ตอนที่ ๓๐

ฝ่ายโจผีผู้บุตรโจโฉนั้นอายุได้สิบแปดปี มีสติปัญญา โจโฉมีความรักใคร่เปนอันมาก แม้จะยกกองทัพไปแห่งใดโจผีก็ไปด้วยบิดา ในขณะเมื่อโจโฉได้เมืองกิจิ๋วนั้น โจผีบุตรโจโฉถือกระบี่คุมทหารเข้าไปถึงประตูตึกอ้วนเสี้ยว ทหารจึงห้ามโจผีว่า มหาอุปราชได้สั่งกำชับไว้ว่า อย่าให้ผู้ใดทำอันตรายแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้องอ้วนเสี้ยว แลราษฎรชาวเมืองให้ได้ความเดือดร้อน ซึ่งท่านจะเข้าไปนั้นเห็นจะละเมิดคำมหาอุปราช

โจผีได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดเอา แล้วเดินเข้าไปถึงในตึกเห็นหญิงสองคนกอดฅอกันร้องไห้อยู่ โจผีฉุนโกรธขึ้นมาจึงชักกระบี่ออกจะฟันหญิงทั้งสองเสีย แล้วกลับคิดได้จึงถามว่า เจ้าทั้งสองนี้ชื่อไร เหตุใดจึงมาร้องไห้อยู่ฉนี้ นางเล่าชือจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อนางเล่าชือ เปนภรรยาอ้วนเสี้ยว แลนางผู้นั้นชื่อเอียนซี เปนภรรยาอ้วนฮีเจ้าเมืองอิจิ๋วซึ่งเปนบุตรอ้วนเสี้ยว โจผีจึงบอกให้นางเอียนซีนั้นเงยหน้าขึ้น แล้วพิศดูเห็นรูปร่างนั้นงามก็มีความรักใคร่ จึงบอกแก่นางทั้งสองว่าตัวเราชื่อโจผีเปนบุตรมหาอุปราช เราจะรักษาอยู่มิให้เปนอันตรายได้

ฝ่ายโจโฉขี่ม้าพาเขาฮิวกับทหารเข้ามาถึงประตูเมืองกิจิ๋ว เขาฮิวนั้นมีใจกำเริบว่าโจโฉกับตัวนั้นเปนเพื่อนกันมาแต่ก่อน จึงขับม้าขึ้นมาเคียงโจโฉ แล้วเอาแซ่ม้าชี้เข้าที่ประตูเมืองว่า ถ้าเราไม่คิดอ่านให้รบพุ่งยังจะได้เข้ามาเห็นประตูเมืองกิจิ๋วหรือ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนหัวเราะแล้วมิได้ตอบประการใด แต่ทหารทั้งปวงนั้นมีใจโกรธเขาฮิวอยู่ โจโฉจึงเข้าไปถึงประตูตึกอ้วนเสี้ยว แล้วถามนายประตูว่า ผู้ใดเข้ามาทำอันตรายบุตรภรรยาพี่น้องอ้วนเสี้ยวบ้าง นายประตูจึงว่า บัดนี้โจผีบุตรท่านเข้าไปอยู่ที่ข้างใน โจโฉจึงให้หาตัวโจผีออกมา แล้วว่ากล่าวห้ามปรามมิให้ทำวุ่นวาย

ขณะนั้นนางเล่าชือก็ออกมาคำนับโจโฉแล้วว่า ซึ่งโจผีเข้ามาอยู่นั้นได้ป้องกันรักษาพรรคพวกข้าพเจ้า ถ้ามิได้โจผีทหารทั้งปวงก็จะทำอันตรายต่างๆ บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกนางเอียนซีผู้เปนลูกสะใภ้ให้เปนภรรยาโจผี โจโฉจึงให้หาตัวออกมา เห็นนางเอียนซีรูปงาม ควรจะเปนภรรยาโจผี ก็ยกให้อยู่ด้วยกัน โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วให้จุดธูปเทียนคำนับศพอ้วนเสี้ยว แล้วร้องไห้รักเปนอันมาก ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงเห็นก็มีความสงสัยจึงถามโจโฉว่า ท่านกับอ้วนเสี้ยวทำศึกขับเคี่ยวกันมา บัดนี้ท่านได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เหตุใดจึงแต่งเครื่องเส้นแล้วร้องไห้รักอ้วนเสี้ยวดังนี้

โจโฉจึงแกล้งอุบายหวังจะให้ทหารทั้งปวงสรรเสริญว่าตนมีใจสัตย์ซื่อแล้วเล่าความว่า เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะตั้งตัวเปนมหาอุปราชนั้น เรากับอ้วนเสี้ยวแลสิบเจ็ดหัวเมืองยกกองทัพไปตั้งอยู่นอกด่านกิสุยก๋วนจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย อ้วนเสี้ยวจึงลอบถามเราว่า แม้ทำสงครามพ่ายแพ้ตั๋งโต๊ะแล้วจะไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ตำบลใด จึงจะได้คิดการต่อไป เราจึงถามอ้วนเสี้ยวว่า ตัวท่านจะไปอยู่แห่งใดเล่า อ้วนเสี้ยวบอกเราว่าจะมาอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ด้วยมีที่ทางกว้างขวาง ทั้งสเบียงอาหารก็บริบูรณ์ แลทหารก็ชำนาญในการศึกจะได้คิดการใหญ่ต่อไป เราจึงว่าตัวเรานี้ไม่เลือก ถ้าที่ใดตำบลใดเห็นคนทั้งปวงจะเปนใจด้วยเรา ๆ ก็จะอยู่คิดการที่นั้น ถึงอ้วนเสี้ยวกับเราเปนคู่ทำศึกขับเคี่ยวกันก็ดี แต่ได้เปนเพื่อนกันมาแต่ก่อน เราจึงร้องไห้รักเพราะเหตุฉนี้

ทหารทั้งปวงได้ฟังโจโฉว่าดังนั้น ก็สรรเสริญว่าน้ำใจมหาอุปราชนี้สัตย์ซื่อนัก โจโฉจึงจัดแจงเงินแลสิ่งของให้นางเล่าชือภรรยาอ้วนเสี้ยวเปนอันมาก แล้วสั่งว่าบันดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะมีการศึกมาหลายปีแล้ว ในปีนี้อย่าได้เรียกเอาส่วยสาอากรเลย

ครั้นเวลารุ่งเช้าเคาทูขี่ม้าเข้ามาถึงประตูเมือง พอพบเขาฮิว ๆ จึงว่า อันทหารเหล่านี้ได้เข้ามาในเมือง ก็เพราะความคิดของเราจึงได้เมือง เคาทูจึงตอบว่า ตัวกูก็เปนทหารมีฝีมือรบพุ่ง สู้เอากายฝ่าเข้าสู้อาวุธจึงได้เมือง เหตุใดมึงจึงบังอาจอวดตัวว่าได้เพราะความคิดของมึง เขาฮิวจึงตอบว่า ตัวมึงมีฝีมือก็จริง แต่กูคิดอ่านให้มึงจึงได้ทำตาม อุปมาเหมือนกูเปนนายได้ใช้มึง เคาทูได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกตัดสีสะเขาฮิวหิ้วเข้าไป แล้วบอกแก่โจโฉว่า เขาฮิวพูดจาหยาบช้า บัดนี้ข้าพเจ้าฆ่าเสียแล้ว ตัดเอาสีสะมาให้ท่าน โจโฉจึงว่า เขาฮิวนั้นเปนเพื่อนกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งพูดจาทั้งนี้เปนทางสัพยอก เหตุใดตัวจึงบังอาจฆ่าเขาฮิวเสียนั้นไม่ควร แล้วโจโฉจึงให้คาดโทษเคาทูไว้ จึงให้แต่งการศพเขาฮิวแล้วให้เอาไปฝังเสีย

