ศรีทะนนไชย

๏ ข้าขอยอหัตถ์ นบนิ้วโสมนัส เหนือเกล้าเกศี ถวายอภิวาท วรบาทมุนี คุณลํ้าโลกีย์ อเนกครามครัน พระพุทธองค์ทรงสวัสดิ์ ปราโมทย์โปรดสัตว์ สิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ พรหมินอินทร์องค์ สุริยงวงจันทร์ ไม่เทียบเทียมทัน ทุกชั้นเทวา อมรมารมนุษย์ หมู่พราหมณ์พรหมบุตร ยุติขัติยา บรรดาปัจจามิตร ตามติดศาสนา พ่ายแพ้อัปรา เดชาชินวร ปลดปลงสงสัย มุนีเวไนย สรรพสัตว์สโมสร แก้ทั้งทุกขา ปัญหาพยากรณ์ โปรดสัตว์ตัดรอน ลุถึงนฤพาน พระทรงธรรเมศ ประเสริฐวิเศษ สูงสุดวิมาน เทวามนุษย์ เทพบุตรกราบกราน ถวายวันทนาการ บ่ได้เว้นวาย พระอริยวงศ์ สาวกพระสงฆ์ ทรงศีลสืบสาย สลัดตัดเภท ละกิเลสทำลาย ลุล่วงขวนขวาย ราคร้ายราคี ไหว้คุณอาจารย์ สอนเรียนเขียนอ่าน ให้รู้บาลี ไหว้คุณบิตุเรศ ปกเกศเกศี อีกทั้งชนนี ที่เลี้ยงประคอง พระคุณเลิศล้น ธรณีแนวชล บ่เปรียบถึงสอง หากอุประมา คุณาเนืองนอง แห่งท่านทั้งสอง อเนกครามครัน พรรณนานับคุณ ถ้วนแล้วบริบูรณ์ โดยลำดับกัน ขอแต่งทำนอง จงคุ้มครองฉัน ตามเรื่องราวนั้น ท่านเล่าสืบมา หญิงชายผู้ใด อ่านเล่าเจนใจ จำไว้เถิดนา ผิดบ้างพลั้งพลาด อย่าประมาทนินทา ติเตียนตัวข้า ปัญญาโฉดเขลา ข้าพึ่งคิดแต่ง ลิขิตคลางแคลง อักษรหนักเบา ท่านผู้รู้แท้ ช่วยแก้แต่งเอา ผิดชอบข้าเจ้า อย่าถือโทษา ฯ

๏ จักกล่าวนิทาน เรื่องราวบุราณ แต่ก่อนโพ้นมา ยังมีกษัตริย์ จักรพรรดิราชา เสวยราชนัครา อยุธยากรุงไทย นามกรภูเบศ สืบวงศ์พงศ์เพศ เจษฎาภารไกร เลื่องลือปรากฏ ยศศักดิ์ศิลปชัย เมืองขึ้นนับได้ ร้อยเอ็ดนครา มีหมู่กุญชร สินธพอัสดร นิกรโยธา เศรษฐีวาณิช ประมวลพฤฒา ประเทศพารา กรุงไกรภูบาล เสนาน้อยใหญ่ ตำรวจนอกใน พลไกรทหาร กลาโหมมหาดไทย เฝ้าในราชการ นบนอบหมอบกราน ครามครันมากมี องค์อัครชาเยศ ทรวดทรงวิเศษ สมศักดิ์แจ่มใส ชื่ออนงคมาลี โฉมศรีประไพ ชาติเชื้อเนื้อไข มัทราชบุรี สนมกำนัล ถ้วนหมื่นหกพัน อเนกนารี แวดล้อมภูเบศร์ ทวยเทศขันที พิณพาทย์ดีดสี ร้องรับขับขาน ปราสาทสวยสุด วิมานเทวบุตร แม้นเหมือนประมาณ ประดับประดิษฐ์ วิจิตรชัชวาล นพรัตน์แกมกาญจน์ ตระหง่านอัมพน กำแพงป้องกัน ป้อมค่ายหลายหลั่น เจ็ดชั้นชอบกล หอรบรายเรียง เคียงกันสับสน สำหรับจุมพล กษัตริย์สืบมา ฝ่ายทิศอุดร ลำเนาสิงขร ใกล้กับพารา หนทางนั้นโสด ถึงโยชน์คณนา เหย้าเรือนแน่นหนา ชื่อว่าบ้านบึง เรือนหนึ่งนนเล่า ผัวเมียสองเจ้า ชวนกันรำพึง เป็นนิจนิรันดร์ ทุกวันคำนึง เช้าคํ่ารำพึง บ่ได้เว้นวาย ปลูกศาลเพียงตา บายศรีซ้ายขวา ตกแต่งมากมาย บวงสรวงเทวา บูชาของถวาย ขอลูกหญิงชาย เกิดแก่อาตมา ฯ

ยานี ฯ บัดนั้นท้าวโกสีย์ อยู่ในที่แท่นไสยา ผาดเพ่งเล็งลงมา เห็นสองราน่ารำคาญ ชวนกันไปบูชา ตั้งสัตยาธิษฐาน ขอเกิดลูกนงคราญ ผู้เยาวมาลย์ยอดเสน่หา ถ้ากูนี้มิไปช่วย เห็นจะม้วยชีพชีวา ไม่ได้สืบบุตรา ทั้งสองราจะบรรลัย สมเด็จท้าวอินทรา พิจารณารู้แจ้งใจ พินิจคิดสงสัย ไม่เห็นใครจะสมควร จึงเห็นเทวบุตร ผู้ใจสุทธิ์พอสงวน ท่านนี้เห็นสมควร ลงไปเกิดด้วยง่ายดาย เทวบุตรรับบัญชา ท้าวอินทราแล้วผันผาย กราบลามาโดยหมาย จากวิมานอันโอฬาร์ จุติมาบัดดล เข้าปฏิสนธินางเหรา วันนั้นนางกัลยา เป็นมหามหัศจรรย์ เทวาแกล้งอาเพศ นำเอาเหตุมาด้วยพลัน ใกล้รุ่งคืนวันนั้น นางจึงฝันประหลาดใจ ผันว่าไปเที่ยวเล่น เขาพระเมรุอนสูงใหญ่ ปิดทางขวางหน้าไว้ จะเดินไปยากนักหนา นางจึ่งยื่นมือไป จับเมรุไตรยอดบรรพตา เดินเหยียบเลียบไปมา แล้วจึ่งคว้าเอาพระจันทร์ นางตื่นขึ้นทันที ปลุกสามีด้วยเร็วพลัน เล่าความตามอัศจรรย์ ซึ่งฝันนั้นทุกประการ นันทาตื่นขึ้นแล้ว กอดเมียแก้วยอดสงสาร ว่าพรุ่งนี้นงคราญ ไปหาท่านที่อาราม ให้ทำนายช่วยทายทัก แจ้งประจักษ์ซึ่งเนื้อความ ร้ายดีพี่จะถาม นางโฉมงามเจ้าฝันเห็น ชรอยเจ้าจะมีครรภ์ เหตุอันนั้นบังเกิดเป็น จึ่งให้นิมิตเห็น เช่นนี้ไซร้ไม่เคยมี ครั้นรุ่งสว่างแล้ว นางผ่องแผ้วเกษมศรี จัดแจงแต่งถ้วนถี่ นางจรลีด้วยเร็วไว บัดเดี๋ยวถึงอาวาส ค่อยยุรยาตรเดินเข้าไป เจ้าคุณอยู่หรือไม่ ข้านี้ไซร้ต้องกังวล เจ้าเณรจึ่งร้องว่า เชิญสีกามาข้างบน จงบอกอนุสนธิ์ จะทำวลว่ากระไร สมภารท่านไปฉัน จะคอยท่านอยู่ที่ไหน ลูกเต้าจะร้องไห้ เร่งรีบไปเถิดสีกา นางว่าน่าบัดสี เณรองค์นี้พูดมุสา เอาลูกที่ไหนมา แกล้งว่าฉันน่าอาย สีกาปรับทุกข์พลัน ตามเรื่องฝันสิ้นทั้งหลาย จักให้ท่านทำนาย ดีหรือร้ายไม่รู้เลย เจ้าเณรแกล้งเจรจา เป็นลับมาว่าเฉยเฉย สีกายังไม่เคย อย่ากลัวเลยในสุบิน ปีนี้คงมีบุตร งามบริสุทธิ์หมดมลทิน เป็นชายโฉมเฉิดฉิน ประกอบสิ้นในลักขณา จะเป็นตลกหลวง เราไม่ลวงเล่นดอกหนา ไปเถิดนะสีกา ฟังรูปว่าอย่าวุ่นวาย สีกาลาจรลี จากกุฎีค่อยผันผาย กำหนดเณรทำนาย ว่าวุ่นวายไม่เป็นอัน ครั้นมาถึงเคหา บอกภัสดาผู้ผัวขวัญ ไปหาท่านไม่ทัน พบเณรนั้นช่วยทำนาย บอกเล่าให้ผัวฟัง ตามเณรสั่งสิ้นโดยหมาย ผัวเมียค่อยสบาย เขาทักทายมิเป็นไร แต่พอนางเหรา กลับเข้ามาบัดเดี๋ยวใจ สมภารเดินไวไว ขึ้นกุฎีใหญ่ล้างบาทา เจ้าเณรบอกอาการ ว่าชาวบ้านเขามาหา แจ้งความตามสีกา เขาเล่ามาให้ฉันฟัง จึงเล่าอภิปราย เรื่องทำนายมาแต่หลัง สมภารครั้นได้ฟัง ดูน่าชังเณรจังไร ฝันดีทายว่าร้าย มึงทำนายให้ผิดไป สุบินเช่นนี้ไซร้ ดีพ้นใจในตำรา เขาจกมีลูกชาย งามพรรณรายด้วยบุญญา จะได้ครองพารา ในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน ฯ

