรัยมิได้ เราจะคิดประการใด อิกิ๋มจึงร้องตวาดด่าว่าอ้ายคนชั่ว มึงมาว่าดังนี้หวังจะให้ทหารเราเสียน้ำใจ อย่าเจรจาต่อไปเลย ถ้ามิฟังกูจะฆ่าเสีย

ฝ่ายเสงโหได้ยินดังนั้นก็ตกใจได้ความละอาย จึงถอยออกมาแล้วไปบอกแก่บังเต๊กตามคำของตัวและอิกิ๋มว่านั้น บังเต๊กจึงว่า ท่านว่านี้ชอบ แลอิกิ๋มผู้แม่ทัพมิยอมยักย้ายก็ตามความคิดเขา แต่เวลาพรุ่งนี้เราจะยกไปตั้งอยู่ที่อื่น ครั้นปรึกษาแล้วเวลาคํ่าก็เกิดพายุฝนตกหนัก บังเต๊กได้ยินพายุแลฝนอึงมาดังนั้นก็ตกใจ จึงขี่ม้าออกไปยืนดูหน้าค่าย แลไปทั้งแปดทิศเห็นนํ้ามาเปนอันมาก ท่วมค่ายลึกได้ประมาณหกศอก ทหารได้ความลำบากจมนํ้าตายเปนอันมาก อิกิ๋มกับบังเต๊กแลทหารที่เหลือตายนั้น ต่างคนต่างหนีไปอาศรัยอยู่บนเนินเขาน้อย แลอิกิ๋มกับบังเต๊กนั้นมิได้อยู่แห่งเดียวกัน ครั้นเวลารุ่งเช้ากวนอูก็ให้ทหารโห่ร้องโบกธงตีกลองแล้วยกทัพเรือเร่งรีบมา

ฝ่ายอิกิ๋มเห็นกวนอูยกมาก็ตกใจ มีทหารอยู่ประมาณห้าสิบหกสิบคน เห็นจะสู้ไม่ได้จึงร้องไปว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ต่อรบแล้ว จะขอยอมแพ้ไปเปนข้าท่าน แล้วกวนอูจึงให้อิกิ๋มถอดเสื้อทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย แล้วเอาเรือรบเข้ารับตัวไป แล้วจะไปจับตัวบังเต๊ก

ฝ่ายบังเต๊กกับตังเหงตังเฉียวเสงโห มีทหารอยู่ประมาณห้าร้อยคน ยืนอยู่บนเนินเขา เห็นกวนอูมาก็มิได้เกรงกลัว กวนอูก็ให้เอาเรือรบล้อมเข้า ยิงเกาทัณฑ์กระหน่ำขึ้นไปถูกทหารบังเต๊กตายลงสักสองส่วน

ฝ่ายตังเหงตังเฉียวครั้นเห็นจะถึงที่อับจนแล้วจึงบอกบังเต๊กว่า ทหารเราตายกว่าครึ่งทั้งท่าทางจะหนีก็ขัดสน ควรเราจะยอมแก่กวนอูเอาชีวิตให้รอดไว้เถิด บังเต๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋องได้ให้ความสัตย์ไว้แล้ว ซึ่งเราจะยอมไปเปนข้ากวนอูนั้นไม่บังควร ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็ฆ่าตังเหงตังเฉียวเสีย แล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดว่าดังนี้เราจะเอาโทษเหมือนอ้ายสองคนนั้น พวกทหารได้ฟังก็เร่งรบกับกวนอูมิได้ย่อท้อ แต่เวลาเช้าจนเวลาจวนเที่ยง กวนอูก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์แลทิ้งก้อนศิลากระหนาบไปเปนห่าฝน

ฝ่ายบังเต๊กก็ให้รบไม่หยุดหย่อน แล้วจึงว่าแก่เสงโหว่า เราได้ยินเขาว่ามาแต่ก่อน อันขึ้นชื่อว่าทหารแล้วมิได้มีความย่อท้อแก่ข้าศึก อุตส่าห์รบเอาชัยชนะจงได้ แลบัดนี้เราก็อับจนถึงที่ตายอยู่แล้ว ท่านทั้งปวงจงมานะช่วยกันรบกว่าจะตายเถิด เสงโหได้ยินก็มานะถือง้าวออกหน้าเข้ารบด้วยกวนอูก็ถูกเกาทัณฑ์ตาย

ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นเสงโหตายแล้วก็เสียใจ ชวนกันไปยอมเข้าเปนพวกกวนอูสิ้น ส่วนตัวบังเต๊กนั้นอยู่แต่ผู้เดียว จึงเห็นเรือน้อยลำหนึ่งมีคนสิบคนแจวเข้ามาใกล้ บังเต๊กถือง้าวก็โดดลงเรือได้ไล่ทหารทั้งนั้นลงน้ำหนีไป บังเต๊กครั้นได้เรือแล้วมือหนึ่งถือง้าว ก็เร่งแจวเรือจะหนีเข้าเมืองอ้วนเสีย

ฝ่ายจิวฉองทหารกวนอู มีกำลังชำนาญรบในขบวรเรือ ครั้นแลเห็นบังเต๊กแจวเรือหนีไปดังนั้น ก็เร่งให้ทหารถ่อเรือรบไล่มาเกยเรือบังเต๊กล่ม

บังเต๊กนั้นก็ทิ้งง้าวเสียโดดลงนํ้า จิวฉองก็จับตัวได้แล้วพามาให้กวนอู ๆ ก็ยกทัพกลับมาถึงค่าย จึงให้เอาตัวอิกิ๋มขึ้นมาจากเรือแล้วถามว่า ครั้งนี้เหตุใดตัวจึงองค์อาจมารบกับเรา อิกิ๋มจึงว่า ข้าพเจ้าเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋องใช้ขัดมิได้ ซึ่งมารบกับท่านนั้นโทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจงละชีวิตข้าพเจ้าไว้จะอยู่เปนข้าทำการศึกแทนคุณสืบไป

กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า เราจะฆ่าชีวิตตัวเสียนี้ ดังหนึ่งฆ่าสุนัขเสียตัวหนึ่งก็เหมือนกัน จึงสั่งให้ทหารมัดตัวอิกิ๋มพากลับไปเมืองเกงจิ๋วให้จำใส่คุกไว้กว่าจะเสร็จการศึก แล้วจึงสั่งให้เอาตัวบังเต๊กเข้ามาถามว่า บัดนี้เราจับมาได้ตัวจะคิดประการใด

ฝ่ายบังเต๊กมีความมานะยืนอยู่มิได้คำนับ กวนอูจึงถามว่า บังฮิวพี่ของตัวแลม้าเฉียวนายเก่านั้นก็เปนข้าราชการอยู่ในเมืองเสฉวน แลบัดนี้เรายกกองทัพมาเหตุใดตัวจึงไม่มาสมัคอยู่ด้วยเรา บังเต๊กได้ฟังก็โกรธจึงว่า เราเปนข้าพระเจ้าวุยอ๋อง ๆ มีคุณแก่เราเปนอันมาก ซึ่งเราจะยอมเข้าแก่ท่านนั้นมิบังควร เราจะขอตายด้วยคมหอกคมดาบหารักชีวิตไม่ แล้วว่ากล่าวหยาบช้าแก่กวนอูเปนอันมาก กวนอูโกรธจึงให้เอาบังเต๊กไปฆ่าเสีย แล้วกลับคิดปรานีขึ้นมาจึงให้เอาศพไปฝังไว้

ฝ่ายโจหยินซึ่งอยู่ในเมืองอ้วนเสียนั้น ครั้นเห็นน้ำมากจึงเร่งให้ชาวบ้านปิดช่องแลคลองเสีย นํ้าก็หักพุ่งเข้ามาในเมืองได้ ทหารทั้งปวงได้ความลำบากเปนอันมาก โจหยินจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้เห็นเราจะมีอันตรายเสียจริง ทั้งน้ำก็มากคนทั้งปวงได้ความลำบากนัก ข้าศึกเข้ามารบเห็นจะต้านทานมิได้ ควรเราจะทิ้งเมืองอ้วนเสียยกหนีไปรักษาชีวิตไว้ก่อน แล้วจึงสั่งให้ตระเตรียมเรือซึ่งจะหนีไป

ขณะนั้นบวนทงที่ปรึกษาจึงห้ามว่า ซึ่งจะทิ้งเมืองอ้วนเสียนั้นไม่ควร อยู่สักสองสามวันน้ำนั้นก็จะถอยลงแห้ง เราเห็นว่าอันกวนอูซึ่งจะยกมารบในคราวน้ำนี้ก็เห็นว่ายังหามาไม่ก่อน เห็นจะให้แต่ทหารไปขัดทัพอยู่เกียบแฮ ซึ่งเปนทางจะเข้ามาเมืองอ้วนเสีย ด้วยกลัวว่าพวกเราจะไปตีวกหลัง อันเมืองอ้วนเสียนี้เปนหลักใหญ่กว่าหัวเมืองปากใต้ทั้งปวง ถ้าทิ้งเมืองอ้วนเสียเสียแล้ว เมืองเตียงอั๋นก็จะเปลี่ยวอยู่