ขณะนั้นโจโฉจึงให้ไปเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาอันอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งขึ้นแก่หัวเมืองกิจิ๋ว ได้ซุยตำที่ปรึกษาอ้วนเสี้ยว ซึ่งได้ว่ากล่าวทัดทานมาแต่ก่อนอ้วนเสี้ยวไม่เชื่อฟัง ซุยตำจึงทำป่วยออกไปอยู่ณบ้านนั้น โจโฉมีความยินดีจึงให้ซุยตำเปนที่ปรึกษา แล้วโจโฉได้บาญชีพลเมืองกิจิ๋ว ซึ่งมีครอบครัวถึงสามสิบหมื่นเศษ โจโฉจึงว่า อันเมืองกิจิ๋วนี้เปนหัวเมืองเอก ผู้คนจึงมีมาก ซุยตำจึงว่า อันมีบาญชีพลเมืองอยู่นั้นก็จริง ซึ่งท่านจะไว้ใจว่ามีคนอยู่ตามบาญชีนั้นไม่ได้ ด้วยมีศึกมาหลายปีแล้ว ผู้คนก็ล้มตายเปนอันมาก บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนซงรบพุ่งกัน ผู้คนทั้งปวงแตกฉานซ่านเซนไปทุกตำบล ขอท่านจงปราบปรามให้ปรกติ จงเกลี้ยกล่อมให้บ้านเมืองอยู่เย็นเปนสุขแล้ว ทหารแลไพร่บ้านพลเมืองก็จะกลับเข้ามาหาท่าน โจโฉเห็นชอบด้วย จึงคิดอ่านทำตามซุยตำว่า แล้วก็ให้ไปเที่ยวฟังข่าวอ้วนถำอ้วนซง

ฝ่ายอ้วนถำเมื่อขณะโจโฉตั้งรบเมืองกิจิ๋วอยู่นั้น อ้วนถำก็ยกกองทัพไปตีได้เมืองกำเหลง เมืองฮันเบ๋ง เมืองปุดไฮ เมืองโฮกั้น แล้วกวาดทหารได้เปนอันมาก ครั้นแจ้งกิตติศัพท์ว่าอ้วนซงหนีโจโฉไปซุ่มซ่อนอยู่ป่าก็ยกไปติดตาม ฝ่ายอ้วนซงก็พาทหารไปอยู่กับอ้วนฮีผู้พี่ณเมืองกิจิ๋ว อ้วนถำก็มิได้ไปติดตามอ้วนซง ก็ยกกลับมาเมืองเพ็งง้วนก้วน จึงคิดว่าบัดนี้โจโฉตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว ครั้นจะนิ่งไว้ญาติพี่น้องแลอาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อน จำจะยกกองทัพไปรบกับโจโฉชิงเอาเมืองกิจิ๋วคืนให้ได้

ขณะนั้นพอม้าใช้ไปบอกแก่อ้วนถำว่า มหาอุปราชให้หาตัวไปจะคิดราชการด้วย อ้วนถำจึงว่าแก่ม้าใช้ว่า ตัวจงไปบอกแก่โจโฉเถิด เราไม่ไปแล้ว โจโฉแจ้งดังนั้นก็แต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปอีกเปนใจความว่า ตัวเราเปนผู้ใหญ่ให้หาอ้วนถำมาจะคิดราชการด้วย อ้วนถำขัดแข็งไม่มา แลบุตรเราซึ่งจะยกให้เปนภรรยาอ้วนถำนั้นเราไม่ให้แล้ว โจโฉก็จัดแจงทหารเปนอันมากยกไปเมืองเพ็งง้วนก้วน หวังจะรบด้วยอ้วนถำ

ฝ่ายอ้วนถำแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว รู้ข่าวว่าโจโฉยกกองทัพมา จึงแต่งหนังสือให้ไปถึงเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วเปนใจความว่า โจโฉยกกองทัพมาตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว บัดนี้จะยกมาตีเมืองเพ็งง้วนก้วน ท่านจงเห็นแก่ไมตรีข้าพเจ้า ขอให้ยกกองทัพมาช่วย

เล่าเปียวแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ปรึกษากับเล่าปี่ ๆ จึงตอบว่า บัดนี้โจโฉไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือได้แล้ว ก็มีใจกำเริบใหญ่หลวงนัก ซึ่งบุตรแลญาติพี่น้องอ้วนเสี้ยวจะคิดอ่านรบพุ่งแก้แค้นนั้นเห็นไม่ได้ บันดาแซ่อ้วนนั้นเห็นโจโฉก็จะจับตัวได้โดยเร็ว อันน้ำใจโจโฉนั้นเห็นจะยกมาทำอันตรายเมืองเราด้วย ซึ่งท่านจะยกไปช่วยอ้วนถำนั้นไม่ควร ขอให้บำรุงทหารไว้ให้มีกำลัง ถ้าโจโฉยกมาก็จะได้ป้องกันรักษาเมืองไว้

เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงว่า ถ้าเราไม่ยกไปช่วยอ้วนถำแล้ว จะให้มีหนังสือตอบเขาไปประการใดดี เล่าปี่จึงว่า ตัวท่านเปนผู้ใหญ่ จงแต่งหนังสือไปเปนทีสั่งสอนอ้วนถำว่า การสงครามยังมีอยู่ จงคิดอ่านสมัคสมานพี่น้องทั้งปวงให้ปรองดองกันเปนปรกติ แล้วจะได้ช่วยกันรบพุ่งต้านทานโจโฉ เล่าเปียวเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตอบไปตามคำเล่าปี่

อ้วนถำแจ้งในหนังสือเล่าเปียวดังนั้นก็พิเคราะห์เห็นว่า ซึ่งเล่าเปียวตอบมาดังนี้เห็นว่าไม่ให้กองทัพมาช่วย จึงคิดว่า ซึ่งจะตั้งอยู่ในเมืองนี้เห็นจะต้านทานโจโฉไม่ได้ แล้วก็จัดแจงทหารทั้งปวงยกไปตั้งอยู่ณเมืองลำพี้

ฝ่ายโจโฉรู้ดังนั้นก็ยกกองทัพตามไปถึงแดนเมืองลำพี้ พอเปนเทศกาลหนาว น้ำในแม่น้ำนั้นแขงเปนปึก เรือซึ่งจะเข้าไปส่งสเบียงนั้นไม่ได้ โจโฉจึงให้ป่าวร้องชาวบ้านมาขุดฟันน้ำ ให้เรือสเบียงเข้ามาได้ ราษฎรทั้งปวงรู้ดังนั้นต่างคนต่างทุกข์ร้อนว่า ครั้งนี้จะได้ความลำบาก จึงชวนกันทิ้งบ้านเรือนเสียหนีซุกซ่อนไป โจโฉแจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเร่งตามไปจับตัวมาฆ่าเสีย ฝ่ายชาวบ้านครั้นรู้ตัวก็กลัวความตาย จึงชวนกันมาเข้าเกลี้ยกล่อม แล้วขอโทษยอมทำราชการด้วยโจโฉ ๆ จึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งราษฎรชาวบ้านกลับมาขอโทษดังนี้ ครั้นจะยกโทษเสียเล่า การซึ่งสั่งไปแล้วกลัวว่าภายหลังจะไม่สิทธิ์ขาด แม้จะให้ทำโทษชาวบ้านทั้งปวงเล่าเราก็จะถูกนินทา จำเราจะคิดเอาการให้ได้ทั้งสองฝ่ายแล้วว่าแก่ชาวบ้านทั้งปวงว่า ซึ่งเราจะฆ่าเสียนั้นก็มีความสงสารอยู่ จงพากันหนีซุกซ่อนให้พ้นทหารเราเถิด ชาวบ้านทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักกันอื้ออึง แล้วก็รีบหนีซุ่มซ่อนไป แลเหล่าทหารโจโฉพบปะเข้าก็ฆ่าฟันเสียเปนอันมาก