สุรางคนางค์ ฯ เมื่อนั้นสองรา อยู่จำเนียรมา ช้านานหลายวัน ชื่นชมสมสอง ปรองดองด้วยกัน อยู่สุขทุกวัน ไม่มีอันตราย ถ้วนสิบเดือนปลอด เหราจึ่งคลอด ลูกรักโฉมฉาย เดือนสี่ปีวอก ออกโดยง่ายดาย วันพฤหัสบดีพพอสาย บ่ายแล้วสองโมง หมู่ญาติวงศา พร้อมมูลกันมา บ้างหาอ่างโอ่ง อาบน้ำหลานขวัญ พร้อมกันในโรง ทั้งโคตรโขยง อื้ออึงคะนึงไป จึงให้นามกร หลานรักบังอร ชื่อศรีทะนนไชย ฤกษ์งามยามปลอด เมื่อคลอดนั้นไซร้ มืดคลุ้มกลุ้มไป ทั่วทงพารา บรรดาชาวบ้าน เรือนเรียงเคียงร้าน รอบเรือนนันทา บ้างถือสิ่งของ เงินทองเสื้อผ้า ชวนกันเอามา ไม่เหลือสักคน ใครมีสิ่งไร นำเอามาให้ ตามยากตามจน บ้างมาบ้างไป ขวักไขว่สาละวน ผัวเมียสองคน ได้ทรัพย์มากมูล ปลอดห่วงวันนั้น สิทธิโชคสิบชั้น พระจันทร์ยุคูณ อาทิตย์เป็นอุดม บริสุทธิ์สมบูรณ์ ศุกร์ขึ้นอยู่เมถุน หนุนกับอังคาร เสาร์เป็นวิเศษ ลัคนาอยู่เมษ ชะตากล้าหาญ พฤหัสบดีนำหน้า ปัญญาเชี่ยวชาญ ราหูอยู่ทวาร อาจารย์ทักทาย แทบเศวตฉัตรชั้น มีบริวารจันทร์ ตัดทางเมฆฉาย ชะตาราศี ปีเดือนทั้งหลาย เจ้าเณรทำนาย ทายให้ผิดไป แต่ก่อนศักดิ์สิทธิ์ หญิงชายนิมิต ฝันเห็นสิ่งใด ถึงตัวฝันร้าย เขาทายแก้ไข ว่าคงจะได้ ลาภล้นคณนา สมด้วยเรื่องราว ดังท่านว่ากล่าว ตามฝันนั้นหนา จริงจังดังนั้น เหมือนท่านเล่ามา ดุจนางเหรา ให้เณรทำนาย อยู่มาช้านาน ทะนนไชยกุมาร จำเริญสืบสาย ค่อยวัยวัฒนา เจรจาเราะราย เหราโฉมฉาย จึงคลอดอีกคน อยู่ไปหลายวัน พี่น้องสองนั้น เลี้ยงกันตามจน อาบนํ้าอาบท่า เวลาละสามหน ผัดแป้งแต่งตน ตามประสากุมาร วันหนึ่งนั้นเล่า ผัวเมียสองเจ้า เข้าป่าไพรสาณฑ์ จึงฝากลูกเต้า กับเขาชาวบ้าน เที่ยวหาผลาหาร ฟืนผักตามมี พี่น้องสองคน อยู่เหย้าเรือนตน บ่ได้ด่าตี เล่นหัวไปมา เจรจาเปรมปรีดิ์ ครั้นคํ่าราตรี พ่อแม่กลับมา เจ้าศรีทะนนไชย เหลือบแลแต่ไกล ดีใจนักหนา วิ่งไปร่อยๆ คอยรับมารดา สิ่งใดได้มา ข้าช่วยเอาไป เหราเทวี เห็นโฉมสองศรี วิ่งรี่ออกไป ล้าเลื่อยเหนื่อยกาย ค่อยคลายสบายใจ กอดลูกทรามวัย รับมิ่งสิ่งขวัญ จูบกระหม่อมจอมเกศ ทั้งสองเยาวเรศ รักยิ่งเสมอกัน ผัวเมียเป็นสุข สนุกทุกวัน เที่ยวหาเลี้ยงกัน เป็นนิจอัตรา เวลาวันหนึ่ง แม่ค้ามาถึง ยังเรือนเคหา สิ่งของร้องขาย กล้วยกล้ายถั่วงา มังคุดลมุดสีดา สินค้าหลายพรรณ ทะนนไชยกุมาร เล่นอยู่กลางบ้าน มากมายด้วยกัน แลเห็นแม่ค้า เดินมาด้วยพลัน วิงวอนแม่นั้น ให้ซื้อขนมกิน จึงนางเหรา หยิบเอาเบี้ยมา ซื้อขนมดอกดิน แบ่งให้สองเจ้า เท่ากันโดยถวิล ยื่นไปให้กิน สิ้นแล้วลูกยา เจ้าศรีทะนนไชย คิดแค้นขัดใจ ขึ้งโกรธมารดา ว่าตัวเกิดก่อน มารดรแบ่งมา ให้ข้ามากกว่า จึงจะสมควร เจ้าขนมนั้นไซร้ แกล้งแบ่งส่งให้ แก่น้องสองส่วน ฝ่ายพี่น้อยนัก แกล้งจักเย้ายวน แล้วไปโดยด่วน เที่ยวเร่ร้องขาย ทะนนไชยผู้พี่ โกรธแค้นแสนทวี ร้องไห้เหลือหลาย ชิชะอีเฒ่า ขี้ข้าฉิบหาย มึงแกล้งทำลาย แบ่งปันไม่ดี ทะนนไชยร้องไห้ ด่าทอพ้อยาย วุ่นวายเต็มที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผูกพันไพรี เป็นตายตามที อีเฒ่ารามา แต่แม่กูปัน มากน้อยเท่ากัน เห็นอยู่แก่ตา กูยังว่าน้อย มึงพลอยริษยา แบ่งให้น้องยา มากกว่าพี่ชาย อยู่นานไปเล่า พ่อแม่สองเจ้า เขาเที่ยวค้าขาย เช้าไปเย็นมา อัตราบ่วาย พี่น้องสองชาย เลี้ยงกันตามที ทะนนไชยคิดแค้น โกรธจริงนิ่งแน่น โศกแสนโศกี เหนื่อยหน่ายคลายรัก ยากนักแสนทวี ค่อยเลี้ยงน้องนี้ ขัดสีอุ้มชู ยากเหนื่อยแสนเข็ญ แม่ช่างไม่เห็น ลูกรักโฉมตรู เหนื่อยมากกว่าน้อง ประคองอุ้มชู ให้กินให้อยู่ ป้อนข้าวเช้าเย็น งานการสิ่งใด ลูกนี้ทำได้ สารพันจะเป็น บ้างเก็บบ้างไว้ ใครไม่เล็งเห็น เช้าค่ำเคืองเข็ญ เป็นนิจบ่วาย ส่วนว่าสิ่งของ แบ่งปันให้น้อง เท่ากับพี่ชาย ทะนนไชยโกรธนัก เพียงจักวอดวาย คิดไม่รู้หาย คลายแค้นเลยนา อยู่ไปนานวัน คลายรักผูกพัน จากน้องอาตมา สิ้นวันยังค่ำ มิได้นำพา ข้าวน้ำโภชนา อาหารสิ่งใด ทารกน้องน้อย เที่ยวคลานต้อย ๆ ซัดซ้อนจรไป คลุกฝุ่นคลุกเถ้า ชั่งเจ้าเป็นไร ขี้เยี่ยวเปื้อนไป ทั่วทั้งสารพางค์ ผัวเมียสองคน คิดถึงลูกตน มิได้วายวาง ครั้นเย็นกลับมา สอดตาดูพลาง เห็นลูกคลุกร่าง อยู่กลางใต้ถุน ตั้งแต่เศียรเกล้า ตลอดจนเท้า แต่ล้วนขี้ฝุ่น หัวหูดูเปรอะ เลอะเทอะชุลมุน ยกลูกขึ้นทูน ร้องไห้ร่ำไร ลงไปสู่ท่า ชำระกายา ลูกรักสายใจ ล้างช่วยขัดสี อินทรีย์ผ่องใส กอดจูบลูบไล้ กล่อมให้ลูกนอน ครั้นตื่นหนึ่งเล่า ผัวเมียสองเจ้า ไปดังเก่าก่อน สั่งเสียลูกใหญ่ ทะนนไชยบังอร เลี้ยงน้องอยู่ก่อน กว่าแม่จะมา เล่นอยู่ใกล้ ๆ ระวังระไว น้องรักเสน่หา ชำระขัดสี ขี้เยี่ยวน้องยา อาบน้ำอาบท่า ให้หมดมลทิน กล่อมให้น้องนอน ตื่นแล้วจึ่งป้อน ข้าวน้ำของกิน อย่าให้ทุ่งเถียง ดุดันโดยดิน อย่าทำทมิฬ เมื่อไม่นำพา ถ้าทำเช่นนั้น กูจะโบยรัน ตีให้นักหนา ละน้องเล่นไกล แม้นไม่เมตตา เมื่อกูกลับมา จะตีให้ตาย ฯ

ฉบัง ฯ บัดนั้นจึ่งเจ้านันทา กับนางเหรา ก็พากันเข้าในไพร อยู่แต่ลูกรักทรามวัย น้องน้อยกลอยใจ ทะนนไชยผู้เป็นพี่ยา กรรมหลังได้สร้างสืบมา ติดตามสองรา เคยฆ่าเคยล้างแต่ปางหลัง เวราทำไว้จริงจัง หลายชาติหลายครั้ง เมื่อยังมิได้ให้ผล พี่น้องร่วมท้องสองคน แต่ปฏิสนธิ์ กราบท้าวตลอดคลอดจากครรภ์ ค่อยวัยใหญ่มาด้วยพลัน ทารกรักกัน ทุกวันบ่ได้โกรธา เลี้ยงดูอยู่ด้วยกันมา ทะนนไชยสองรา เมตตากับน้องบังอร รักใคร่มิได้อนาทร เจรจาสั่งสอน บ่ห่อนจะทุ่มเถียงกัน เวรามาติดตามทัน ในเวลานั้น หมายมั่นคอยล้างชีวา ทะนนไชยมิได้กรุณา ดลจิตริษยา ฉวยพร้าเข้าผ่าเป็นควัน ชักไส้ตับไตออกพลัน จากท้องน้องนั้น ดิ้นยันฟันซ้ำอำมหิต ดับสูญสุดสิ้นชีวิต กรรมตนดลจิต ไม่คิดว่าน้องของตน ชาวบ้านไม่รู้สักคน ว่าเกิดเหตุผล ต้นปลายจะเป็นอย่างไร ผ่าแล่งแกล้งให้บรรลัย แล้วจึงนำไป ชำระให้หมดราคี อาบน้ำอาบท่าขัดสี ล้างด้วยดิบดี ไม่มีซึ่งความอาลัย ผัดแป้งแต่งทาลูบไล้ แล้วจึงยกไป ใส่ไว้ในที่เคยนอน ครั้นเย็นย่ำคำรอน ๆ บิดามารดร ก็กลับมาสู่เคหา จึงถามทะนนไชยไม่ช้า น้องไปไหนนา กูมาไม่ได้แลเห็น ทุกวันเวลาเย็น ๆ อุ้มน้องเดินเล่น วิ่งเต้นไปรับมารดา ทะนนไชยบอกไปมิช้า ข้าอาบน้ำอาบท่า ทาแป้งแล้วป้อนอาหาร กล่อมขับให้หลับสำราญ นอนมาช้านาน มิได้คลานเลี้ยวเที่ยวไป มารดาพาซื่อถือใจ เชื่อคำทะนนไชย ไม่รู้ว่าลูกมรณา ไปดูนอนอยู่อ้าซ่า แลเห็นลูกยา อนิจจาใครทำอย่างไร รอยมีดขีดเชือดเลือดไหล แขวะควักชักไส้ ทะลักทลายรายเรียง นางสลบซบซ้อนส่งเสียง ร้องสิ้นสำเนียง กระสันระทดระทวยกาย ลูกเอ๋ยเป็นไรมาตาย ไม่หวาดไหวกาย เสียดายเจ้าดวงชีวา ทุกวันแม่ไปไหนมา เห็นหน้าพังงา เหนื่อยมาแม่คลายหายร้อน ยามกินแม่เคี้ยวข้าวป้อน กล่อมเจ้าให้นอน บังอรมาหนีแม่ไป ลูกเคยสว่างอาลัย ทอดทิ้งแม่ไว้ ชั่งไม่เยื่อใยชนนี แต่เจ้าจากครรภ์จนวันนี้ มิได้โบยตี มารศรีมาม้วยมรณา ผัวเมียร่ำร้องสองรา ด้วยรักลูกยา โอ้ว่าพ่อดวงชีวี สองเจ้าโศกเศร้าโศกี ถึงลูกสองศรี เออนี่เป็นเหตุอย่างไร จึงถามเจ้าศรีทะนนไชย น้องเป็นอย่างไฉน ผู้ใดมาฆ่าราวี ทะนนไชยจึงตอบวาที บอกแก่ชนนี วานนี้แม่บอกข้าไว้ ว่าเจ้าจงเอาใจใส่ ระวังน้องไว้ ขี้เยี่ยวอย่าให้มีเลย สั่งข้าว่าอย่านิ่งเฉย แชเชือนเฉยเมย ลูกเอ๋ยกว่าแม่จะกลับมา อย่าให้น้องไปไหนนา อุตส่าห์นำพา น้องยาให้หมดสดใส ละขว้างวางน้องทิ้งไว้ ไปเที่ยวเล่นไกล กูมาจะได้ตีกัน ทะนนไชยช่างแก้แปรผัน ถ้อยคำสำคัญ ติดพันสำนวนเหลือใจ ห้าวหาญรานทางขวางไป บ่ได้กลัวใคร น้ำใจสามานย์มากมาย ผัวเมียโกรธจริงใจหาย ควรฆ่าน้องชาย เลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุก ฉวยไม้ไล่บั่นราญรุก ตีกลมล้มลุก มันแกล้งทำทุกข์ทรมาน ช าติชั่วผ่าพงศ์ใจพาล เลี้ยงไว้ไปนาน จะพาชาวบ้านเสียไป แต่น้องร่วมท้องร่วมไส้ มันยังทำได้ น้ำใจมันร้ายราวี ชวนกันทุบถองด่าตี อ้ายลูกกาลี ครั้งนี้มึงไปจากเรือน ทั้งสองเที่ยวร้องตักเตือน พงศ์พันธุ์พวกเพื่อน บ้านเรือนรั้วแขวงอันมี ใครอย่าเจรจาพาที คบหาอ้ายนี่ ขับหนีมันไปเสียไกล ใครอย่าเลี้ยงดูมันไว้ อ้ายลูกจังไร อย่าให้มันอยู่เลยนา ฯ