โจหยินจึงตอบบวนทงว่า ท่านว่านี้เราก็เห็นชอบด้วย ถ้าท่านมิได้ทักท้วงเราเห็นจะเสียราชการไปครั้งนี้ ว่าดังนั้นแล้วก็ขี่ม้าขาวขึ้นไปยืนอยู่บนเชิงเทิน แล้วจึงร้องว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราถือรับสั่งพระเจ้าวุยอ๋องมา ถ้าผู้ใดทำราชการย่อหย่อนออกปากว่าจะทิ้งเมืองอ้วนเสีย เราจะตัดสีสะผู้นั้นเสีย ทหารทั้งปวงจึงว่าพร้อมกันว่า ข้าพเจ้าขอรักษาเมืองไว้กว่าจะสิ้นชีวิต โจหยินได้ยินดังนั้นก็ดีใจ จึงให้ทหารทั้งปวงตระเตรียมอาวุธแลเกาทัณฑ์ตรวจตราให้พร้อมทั้งกลางวันกลางคืน อยู่มาสองสามวันน้ำก็ถอยลง กวนอูเมื่อมีชัยชนะก็ลือชาปรากฎไปแก่คนทั้งปวงยิ่งกว่าแต่ก่อน

ฝ่ายกวนหินผู้บุตรที่สองของกวนอู ซึ่งอยู่ณเมืองเกงจิ๋วยกมาเยียนบิดา กวนอูจึงให้กวนหินถือหนังสือไปทูลแก่พระเจ้าฮันต๋งในเมืองเซงโต๋ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าตีเมืองซงหยงได้แล้ว จับตัวอิกิ๋มส่งไปเมืองเกงจิ๋ว แลบังเต๊กนั้นข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว ซึ่งทหารทั้งปวงมาทำการศึกครั้งนี้ก็มีความชอบเปนอันมาก กวนหินรับเอาหนังสือแล้วลาบิดาไปเมืองเซงโต๋

ฝ่ายกวนอูจึงแบ่งทหารไปตั้งอยู่ที่ตำบลเกียบแฮอันเปนทางเข้าเมืองอ้วนเสีย แล้วจึงยกทหารเข้าไปจะรบเอาเมืองอ้วนเสีย กวนอูขี่ม้ายืนอยู่ตรงประตูทิศเหนือ จึงเอาแซ่ม้าชี้หน้าร้องเข้าไปว่า อ้ายพวกหนูเปนไรมึงจึงมิพากันออกมาสมัคยอมอยู่ด้วยกู จะคอยทีอยู่เมื่อครั้งใดเล่า

ขณะนั้นโจหยินยืนอยู่บนหอรบ แลเห็นกวนอูใส่เสื้อมีแต่เกราะปิดอกมายืนอยู่ดังนั้น จึงให้ทหารห้าร้อยเอาเกาทัณฑ์ยิงกระหนาบออกไป กวนอูหลบหนีมิทันลูกเกาทัณฑ์ถูกไหล่เบื้องซ้ายตกลงจากหลังม้า โจหยินครั้นเห็นกวนอูถูกเกาทัณฑ์ตกม้าลงดังนั้น จึงให้ทหารยกออกรบ

ฝ่ายกวนเป๋งผู้บุตรจึงให้ทหารเข้ารบกับทหารโจหยิน ๆ ก็ถอยกลับคืนเข้าเมือง กวนเป๋งก็พาเอาบิดาคืนมาค่าย จึงให้ชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสีย แลลูกเกาทัณฑ์นั้นอาบด้วยยาพิษซาบเข้าไปถึงกระดูกมีพิษเจ็บปวดเปนกำลัง แต่จะไหวตัวก็มิได้ กวนเป๋งกับทหารทั้งปวงเห็นว่ากวนอูป่วยอยู่ดังนั้น จึงพากันเข้าไปว่าแก่กวนอูว่า บัดนี้ท่านก็ป่วยอยู่ ซึ่งจะทำการต่อไปนั้นเห็นว่าท่านลำบากนัก ข้าพเจ้าปรึกษาพร้อมกันจะขอยกทัพกลับไปเมืองเกงจิ๋ว รักษาแผลท่านให้หายก่อนจึงค่อยทำการต่อไป