ฝ่ายอ้วนถำรู้ว่าโจโฉยกมาดังนั้น ก็จัดแจงทหารแล้วยกออกมารบด้วยโจโฉ ๆ เห็นอ้วนถำยกออกมา ก็ขับม้าออกมาหน้าทหาร แล้วว่าแก่อ้วนถำว่า เดิมตัวกลัวอ้วนซงผู้น้องจึงหนีมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ก็มีความเอ็นดูจะยกบุตรให้เปนภรรยา บัดนี้เราได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เราให้หาตัวก็ไม่ไป แล้วตัวกลับคิดร้ายต่อเราก่อนฉนี้ เปนคนหามีกตัญญูไม่ อ้วนถำจึงตอบว่า เหตุทั้งนี้เพราะตัวยกกองทัพมารบพุ่ง เราพี่น้องจึงได้ผิดกัน ครั้นได้เมืองแล้วตัวก็ทำร้ายแก่พี่น้องเราต่างๆ เราจึงมีความแค้น เหตุใดจะว่าเราไม่รู้จักคุณ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ซิหลงออกไปรบด้วยอ้วนถำ ๆ จึงให้แพอั๋นออกไปรบด้วยซิหลงได้ห้าเพลง ซิหลงก็เอาง้าวฟันแพอั๋นตกม้าตาย อ้วนถำเห็นดังนั้นก็ย่อท้อ ขับม้าพาทหารถอยหนีเข้าไปในเมืองลำพี้ โจโฉยกกองทัพตามเข้าไปตั้งล้อมเมืองไว้ อ้วนถำเห็นจะต้านทานมิได้ จึงให้ซินเบ้งออกไปอ่อนน้อมขอเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉอีก โจโฉแจ้งดังนั้นจึงตอบว่า อ้วนถำเจรจาไว้กับเราแต่ก่อนนั้น ก็คืนคำเสียกลับคิดร้ายต่อเรา บัดนี้สิ้นคิดแล้วหรือจึงให้มาอ่อนน้อมดังนี้เราหายอมไม่ แล้วว่าซินผีน้องท่านก็มาอยู่ทำราชการด้วยเรา แลตัวท่านจะกลับเข้าไปหาอ้วนถำนั้น ก็จะพลอยตายเสียมั่นคง จงอยู่ด้วยเราเถิดจะเลี้ยงให้ถึงขนาดเหมือนน้องชายท่าน ซินเบ้งจึงตอบว่า ซึ่งมหาอุปราชเจรจาดังนี้ไม่ควร อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า ธรรมดาเปนข้าท้าวบ่าวพระยา ให้ตั้งใจจงรักภักดีต่อเจ้านาย ถ้าเจ้านายนั้นมีความสุขก็พลอยสบายด้วย แม้มีทุกข์ร้อนก็พึงให้ทรมานกายลำบากด้วยจึงจะควร แลตัวข้าพเจ้าอยู่กับอ้วนเสี้ยวก็ช้านานแล้ว บัดนี้อ้วนเสี้ยวผู้มีคุณก็ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าจะขออยู่แทนคุณแซ่อ้วนสืบไปกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งซินผีผู้น้องข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านนั้น ก็ตามแต่วาสนาเขา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าซินเบ้งนี้มีน้ำใจซื่อสัตย์นัก เห็นจะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมไว้ไม่ได้ จึงว่าตัวท่านไม่ยอมอยู่ด้วยเราแล้ว ก็จงเร่งไปบอกอ้วนถำตามคำเราว่าเถิด

ซินเบ้งก็ลาโจโฉกลับไปบอกแก่อ้วนถำทุกประการ อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็โกรธซินเบ้ง แล้วว่าน้องของตัวไปอยู่กับโจโฉ บอกการหนักการเบาให้ทุกสิ่ง บัดนี้เราให้ตัวไปว่ากล่าวโจโฉก็ไม่ยอม แลเนื้อความทั้งนี้โจโฉใช้ให้ตัวกลับมาทำร้ายเราหรือ ซินเบ้งได้ฟังดังนั้นมีความแค้นเปนอันมาก จนลมจับล้มสลบลงกับที่ อ้วนถำจึงให้ทหารยกเอาตัวซินเบ้งออกไปเสียภายนอก อยู่หน่อยหนึ่งซินเบ้งก็ขาดใจตาย

กัวเต๋าจึงว่าแก่อ้วนถำว่า ซึ่งเราให้ไปอ่อนน้อมโจโฉก็ไม่ยอม บัดนี้ตัวเราก็เข้าอยู่ที่แคบขัดสน เหมือนหนึ่งคนไข้หนักหมอคาดวันตายอยู่แล้ว จำจะคิดอ่านเอายาทั้งปวงประสมกันเข้าวางดูอีกครั้งหนึ่ง แม้พอชอบโรคก็จะคลายหาไม่ก็จะตาย ขอให้ท่านเกณฑ์เอาชาวเมืองให้สิ้นเชิงยกไปเปนกองหน้า ท่านจงคุมทหารทั้งปวงยกเปนกองหนุน ไปรบด้วยโจโฉอีกครั้งหนึ่ง อ้วนถำเห็นด้วย ในเวลากลางคืนนั้นก็กะเกณฑ์ชาวเมืองทั้งปวงเปนทัพหน้าสี่กองให้พร้อมไว้ แล้วจัดแจงบันดาทหารซึ่งจะเปนกองหนุนได้ครบสี่กอง ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้เปิดประตูทั้งสี่ทิศ แล้วยกกองทัพออกไประดมตีค่ายโจโฉทั้งสี่ด้าน โจโฉเห็นดังนั้นก็ให้ม้าใช้รีบบอกต่อกันไปทุกค่าย แล้วขับทหารออกรบพุ่งต้านทานเปนสามารถแต่เช้าจนเที่ยง แลทหารทั้งสองฝ่ายแทงฟันกันล้มตายเปนอันมาก มิได้แพ้ชนะกัน โจโฉเห็นดังนั้นคิดเกรงว่าทหารทั้งปวงจะอิดโรย จึงขึ้นไปบนเนินเขาแล้วตีกลองรบ หวังจะเร่งทหารทั้งปวงให้รบพุ่งหักหาญเอาชัยชนะจงได้ เหล่าทหารโจโฉได้ยินเสียงกลอง ก็รุกรบเข้าไปฆ่าฟันชาวเมืองแลทหารอ้วนถำล้มตายพ่ายพังไป ฝ่ายโจหองเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามฆ่าฟันไปในระหว่างทหารอ้วนถำ แล้วได้รบกับอ้วนถำเปนสามารถ โจหองได้ทีก็เอาง้าวฟันถูกอ้วนถำเปนหลายทีจนตกม้าตาย กัวเต๋านั้นขับม้าจะหนีกลับเข้าเมือง ฝ่ายงักจิ้นเห็นก็ขับม้าไล่ตาม แล้วขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกกัวเต๋าตกลงในคูเมืองตาย โจโฉจึงให้ทหารตัดเอาสีสะอ้วนถำไปประกาศแก่ราษฎรเมืองว่า อย่าให้ผู้ใดร้องไห้รักอ้วนถำ ถ้ามีผู้ใดมาร้องไห้ก็จะจับเอาตัวฆ่าเสีย ครั้นประกาศแล้วให้เอาสีสะอ้วนถำเสียบไว้ประตูเมืองฝ่ายเหนือ โจโฉจึงคุมทหารยกเข้าเมืองลำพี้ แล้วปราบปรามชาวเมืองให้อยู่เปนปรกติ พอม้าใช้มาบอกโจโฉว่า มีนายทหารสองคนคุมทหารเปนอันมากยกมาใกล้เมืองลำพี้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงทหารยกออกนอกเมืองหวังจะรบพุ่งด้วย

ฝ่ายเตียวเหียนกับเตียวหลำเห็นโจโฉยกออกมา ก็ลงจากม้าวางอาวุธถอดเกราะเสีย แล้วเข้าไปคำนับโจโฉ ๆ จึงถามว่า ท่านทั้งสองนี้ชื่อใดมาแต่ไหน นายทหารทั้งสองจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเตียวเหียนเตียวหลำ เปนนายทหารอ้วนฮีผู้บุตรอ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้ารู้กิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชมีใจกว้างขวางรักทหารโดยสุจริต ข้าพเจ้าจึงพาทหารทั้งปวงมาหวังจะทำราชการด้วยท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงตั้งให้เตียวเหียนเตียวหลำเปนนายทหารซ้ายขวา

ฝ่ายเตียวเอี๋ยนนายโจรอยู่ณเขาเอ๊งสัน รู้ข่าวว่าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแลเมืองลำพี้แล้ว ก็คุมพวกโจรประมาณสิบหมื่น มาขอเข้าอยู่ทำราชการด้วยโจโฉ ๆ ตั้งให้เตียวเอี๋ยนเปนที่ปักจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนเจ้าพระยาปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ

ฝ่ายอองสิ้ว ครั้นรู้ว่าอ้วนถำตายแล้วก็มีความสงสาร จึงไปนั่งร้องไห้รักอ้วนถำซึ่งเสียบสีสะไว้ ทหารผู้รักษาเห็นดังนั้นจึงจับเอาตัวไปให้โจโฉ ๆ จึงถามผู้ร้องไห้นั้นว่าตัวชื่อใด เหตุใดจึงมาร้องไห้รักอ้วนถำ อองสิ้วจึงว่า ข้าพเจ้าชื่ออองสิ้ว เปนที่ปรึกษาอ้วนถำ ข้าพเจ้าได้ห้ามตักเตือนให้คิดอ่านประนอมกัน บันดาญาติพี่น้อง ให้พร้อมใจช่วยป้องกันรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ให้ได้ อ้วนถำไม่ฟังคำข้าพเจ้าจึงเสียเมืองจนตัวตาย ข้าพเจ้าจึงมาร้องไห้รักเพราะเหตุฉนี้ โจโฉจึงถามว่า เมื่อเราเอาสีสะอ้วนถำไปประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดมาร้องไห้รักเราจะให้ลงโทษถึงตายนั้นตัวรู้หรือไม่ อองสิ้วจึงบอกว่า ซึ่งท่านสั่งนั้นข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ โจโฉจึงว่าตัวรู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงมาร้องไห้นั้นไม่กลัวความตายหรือ อองสิ้วจึงตอบว่า แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมาก ก็เพราะอ้วนถำเลี้ยงดู บัดนี้อ้วนถำถึงแก่ความตาย ครั้นนิ่งเสียก็เหมือนหนึ่งคนหากตัญญูต่อนายไม่ ซึ่งจะเปนคนอยู่ไปนั้น ผู้ใดจะสรรเสริญนับถือว่าเปนคน จึงได้มาร้องไห้รักเพราะคิดถึงคุณอ้วนถำ ถึงมาทว่าท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยโทษลเมิดนี้ก็ตาม แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้แต่งการศพอ้วนถำเถิด ก็จะก้มหน้าตายตามนายไป

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงจึงว่า บันดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้มีทหารมีฝีมือแลสติปัญญาประกอบทั้งสัตย์ซื่อต่อมุลนายอยู่เปนอันมาก แม้อ้วนเสี้ยวกับบุตรมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเลี้ยงคนดีให้ถึงขนาดอยู่แล้ว ที่ไหนเราจะได้เมืองกิจิ๋ว แล้วโจโฉจึงให้ทหารแต่งการศพอ้วนถำตามประเพณี แลอองสิ้วนั้นโจโฉก็ตั้งให้เปนชาวคลัง แล้วถามอองสิ้วว่า บัดนี้อ้วนซงหนีไปอยู่กับอ้วนฮีณเมืองอิวจิ๋ว ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะจับตัวอ้วนซงได้ อองสิ้วจึงตอบว่า มหาอุปราชก็มีคุณแก่ข้าพเจ้า ถ้าเปนการอื่นมีมาข้าพเจ้าจะคิดอ่านสนองคุณท่านตามสติปัญญา ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าคิดจับตัวอ้วนซง ซึ่งเปนพี่น้องของนายนั้นจนอยู่ ตามแต่ท่านจะโปรด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่า อองสิ้วนี้มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อผู้มีคุณ แล้วจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ตัวอ้วนซงมา กุยแกจึงว่า ขอให้แต่งทหารอ้วนเสี้ยว ซึ่งมาอยู่ด้วยท่านนั้น ยกกองทัพไปคิดอ่านทำการรบพุ่งจับตัวอ้วนซงมา โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวเหียนกับเตียวหลำคุมทหารกองหนึ่ง ลิกองลิเซียงคุมทหารกองหนึ่ง ม้าเอี๋ยนกับเตียวคีคุมทหารกองหนึ่ง ยกไปตีเมืองอิวจิ๋วจับตัวอ้วนฮีอ้วนซงมาให้ได้ นายทหารทั้งสามกองก็ยกกองทัพไป แล้วโจโฉจึงให้เตียวเอี๋ยนนายโจรกับลิเตียน งักจิ้นคุมทหารไปจับตัวโกกันณเมืองเป๊งจิ๋ว

ฝ่ายอ้วนฮี อ้วนซงรู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉให้กองทัพยกมาดังนั้น ก็คิดกันว่าเราจะอยู่ต้านทานนั้นไม่ได้ ก็พาทหารออกจากเมือง หวังจะไปพึ่งอยู่ด้วยโฮห้วน เจ้าเมืองเลียวไส ซึ่งขึ้นแก่เมืองอิวจิ๋ว

ฝ่ายโฮห้วนขณะเมื่อโจโฉมารบได้เมืองกิจิ๋วนั้น โฮห้วนจึงชักชวนพวกเพื่อนซึ่งเปนทหารอ้วนเสี้ยว มาสบถสาบาลว่าจะร่วมรักกัน แต่ใจโฮห้วนนั้นคิดจะไปเข้าด้วยโจโฉ ครั้นอยู่มาโฮห้วนจึงให้ไปเชิญพวกเพื่อนมาเสพย์สุราพร้อมกัน โฮห้วนจึงเอากระบี่วางไว้บนโต๊ะแล้วว่า โจโฉนั้นเข้มแข็งกล้าหาญนัก ทั้งทหารใหญ่น้อยก็มีเปนอันมาก บัดนี้ก็ตีได้เมืองกิจิ๋วแล้ว แม้เราจะนิ่งอยู่ฉนี้ก็จะไม่พ้นมือโจโฉ เราจะชวนกันไปเข้าด้วยโจโฉ ถ้าผู้ใดไม่ยอมเราจะเอากระบี่เล่มนี้ตัดสีสะเสีย

ฮันหองได้ยินดังนั้นก็โกรธ ฉวยกระบี่นั้นทิ้งเสียแล้วว่า อ้วนเสี้ยวเลี้ยงดูเราให้ได้ความสุข ก็ยังมิได้แทนคุณก่อน บัดนี้ลูกหลานนายเราได้ความเดือดร้อนเสียบ้านเมือง ควรจะตั้งใจอาสาถึงสิ้นชีวิต ซึ่งจะคิดทรยศไปเข้าด้วยโจโฉนั้นเราไม่เห็นด้วย นายทหารทั้งปวงเห็นโฮห้วนกับฮันหองตอบกันดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด โฮห้วนจึงว่าแก่ฮันหองว่า การทั้งนี้เราคิดอ่านกับคนทั้งปวง ๆ ก็ยอมสิ้น แต่ตัวผู้เดียวไม่ยอมเข้าด้วย ซึ่งจะมาอยู่ในพวกเรานี้ไม่ควร จึงให้คนใช้ขับฮันหองออกไปเสีย

ฝ่ายทหารโจโฉทั้งสามกองนั้น ครั้นยกมาใกล้เมืองอิวจิ๋ว รู้ข่าวว่าอ้วนฮีอ้วนซงหนีไปทางเมืองเลียวไส ก็ยกกองทัพตามไปถึงเมืองเลียวไส ในขณะนั้นโฮห้วนรู้ก็ออกมารับทหารโจโฉ แลนายทหารทั้งสามกองจึงถามว่า อ้วนฮีอ้วนซงมาอาศรัยท่านอยู่หรือ โฮห้วนว่าหามิได้ แล้วบอกว่าข้าพเจ้านี้จะสมัคไปทำราชการด้วยมหาอุปราช นายทหารทั้งปวงก็พาตัวโฮห้วนมาหาโจโฉ แล้วแจ้งเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง โจโฉมีความยินดีจึงตั้งให้โฮห้วนเปนที่เจ้าเมืองเลียวไสดังเก่า แต่เอาตัวไว้ทำราชการด้วย

ขณะนั้นม้าใช้มาบอกแก่โจโฉว่า เตียวเอี๋ยนงักจิ้นลิเตียนซึ่งไปตีเมืองเป๊งจิ๋วนั้น โกกันเจ้าเมืองคุมทหารออกมาตั้งค่ายรับอยู่ตำบลด่านโฮกวน ได้รบพุ่งกันเปนหลายครั้ง แลนายทหารทั้งสามคนจะหักเอาเมืองนั้นไม่ได้ โจโฉแจ้งดังนั้นจึงจัดแจงทหารแล้วยกหนุนไปถึงด่านโฮกวน แลนายทหารทั้งสามคนก็บอกเนื้อความแก่โจโฉตามซึ่งได้รบพุ่งกับโกกันทุกประการ

โจโฉแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับนายทหารทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดจึงจะได้ตัวโกกันโดยง่าย ซุนฮิวจึงว่า ทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งมาอยู่ในกองทัพเราเปนอันมาก จงจัดหาผู้ซึ่งมีสติปัญญาให้ทำเปนหนีไปหาโกกัน แล้วให้คิดอ่านเปนไส้ศึก ก็จะจับโกกันได้โดยง่าย โจโฉเห็นชอบด้วย จึงกระซิบสั่งลิกองลิเซียง ให้เร่งคิดอ่านไปทำการจับตัวโกกันให้ได้

ครั้นเวลาค่ำลิกองลิเซียง ก็พาทหารซึ่งสนิธประมาณห้าสิบคนไปถึงประตูด่านแล้ว บอกแก่ทหารซึ่งรักษาประตูว่า เราจะขอเข้าไปหาโกกัน นายประตูจึงเอาเนื้อความไปบอกโกกัน ๆ แจ้งดังนั้น ก็เยี่ยมเชิงเทินออกไปแล้วถามลิกองลิเซียงว่า ตัวมาหาเรานี้ด้วยเนื้อความสิ่งใด ลิกองลิเซียงจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนทหารอ้วนถำ ซึ่งข้าพเจ้าไปเข้าด้วยโจโฉนั้นเพราะอ้วนถำใช้จึงจำใจอยู่ บัดนี้โจโฉทำการหยาบช้าต่าง ๆ แก่ข้าพเจ้าให้ได้ความเจ็บแค้น ข้าพเจ้าจึงลอบหนีมาหวังจะอยู่ด้วยท่าน แล้วจะได้ช่วยกันคิดอ่านแก้แค้นโจโฉ

โกกันได้ฟังดังนั้นก็ยังมีใจสงสัยอยู่ จึงว่าแก่ลิกองลิเซียงว่า ถ้าตัวคิดดังนั้นจงให้ทหารซึ่งมาด้วยอยู่แต่ภายนอก แต่ตัวทั้งสองนั้นจงเข้ามาพูดจากับเราก่อน ลิกองลิเซียงเห็นโกกันยังแคลงอยู่ดังนั้น ก็แกล้งทำวางอาวุธถอดเกราะเสีย หวังจะให้โกกันสิ้นความสงสัย จึงพากันเข้าไปคำนับโกกันแล้วบอกว่า โจโฉพึ่งยกกองทัพมาถึง ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ แล้วก็ตั้งค่ายคูนั้นยังไม่แน่นหนา เวลากลางคืนวันนี้ถ้าท่านยกกองทัพออกไปปล้นก็จะได้ค่ายโจโฉโดยง่าย

โกกันได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยก็สิ้นความสงสัย จึงเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือเตรียมไว้ประมาณหมื่นหนึ่ง ฝ่ายโจโฉจึงจัดแจงทหารให้ออกตั้งอยู่นอกค่ายสี่กอง แล้วสั่งให้ลิเตียนงักจิ้นคุมทหารออกไปซุ่มอยู่เปนสองกอง ถ้าเห็นโกกันออกมาปล้นค่ายแล้ว ให้ตีสกัดไว้อย่าให้โกกันถอยกลับเข้าประตูด่านได้ นายทหารทั้งปวงก็ไปทำตามโจโฉสั่ง

ฝ่ายโกกันครั้นเวลาประมาณสองยามเศษ จึงให้ลิกองลิเซียงเปนกองหน้า ตัวโกกันเปนกองหนุน คุมทหารเปิดประตูด่านโห่ร้องออกไปปล้นค่ายโจโฉ ฝ่ายโจโฉซึ่งซุ่มอยู่สี่ด้าน เห็นโกกันคุมทหารออกมาปล้นค่ายก็จุดปทัดสัญญาขึ้น แล้วขับทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารโกกันล้มตายเปนอันมาก โกกันเห็นดังนั้นก็คิดว่าเราเสียกลอุบายโจโฉแล้ว จึงพาทหารซึ่งเหลือนั้นถอยกลับไปจะเข้าในประตูด่าน พอลิเตียนงักจิ้นคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาสกัดทางไว้ แล้วทหารทั้งสี่กองนั้นก็ตามรบพุ่งมาล้อมเข้าไว้ โกกันจึงพาทหารขับม้ารบฝ่ายทหารโจโฉออกได้รีบหนีไป ในขณะนั้นโจโฉก็เกณฑ์ทหารยกไปติดตามโกกัน

ฝ่ายโกกันหนีออกจากแดนเมืองกิจิ๋ว มาถึงเมืองตันอูจึงเข้าไปหาโจเอียนอ้องผู้เปนเจ้าเมือง แล้วเล่าเนื้อความว่า บัดนี้โจโฉมีกำลังกล้าแข็ง ทั้งทหารก็มีเปนอันมาก ยกทัพมาทำอันตรายหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ได้ความเดือดร้อน ข้าพเจ้าเห็นโจโฉมีน้ำใจกำเริบ จะล่วงมาถึงแดนเมืองนี้ ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาหัวเมืองซึ่งโจโฉรบได้นั้น อันตรายจึงจะไม่ถึงเมืองท่าน

โจเอียนอ้องได้ฟังดังนั้นจึงว่า โจโฉไม่มีความผิดกับเรา ซึ่งจะยกล่วงมาตีเอาเมืองเรานั้นไม่เห็นด้วย หากตัวมีใจพยาบาทโจโฉ จึงแกล้งยุยงหวังจะให้เรามีศัตรูสืบต่อไป แล้วก็ให้ทหารขับโกกันออกไปเสียนอกเมือง ฝ่ายโกกันก็คิดแต่ในใจว่า เราจะไปอาศรัยเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วดีกว่า แล้วก็พาทหารกลับเข้าแดนหัวเมืองฝ่ายเหนือ รีบเล็ดลอดไปถึงกลางทาง พอเวลากลางคืนหยุดพักอยู่ อ๋องต๋ำซึ่งเปนทหารนั้นลอบฆ่าโกกันเสีย แล้วตัดเอาสีสะไปให้โจโฉณะแดนด่านโฮก้วน โจโฉมีความยินดี จึงตั้งให้อ๋องต๋ำเปนทหาร แล้วโจโฉยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองเป๊งจิ๋วได้

ในขณะนั้นโจโฉปราบปรามไพร่บ้านพลเมืองให้อยู่เปนปรกติแล้ว จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปตีเอาหัวเมืองฝ่ายตวันตกซึ่งขึ้นแก่เมืองกิจิ๋ว ทั้งจะได้ตัวอ้วนฮีอ้วนซงด้วย จึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม โจหองกับทหารรองจึงห้ามว่า อ้วนฮีอ้วนซงนั้นเห็นจะไม่เข้าอาศรัยอยู่ในเมืองได้ จะพากันซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ถึงมาทว่าจะมีทหารอยู่ด้วยก็น้อย อันหัวเมืองตวันตกนั้น เปนแต่หัวเมืองเล็กน้อยแล้วทางก็ไกล ซึ่งจะยกล่วงไปตีนั้นเห็นไม่ควร เกลือกเล่าเปียวกับเล่าปี่รู้ก็จะยกไปตีเอาเมืองฮูโต๋ เห็นท่านจะขึ้นไปช่วยไม่ทัน ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ไว้ดีกว่า

กุยแกจึงว่า ซึ่งโจหองว่านี้ไม่ชอบ อันหัวเมืองฝ่ายตวันตก เมื่ออ้วนเสี้ยวอยู่นั้นก็ทนุบำรุงเปนปรกติอยู่ การศึกก็ไม่มีถึง เห็นจะมีใจประมาทอยู่ บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงก็ไปอาศรัยอยู่ด้วย จำเราจะยกกองทัพไปปราบปรามให้สิ้นทีเดียว อันเล่าเปียวนั้นเปนแต่คนช่างพูด จะคิดการสิ่งใดก็ไม่ตลอด บัดนี้ได้เล่าปี่มาไว้ ครั้นจะทนุบำรุงให้ถึงขนาด เล่าเปียวก็ไม่ไว้ใจเล่าปี่ อันเล่าปี่ก็เห็นจะไม่เปนใจสุจริตต่อเล่าเปียว การทั้งปวงซึ่งคิดกันนั้นก็แก่งแย่งกันอยู่ ไม่ควรที่จะเกรงเล่าเปียวกับเล่าปี่ ขอให้ท่านยกไปปราบปรามหัวเมืองฝ่ายตวันตกเสียให้ราบก่อนจึงจะควร