สุรางคนางค์ ฯ เมื่อนั้นทะนนไชย โสกาอาลัย น้อยใจมารดา ออกจากเรือนตน เที่ยวซนแสวงหา พี่ป้าน้าอา ญาติกาของตน ไม่มีผู้ใด ที่จะปราศรัย ด้วยมันสักคน เขาเกลียดเขาชัง สิ้นทั้งถนน เที่ยวไปตามจน พอถึงอาราม จึงเดินเข้าไป ขึ้นบนกุฎีใหญ่ สมภารร้องถาม เด็กน้อยที่ไหน ลูกใครงดงาม กราบแล้วบอกความ พูดจาว่าไป ถ้อยคำอ่อนหวาน ฉอเลาะเหมาะจ้าน เจรจาปราศรัย ตัวข้ายากแท้ พ่อแม่หาไม่ ท่านจงเลี้ยงไว้ เอาบุญเถิดนา สมภารได้ฟัง ลูบหน้าลูบหลัง มีใจเมตตา เด็กน้อยนี้หนอ ปากคอนักหนา โวหารแกล้วกล้า เจรจาครบครัน สมภารถามไป ลูกเต้าเหล่าใคร อย่าได้บิดผัน เองชื่อเสียงไร บอกไปด้วยพลัน อยู่เถิดด้วยกัน กูจะเลี้ยงไว้ กุมารบอกเล่า ตัวของข้าเจ้า ชื่อศรีทะนนไชย พ่อแม่มรณา ข้ามาแต่ไกล พี่น้องหาไม่ อ่อนใจเต็มที เที่ยวสัญจรมา ขอทานข้าวปลา ท่านเลี้ยงชีวี มาพบเจ้าคุณ บุญของข้านี้ หาไม่ชีวี จะสิ้นสูญปราณ ทะนนไชยฝากตัว อยู่กับท่านขรัว มาช้าหึงนาน นวดฟั้นบาทา รักษาพยาบาล ปรนนิบัติอาจารย์ มิให้อนาทร สมภารเลี้ยงไว้ โกนจุกโกนไร เอาใจใส่สอน แล้วบวชเรียนให้ ทะนนไชยบังอร สิ่งของผ้าผ่อน แต่งให้ครบครัน หนังสือขอมไทย ชาญเชนเจนใจ อ่านได้สารพัน เลขผานาที รู้ดีทุกอัน สวดอ่านคำฉันท์ ไม่พรั่นเลยนา อยู่ไปมินาน หลานสาวสมภาร คนเดียวเอกา รูปร่างอุดม งานสมโสภา เลื่อมใสศรัทธา มาบวชเป็นชี อยู่ข้างในวัด งามล้ำกำดัด เย้ายวนยินดี เต้านมครัดเคร่ง เต่งตั้งเต็มดี มาอยู่กุฎี อยู่กับสมภาร สอนเขียนเรียนเล่า ทุกวันค่ำเช้า เป็นนิจมานาน พากเพียรเรียนไป ได้สวดได้อ่าน วันหนึ่งสมภาร อยู่ในกุฎี ร้องเรียกทะนนไชย เองช่วยสอนให้ หลานกูสวดที แนะนำอักษร บทกลอนอันมี สำแดงแจ้งชี้ ถ้วนถี่มีนัย ครั้นสั่งเสร็จสรรพ สมภารนอนหลับ อยู่แต่ทะนนไชย สั่งสอนนางชี ชี้แจงแถลงไข ชักสวดสอนให้ เคียงไหล่ใกล้กัน เณรน้อยทะนนไชย ยิ้มย่องลองใจ ปราศรัยคมสัน เย้าหยอกบอกพลาง ที่กลางหอฉัน แอบอิงพิงพัน ชีนั้นเอียงอาย มือคว้าผ้าห่ม ประจบจูบลูบนม ชิดชมใจหาย หยอกหยิกซิกซี้ จู้จี้มากมาย นางชี้ร้องไฮ้ เจ้าเณรอย่าทำ ทะนนไชยเจ้าเล่ห์ ทำร้องไพล่เผล เหม่ชั่งไม่จำ อ่านผิดหลายหน กลับบ่นงึมงำ ทำนองลำนำ ไม่จำอักขรา ตัวกดมะยอ ตัวนั้นกกทอ กบมะจอต่อมา อักษรกลอนลึก ไม่นึกเล่าหา ผิดถูกไม่ว่า อ้าปากอ่านไป นางชีควักค้อน รู้ถึงอักษร บทกลอนจังไร เฝ้าจูบลูบกัน ทำฉันไปได้ เจ้าเณรนี้ไซร้ ชั่งไม่กลัวเกรง ทะนนไชยใช่ชั่ว ตอบพลันพันพัว แก้ตัวตามเพลง เจ้าไม่พินิจ อ่านผิดไปเอง กลับว่าไม่เกรง อีกเล่าหรือนา สมภารตื่นแล้ว ได้ยินเสียงแจ้ว ร้องว่าออกมา อีถ่อยไม่จำ ถ้อยคำอักขรา เขาสอนให้ว่า ปากกล้าสู้ครู แต่วันนั้นไซร้ นางชีมิได้ ส่งเสียงต่อสู้ ได้ทีดีใจ เณรไชยเจ้าชู้ ชักสวดอวดครู ตีคู่เคียงกัน เณรซ้ำคลำเคล้า เลียบลองต้องเต้า เต่งตั้งเติบครัน นางชีร้องไฮ้ จนใจกลัวท่าน หยิกข่วนป่วนปั่น อดกลั้นทนเอา กระซิบค่อย ๆ ว่ากับเณรน้อย ค่อยคลำทำเขา ลวนลามลำพอง เหมือนน้องของเจ้า เย่อหยิ่งเปล่า ๆ หยอกเย้าสีกา เณรศรีทะนนไชย ลูบคลำร่ำไป หลายวันนานมา วันนั้นเคราะห์ร้าย ฝ่ายท่านขรัวตา ย่องเท้าเข้ามา พบเข้าทันใด เดือดดุถองด่า ทุดอ้ายหน้าหมา กล้าหาญชาญไชย แกล้งหยามน้ำหน้า อนิจจาทำได้ อ้ายเณรจังไร มันไม่กลัวเกรง เที่ยวสัญจรมา ไร้ญาติวงศา มาหากูเอง ใจจิตคิดคด ทรยศข่มเหง ไล่ตีครืนเครง ทั่วทั้งอาราม สมภารโกรธนัก อกใจทึกทัก มิได้ซักถาม ตีโบยทะนนไชย เลือดไหลลงซาม ผู้ใดใครห้าม ไม่ฟังเลยนา มันนี้ห้าวหาญ แต่เด็กลูกหลาน รุ่นสาวเอามา สอนให้ขีดเขียน เล่าเรียนวิชา มันเข้าฉุดคร่า น่าอายสิ้นที อนิจจาทำได้ เรานี้รักใคร่ ไว้ใจดิบดี ให้มันช่วยบอก กลับหยอกนางชี อ้ายคนเช่นนี้ เลี้ยงไว้ทำไม ยกเสียสิ่งนี้ ตัวเองเป็นชี ครองศีลวินัย ไม่ต้องด้วยกิจ ผิดทางวิสัย ทำเอาแต่ได้ ตามใจของตน สมภารต่อยตบ อ้ายลูกบัดซบ ไม่รู้คุณคน ไสหัวมึงไป ให้ไกลให้พ้น นอกรู้ชีต้น อ้ายคนตะกลาม อย่าอยู่ที่นี่ ไปเสียวันนี้ ให้พ้นอาราม จะอยู่นานไป คงได้เกิดความ มันเป็นเสี้ยนหนาม ในพระศาสนา ฯ

ฉบัง ฯ เมื่อนั้นเณรศรีทะนนไชย สมภารขับไล่ ร้องไห้ก้มกราบวันทา สึกแล้วคลาดแคล้วไคลคลา ออกจากวัดวา กลับมาหาพ่อแม่ตน ชาวบ้านเขาว่าเขาบ่น เขาชังทุกคน ทรชนชาติชั่วสาธารณ์ ไล่เสียให้พ้นจากบ้าน เลี้ยงไว้ป่วยการ จะผลาญให้เราฉิบหาย พ่อแม่ได้ความอับอาย ฝูงคนทั้งหลาย เขาชวนกันชังเหลือใจ ไม่รู้ที่จะทำกระไร อั้นอ้นจนใจ อยู่ไปหลายวัน เหรานันทาคิดกัน เอาลูกชายนั้น ไปขายให้ไกลสถาน ทะนนไชยอยู่ไปช้านาน เขาใช้ทำการ ขี้คร้านก็หนีกลับมา บอกกับพ่อแม่สองรา เขาใช้นักหนา ลูกยาจะขาดใจตาย ทั้งสองผัวเมียขวนขวาย เอาเงินไปถ่าย แล้วขายเขาอื่นต่อไป ทะนนไชยทนอยู่ไม่ได้ หนีกลับมาใหม่ พ่อแม่ก็ไล่โบยตี มึงกลับมาไยที่นี่ อ้ายลูกกาลี กูนี้มิได้ปรารถนา ลูกเต้าผ่าเหล่าพาลา เสียวงศ์พงศา เกิดมาให้หนักแผ่นดิน อยู่ไยไปเสียจากถิ่น อ้ายลูกใจทมิฬ พี่น้องเขามีมากมูล ทั้งเหล่าเผ่าพงศ์ประยูร เขาไม่อนุกูล เสื่อมสูญเพราะอ้ายทรชน จึงให้ไร้ทรัพย์อับจน สิ้นทั้งสองคน ลูกอกุศลมาตามผลาญ มีลูกก็ร้ายใจพาล ชั่วช้าสาธารณ์ อัประมาณจนไม่เป็นอัน ทำบุญกรวดน้ำคว่ำขัน เป็นนิจนิรันดร์ แสนกัลป์อย่าได้พบพาล อีกทั้งพี่น้องลูกหลาน พงศ์พันธุ์สันดาน คนพาลอย่าได้พึงมี ชาตินี้มีกรรมตามที กว่าจะสิ้นชีวี กูนี้มิได้อาลัย ตัดพ้อต่อหน้าทะนนไชย แต่วันนี้ไป ตามใจของเองแลนา อย่าได้กลับคืนเข้ามา สู่เรือนเคหา สองราใช่พ่อแม่ตน ใจจิตอย่าคิดกังวล เข็ญใจไร้จน สองคนจะหาเลี้ยงกัน ทะนนไชยร้องไห้โศกศัลย์ ครวญคร่ำรำพัน อัดอั้นอ้อยอิ่งวิงวอน กราบตีนบิดามารดร ทุเลาเบาก่อน ผันผ่อนให้ลูกพาที มาสลัดตัดรักผลักหนี ไหนเลยชีวี ลูกนี้จะมีต่อไป ยามเข็ญลูกจะเห็นหน้าใคร เวรกรรมทำไว้ จำไปเป็นทาสทาสา เหนื่อยหน่ายเขาใช้นักหนา ทนทุเรศเวทนา ลูกยาจะมิทนทาน ทะนนไชยใจเหี้ยมห้าวหาญ ผูกพันสันดาน ช้านานไม่วายเวรี แค้นใจแม่ค้าหลายปี เป็นตายตามที กูนี้จะดูหน้ามัน ทะนนไชยใคร่ครวญหวนหัน จึงบอกไปพลัน แม่นั้นจงได้กรุณา ไม่สมัครรักใคร่ลูกยา ก็ตามแต่เวรา อนิจจามีกรรมจำไกล ฟูมฟักรักลูกเหลือใจ กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ มิให้มีซึ่งโรคา แม่ถนอมกล่อมให้นิทรา ทุกวันเวลา กายามิให้มัวหมอง มดไรมิให้ไต่ต้อง ค่ำเช้าประคอง ลูกร้องก็เรียกรับขวัญ กอดลูกให้กินนมพลัน ประทับรับขวัญ ทุกวันมิได้มีภัย ตราบท้าวจนลูกโตใหญ่ เป็นกรรมสิ่งใด จึงให้มาจากพรากกัน ลูกได้ลงโทษฆ่าฟัน จนน้องอาสัญ กรรมนั้นอย่าได้เกิดมี พลั้งพลาดประมาทอินทรีย์ ด้วยกายวจี อย่ามีแก่ข้าเลยนา เจ้าประคุณทูนหัวสองรา จงอดโทษา ลูกยาจักจรจากไกล แม่เอาลูกไปขายไว้ กับท่านผู้ใด น้ำใจบ่ได้ยินดี เขาใช้ไม่คิดปรานี ฉุดคร่าด่าตี ลูกนี้มิได้สบาย จงพาลูกยาไปขาย ไว้กับท่านยาย แม่ค้าที่มาวันนั้น แม่ได้ซื้อแลกแจกปัน ขนมยายนั้น ด้วยกันกับน้องบังอร เห็นว่าจะได้หยุดหย่อน ยับยั้งผันผ่อน งานการที่บ้านเคหา จะค่อยได้ความสุขา ทุกวันทิวา ลูกยานี้คิดเต็มใจ ถ้อยคำกล่าวมานี้ไซร้ เล่ห์กลทะนนไชย แก้ไขอุบายผ่อนผัน พยาบาทอาฆาตผูกพัน จะผลาญยายนั้น ให้ถึงวินาศฉิบหาย จึงแกล้งกล่าวเกลี้ยงเบี่ยงบ่าย ให้แม่ไปขาย ท่านยายที่ผูกไพรี ฝ่ายผัวเมียทั้งสองศรี พาลูกจรลี ไปขายแล้วกลับคืนมา ทะนนไชยอยู่ไปมิช้า กับยายแม่ค้า เขาใช้ให้ขายสิ่งของ ทะนนไชยเที่ยวไปร่ำร้อง ชาวบ้านพี่น้อง ชวนกันมาซื้อขนมกิน สารพันจะมีครบสิ้น ลูกไม้มีกลิ่น จันอินระกำลำไย ชะมดกงเกียนใส่ไส้ ขนมถ้วยตะไล ส้มสูกลูกไม้มูนมอง เที่ยวไปทุกบ้านทุกช่อง เวลาแสบท้อง นั่งยองแล้วหยิบกินพลาง หมูหมาวิ่งมากลางทาง ฉวยขนมทิ้งขว้าง วางรายให้กินตามที เที่ยวเพลินเดินเลยจรลี เห็นเขาอึงมี่ วิ่งรี่เข้าไปมองดู บิดเบือนเชือนนั่งเป็นครู่ โลเลเล่นอยู่ ทุกหมู่ทุกบ้านร้านเรือน สิ่งของเที่ยวกองราดกราดเกลื่อน ทิ้งเปรอะเลอะเลือน ใครเตือนไม่อยากนำพา ครั้นเย็นเห็นจวนควรเวลา กวดกอบหอบคว้า วิ่งมาโดยด่วนเร็วพลัน ถึงเรือนพอเย็นสายัณห์ วางกระจาดลงพลัน ยายนั้นก็ยิ้มดีใจ อาบน้ำทาแป้งแต่งให้ ปลอบโยนทะนนไชย ถามไถ่ถ้อยคำอ่อนหวาน ล้าเลื่อยเหนื่อยนักหรือหลาน เจ้าไปช้านาน แต่เช้าจนค่ำราตรี ข้าวปลาหาไว้ถ้วนถี่ กินเถิดตามมี เห็นวี่เห็นวันเวลา ยายเฒ่าแล้วเข้าตรวจตรา เบี้ยหอยได้มา สินค้าขาดทุนวุ่นวาย สิ่งของกองละเฟื้องละไพ จัดแจงแต่งไป คิดไว้เป็นเงินมากมาย ยิ่งนับก็ยิ่งกลับวุ่นวาย ต้นทุนก็หาย ปลายทุนก็หลุดลอยไป ของกินลิ้นจี่ลำไย สังขยาตะไล แต่งไปให้ล้วนของดี ค้าขายอย่างไรเช่นนี้ ปลอบถามถ้วนถี่ มึงนี้อย่าได้อำพราง เองได้เอาไปไหนบ้าง หรือมากลางทาง แวะวางเอาไว้แห่งใด ใครฉวยฉกลักหรือไฉน โจรชิงวิ่งไป อย่างไรจงบอกเร็วรา ทะนนไชยบอกไปด้วยมารยา ถ้อยคำมุสา ว่าข้าไปเที่ยวร้องขาย พวกเพื่อนชาวบ้านทั้งหลาย คุ้นเคยกับยาย เขาชวนกันซื้อสับสน ทีละเฟื้องทีละไพหลายคน นางมียายมน นางสนลูกสะใภ้ยายสี ยายเฒ่าพาซื่อถือว่าดี จัดของถ้วนถี่ พรุ่งนี้เที่ยวขายต่อไป น้ำจิตยังคิดรักใคร่ ไว้เนื้อเชื่อใจ มิรู้อ้ายคนพาล ใจจิตมันคิดล้างผลาญ ยายเฒ่างมงาน สำคัญว่ามันรักตน ค่ำเช้ายายเฒ่าขวายขวน อุตส่าห์สู้ทน ผ่อนปรนให้มันสบาย ให้แต่เร่เที่ยวซื้อขาย มันทำวุ่นวาย ต้นทุนทำลายสูญหมด มันแกล้งลวงหลอกบอกปด ว่าของทั้งหมด ติดพันเขาอยู่ดอกนา นานแล้วไม่เห็นเอามา เข้าของมีราคา ยิ่งค้าก็ยิ่งหมดไป ลูกหนี้ลูกสินที่ไหน ทวงเขาไม่ให้ ทะนนไชยมิเล่นกูฤๅ ยายเฒ่าคำรามหึดฮือ กูนี้พาซื่อ นับถืออ้ายคนอัปรีย์ เสียแรงรักใคร่ดิบดี แต่แรกเดิมที กูนี้สำคัญมั่นคง อนิจจากูมาใหลหลง ว่ามันซื่อตรง งวยงงไปด้วยคนพาล ค่ำเช้าข้าวปลาอาหาร อุตส่าห์พยาบาล งานการมิได้เกียดกล รักใคร่หมายเหมือนลูกตน เข็ญใจไร้จน เกิดเป็นคนก็เลี้ยงกัน ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้น ในจิตผูกพัน ว่ามันจะตรงต่อเรา มิรู้หลงรักเปล่าเปล่า อ้ายลูกขี้เค้า มันลวงเราเล่นวุ่นวาย ให้มันไปเที่ยวเร่ขาย เข้าของมากมาย ฉิบหายไปสิ้นทุกอัน ยิ่งค้ายิ่งขายหลายวัน เงินทองทั้งนั้น กลับหมดหดเหี้ยนสูญหาย อยู่ไปเห็นไม่สืบสาย มันแกล้งทำลาย จะขายให้กูสิ้นไป มันทำให้แค้นเคืองใจ จำจะแก้ไข นานไปจะไม่เป็นการ ฯ