กวนอูได้ยินก็มีความโกรธ จึงว่าเราจะกลัวอันใดแก่ความเจ็บน้อยหนึ่งเท่านี้ เราจะตีเอาเมืองอ้วนเสียให้ได้ แล้วจะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋กำจัดโจโฉเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จะมีความสุข เจ้าอย่าว่าดังนี้ต่อไป ไพร่พลทั้งปวงจะเสียน้ำใจ กวนเป๋งแลทหารทั้งปวงได้ยินกวนอูว่าก็มิอาจที่จะขัดขืนได้ ต่างคนต่างก็ลาออกมา วันนั้นพอฮัวโต๋หมอเอกชาวเมืองเจากุ๋นมาถึงค่าย ทหารทั้งปวงจึงไปบอกแก่กวนเป๋ง ๆ จึงให้รับเข้ามา ฮัวโต๋จึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าบิดาของท่านถูกเกาทัณฑ์ป่วยอยู่ ข้าพเจ้ามาหวังจะรักษา กวนเป๋งจึงถามว่า เมื่อครั้งรักษาจิวท่ายในเมืองกังตั๋งนั้นคือท่านนี้หรือ ฮัวโต๋ก็รับว่าคือข้าพเจ้านี้ กวนเป๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้ทหารพาฮัวโต๋เข้ามาในค่าย

ฝ่ายกวนอูมีความเจ็บปวดเปนอันมาก แต่เกรงว่าทหารทั้งปวงจะเสียนํ้าใจ จึงอุตส่าห์แขงใจทำเปนสบาย จึงเรียกม้าเลี้ยงเข้ามาเล่นหมากรุก หวังจะให้ทหารทั้งปวงมีน้ำใจ พอแลเห็นฮัวโต๋เข้ามาจึงเรียกให้กินน้ำชาแล้วจึงให้พิจารณาดูแผล ฮัวโต๋จึงว่า แผลเกาทัณฑ์อาบด้วยยาพิษซาบเข้าไปในกระดูก ถ้ามิเร่งรักษานานไปไหล่จะเสีย กวนอูถามว่าท่านจะรักษาได้หรือไม่ได้ ฮัวโต๋จึงว่า จะรักษาได้อยู่แต่กลัวท่านจะทนมิได้ กวนอูจึงว่า ท่านจะทำอย่างไรก็ตามเถิด ฮัวโต๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะให้เอาปลอกรัดท่านไว้กับเสามิให้ไหวตัวได้

กวนอูหัวเราะแล้วจึงว่าเราหากลัวไม่ อย่าพักเอาปลอกรัดเลย ท่านจะทำประการใดก็ตามแต่จะทำเถิด เราจะนิ่งให้ทำ จึงชวนฮัวโต๋กินเหล้า ครั้นเมาแล้วจึงเรียกม้าเลี้ยงเข้ามาเล่นหมากรุก แล้วจึงเอียงไหล่ให้ฮัวโต๋ ๆ จึงเอามีดเข้าเชือดเนื้อร้ายออกเสียแล้วเอายาใส่ แล้วจึงเอาเข็มเย็บไว้ คนทั้งปวงมิใคร่จะดูได้ กวนอูจึงลุกขึ้นร้องว่าเราหาเจ็บไม่หายแล้ว จึงสรรเสริญว่าหมอคนนี้ดีประหนึ่งว่าเทวดาก็ว่าได้ ฮัวโต๋จึงว่า แต่ข้าพเจ้ารักษาคนป่วยมานี้ก็มากอยู่แล้วหาเหมือนท่านไม่ อันท่านนี้น้ำใจทนทานต่อความเจ็บไม่สดุ้งสเทือนเลยดีนัก

ฝ่ายกวนอูครั้นหายความเจ็บแล้วก็ดีใจ จึงให้ยกโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงฮัวโต๋กินอยู่ตามสบาย ฮัวโต๋จึงว่าแก่กวนอูว่า อันแผลนี้พึ่งหาย ท่านจงระงับความโกรธกว่าจะถ้วนร้อยวัน พิษเกาทัณฑ์จึงจะหายสนิธ กวนอูก็รับคำแลขอบใจแก่ฮัวโต๋นัก จึงเอาทองหนักสามชั่งสิบบาทให้แก่ฮัวโต๋เปนบำเหน็จ ฮัวโต๋จึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามารักษาท่านทั้งนี้จะเห็นแก่บำเหน็จหามิได้ ข้าพเจ้าเห็นท่านนี้ประกอบด้วยความสัตย์ซื่อ จึงมาช่วยพยาบาลมิให้เปนอันตราย แลซึ่งท่านให้บำเหน็จข้าพเจ้า ๆ ไม่เอาขอคืนไว้ให้ท่าน ว่าเท่านั้นแล้วก็เอายาปิดแผลให้ไว้อีกแล้วก็ลาไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