โจโฉเห็นชอบด้วย ก็จัดแจงเกวียนสเบียงได้สามพันเล่ม แล้วยกกองทัพไป ข้ามทุ่งป่าพงแลเขาเปนหลายตำบล ทางนั้นกันดารนักหาต้นไม้ใหญ่มิได้ ลมพัดหอบเอาทรายฟุ้งตลบไปทั้งกองทัพ โจโฉเห็นดังนั้นก็คิดว่า ยกมานี้ทหารเราได้ความลำบากนัก จะใคร่ยกกองทัพกลับไป ครั้นจะปรึกษากุยแกเล่า กุยแกก็ป่วยนอนมาบนเกวียน โจโฉมาเยียนเห็นกุยแกนั้นป่วยหนัก โจโฉร้องไห้รักแล้วว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เพราะเรายกกองทัพพาท่านมา เราไม่มีความสบายจะใคร่ยกกลับไปเมือง กุยแกจึงตอบว่า อันคุณของท่านมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก อย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ถึงมาทว่าข้าพเจ้าจะตายก็จะเอาชีวิตแทนคุณท่าน อันคำโบราณกล่าวไว้ว่า การสิ่งใดเห็นได้การแล้ว ก็ให้เร่งคิดอ่านทำการไปกว่าจะสำเร็จ ซึ่งจะยกกองทัพไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นจะช้าทหารก็จะลำบากนัก แล้วชาวเมืองรู้ก็จะตระเตรียมไว้รบพุ่ง ขอให้ตั้งกองทัพไว้ที่นี่ ให้จัดแจงทหารซึ่งกล้าแข็ง เอาสเบียงใส่ไถ้คาดเอวถืออาวุธสำหรับมือแล้ว จับชาวบ้านให้นำทางไปเที่ยวโจมตีเอา อย่าให้ทันชาวเมืองรู้ตัวก็จะได้โดยง่าย

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้หยุดทัพตั้งมั่นอยู่แดนเมืองเอ๊กจิ๋ว แล้วให้หานายบ้านคนหนึ่งออกมาจะให้นำทางไป นายบ้านจึงว่า ข้าพเจ้าไม่รู้แห่งทาง แต่มีทหารกองตะเวนของอ้วนเสี้ยวคนหนึ่งชื่อเตียนติ๋วหนีมาอยู่เมืองนี้ เจนทางแลตำบลบ้านสิ้น โจโฉจึงให้หาตัวเตียนติ๋วมาถามระยะทางจะให้นำไป เตียนติ๋วจึงบอกว่า ซึ่งจะให้ยกไปหัวเมืองตวันตกนั้น ข้าพเจ้าจะนำไปได้อยู่ แต่ตำบลแดนเมืองหลิวเซียนั้นทางกันดารนัก ถ้าจะเดิรเท้าก็ต้องลุยน้ำแลเลน แม้จะไปเรือน้ำก็ตื้น ขอให้กลับไปเข้าทางตำบลอีหลง ต่อไปถึงกึ่งทางนั้นลำบากนัก จะต้องไต่ตามริมเนินเขาช่องแคบไป ครั้นพ้นที่นั้นแล้วออกทุ่งใหญ่ จึงวกเข้ามาทางเมืองหลิวเซีย เป๊กตุ้นเจ้าเมืองนั้นไม่ทันรู้ตัว เห็นท่านจะได้เมืองนั้นโดยง่าย

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารอยู่รักษากุยแกที่ตำบลนั้น แล้วตั้งให้เตียนติ๋วเปนนายทหารสำหรับนำทาง ให้เตียวเลี้ยวเปนกองหน้า โจโฉเปนกองหลวง แล้วยกกองทัพไปถึงเขาเป๊กลงสาน พอพบอ้วนฮีอ้วนซงกับเป๊กตุ้น คุมทหารเปนอันมากมาตั้งสกัดอยู่ปากทางซึ่งจะออกทุ่งใหญ่ เตียวเลี้ยวเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ทหารตั้งสงบอยู่ แล้วขับม้ารีบมาบอกโจโฉว่า เป๊กตุ้นเจ้าเมืองหลิวเซีย คุมทหารมาตั้งสกัดปากทางไว้ โจโฉแจ้งดังนั้นก็ขึ้นไปบนเนินเขา เห็นทหารเป๊กตุ้นมิได้ตั้งเปนกระบวนทัพ แล้วส่งธงแดงอาญาสิทธิ์สำหรับแม่ทัพแลกะเกณฑ์ทหารให้เตียวเลี้ยว เร่งขับทหารเข้าโจมตีกองทัพเป๊กตุ้น เตียวเลี้ยวก็รับเอาธงแล้วเรียกเคาทูซิหลงอิกิ๋ม เปนสี่นายทั้งเตียวเลี้ยว ก็พากันขับม้ารีบขึ้นไป คุมทหารออกโจมตีฆ่าฟันทหารเป๊กตุ้นล้มตายเปนอันมาก เตียวเลี้ยวนั้นเข้ารบพุ่งกับเป๊กตุ้นเปนสามารถ แล้วเอาทวนแทงเป๊กตุ้นตกม้าตาย เหล่าทหารทั้งปวงก็เข้ามาอ่อนน้อมแก่ทหารโจโฉสิ้น อ้วนฮีอ้วนซงเห็นดังนั้นก็พาทหารอ้อมหนีไปหัวเมืองตวันออก

โจโฉจึงพาทหารทั้งปวงเข้าไปเมืองหลิวเซีย แล้วจะตั้งให้เตียนติ๋วอยู่รักษาเมือง เตียนติ๋วจึงร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเปนคนหนีนาย ท่านมาพบเข้าก็มิได้เอาโทษนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งท่านจะซ้ำให้เปนเจ้าเมืองนี้ไม่ได้ เหตุว่าหนีนายมาแล้วมิหนำซ้ำจะมาให้ผู้อื่นตั้งแต่งตัวเปนดีนั้นมิชอบ ถึงมาทว่าท่านไม่เอ็นดูจะฆ่าฟันข้าพเจ้าเสีย ด้วยขัดคำท่านข้อนี้ก็ตามเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสรรเสริญเตียนติ๋วว่าน้ำใจสัตย์ซื่อนัก จึงว่าท่านไม่พอใจอยู่เปนเจ้าเมืองก็ตามเถิด แล้วก็ตั้งเตียนติ๋วไว้เปนที่ปรึกษา

ขณะนั้นโจโฉได้ม้าประมาณหมื่นเศษ แลเมืองนั้นขัดสนด้วยสเบียงอาหาร เปนเทศกาลหนาว โจโฉจึงให้ยกทัพกลับมาทางประมาณสองพันเส้น ในกองทัพนั้นขาดสเบียงแลน้ำ โจโฉก็ให้ฆ่าม้าเชลยนั้นแจกทหารทั้งปวงกิน แล้วให้ขุดบ่อลึกประมาณเก้าวาสิบวาจึงได้น้ำแจกทหาร แล้วยกมาถึงเมืองเอ๊กจิ๋วให้หยุดทัพอยู่ ปูนบำเหน็จทหารใหญ่น้อยตามสมควร แต่ผู้ที่ห้ามไม่ให้ยกไปหัวเมืองฝ่ายตวันตกนั้น โจโฉแกล้งปูนบำเหน็จมากกว่าทหารทั้งปวงส่วนหนึ่งบ้างสองส่วนบ้าง แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งเรายกมาตีเมืองหลิวเซียครั้งนี้ทางก็ไกล บันดาผู้ที่ห้ามปรามก็ได้รับบำเหน็จเปนอันมาก เหตุว่าเราไม่ฟัง ขืนยกไปตีได้นั้นก็เพราะเทพยดาช่วยเรา แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าถ้าเราจะทำการสิ่งใด ก็อย่าให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อว่าจะเหน็จเหนื่อยลำบากยากแค้นเลย