สุรางคนางค์ ฯ ฝ่ายว่ายายเฒ่า อกใจร้อนเร่า คือไฟเผาผลาญ ตีโบยทะนนไชย อึงไปทั้งบ้าน คำรามรุกราน บ่ได้ปรานี ผูกมือแขวนไว้ ตบต่อยเลือดไหล โซมทั่วอินทรีย์ เหนื่อยแล้วหยุดยั้ง นั่งบ่นตามที แล้วลุกขึ้นตี ร้องก้องอลวน ชิชะมึงหนอ ชั่งพูดสอพลอ แยบคายสายสน เด็กเท่านี้ดอก ยังหลอกลวงคน เล่นกูหลายหน สุดทนเหลือใจ เกิดมาเพียงนี้ ยังไม่เห็นมี ลูกเต้าของใคร ได้พบสบตา บุญญาเหลือใจ ยากที่ผู้ใด จะได้พบพาน มันยอดมนุษย์ เลิศล้ำบุรุษ สุดยอดวิมาน ใครเอามันไว้ คุ้มได้เจ็ดบ้าน พ้นภัยแผ้วพาล จังไรไม่มี เหมือนอสรพิษ ถ้าใครวางจิต เจียนสิ้นชีวี มันคอยปองร้าย ทุกย่างจรลี ประมาทอินทรีย์ หน้าที่วอดวาย บุญเราน้อยนัก ไม่มียศศักดิ์ เหมือนท่านทั้งหลาย จะเลี้ยงรักษา เป็นข้าสืบสาย เห็นจะวุ่นวาย เบื้องหน้าสืบไป เขาดีกว่าเรา ไม่ควรจะเอา เป็นข้าช่วงใช้ ลูกชายเรามี เป็นที่โตใหญ่ ข้าเฝ้าท้าวไท ในกรุงนครา ผู้คนข้าไท เขามีเต็มไป เกลื่อนกล่นเคหา เขายังไม่พรั่น ยังมันนี้นา ข่มขี่ตีด่า ย่อมมากลัวเกรง จะใช้สิ่งไร ก็ได้ดังใจ ตามคำเขาเอง ไม่เหมือนทะนนไชย ชาติอ้ายตัวเก่ง หลอกลวงหลายเพลง ไม่เกรงตีรัน เขามียศศักดิ์ อัชญายิ่งนัก หาญหักเหี้ยมหัน มันจะทำได้ หรือไรเช่นนั้น ข่มขี่ตีรัน ทุกวันบ่วาย ยายเฒ่าขัดใจ พาเอาทะนนไชย ไปให้ลูกชาย ครั้นถึงจึงว่า อนิจจาหลวงนาย ครั้งนี้ฉิบหาย สิ้นสูญสารพัน เพราะอ้ายชาติข้า ช่วยเอามันมา เสียเงินทั้งนั้น ให้ค้าให้ขาย ฉิบหายทุกวัน ขาดทุนเพราะมัน ตีรันอลวน มันแกล้งมุสา หลอกลวงเจรจา ให้หลงเล่ห์กล ว่าติดเขาอยู่ ทุกผู้ทุกคน แยบคายล้นพ้น คอยจนเปล่าไป แต่มันอยู่ด้วย เงินทองของม้วย ยากจนเข็ญใจ ยิ่งค้ายิ่งขาย ฉิบหายบรรลัย เลี้ยงมันไม่ได้ อ้ายลูกเสเพล คนร้อยคนพัน ไม่มีเหมือนมัน พลิกแพลงไพล่เผล ลูกเปรตนรก ตลกโลเล อ้ายคนโวเว ขี้เร่ซำสาม พ่อแม่ของมัน เขาโบยตีรัน ด่าว่าคุกคาม สั่งสอนสิ่งไร มันไม่ทำตาม ใจบาปหยาบหยาม ปูมปามสิ้นที เขาชังน้ำหน้า มาขายขาดค้า ไว้ด้วยที่นี่ ว่ามันมิได้ พาลูกจังไร แกล้งให้อัปรา ทรัพย์สินยับย่อย อ้ายถ่อยพาลา ข้าไม่แกล้งว่า อย่างนั้นมั่นคง ยายเฒ่าบอกความ ถ้วนถี่มีตาม โดยใจจำนง มอบตัวทะนนไชย ไว้ให้มั่นคง แล้วจึงย่างลง จากเรือนกลับมา ฝ่ายศรีทะนนไชย อยู่กับเขาไป เป็นทาสทาสา เขาใช้ตามหลัง เข้าวังอัตรา ทุกวันเวลา เข้าเฝ้าท้าวไท ถือล่วมหมากพลู ตกหายไม่รู้ เดินตามนายไป ครั้นนายเปรี้ยวปาก อยากหมากเหลือใจ ร้องเรียกทะนนไชย ส่งล่วมให้กู ทะนนไชยส่งให้ นายรับเอาไป ไม่มีหมากพลู นายค้นคว้าหา ร้องด่าขู่รู่ ทะนนไชยเล่นกู จริงเจียวหรือนา หมากพลูมากมาย อ้ายลูกฉิบหาย มึงไม่นำพา เอาไปเสียไหน จึงไม่ได้มา เคืองข้องร้องด่า อ้ายห่าหักคอ ทะนนไชยจึงว่า วิ่งตามนายมา ไม่ทันรั้งรอ ล่วมล่อยพลอยตก จากพกจากห่อ หมากพลูคุณพ่อ หกคว่ำตามทาง จะหยุดเก็บใส่ กลัวจะช้าไป เร่งรีบเดินพลาง เดินเด้าดุ่มเดาะ วิ่งเหยาะทุกย่าง เหนื่อยพักเพียงพ่าง ปิ้มปางขาดใจ นายเชื่อถ้อยคำ แซมเสริมเติมซ้ำ เชื่อคำทะนนไชย คลี่คลายหายโกรธ ปราโมทย์ผ่องใส เบื้องหน้านานไป อย่าได้เช่นนี้ สิ่งไรตกบ่า เก็บกวาดเอามา ใส่ไว้ให้ดี อย่าทำเรี่ยราด เกลื่อนกลาดปัถพี ตั้งแต่วันนี้ อย่าพักตักเตือน ครั้นเวลาเช้า นายจะไปเฝ้า ก้าวลงจากเรือน ทะนนไชยใจกล้า ชักช้าแชเชือน ล่วมหกตกเกลื่อน เรี่ยราดกราดไป เดินมาตามทาง ขี้ม้าขี้ช้าง เก็บวางใส่ไว้ กวาดกอบหอบลง สิ้นทั้งผงไผ่ ยัดเต็มล่วมใหญ่ เดินไปข้างหลัง ถึงที่หยุดพัก แทบใกล้ตำหนัก นิเวศริมวัง พร้อมพรั่งทั้งมวล ชักชวนกันนั่ง ทะนนไชยอยู่หลัง ส่งล่วมให้นาย สารพัดจะมี ผงไผ่ธุลี ขี้ช้างงัวควาย แก้ล่วมออกดู เห็นอยู่มากมาย พวกเพื่อนทั้งหลาย เห็นสิ้นทุกคน เขาชวนกันเยาะ บ้างยิ้มหัวเราะ อื้ออึงอลวน ถากถางพูดจา เฮฮาสับสน ขุนนางทุกคน มองดูหน้าตา ชิชะวันนี้ นายได้ของดี วิเศษนักหนา ใครไม่เคยเห็น ดูเป็นขวัญตา เสียแรงเกิดมา จะตายเสียเปล่า ลางคนว่าไป เออชั่งกระไร วันนี้แต่เช้า เร่งรีบผายผัน ไม่ทันกินข้าว จึงใช้ให้บ่าว ห่อของมากิน ชั่งคิดดีจริง ประเสริฐเลิศยิ่ง เราไม่ติฉิน เสียแรงเป็นข้า เจ้าฟ้าภูมินทร์ อาสาจนสิ้น ชีวิตวอดวาย เยาะเย้ยครืนเครง เมียเขาดีเอง อย่าว่าวุ่นวาย กลัวผัวแสบท้อง สิ่งของซื้อจ่าย ให้บ่าวตะพาย มากินตามทาง เชิญมาข้างนี้ ขอชมสักที ญาติดีกันบ้าง หมากดิบเสี้ยนอ่อน หล่อนทำสำอาง หมากฝาดบางล่าง ช่างจัดแจงมา หลวงนายอายจิต หันเหินเขินคิด บิดพริ้วนิ่วหน้า นั่งอยู่ไม่ได้ ลุกไปร้องด่า อ้ายคนชาติข้า โกรธาเต็มที ปะเตะต้ำผึง ตวาดเอ็ดอึง ทะนนไชยวิ่งหนี หลบลี้หลีกไป นายไม่ใยดี๑๐ แค้นใจเหลือที่๑๑ ไม่อยากเรียกใช้๑๒ แต่วันนั้นมา ขึ้งโกรธโกรธา ขัดแค้นเหลือใจ บ่ได้เรียกหา พูดจาปราศรัย ใช้สอยสิ่งไร การงานทั้งปวง เขาลืออยู่แล้ว ว่ามันกล้าแกล้ว ราวกับหัวพวง ไม่เห็นพยศ ปรากฏในทรวง วันนี้มันลวง ให้กูอับอาย มันดีล้ำเลิศ เสียแรงมาเกิด เป็นลูกผู้ชาย หาอย่างเช่นนี้ ไม่มีสืบสาย ถ้าแม้มันตาย เห็นจักสูญพันธุ ส่วนนายนั้นเล่า ลุกขึ้นแต่เช้า เข้าเฝ้าทุกวัน แต่ศรีทะนนไชย ตามไปด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้น นายไม่พูดจา อยู่มาหลายวัน ราชการกวดขัน ที่ในนัครา ตรวจตราว่าขาน หน้าด่านวัดวา ขุนนางถ้วนหน้า ตำแหน่งมากมี ทั้งบ่าวทั้งนาย แต่เช้าจนสาย แสบท้องเต็มที บ้างถือปิ่นโต โต๊ะใส่ของดี แต่หลวงนายนี้ หิวหาอาหาร ท่านผู้หญิงนั้นไซร้ จึงให้ทะนนไชย ไปบอกอาการ ว่านายเจ้าขา เชิญมาที่บ้าน ข้าวปลาอาหาร แต่งตบครบครัน เร่งให้กลับมา อย่าไปอยู่ช้า ให้มาเร็วพลัน ทะนนไชยวิ่งเหยาะ ดุ่มเดาะดึงดัน จนถึงนายนั้น เฉง้อแต่ไกล ตะโกนร้องเรียก นายเฮ้ยมากินข้าวเปียก คุณแม่ให้ไป เรียกจนถึงตัว ไม่กลัวเกรงใคร ขยับเข้าใกล้ นายไปเถิดนา บรรดาข้าหลวง ขุนนางทั้งปวง มากมายนักหนา ปิดปากหัวเราะ ยิ้มเยาะในหน้า ฉะม้อยชายตา ผินหน้าดูกัน ท่านผู้หญิงนั้นไซร้ อุตส่าห์ใช้ให้ บ่าววิ่งมาพลัน ยังไม่ทันถึง ร้องอึงจ้าละหวั่น เสียแรงรักกัน ยังนั้นเจียวนา เออชั่งกระไร มีบ่าวมีไพร่ ดังใจปรารถนา ชั่งเที่ยวเลือกสรร แกล้งกลั่นเอามา ขายไว้เป็นข้า ใช้คล่องสุดใจ กลัวนายแสบท้อง วิ่งเรียกร่ำร้อง ส่งเสียงแต่ไกล ชั่งได้ไหนมา ค่าตัวเท่าไร ใช้คล่องว่องไว ถ้อยคำอ่อนหวาน นายยิ่งโกรธนัก เพื่อนฝูงเขาทัก หน้าอายอัประมาณ แค้นเคืองทะนนไชย ลูกอ้ายสาธารณ์ รีบมาถึงบ้าน ต่อว่าเมียพลัน ชะชั่งใช้สอย อ้ายลูกขี้ถ่อย ชาติชั่วตัวกลั่น ทำให้อายอับ กับเพื่อนทั้งนั้น ดูเหมือนแกล้งกัน บ่ได้กลัวเกรง มันทำให้อาย ขายหน้านักเลง มันไม่ยำเกรง ล้อเล่นกลางสนาม นางเมียขอโทษ คุณอย่าขึ้งโกรธ พิโรธคุกคาม ได้ใช้มันผิด คิดไม่ถึงความ อ้ายคนซำสาม มันรู้อะไร อย่าเพ่อหักโหม ค่อยเลี้ยงเล้าโลม สั่งสอนสืบไป ถึงจะตีด่า ใครจะว่ากระไร เหมือนหมาเลี้ยงไว้ อย่าได้รำคาญ จึงเรียกทะนนไชย ปลอบโยนเอาใจ บ่ได้หักหาญ สอนสั่งฟังคำ อย่าได้ลนลาน สิ่งไรเป็นการ ฝึกสอนผ่อนเอา เบื้องหน้านานไป จะวานจะใช้ ให้ไปหาเขา อย่าวิ่งตะบึง ถึงแล้วจึงเข้า ค่อยคลานด้วยเข่า จึงเล่าเอาการ พูดจาว่ากล่าว อย่าทำสามหาว ห้าวโหมโรมราญ เขาเป็นขุนนาง อย่าอ้างอาจหาญ หมอบราบกราบกราน หวานไว้จึงดี ฯ