ขณะเมื่อโจโฉยังมาไม่ถึงนั้น กุยแกตายแล้ว ทหารรักษาศพไว้ท่าโจโฉ ครั้นโจโฉกลับมาถึงก็ปูนบำเหน็จทหาร แล้วให้แต่งการศพ โจโฉจึงให้จุดธูปเทียนเส้นศพกุยแกแล้วร้องไห้รัก ว่าครั้งนี้กุยแกมาถึงแก่ความตาย อุปมาเหมือนเทพยดาทำลายชีวิตเราเสีย แล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า อายุท่านทั้งนี้กับเราก็คราวกัน แต่กุยแกนั้นอายุอ่อนกว่าเรา ๆ คิดไว้ว่า แม้ตัวเราตายจะได้ฝากบุตรแลครอบครัว มอบการทั้งปวงไว้ให้กุยแกช่วยทำนุบำรุงสืบไป กุยแกก็มาตายเสียก่อนดังนี้ไม่ควรเลย ที่ไหนตัวเราจะมีความสบาย

ในขณะนั้นคนใช้สนิธของกุยแกจึงเอาหนังสือมาให้โจโฉแล้วบอกว่าหนังสือฉบับนี้เมื่อกุยแกใกล้จะสิ้นใจนั้นได้อุตส่าห์เขียนไว้ให้ท่าน คำนอกนั้นกุยแกสั่งไว้ว่า ให้มหาอุปราชทำตามหนังสือนี้จงได้ อันเมืองเลียวตั๋งนั้นก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือท่าน โจโฉจึงรับเอาหนังสือมาดูแล้วก็พยักเอา จึงเก็บเอาหนังสือนั้นใส่หีบซ่อนไว้ แต่ที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงไม่แจ้งเนื้อความประการใดก็มีความสงสัย ครั้นเวลารุ่งเช้าแฮหัวตุ้นจึงบอกโจโฉว่า ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่า กองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง ซึ่งอยู่ฝ่ายตวันออกเมืองกิจิ๋วนั้น คิดองค์อาจตระเตรียมทหารแต่งค่ายคูประตูหอรบไว้มั่นคง ทั้งอ้วนฮีอ้วนซงก็ไปอาศรัยอยู่ด้วยกองซุนของ ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของนั้นจะเปนศัตรูของท่านจึงคิดอ่านทำการทั้งนี้ ขอให้ท่านเร่งยกกองทัพไปกำจัดเสียให้ทันที แล้วจะได้จับตัวอ้วนฮีอ้วนซงด้วย แม้ละไว้ช้ากองซุนของจะมีความคิดแก่ขึ้น

โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า การทั้งนี้อย่าวิตกเลย เราหาให้ท่านทั้งปวงได้ความลำบากไม่ จงชวนกันรอฟังดูสักเก้าวันสิบวันก่อนเถิด กองซุนของก็จะตัดสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้เรา ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัยอยู่

ฝ่ายอ้วนฮีอ้วนซงเมื่อหนีโจโฉไปนั้น ได้ทหารประมาณพันเศษ ครั้นถึงเมืองเลียวตั๋ง ก็บอกเนื้อความทั้งปวงแก่นายประตูให้เข้าไปแจ้งสารทุกข์แก่กองซุนของ ว่าเราพี่น้องจะขอเข้าไปอยู่อาศรัย นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่กองซุนของ ๆ แจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ขุนนางแลทหารทั้งปวงว่า บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงหนีโจโฉมา จะขออาศรัยเมืองเราจะเห็นประการใด กองซุนก๋งผู้น้องจึงว่า ครั้งอ้วนเสี้ยวเมื่อยังไม่ตายนั้น ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่า อ้วนเสี้ยวจะยกมาทำอันตรายเมืองเราเนืองๆ อยู่ บัดนี้อ้วนฮีอ้วนซงเสียเมืองหนีมา ซึ่งเราจะให้อยู่อาศรัยนั้นไม่ได้ ด้วยน้ำใจอ้วนฮีอ้วนซงนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งกา แม้จะให้อาศรัยอยู่ในเมืองเรา นานไปจะคิดการกำเริบชิงเอาเมืองเราเหมือนชิงรังนกกระเหว่า ของให้ลวงอ้วนฮีอ้วนซงเข้ามาแล้วจับตัวฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะไปให้แก่โจโฉ เมืองเราก็จะไม่มีอันตราย กองซุนของจึงตอบว่า พี่เกรงอยู่ว่าโจโฉนั้นมีกำลังกล้าหาญนัก เกลือกจะยกกองทัพล่วงตีถึงเมืองเรา ซึ่งเราจะให้ฆ่าอ้วนฮีอ้วนซงเสียนั้นไม่ควร ถ้าเลี้ยงไว้เปนทหารก็จะได้ต่างมือเราไปรบพุ่งโจโฉดีกว่า กองซุนก๋งจึงว่า ซึ่งท่านคิดนี้ก็ชอบอยู่ ขอให้แต่งทหารออกไปสืบดูให้รู้ว่า ถ้าโจโฉจะยกล่วงมาตีเมืองเราจึงเลี้ยงอ้วนฮีอ้วนซงไว้ แม้โจโฉไม่ยกมาแล้วก็ให้จับเอาอ้วนฮีอ้วนซงฆ่าเสีย ตัดเอาสีสะส่งไปให้โจโฉ กองซุนของเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารไปสืบดูกองทัพโจโฉ ทหารรับคำแล้วก็ลาไป กองซุนของจึงให้ทหารออกไปรับอ้วนฮีอ้วนซง

ฝ่ายอ้วนฮีอ้วนซงจึงปรึกษากันว่า ทหารในเมืองเลียวตั๋งนี้มีอยู่ประมาณห้าหมื่นเศษ เห็นพอจะต้านทานโจโฉได้ แม้เราเข้าไปอยู่แล้วจึงคิดอ่านชิงเอาเมืองฆ่ากองซุนของเสีย จึงเกลี้ยกล่อมซ่องสุมชาวบ้านชาวเมืองบัญจบกับทหารเรา แล้วยกไปรบชิงเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือของเราคืน ครั้นปรึกษาแล้วก็พากันเข้าไปหากองซุนของ ในขณะนั้นกองซุนของให้เลี้ยงดูจัดแจงที่อยู่ให้ แล้วกองซุนของทำป่วยมิได้ออกว่าราชการ หวังจะฟังข่าวกองทัพโจโฉ

ฝ่ายทหารซึ่งไปสืบข่าว จึงกลับมาแจ้งข้อราชการแก่กองซุนของว่า บัดนี้โจโฉยังตั้งทัพอยู่ณเมืองเอ๊กจิ๋ว จะได้คิดอ่านซึ่งจะยกมาตีเมืองเลียวตั๋งนั้นหามิได้ กองซุนของได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดทหารประมาณห้าสิบ ถืออาวุธครบมือซุ่มไว้ที่ข้างในแล้วสั่งว่า ถ้าอ้วนฮีอ้วนซงเข้ามาปรึกษาราชการ แม้ได้ยินเสียงเราร้องว่าเอาเถิด จงช่วยกันจับอ้วนฮีอ้วนซงไปฆ่าเสีย แล้วจึงให้คนออกไปบอกอ้วนฮีกับอ้วนซงเข้ามาปรึกษาราชการ อ้วนฮีอ้วนซงก็คำนับกองซุนของ แล้วมิได้เห็นแต่งที่แลมีเก้าอี้นั่งตามธรรมเนียมดังนั้นก็หารู้เท่าไม่ จึงว่าแก่คนใช้ว่าให้ขอเสื่อมาจะได้ปูนั่งปรึกษาราชการ กองซุนของได้ฟังดังนั้นก็ถลึงตาตวาดเอาแล้วว่า จะได้เสื่อที่ไหนมาให้นั่ง อันสีสะมึงทั้งสองนี้จะต้องใส่ถังไปทางไกล แล้วก็ร้องว่าให้เร่งลงมือเถิด ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ชวนกันเข้ากลุ้มรุมจับตัวอ้วนฮีอ้วนซงฆ่าเสีย แล้วตัดเอาสีสะใส่ถังไว้ กองซุนของจึงให้ทหารเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงนั้นไปให้โจโฉณเมืองเอ๊กจิ๋ว ทหารก็เอาถังสีสะไป

ขณะเมื่อโจโฉตั้งอยู่ณเมืองเอ๊กจิ๋วนั้น แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านไม่ยกไปตีเมืองเลียวตั๋งแล้วก็จะตั้งรออยู่ใยให้ช้า จงเลิกกองทัพกลับไปณเมืองฮูโต๋ดีกว่า เกลือกเล่าเปียวเล่าปี่จะยกมาทำอันตราย จะได้คิดอ่านป้องกันรักษาเมือง โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งท่านทั้งปวงว่าทั้งนี้ก็ชอบ แต่เราจะของดไว้ให้ชาวเมืองเลียวตั๋งเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้แล้วจึงจะยกกองทัพกลับไป ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ไม่เชื่อ ต่างคนต่างเมินหน้ายิ้ม พอคนใช้เข้ามาบอกว่า ทหารกองซุนของเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้ ในขณะนั้นที่ปรึกษากับทหารทั้งปวงก็ตกใจแลดูหน้ากันตลึงอยู่ โจโฉจึงให้ทหารกองซุนของเข้ามา ทหารนั้นคำนับแล้วแจ้งเนื้อความว่า กองซุนของรู้กิตติศัพท์ว่าอ้วนฮีอ้วนซงเปนศัตรูของมหาอุปราช จึงจับตัวฆ่าเสียแล้วตัดเอาสีสะส่งมาให้ แลตัวกองซุนของนั้นขอพึ่งบุญมหาอุปราชสืบไป

โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี หัวเราะแล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า กุยแกนั้นอ่อนแต่อายุ อันสติปัญญาจะหมายการสิ่งใดมิได้ผิด แล้วให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ทหารกองซุนของเปนอันมาก จึงให้แต่งตราตั้งกองซุนของเปนเจ้าเมืองเลียวตั๋งเปนบำเหน็จตามมีความชอบ ทหารนั้นก็รับเอาตรา แล้วก็ลาโจโฉกลับไปณเมืองเลียวตั๋ง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า เมื่อทหารกองซุนของเอาสีสะอ้วนฮีอ้วนซงมาให้นั้น ท่านสรรเสริญกุยแกว่ามีความคิดประมาณการสิ่งใดไม่ผิดนั้น กุยแกว่าประการใดไว้แก่ท่าน โจโฉจึงเอาหนังสือกุยแกซึ่งให้ไว้เมื่อใกล้จะตายนั้นออกให้ดู ที่ปรึกษาแลทหารอ่านดูในหนังสือนั้นใจความว่า ข้าพเจ้ากุยแกขอบอกไว้แก่มหาอุปราชให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้ารู้ว่าอ้วนฮีอ้วนซงนั้นหนีไปอยู่ด้วยกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง อย่าให้ท่านยกกองทัพไปทำอันตรายเมืองเลียวตั๋ง ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนเลย ด้วยเหตุว่ากองซุนของกับอ้วนฮีอ้วนซงนั้นก็หมายใจจะคิดร้ายกันอยู่ แม้ท่านจะขืนยกไปตีเมืองเลียวตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของกับอ้วนฮีอ้วนซงจะประนอมพร้อมกันช่วยรบพุ่งท่าน ทหารทั้งปวงก็จะได้ความลำบาก ที่ปรึกษาทั้งปวงครั้งแจ้งในหนังสือดังนั้นก็ตบมือสรรเสริญกุยแก ว่ามีสติปัญญาหมายการดังเทพยดาดลใจ แล้วชวนกันแต่งเครื่องเส้นจุดธูปเทียนไปบูชาศพกุยแก

ขณะเมื่อกุยแกแรกมาอยู่ด้วยโจโฉนั้นอายุได้ยี่สิบเจ็ดปี ทำราชการมีบำเหน็จความชอบมาสิบเอ็ดปี เมื่อตายนั้นอายุได้สามสิบแปดปี โจโฉจึงยกกองทัพมาตั้งอยู่ณเมืองกิจิ๋ว แล้วให้ทหารเอาศพกุยแกไปแต่งการฝังไว้ณเมืองฮูโต๋ เทียหยกจึงว่าแก่โจโฉว่า อันหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ท่านก็ปราบปรามราบคาบแล้ว ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไปเมืองบำรุงทหารให้มีกำลัง แล้วจะได้ยกไปตีซุนกวน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งท่านตักเตือนดังนี้ก็ต้องความคิดเรา ครั้นเวลาค่ำโจโฉจึงพาซุนฮิวขึ้นบนหอรบ เห็นดาวฝ่ายทิศใต้นั้นมีรัศมีรุ่งเรือง จึงชี้ให้ซุนฮิวดูดาวแล้วว่า ซึ่งเราจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งนั้นยังไม่ได้ ด้วยดาวฝ่ายทิศตรงเมืองกังตั๋งนั้นยังมีรัศมีสุกใสผ่องแผ้วอยู่ ซุนฮิวจึงตอบว่า มหาอุปราชมีวาศนาใหญ่หลวงอยู่ ถึงมาทว่าดาวฝ่ายทิศใต้ยังมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ก็ดี แม้จะยกไปปราบปรามก็จะราบคาบไปด้วยบุญแลปัญญาท่าน พอโจโฉกับซุนฮิวแลเห็นที่แผ่นดินใต้หอรบเปนแสงเพลิงพลุ่งขึ้นสูงประมาณสี่ศอก โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าเหตุใดจึงเปนดังนี้ ซุนฮิวจึงว่า ใต้ดินตรงนั้นเห็นจะมีสิ่งของประหลาท โจโฉก็ลงมาให้ทหารขุดได้นกยูงทองแดงตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าผลส้มแป้น โจโฉจึงเอามาดูแล้วถามซุนฮิวว่า ซึ่งเราได้ของสิ่งนี้จะดีแลร้ายประการใด ซุนฮิวจึงว่า ครั้งมารดาพระเจ้าซุนเต้ยังเปนชาวบ้านนอกอยู่นั้น นิมิตร์ฝันว่าได้กลืนหงส์หยกเข้าไปไว้ อยู่มานางนั้นก็มีครรภ์คลอดบุตรมาเปนชาย ครั้นใหญ่ขึ้นปรากฎว่ามีกตัญญูนัก ขณะนั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ได้เสวยราชสมบัติแจ้งว่าบุตรนางนั้นมีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อมารดา จึงประทานราชธิดา ต่อมาถึงได้ราชสมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าซุนเต้[๑] ซึ่งท่านได้นกยูงทองแดงนี้ก็ดีอยู่

โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ชาวเมืองให้หาอิฐปูนมาแล้วให้ตั้งเมืองขึ้นริมแม่น้ำเจียงโหตำบลเงียบกุ๋น สร้างปราสาทสูงใหญ่ ปีหนึ่งจึงสำเร็จการ แล้วเอานกยูงขึ้นไว้บนปราสาทสำหรับจะได้คำนับบูชา โจสิดซึ่งเปนน้องโจผีจึงว่าแก่โจโฉผู้บิดาว่า ท่านสร้างปราสาทนี้แล้วจงสร้างเปนที่ปารัศว์ขึ้นสองข้าง ๆ ขวานั้นให้ทำรูปมังกร ข้างซ้ายนั้นให้ทำรูปหงส์ไว้ แล้วให้ทำสะพานสูงตลอดเข้าไปทางแกลปราสาทใหญ่ให้เดิรถึงกันทั้งสองข้าง จึงจะงามสมกัน โจโฉเห็นชอบด้วย แล้วสั่งให้โจผีกับโจสิดเปนแม่การอยู่จัดแจงทำ อันเตียวเอี๋ยนนั้นให้คุมทหารไปตั้งป้องกันกำกับอยู่ปลายแดนเมืองกิจิ๋ว ขณะนั้นโจโฉได้ทหารเลวอ้วนเสี้ยวไว้ประมาณห้าสิบหมื่น กับทหารเอกเปนอันมาก โจโฉจึงให้จัดแจงพร้อมแล้วก็ยกกลับมาณเมืองฮูโต๋ปูนบำเหน็จทหาร โจโฉจึงให้เอาตัวกุยเอ๊กบุตรกุยแกมาเลี้ยงไว้ แล้วปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าเปียวกับซุนกวนเสีย จะเห็นดีประการใดบ้าง ซุนฮกจึงว่า ท่านไปทำการสงครามพึ่งกลับมา ทหารทั้งปวงยังบอบช้ำอิดโรยอยู่ ของดไว้บำรุงทหารให้มีกำลังก่อน ต่อขึ้นปีใหม่จึงยกไปทำการ โจโฉเห็นชอบด้วย ก็บำรุงทหารให้มีน้ำใจในการสงครามไว้



[๑] มีอยู่ในเรื่องไคเพ็ก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