ยานี ฯ ฝ่ายศรีทะนนไชย อยู่นานไปหลายราตรี ไม่วายคลายเวรี นึกยินดีจะปองผลาญ วันนั้นสมคะเน คิดถ่ายเทด้วยโวหาร นายผู้ชายไปราชการ อยู่แต่ท่านหม่อมผู้หญิง เหลือบเหลียวแลดูคน ปลอดชอบกลการทุกสิ่ง วันนี้ดีจริงๆ กูจะนิ่งไม่ต้องการ เผาเรือนนายดูเล่น ให้มันเต้นเป็นอลหม่าน ฉิบหายสิ้นทั้งบ้าน ดูหน้าท่านเล่นสักที คิดแล้วบัดเดี๋ยวใจ จับดุ้นไฟเข้าจุดจี้ ควันโขมงโพลงเต็มที่ คนอึงมี่แตกตื่นมา นายผู้หญิงวิ่งตกตะลึง รีบไปถึงท่วมหลังคา วุ่นวายตายแล้วหวา ร้องเรียกหาทะนนไชย เองวิ่งไปอย่าช้า บอกนายมาเร็ว ๆ ไว บัดนี้เกิดเหตุใหญ่ ว่าไฟไหม้บ้านเรือนตน ทะนนไชยเจ้ามารยา รีบวิ่งร่ามาบัดดล ขุนนางอยู่สับสน วิ่งซุกซนแซกเข้าไป ถึงตัวท่านหลวงนาย คลานเข้าใกล้ค่อยปราศรัย บอกกล่าวเล่าความไป ว่าไฟไหม้ไปเถิดนา กระซิบบอกเบา ๆ นายเร็วเข้าอย่าอยู่ช้า จนนายร้องออกมา อ้ายชาติข้าว่ากระไร ทะนนไชยยิ่งกระซิบ ปากบุบบิบว่าไฟไหม้ ตะบอยว่าปราศรัย จนไฟไหม้ลุกวุ่นวาย ฝูงคนเขารู้ทั่ว ร้องว่าครัวคุณฉิบหาย เร็ว ๆ เถิดหลวงนาย เกิดไฟไหม้บ้านของเรา นายเร่งให้รีบไป อ้ายทะนนไชยเร็ว ๆ เข้า ต้นไฟอยู่ไหนเล่า มัดผูกเข้าเอาตัวมัน ทะนนไชยไปถึงบ้าน ฉวยเชิงกรานวิ่งเป็นควัน ผูกมัดรัดพัลวัน วิ่งพลุกพล่านแลเห็นตัว วิ่งเต้นเล่นแต่ไกล คิดในใจแล้วยิ้มหัว ฉิบหายสิ้นทั้งครัว กูไม่กลัวมันเลยนา ครั้นไฟเหือดลงแล้ว เสียงแจ้ว ๆ วิ่งเข้ามา พูดพลอดสอดเจรจา นายเจ้าขาคงเป็นการ ต้นไฟข้าฉวยได้ ผูกมัดไว้ที่หลังบ้าน ต้องเฝ้าอยู่ช้านาน กลัวชาวบ้านจะเอาไป หลวงนายไม่สำคัญ หลงเชื่อมันไม่สงสัย ว่าเองจับตัวได้ เอามาให้กูอย่านาน ทะนนไชยวิ่งไปพลัน มัดผูกพันเอาเชิงกราน แบกเข้ามาในบ้าน ขอประทานที่ต้นไฟ นายร้องว่าอ้ายกาก ทำรู้มากถลากไถล เชิงกรานว่าต้นไฟ ใครใช้ให้มึงเอามา ชิ้อ้ายทะนนไชย ชั่งกระไรดีหนักหนา ประดิษฐ์คิดพูดจา สำคัญว่าไม่รู้ทัน ทะนนไชยเถียงเสียงดัง ว่านายสั่งต่อหน้าฉัน ให้จับต้นไฟพลัน ข้าสำคัญว่าเชิงกราน ไม่บอกให้ชัดความ ครั้นจะถามในสถาน กลัวว่าจะช้าการ จับเชิงกรานว่าต้นไฟ ด้วยว่าเคยหุงข้าว ทุกค่ำเช้ามาแต่ไร สำหรับก่อกองไฟ ย่อมมีไว้ทุกบ้านเรือน นายว่าอ้ายขี้ทึ้ง สำนวนมึงใครจะเหมือน ชั่งแก้แชชักเชือน ล้อเลื่อนเปื้อนเล่นตามใจ อ้ายเปรตเศษนรก คิดโกหกกลับแก้ไข ถ้าแม้นใครคบไว้ เหมือนเอาไฟใส่เรือนตัว ผัวเมียโกรธงกงัน มันเถียงดันยิ่งคันหัว แยบยลมันพ้นตัว กูยอมตัวกลัวเต็มที ฯ

สุรางคนางค์ ฯ ครั้งนั้นสองนาย ผัวเมียฉิบหาย ยากไร้อัปรีย์ ทรัพย์สินสิ้นสุด ม้วยมุดไม่มี ด้วยฤทธิ์อัคคี เผาผลาญบรรลัย มีข้าหญิงชาย ชวนกันจำหน่าย ซื้อขายกินไป ค่อยจนค่อยยาก ลำบากเหลือใจ ต้องเที่ยวทำไร่ ไถนากินเอง อยู่ไปมินาน ถึงหน้าเทศกาล ฟ้าฝนครืนเครง ชาวนาชาวไร่ ถากไถตามเพลง ผัวเมียท่านเอง เกรงกลัวอดตาย ตบแต่งแอกไถ ให้ศรีทะนนไชย จัดแจงวัวควาย ถากไร่ไถนา ตกกล้าถอนดาย ยกแรกแขกราย งายแล้วกลับมา วันหนึ่งนั้นไซร้ ผัวเมียไม่ไป อยู่ในเคหา ใช้ให้ทะนนไชย ออกไปไถนา คนเดียวเอกา ไม่มามีใคร สั่งสอนว่ากล่าว อย่าเกียจคร้านเจ้า อุตส่าห์ทำไป ตะวันสายปลายตาล เหมือนวันนั้นไซร้ เอางัวผูกไว้ ข้างบนอย่านาน ทะนนไชยใจแข็ง ฟังดูรู้แจ้ง มันแกล้งสามานย์ ไปถึงท้องนา ปาขึ้นยอดตาล ผูกรอกนั่งร้าน โรยเชือกลงไป งัวสองตัวนั้น เชือกมัดรัดมั่น ขันคอเข้าไว้ เดินรอกตะบึง ชักขึงขึ้นไป หัวแหงนแขวนไว้ ดิ้นไขว่โตงเตง งัวทนไม่รอด สิ้นใจวายวอด มอดม้วยไปเอง จิตเหี้ยมห้าวหาญ เหลือการตัวเก่ง แล้วรีบเดินเร่ง เองมุ่งเร็วมา บอกเล่าแก่นาย ข้าไถแทบตาย สายแล้วจึงมา ผูกงัวขึ้นไว้ ตามใจนายว่า นายเชื่อวาจา ดีจริงทะนนไชย ครั้นรุ่งขึ้นเช้า สองคนนายบ่าว พากันออกไป ถึงที่หยุดยั้ง เข้านั่งอาศัย เหลือบแลแต่ไกล เห็นห้อยโตงเตง ร้องถามทะนนไชย เออนั่นอะไร แขวนอยู่โทงเทง มองดูให้แน่ แก่ตาของเอ็ง ขดอยู่โค้งเค้ง โตงเตงเติบครัน พิศเพ่งเล็งดู เห็นงัวทั้งคู่ สิ้นชีพอาสัญ แกล้งทำข่มเหง ไม่เกรงใจกัน ของมีเท่านั้น มันแกล้งทำลาย ไฟไหม้ม้วยมุด เงินทองสิ้นสุด ทรัพย์สินสูญหาย สิ่งของนา ๆ ข้าวปลามากมาย มันยังปองร้าย ซ้ำเติมต่อไป มีงัวเท่านั้น สองตัวด้วยกัน มากมายอะไร มันยังผูกรัด มัดให้บรรลัย ผูกคอแขวนไว้ ใจมันงุดงิด นายโกรธยิ่งยวด ฉวยตะพดไล่หวด หวิดหัวไปนิด ปะเตะถูกต้นคอ ร้องขอชีวิต ทะนนไชยได้คิด บิดลูกอัณฑะ นายทำหน้าเคอะ มึงวางกูเถอะ เต็มทีแล้ววะ ทะนนไชยไม่ฟัง เกกังเกะกะ ข้ากลัวนายจะ ยังไม่ละมือ วางกูเถิดหวา ทีหลังกูว่า มึงอย่านับถือ สบถสิ้นไส้ ทะนนไชยวางมือ นายไม่สัตย์ซื่อ ฉิบหายบรรลัย ครั้นหาถึงบ้าน ผัวเมียรำคาญ แค้นเคืองทะนนไชย ไม่หายคลายเหือด แทบเลือดตาไหล จะเลี้ยงมันไว้ เห็นไม่เป็นการ อยู่มาหลายวัน แม่ของนายนั้น อยู่ต่างสถาน ค้าขายเลี้ยงตน จนแก่เกือบกาล โรคภัยแผ้วพาล พิศทั่วสารพางค์ ล้าเลื่อยเหนื่อยเหน็บ ทนทุกข์จุกเจ็บ อักเสบเหม็นสาง ตกที่มรณะ เครอะคระนอนคราง เกิดเข็ญเป็นลาง ถึงลูกหลานตน ฝ่ายลูกหลานนั้น รู้แล้วกระสัน โศกเศร้าเสือกสน เซซุดสุดคิด เจ็บจิตจวนจน ยากยับอับจน ทรัพย์สินสาธารณ์ บังเกิดวิปริต ยากเย็นเห็นผิด ประกอบทุกประการ ทั้งเรือนก็ไหม้ เพราะไฟเผาผลาญ ยากพ้นประมาณ เหลือแต่อินทรีย์ เห็นเป็นอนิจจา ไม่เที่ยงเกิดมา ในโลกโลกีย์ บังเกิดวิบัติ สารพัดจะมี เป็นเหตุทั้งนี้ เพราะกรรมทำเอง ถึงตัวยากไร้ ตามทียกไว้ บ่ได้กลัวเกรง สงสารมารดา เอกาโตงเตง ร้องครางครืนเครง ไม่มีผู้คน ร้องเรียกทะนนไชย ปลอบว่าปราศรัย บ่ได้รุกรน เองไปอย่าช้า เร็วมาบัดดล กูไม่เห็นหน ที่จะพึ่งใคร มารดาของกู ที่เองเคยอยู่ แต่ก่อนนั้นไซร้ เจ็บปวดยิ่งนัก เพียงจักตักษัย ไม่มีผู้ใด ปรนนิบัติรักษา เอ็งไปอยู่ด้วย จะได้ชูช่วย ข้าวน้ำโภชนา ค่ำเช้าทุกวัน นวดฟั้นบาทา หาหยูกหายา มาต้มให้กิน ทะนนไชยได้ฟัง วิ่งละล้าละลัง มาถึงโดยถวิล เอาสารหนูบด ยาสดมีกลิ่น แทรกใส่ให้กิน ยายสิ้นชีวา ทะนนไชยดีใจ เอาผ้าคลุมไว้ นวดฟั้นบาทา กูไม่ว่าเล่น คงเห็นคุณยา นั่งหัวเราะร่า คอยท่าดูนาย แลเห็นนายมา บอกความถามว่า พ่อมาจนสาย หยูกยาหาไว้ แก้ไขคุณยาย นอนหลับสบาย พอนายมาถึง นายนั้นดีใจ เชื่อถือทะนนไชย บ่ได้คำนึง เข้าไปในเรือน เยี่ยมเยือนจนถึง เห็นแม่นอนขึง อยู่คนเดียวดาย เข้าไปนั่งชิด เอามือสะกิด ลูบคลำทั่วกาย รู้อาการแท้ ว่าแม่ตนตาย ใจหวั่นขวัญหาย ทอดกายโศกี กอดตีนแม่ไว้ น้ำตาหลั่งไหล โซมทั่วอินทรีย์ ร้องไห้สะอื้น ไม่ฟื้นสมประดี อนิจจาชนนี มาหนีลูกไป ครั้นวายโศกศัลย์ หมู่ญาติพร้อมกัน ปรึกษาปราศรัย ปลงศพสรรพเสร็จ เจ็ดวันทันใจ ฉบับนั้นไซร้ ว่าไปป่วยการ ที่จริงก็เพราะ ลำนำเสนาะ พริ้งเพราะอ่อนหวาน ผู้แต่งอักขรา ปรีชาชำนาญ ประกอบกิจการ กาพย์กลอนทะนนไชย แต่ท่านเจ้าของ ยินดีปรองดอง โดยทางวิสัย จิตสมัครรักอ่าน นิทานทะนนไชย จึงแปลงแต่งใส่ เอาได้ราชการ ฯ

ยานี ฯ อยู่ไปได้หลายวัน สองนายนั้นกลับคืนมา ผัวเมียนั่งปรึกษา สั่งสนทนานึกถึงตัว จิตใจให้พลุกพล่าน ลุกงุ่นง่านคันหนังหัว ทะนนไชยไม่เกรงกลัว มันทำชั่วมาหลายราย ตามใจไม่ว่าขาน แกล้งทำประจานให้ได้อาย ล้างผลาญจนฉิบหาย เห็นไม่วายความรำคาญ เลี้ยงไว้ไปเบื้องหน้า มันจะฆ่าให้วายปราณ อับอายขายหน้าบ้าน อย่ารำคาญคิดถึงมัน เราพาเอามันไป ถวายไทพระทรงธรรม์ ความคิดมันเข้มขัน เล่ห์กลมันดีเลิศคน ผัวเมียคิดพร้อมใจ พาทะนนไชยไปบัดดล ทูลถวายพระจุมพล แจ้งเหตุผลมาแต่หลัง ฝ่ายศรีทะนนไชย มาอยู่ในพระราชวัง ใช้สอยคอยรับสั่ง มันระวังราชการ เพ็ดทูลความสิ่งไร พอพระทัยโดยโวหาร ว่องไวในราชการ รู้ชำนาญในพระทัย วันหนึ่งพระภูมี โปรดปรานีศรีทะนนไชย พระราชทานเงินทองให้ ทั้งข้าไททุกประการ เป็นที่พระทะนนไชย เลื่องลือไปทุกสถาน ยศศักดิ์แสนสำราญ บ่าวบริวารมีครามครัน ครั้นอยู่จำเนียรมา เฝ้าราชาไม่เว้นวัน สันดานยังผูกพัน ในจิตนั้นคิดคะนอง ทำเล่นตามสนุก คิดจะปลูกซึ่งเรือนทอง พาบ่าวไปเนืองนอง เที่ยวเยี่ยมมองทุกตำบล จึงตัดไม้ทองหลาง เอามาวางไว้เกลื่อนกล่น ปรับปรุงเป็นเครื่องบน เสาแต่ละต้นเกลี้ยงกลมดี ไม้อื่นไม่แปลกปลอม อุตส่าห์กล่อมเกลาถ้วนถี่ ทรวดทรงสูงยาวรี ตบแต่งที่พอประมาณ รอดพรึงแลแม่ฝา เข้าเช็ดหน้าแล้วใส่บาน ประดิษฐแกล้งคิดอ่าน ทำช้านานหลายคืนวัน เกลาเป็นลูกมะหวด เห็นยิ่งยวดมากครบครัน เสร็จสรรพสิ้นสารพัน ดูคมสันกันจังไร ฤกษ์ยามดูมาแล้ว หลวงตาแมวแกดูใหม่ ดีแล้วแคล้วโพยภัย ลั่นฆ้องไชยโห่สามที ยกเสาใส่หลุมลง เอาขื่อส่งใส่ตามที่ พรึงรอดสอดรูรี พอได้ที่ฤกษ์นอกทาง เอาดั้งขึ้นสอดใส่ ส่งอกไก่ขึ้นไปพลาง ดั้งแขวนแลดั้งขวาง คนข้างล่างส่งต่อไป แปพาดแล้วยกฝา มุงหลังคาบัดเดี๋ยวใจ หลุมยัดขัดแก้ไข ปลูกขึ้นไว้เป็นสำคัญ ขี้เกียจไปเข้าเฝ้า หลบหลีกเอาได้หลายวัน สมเด็จพระทรงธรรม์ กริ้วโกรธครันมีบัญชา ตรัสใช้ให้ตำรวจ ไปเร็วรวดผูกคอมา ทะนนไชยใจแกล้วกล้า กราบสามลาแล้วทูลไป ข้าบาทมิได้ผิด มิได้คิดกราบทูลไท ปลูกเรือนขึ้นโตใหญ่ งามสุดใจแต่ล้วนทอง เครื่องอื่นไม่มีปน ดูเหลือล้นงามเรืองรอง ปลูกไว้ด้วยใจป้อง ยาวสี่ห้องงามโสภา สมเด็จกรุงกษัตริย์ ตบพระหัตถ์ตรัสบัญชา ชะเอ็งเอาทองที่ไหนมา ปลูกเคหาได้ง่ายดาย ทะนนไชยใจสามารถ พูดองอาจไม่กลัวตาย ทูลแถลงแกล้งบรรยาย ข้าขวนขวายเที่ยวหาเอา ขอเชิญพระทรงเดช เสด็จทอดพระเนตรพรุ่งนี้เช้า เรือนทองของข้าพเจ้า จะได้เล่าสืบสืบไป ครั้นรุ่งพระศรีเยศ เสด็จประเวศจากวังใน ตำรวจนำคลาไคล ห้อมล้อมไทจรดล อำมาตย์กรมวัง แห่หน้าหลังล้อมชุมพล พร้อมพรั่งทั้งสามนต์ ตามเสด็จดลมามากมาย สนมนางหมู่กำนัล ชักชวนกันไปวุ่นวาย ผิวพักตร์ดั่งเดือนฉาย ทอดกรกายน่าใคร่ชม รูปร่างสำอางเอี่ยม จุไรเรี่ยมเห็นงามสม อ้อนอิ่มเอี่ยมเอวกลม เนตรขนงนมน่าทัศนา คมขำล้ำแฉล้ม เมื่อยิ้มแย้มยวนเสน่หา ติดต้องเต็มนัยน์ตา พิศโสภาผ่องผิวพรรณ ลำกรอ่อนระทด ดั่งงวงคชเอราวัณ ทรวงทรงนางสวรรค์ เพียงดวงจันทร์จากอัมพร นุ่งห่มพอสมทรง ดังเอกองค์เทพอัปสร แห่ห้อมล้อมภูธร นางนิกรเนืองนองมา ลางนางทัดยาดม บ้างเดินชมพวงบุปผา กรีดกรายชายหางตา นวลขึ้นหน้าอ่อนเป็นมัน บ้างนุ่งลายพื้นม่วง ห่มแพรดวงดูคมสัน ยิ้มหยอกบอกเพื่อนกัน จะประชันกับเรือนทอง ท้าวนางเจ้าขรัวยาย เดินกรุยกรายย้ายยิ้มย่อง หยัดย่างทางทำนอง ห่มริ้วทองรองซับใน พวกเหล่าเศษสุรางค์ เดินหลงทางแกล้งไถล เจ๊กต่อเฟื้องสองไพ อั๊วไม่ขายกลัวขาดทุน เจ๊กต่อให้น่อจี๋ มาข้างนี้อย่าหันหุน เสร็จสรรพพรับต้นทุน ลุกวิ่งผลุนตามนายมา พรั่งพร้อมล้อมไสว ตามท้าวไทมานักหนา ปืนหอกแห่เสด็จมา มิทันช้าถึงทันใจ ครั้งถึงที่ประทับ ให้ยับยั้งหยุดพลไกร ใกล้บ้านทะนนไชย จึงท้าวไททอดทัศนา ไม่เห็นซึ่งเรือนทอง ให้เคืองข้องในวิญญา ทะนนไชยอ้ายมุสา ชั่งเจรจาสารพัน ลวงหลอกบอกถ้วนถี่ ให้กูนี้เสด็จผายผัน จะใคร่ดูของมัน เรือนทองนั้นไม่เคยเห็น มิรู้อ้ายชาติข้า ชั่งลวงมาหลอกดูเล่น จริงจังเหมือนยังเป็น ไม่เคยเห็นมีที่ไหน แลดูเสาสล้าง ล้วนทองหลางสร้างขึ้นไว้ ราชการงานสิ่งใด แชเชือนไปไม่ดูแล ครั้นว่ากูให้มา กลับมุสาแสร้งแต่งแก้ คิดการทำกอแก แกล้งตอแหลทุกประการ อวดว่าปลูกเรือนทอง รุ่งเรืองรองงามโอฬาร ลวงหลอกบอกอาการ ให้กูไซร้หลงใหลมัน พระองค์ทรงวินิจใน น้ำพระทัยไม่ผูกพัน มิได้ลงโทษทัณฑ์ ตีโบยรันด้วยอาญา ขัดเคืองในพระทัย อดเสียได้ด้วยเมตตา ค่อยคลายหายโกรธา ตรัสบัญชาแก่นางใน ดูราพวกชาวเรา เร่งเร็วเข้าไปไวไว ขี้รดเรือนทะนนไชย ให้สาใจจิตลำพอง เย่อหยิ่งไม่อยู่สุข คิดสนุกทำคะนอง อวดว่าปลูกเรือนทอง ยาวสี่ห้องให้มาดู พูดเล่นเป็นสำนวน แกล้งลามลวนทำลบหลู่ หลอกลวงหลายประตู อ้ายแสนรู้มันเหลือกล พระองค์สั่งสรรพเสร็จ แล้วเสด็จกลับบัดดล กับพวกหมู่รี้พล โดยเสด็จถึงพารา ส่วนว่านางสนม ทุกหมวดกรมเป็นนักหนา เอนกแน่นคณา สาวโสภามากกว่าพัน ชวนกันเข้าไปหมด นั่งขี้รดตดเป็นควัน เยี่ยวย้อยพลอยพัลวัน เสียงสนั่นอึงทั้งเรือน เสื่อสาดลาดปูเรี่ยม ทั้งพรมเจียมอยู่กลาดเกลื่อน เต็มทีขี้ติดเปื้อน เหม็นฟุ้งเรือนน่ารำคาญ ทะนนไชยทำหน้าบึ้ง คิดคำนึงอยู่ช้านาน เฉโกไว้โวหาร รู้อาการด้วยอุบาย จึ่งวิ่งเข้าไปพลัน ทำดุดันดีใจหาย ผลักล้มจมกระจาย ลงนอนหงายดูแงนแหงะ เงื้อศอกจะซ้ำสอบ ทำแบบบอบลงนอนแบะ เตะกันเข้าตัวแปะ กลับแสยะยิ้มยิงฟัน บ้างล้มกลับลุกไถล ตื่นตกใจไม่มีขวัญ กลัวจริงวิ่งตัวสั่น ดูงกงันหันไปมา ผ้าผ่อนไม่ติดกาย สิ้นความอายขายน้ำหน้า ขัดจิตบิดไปมา น่าเวทนานางชาววัง หดหัวกลัวถูกถอง เอามือป้องรองสันหลัง ทะนนไชยไล่ตึงตัง วิ่งเก้กังลุกตะกาย โดนกันเสียงต้ำอัก เพื่อนซ้ำผลักล้มนอนหงาย เปิดหน้าทำตาลาย ลุกวุ่นวายวิ่งซุกซน ครั้งนี้แสนสนุก เที่ยวไล่รุกเอาทุกคน ที่ไหนรูปชอบกล เข้าประจญจับไปพลาง ถ้ารูปไม่สู้ดี โกรธเต็มทีถีบล้มผาง เล่นโลนกระดางลาง เข้าง้างคอข่มเหงเอา ลางคนวิ่งเวียนแวะ มีอีแปะไปตัวเปล่า ผ้าผ่อนไม่อยากเอา ออกมือเปล่าวิ่งโทงเทง เข้าของทิ้งกระจาย วิ่งวุ่นวายอยู่ครืนเครง มือป้องของนักเลง ของตัวเองไม่เป็นไร ทะนนไชยไล่บุกรุก แสนสนุกไม่ปราศรัย ล้มคว่ำจับตัวได้ เข้าเคล้นไคล้คลำไปพลาง ผ้าผ่อนนางกำนัล วิ่งเหหันกลับล้มผาง ซุกซ่อนนอนร้องคราง บ้างเหย่าย่างตามกันไป รีบเร่งมาโดยหวัง ถึงในวังลุกไม่ไหว บ้างเข้าไปทูลไท ธิเบศท้าวผู้ทรงธรรม์ ท้าวตรัสประภาษถาม นี่เกิดความอย่างไรกัน กูสั่งไว้กวดขัน ทุกกำนัลพวกนารี ให้ขี้รดเรือนทองมัน อย่างไรนั่นจึงวิ่งหนี กำนัลทูลทันที ว่าครั้งนี้แทบบรรลัย ชวนกันวิ่งเสือกสน จึงหนีพ้นมันมาได้ ชีวิตดังเกิดใหม่ ทูลท้าวไทโดยทางความ ฯ

สุรางคนางค์ ฯ ฝ่ายพระทรงเดช ทรงฟังดังเหตุ สังเวชบริวาร ชิชะทะนนไชย น้ำใจกล้าหาญ บั่นบุกรุกราญ ไม่เกรงอาญา มันทำหนักไป บ่ได้กลัวใคร น้ำใจพาลา ลวงหลอกบอกปด กูงดโทษา กลับหยามหยาบช้า แกล้วกล้าสามานย์ ใช้ให้คนไป หาตัวทะนนไชย เข้ามาอย่านาน ถึงแล้วถามไถ่ ไล่เลียงอาการ มึงนี้ห้าวหาญ ไม่เกรงหรือไร ล่อลวงเจรจา ว่าปลูกเคหา ด้วยทองผ่องใส อ้ายชาติทรชน เล่ห์กลเหลือใจ ลวงให้กูไป ดูไม้ทองหลาง อ้ายคนช่างคิด แกล้งทำประดิษฐ์ ให้ผิดท่าทาง อวดโอ้อึงคนึง โทษมึงต้องย่าง หน้าที่จะล้าง ให้ม้วยชีวา แค้นเคืองเหลือใจ จึงให้คนไป ขี้รดเคหา มึงคิดอย่างไร ไม่กลัวอาญา ทุบถองตีด่า ยื้อคร่ากำนัล ทะนนไชยก้มเกล้า กราบทูลไทท้าว เกล้ากระผมคับขัน พระองค์ตรัสใช้ ให้นางกำนัล ให้ไปด้วยพลัน ขี้รดเรือนทอง แต่พอไปถึง เยี่ยวรดตดอึง เปียกเลื่อนเปื้อนล่อง กลิ่นตดชาววัง เหม็นทงเรือนทอง พวกชาวบ้านช่อง ไม่อาจทนทาน แต่ขี้มิหนำ พลอยตดเหม็นซ้ำ เยี่ยวรดรุกราน ทำนอกรับสั่ง ไม่ฟังอาการ ข้าบาทคิดอ่าน เห็นผิดท่วงที พินิจคิดดู จนด้วยกระทู้ ต้องทำตามที่ แม้นอกรับสั่ง เยี่ยงอย่างก็มี ต้องกฎบทนี้ มีในหลักไชย ข้าพเจ้าทำโทษ มิใช่จะโกรธ พยาบาทเมื่อไร ทำฉลองพระคุณ จะพึ่งบุญสืบไป ด้วยพวกนี้ไซร้ ราชการพาลแวง สมเด็จภูวไนย ได้ฟังทะนนไชย กราบทูลเข้มแข็ง ทางจริงทางเล่น เห็นเป็นเคลือบแฝง จนจิตคิดแคลง มิออกโองการ นางในกำนัล แลดูตากัน มิได้ทัดทาน เห็นสมดั่งนั้น เหมือนมันว่าขาน เจ็บปวดป่วยการ ถูกถองแทบตาย ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย ยับยั้งอยู่ไป ช้านานโดยหมาย เฝ้าแหนภูเบนทร์ ไม่เว้นวางวาย ในจิตคิดหมาย บ่ได้มุ่งเมิน ค่อยสนิทชิดใช้ สบเสียท้าวไท บ่ได้ห่างเหิน เพ็ดทูลสันทัด ไม่ขัดแข็งเขิน คราวนี้นึกเพลิน อยากเที่ยวตามคะนอง วันหนึ่งนั้นไซร้ ทะนนไชยเที่ยวไป กับเพื่อนทั้งผอง กินเหล้าสุรา เฮฮาโห่ร้อง ครั้นเย็นแสบท้อง โงกเงกกลับมา เดินลัดปูมปาม เข้าในอาราม เข้าเขตวัดวา เดินตัดลัดเลี้ยว คนเดียวเอกา ข้ามทางวางมา ตามริมกุฎี เดินหน้าอาวาส ถึงกุฎีสังฆราช อันใหญ่ยาวรี ตาลอดสอดพลาง เยื้องย่างจรลี แลเห็นคัมภีร์ ตกกลิ้งกลางดิน หนังสือเรี่ยราด ตกอยู่เกลื่อนกลาด เรี่ยราดธรณิน ร้องบอกขึ้นไป ให้ท่านได้ยิน แล้วเก็บมาสิ้น ส่งให้ด้วยพลัน ครั้นส่งให้แล้ว ทะนนไชยคลาดแคล้ว รีบเร่งผายผัน พอถึงเคหา เจรจาพูดกัน ลูกเมียทั้งนั้น นั่งเคียงเรียงราย แต่เช้าจนค่ำ ราชการไม่ทำ เที่ยวเล่นตามสบาย เวลาเข้าเฝ้า ไม่เข้ากล้ำกราย นึกในใจหมาย แก้อย่างไรดี ฝ่ายพระภูวไนย คอยศรีทะนนไชย จนค่ำราตรี ไม่เห็นมาใน ถามไถ่เสนี ให้คนวิ่งรี่ ไปเอาตัวมา ตำรวจวิ่งไป บัดเดี๋ยวทันใจ ถึงบันไดเคหา ร้องบอกทะนนไชย เร็วไปอย่าช้า ท้าวไทให้หา อย่าช้าเลยนาย ทะนนไชยจัดแจง อาบน้ำทาแป้ง แต่งตนร่างกาย ออกจากเคหา รีบมาโดยหมาย ครั้นถึงจึงถวาย บังคมภูมินทร์ สมเด็จกรุงกษัตริย์ พระองค์ทรงตรัส ราชการแผ่นดิน เสนาน้อยใหญ่ หมอบถวายโดยถวิล เฝ้าไทธิบดิน ดุจดาวล้อมเดือน แลเห็นทะนนไชย ทรงศักดิ์ซักไซ้ ไหลเล่อเลื่อนเปื้อน ไม่เอาราชการ เที่ยวพาลคบเพื่อน กอแกแชเชือน บ่ได้เยี่ยมกราย ทะนนไชยไม่จน แก้ไขให้พ้น ไม่มีระคาย กราบทูลทรงฤทธิ์ ด้วยจิตคิดหมาย มิได้กลัวตาย อุบายครามครัน ข้าไม่หลบลี้ ลัดลอดหลีกหนี เหนื่อยหน่ายเหหัน พระองค์จงอด เงือดงดโทษทัณฑ์ ขอทูลทรงธรรม์ ให้ทราบบาทา ข้าบาทกังวล เป็นการกุศล ไม่แกล้งมุสา เกล้ากระหม่อมนี้ไซร้ ออกไปวัดวา ด้วยจิตเจตนา ศรัทธาเหลือการ ไปบอกหนังสือ สังฆราชนับถือ เอาเป็นแก่นสาน จนแทบโพล้เพล้ ถึงเคหสถาน จึงขาดราชการ มิได้ดูแล จริงจังยังว่า มิได้มุสา เจรจาเชือนแช กราบทูลถ้อยความ โดยตามกระแส มิได้ปรวนแปร แน่ในถ้อยคำ สมเด็จบพิตร ทรงฟังนั่งคิด เห็นผิดทางธรรม เป็นถึงสังฆราช เฉลียวฉลาดยิ่งล้ำ ควรหรือจะร่ำ เรียนธรรมทะนนไชย อ้ายนี่มุสา กล่าวกลับสัปลา เจรจาปราศรัย ความคิดติดพัน พูดกันตัวไป คลางแคลงแหนงใจ จึงได้บัญชา ใช้ให้พนักงาน ไปยังสถาน อาวาสนั้นนา นิมนต์พระบาท สังฆราชเข้ามา เร็วไปอย่าช้า รีบมาด้วยพลัน นักการวิ่งไป ถึงแล้วกราบไหว้ นอบนบอภิวันท์ กราบทูลมูลความ ตามเรื่องราวนั้น ว่าพระทรงธรรม์ ให้เชิญเสด็จไป สังฆราชรู้แท้ คำนึงนึกแน่ ในน้ำพระทัย โทมนัสขัดแค้น นิ่งแน่นในใจ ควรกราบทูลไท ไม่เหมือนถ้อยคำ เสแสร้งมุสา โกหกมารยา ว่ากูเรียนธรรม อ้างอวดยวดยิ่ง เย่อหยิ่งยับระยำ กูได้เรียนธรรม กับมันเมื่อไร นักการกลับมา ออกจากวัดวา รีบมาทันใด แล้วถึงก้มเกล้า ทูลเล่าแถลงไข ตามเรื่องทะนนไชย ได้ทราบอาการ บัดนี้สังฆราช โปรดให้ข้าบาท มาแจ้งข่าวสาร ขึ้งโกรธพ้นใจ ดังไฟเผาผลาญ ร้อนเร่ารำคาญ เดือดดาลวิญญา ฝ่ายศรีทะนนไชย หมอบเมียงอยู่ใกล้ ได้ฟังวาจา ว่าพระสังฆราช กริ้วกราดโกรธา จึงลุกออกมา จากที่เฝ้าพลัน หาอ่างตั้งไว้ ตักน้ำมาใส่ เต็มในแม่ขัน แอบทวารยืนย่อง คอยจ้องประจัญ๑๓ มุ่งเขม้นเล่นกัน ผ่อนผันทางอุบาย สมเด็จพระสังฆราช ออกจากอาวาส ลีลาศผาดผาย มีหมู่พระสงฆ์ หลายองค์มากมาย สมณะทั้งหาย ไต่เต้าตามจร เดินโดยอนุกรม แทบใกล้ท้ายสนม นิเวศภูธร สำรวมอินทรีย์ จรลีเสด็จจร ถึงวังบวร ย่างเข้าพระทวาร ทะนนไชยแอบอิง ยุบยอบหมอบนิ่ง นั่งพิงใบบาน ถือน้ำคอยสาด สังฆราชอาจารย์ จดจ้องปองทะยาน เงื้อง่าจังงัง สมเด็จสังฆราช พอเยื้องยกบาท ย่างเข้าประตูวัง ทะนนไชยวางปราด สาดเอาจริงจัง น้ำย้อยหยดขัง ทั่วทั้งสารพางค์ สังฆราชตกใจ เหลียวเห็นทะนนไชย นั่งอยู่ริมทาง มันจ้องตักน้ำ หมายซ้ำอีกผาง งกงันหันคว้าง จึงวางเข้าไป ครั้นถึงตำหนัก เสนาร้องทัก เจ้าคุณเป็นไร สมเด็จกรุงกษัตริย์ ทอดทัศนาไป เห็นแล้วกราบไหว้ ถามไถ่ทันที เกิดเหตุอย่างไร น้ำย้อยหยดไหล เปียกเปื้อนอินทรีย์ อนิจจาเจ้ากรรม ใครทำอย่างนี้ ชั่วชาติสิ้นที่ ไม่มีอาฌา สังฆราชน้อยใจ ถวายพระพรไป โดยตามสัจจา ว่าอ้ายทะนน ไชย น้ำใจพาลา มันเอาน้ำท่า สาดสิ้นทั้งกาย มันทำทุจริต ลวงล่อบพิตร คิดแก้อุบาย กล่าวคำมุสา เจรจาแยบคาย เจ้าเล่ห์เทถ่าย ให้ท้าวงวยงง ว่ามันนี้ไซร้ บอกหนังสือให้ แก่รูปโดยจง เห็นเป็นนักปราชญ์ ฉลาดยิ่งยง เชื้อชาติชินวงศ์ ยวดยิ่งเมธี เย็นวานนี้ไซร้ มันมาแต่ไกล ใกล้ค่ำราตรี เดินมาในวัด เลี้ยวลัดจรลี แลเห็นคัมภีร์ ตกอยู่เรี่ยราย มันร้องบอกไป แล้วหยิบยื่นให้ ถึงมือโดยหมาย เท่านั้นแลนา อนิจจาวุ่นวาย ทำแอบแยบคาย ไม่อายวาจา มันคิดแก้ไข กราบทูลพลิกไพล่ ให้พ้นโทษา ทำเคล็ดเท็จแท้ กล่าวแก้เจรจา เห็นเป็นอนัตตา มาพบคนพาล ใช่แต่เท่านี้ โทษมันยังมี หลายข้อ พอการ ครั้นรูปไคลคลา เข้ามาในสถาน มันนั่งแอบทวาร ตักน้ำคอยสาด ฯ

๏ สมเด็จบพิตร ทราบสารดาลจิต ทรงฤทธิ์กริ้วกราด แน่นในพระอุระ ทรงพระอำนาจ เหวยพวกอำมาตย์ รีบเร่งโดยเร็ว เอาตัวให้ได้ มันอยู่ที่ไหน ทะนนไชยแสนเลว๑๔ ทำให้สาหัส ผูกมัดรัดเอว อ้ายบ้าห่าเหว เร็วเถิดนักการ ทะนนไชยได้ฟัง แอบลับแลบัง พวกหมู่นักการ หมอบราบกราบก้ม บังคมภูบาล ฟังพระโองการ คอยแก้ตามมูล สมเด็จภูวไนย เหลียวเห็นทะนนไชย พระทัยหันหุน จึงตรัสตวาด อ้ายชาติทารุณ ข่มเหงเจ้าคุณ สังฆราชทำไม มึงนี้ห้าวหาญ สัปลาสาธารณ์ เหลือการเกินไป มุสาสด ๆ ปดกูเล่นได้ จะเลี้ยงมันไว้ ฉันใดเล่านา เมื่อวานนี้ไซร้ บอกว่าออกไป อาวาสศาสนา ไปบอกหนังสือ สังฆราชราชา ราวกับศิษย์หา พูดจาสามานย์ ครั้นใช้ให้คน ออกไปนิมนต์ เข้ามาในสถาน กลับเอาน้ำสาด สังฆราชพอการ มึงนี้คิดอ่าน ไม่เกรงอาญา ทำละเมิดดูหมิ่น จะให้ มุนินทร์ ประมาทศาสนา ท่านเป็นเอกองค์ จอมสงฆ์สมญา จงให้การมา อย่าว่าวุ่นวาย ทะนนไชยทูลแก้ ท่วงทีดีแท้ ผันแปรใจหาย ข้าบาทได้ฟัง จริงจังโดยหมาย แน่ในภิปราย ไม่แกล้งแถลงไข เมื่อเสนามาตย์ มาทูลละอองบาท ข้าแคลงแหนงใจ ว่าพระสังฆราช ขึ้งโกรธคือไฟ ข้าบาทกลัวไป เห็นภัยจะมี เกลือกกลัวพระนิเวศ ตำหนักนัคเรศ ราชฐานแท่นที่ จะไหม้ม้วยมุด สิ้นสุดบุรี เห็นความอย่างนี้ จึงคอยป้องกัน ท่านโกรธคือไฟ แล้วเข้ามาใน พระนิเวศเขตขัณฑ์ เกล้ากระหม่อมคอยผ่อน ดับร้อนไฟทัน หาไม่ไฟนั้น จะไหม้ในวัง ซึ่งข้าพระบาท บอกหนังสือสังฆราช ด้วยน้ำใจหวัง ใช่จะลวงหลอก ทำนอกรับสั่ง กราบทูลจริงจัง โดยความสัจจา สมเด็จภูวไนย ฟังศรีทะนนไชย แน่นในวิญญา อัดอั้นพระทัย จนใจนักหนา ไม่ออกบัญชา ว่าขานสิ่งไร กลับเท็จเป็นจริง หลอกลวงท้วงติง กล่าวแกล้งแถลงไข สังฆราชเปียกหมด สลดพระทัย จนอกจนใจ กลับไปอาราม ฯ

ยานี ฯ ฝ่ายศรีทะนนไชย แก้ตัวได้ในเชิงความ รู้ชนชาญสนาม ไม่ครั่นคร้ามกลัวอาญา เข้าเฝ้าพระภูบาล เป็นนิจกาลอยู่อัตรา โภยภัยไม่บีฑา อยู่นานมาในธานี ในจิตคิดคะนอง เฝ้าตรึกตรองเห็นท่วงที กราบทูลพระภูมี โดยคดีทางอุบาย ข้าบาทขอรับประทาน ที่ริมบ้านด้วยใจหมาย ประมาณเท่าแมวดิ้นตาย พอเรี่ยรายปลูกของกิน แม้นโปรดประทานให้ คนทั้งหลายไม่ติฉิน ไม่อาจประมาทหมิ่น ด้วยพระองค์โปรดประทาน ท้าวไทไม่ทันคิด ทรงวินิจให้แตกฉาน ออกโอษฐ์โปรดประทาน เองประมาณพอสมควร สำคัญว่านิดหน่อย ไม่รู้ถ้อยทางสำนวน อุบายหลายกระบวน ทำเรรวนหลีกลอดลัด ทะนนไชยได้ทีแล้ว จับเอาแมวมาผูกมัด ขัดขึงรึงรวบรัด ตีต้อนตัดไปตามใจ แมวนั้นเจ็บยิ่งนัก ขี้ทะลักเลือดลามไหล หวดพลางทางแล่นไป ฉุดเชือกไว้ให้เวียนวน ตีตะบันรันด้วยตะบอง แมวร้องก้องโกลาหล เซซานวิ่งเสือกสน บุกบ้านคนข้ามเขตคาม ชายหญิงวิ่งมาดู ที่ไม่รู้ยืนร้องถาม ยังไรไล่ลามปาม คนซ้ำสามเล่นกับแมว ทะนนไชยไล่พัลวัน ตีตะบันรันตำแป๊ว ร้องไม่ออกเสียงแง้ว ๆ นอนหงายแซ่วท้องเปาะเลาะ ทะนนไชยโห่สามลา ดูเหมือนบ้าน่าหัวเราะ ตีซ้ำเข้าต้ำเปาะ แมวปะติเงาะตายแหงแก๋ พอแมวสิ้นใจตาย ร้องอุยยายยิ้มแสยะ ทะนนไชยไม่เวียนแวะ หัวเราะแหะรีบเร็วรัด กว่าแมวจะดิ้นตาย ที่มากมายกว้างถนัด ร้อยเส้นสิบห้าทัศ ลงรางวัดเอาพอการ แถบนั้นริบเอาหมด ไม่เหลือลดไล่รุกราญ ขับหนีตีชาวบ้าน วิ่งเสือกซานอยู่วุ่นวาย อุ้มลูกจูงเหลนหลาน เดินงุ่นง่านปะงับประหงาย แก่เฒ่าเหล่าตายาย วิ่งตะพายย่ามโตงเตง ไม้เท้าจุนจดจ้อง ค่อยย่างย่องเดินโยงเยง หลังลดคดโกงเกง ก้าวผิดเพลงพลาดเพลี่ยงพล้ำ สิ่งสิ้นในย่ามละว้า หิ้วห่อผ้าพูดงึมงำ คำคนบ่นพึมพำ แช่งทุกคำโคตรแม่มัน ลูกอ่อนวอนหาแม่ ร้องเซ็งแซ่เสียงสนั่น เมียผัวกลัวไม่ทัน วิ่งพัลวันกันเป็นเกลียว หม้อข้าวทั้งหม้อแกง คว่ำตะแคงคาข้าวเหนียว โตกถาดพลาดปากเบี้ยว หมูหมาเกรียวตื่นตกใจ ขนของไม่ใคร่ทัน วิ่งโดนกันล้มไถล ไล่บุกรุกรุดไป รีบเร่งให้ไปเร็วพลัน บ้างทึ้งถอนเสาเรือน วานพวกเพื่อนให้ช่วยกัน ทลุยทลายไม่เป็นอัน ที่เหลือนั้นบั่นเป็นฟืน ข้าวปลาไม่ติดท้อง วิ่งขนของจนกลางคืน เซซังบ้างแตกตื่น ดึกเที่ยงคืนหลับไปพลาง ลางคนมีเรือแพ ทุกเพียบแต่ของต่าง ๆ หัวท้ายพายคัดง้าง หมุนเก้งก้างกลางนที เข้าของตกเรี่ยราด ทิ้งเกลื่อนกลาดอยู่มากมี ทะนนไชยไล่ขับหนี รุกเอาที่ได้มากมาย ฉลาดคิดไปทูลขอ เห็นเป็นข้อทางอุบาย หมู่ประชาราษฎร์ทั้งหลาย ไม่รู้แจ้งประจักษ์ความ๑๕ ขุนหมื่นหมู่อำมาตย์ เห็นประหลาดไม่อาจถาม ทักท้วงล่วงลามปาม นึกเกรงขามด้วยกลัวภัย สำคัญกว่าภูบาล โปรดประทานศรีทะนนไชย ชวนกันนิ่งดูใจ มันยิ่งไล่เล่นเป็นควัน ท้าวไทในพระนิเวศ ไม่ทราบเหตุสักสิ่งสรรพ์ ทะนนไชยใจฉกรรจ์ ไม่เกรงท่านพระจักรา ได้ทียิ่งดีใจ คิดต่อไปด้วยโมหา ให้คนขนแกลบมา ทำที่กล้าตกข้าวเบา เอาแกลบมาโปรยปราย หว่านเรี่ยรายเล่นเปล่า ๆ ตามแถวแนวลำเนา๑๖ แล้วนั่งเฝ้าเล่นทุกวัน เรือแพแลนาวา ใครพายมาในที่นั่น จับตัวตีโบยรัน ลงโทษทัณฑ์ถองแทบตาย ด่าทอไม่เลือกหน้า ตวาดว่าอ้างถึงหวาย กล้ามุ้งกูมากมาย แกล้งทำลายเข้ามาไย เหยียบย่ำไม่ยำเกรง ทำข่มเหงหรือว่าไร ฝูงคนทั้งนั้นไซร้ กลัวทะนนไชยไม่เถียงเลย ลางคนบ่นอู้อี้ กูเต็มทีพ่อคุณเอ๋ย ไร่นาข้าไม่เคย เห็นมีเลยเหมือนอย่างนี้ ข้าวเบาเอาแกลบหว่าน ทำแกล้งพาลทุดอ้ายผี ข้าวปลาที่ไหนมี มันเกินดีเต็มประดา ฯ

๏ ทะนนไชยได้ทีแล้ว ยิ่งกล้าแกล้วขึ้นหนักหนา เรือแพพายไปมา กลัวอาญาบ้าลำโพง ขัดสมาธิบนเก้าอี้ นั่งสูบบุหรี่ควันโขมง หากินข้างทางโกง พูดโป้งโหยงเย่อหยิ่งครัน ขุนนางประชาราษฎร์ กลัวขยาดนึกขยั้น นิ่งอยู่ดูใจกัน เกรงทรงธรรม์จะโกรธา ทะนนไชยหมั่นเข้าเฝ้า ทุกค่ำเช้าสองเวลา วันหนึ่งพระราชา ตรัสเจรจาเล่นตามสบาย ขุนนางแลข้าเฝ้า เอาของเข้ามาถวาย มิได้เว้นทุกวันวาย ของทั้งหลายล้วนอย่างดี ยังแต่อ้ายทะนนไชย สิ่งอันใดไม่เห็นมี ใจชั่วตัวตระหนี่ คิดถ้วนถี่ทุกสิ่งอัน สิ่งของที่ในเรือน มีกล่นเกลื่อนมากครามครัน ผู้ใดใครทั้งนั้น จะพึ่งมันเห็นเต็มอาย แต่กูบำรุงรัก ให้ยศศักดิ์มากเหลือหลาย นั่งกินนอนกินสบาย ไม่ขวนขวายคิดถึงกู ทะนนไชยฟังโองการ พระภูบาลแล้วคิดดู คำนึงนึกเป็นครู่ ก็แจ้งอยูในน้ำใจ ครั้นออกจากที่เฝ้า ถึงเรือนเข้าด้วยทันใด จัดแจงแต่งหม้อใหม่ แล้วตดใส่ลงพอการ ส่วยสดรสพัลดึก กลิ่นหอมลึกประหลาดครัน หาคลองของตระการ วางบนพานให้พ้นคน ห่อหุ้มคลุมมิดชิด แกล้งประดิษฐ์ทำชอบกล รุ่งสว่างพลางขวายขวน จัดแจงตนรีบเร็วมา ครั้นถึงคลานเข้าเฝ้า ทูลถวายท้าวไทนาถา นี่แหละเครื่องบรรณา ข้าบาทาแกล้งบรรจง นามชื่อว่าดอกหึ กลิ่นตึ ๆ ต้องพระประสงค์ เลือกสรรกลั่นใส่ลง พอให้ทรงชมสำราญ เป็นของผู้มีศักดิ์ หายากนักในสถาน อย่าให้ใครต้องพาน แต่ภูบาลพระองค์เดียว ถ้าแม้นบุญไม่ถึง เห็นแล้วพึ่งกระสันเสียว หัวหยองพองลุกเกรียว ไมเคยเที่ยวพบของดี เชยชมดมแต่กลิ่น ยิ่งจันอินแลสารภี หอมหวนยวนยินดี ย่อมมีรสอันโอชา พระองค์ทรงชมเล่น ให้เห็นจริงประจักษ์ตา เชิญไทเข้าไสยา แต่เอกาตามสบาย แม้นทรงทดลองดู๑๗ คงจะรู้ดังใจหมาย กลิ่นกลบอบทั้งกาย ฟุ้งกระจายจับเอาทรวง ผิดรสสุคนธ์เทศ ของวิเศษยิ่งทั้งปวง ควรคู่เป็นของหลวง คนทั้งปวงไม่คู่เคย ภูวไนยไม่คิดลึก มันอึกกระทึกทูลเฉย ๆ อารมณ์หวังชมเชย จึงเสด็จเลยเข้าข้างใน จึงสั่งพวกพนักงาน เครื่องบรรณาการมันเป็นไฉน ของดีศรีทะนนไชย ในหม้อใหม่เร่งเอามา แล้วขับพวกหมู่นิกร ไปเสียก่อนยังมันว่า เข้าที่แท่นไสยา เปิดผ้าหุ้มออกทันที ยกขึ้นจะทรงดม เหม็นแทบล้มลงกับที่ เสียงหึอึอัปรีย์ ยิ่งกว่าขี้ศรีสำราญ ทุดอ้ายไชยทำร้ายกาจ กริ้วเกรี้ยวกราดชาติเดียรฉาน มันชั่งทำสาธารณ์ น่าอัประมาณหมู่นารี มันแกล้งตดใส่หม้อ ผนึกห่อหุ้มสอดสี คิดการจนเกินดี มันถึงที่จะวายปราณ ให้หาศรีทะนนไชย เข้ามาในหน้าพระลาน พิโรธโกรธรุกราน บัญชาการถามไปพลัน ไล่เลียงมาแต่หลัง ให้เขาฟังสิ้นทั้งนั้น ขุนนางมากด้วยกัน เฝ้าทรงธรรม์อยู่รายเรียง พลเรือนฝ่ายทหาร ต่างคิดอ่านกันพร้อมเพรียง ทูลซ้ำร่ำประเดียง ให้เอนเอียงได้อับอาย พวกประชาชาวรั้ววัง เขาชิงชังมันใจหาย จองหองพองแทบตาย เมื่อปีกลายมันเล่นกล ไทยลาวแขกละคร พม่ามอญเจ๊กขายหมู ยืนหลามตามประตู อั๊วขอสู้ลื้อไม่กัว๑๘ พวกลาวร้องด่าแซ่ บักซิแม่ข้อยบอกัว ละครด่าทั้งครัว อ่ายกะฉากหัวท่ำพรืตา พวกญวนรู้วิ่งแร่ จอแด่วแหม่อ้ายชาติหมา พวกมอญรีบเร็วมา ด่าตอกคะมิฉิตอกคะยาย เขาชังอยู่ช้านาน พวกชาวบ้านคนทั้งหลาย มันทำให้พลัดพราย จนกระจายจากถิ่นฐาน บัดนี้ทรงพิโรธ ท้าวเธอโกรธอยู่อลหม่าน ได้ช่องปองมานาน ชอบอาการในท่วงที เขาชวนกันกระหน่ำ ทูลเติมซ้ำเอาถึงที่ โดยความตามคดี เล่าถ้วนถี่ให้ท้าวฟัง บัดนี้ทะนนไชย กำเริบใจฮึกโอหัง ไล่บุกรุกประดัง ริบเอาทั้งที่ไร่นา ไม่เกรงองค์พระทรงเดช ผิดสังเกตขึ้นหนักหนา มิได้เกรงพระอาญา เห็นแก่ตาสิ้นทุกคน พระองค์จะเลี้ยงไว้ จงอย่าได้ประมาทตน งวยงงหลงเล่ห์กล แทบอับจนเพราะมือมัน สมเด็จกรุงกษัตริย์ ฟังระหัสก็หวนหัน หฤทัยดั่งไฟกัลป์ เพียงจะลั่นแตกทำลาย เสียแรงบำรุงรักษ์ ให้ยศศักดิ์จนสืบสาย ทรัพย์สินมีมากมาย ข้าหญิงชายทุกสิ่งอัน เรือแพมีมากหลาย ทั้งงัวควายทุกสิ่งสรรพ์ ม้ามิ่งสิ่งทั้งนั้น เครื่องสารพันทุกประการ ชื่อเสียงก็ปรากฏ เลื่องลือยศทั่วถิ่นฐาน ตบแต่งแกล้งโปรดปราน ช่วยอภิบาลบำรุงมา ดูหรือมันคิดคด ทำทรยศเอาต่อหน้า ข่มเหงฝูงประชา ราษฎร์ร้อนอุราทั่วบุรี ไร่นามันที่ไหน แกล้งขับไล่ลวงเอาที่ หยาบคายร้ายราวี ราวกับที่ทางของตัว จะเลี้ยงไว้นานไป ไหนอ้ายไชยจะเกรงกลัว โทษทัณฑ์มันพันพัว ตัดหัวเสียให้สาใจ สมเด็จพระทรงเดช ไม่สังเวชทะนนไชย ทรงวินิจคิดสงสัย ไม่ไต่ถามตามทางตรง สั่งให้เพชฌฆาต อย่าประมาทมันตัวยง ทำกันให้มั่นคง แล้วเอาลงในนาวา โซ่กรวนใส่หลายชั้น กุญแจลั่นมั่นตรึงตรา จำจองทั่วกายา ทั้งขื่อคาห้าประการ ฯ

สุรางคนางค์ ฯ (อันนี้แต่งใหม่) ฝ่ายศรีทะนนไชย รับสั่งภูวไนย ให้ไปประหาร โซ่กรวนขื่อคา ถึงห้าประการ ทนทุกข์ทรมาน ไม่ไหวกายา นิ่งตรึกนึกได้ อุบายหนึ่งไซร้ แยบคายนักหนา เห็นจักรอดตน พ้นจากมรณา คิดแล้วมิช้า วอนว่าทันที ดูราเพชฌฆาต เรานี้ชีวาตม์ คงม้วยเป็นผี เกิดมาเป็นชาย กลัวตายไยมี แม้นว่าถึงที่ คงม้วยมรณา ท่านจงงดก่อน โทษทัณฑ์อธิกรณ์ ผ่อนสักเวลา เราจักเล่นสนุก เปลื้องทุกข์โทษา ชวนกันกินสุรา เฮฮาตามสบาย แกล้มหมูฉู่ฉี่ กับเข้าของดี คงมีมากหลาย อันการจะกิน ลูกชิ้นปลากราย ฟักส้มต้มสวาย กินให้สำราญ เพชฌฆาตเหล่านั้น อดเหล้าหลายวัน หิวหาอาหาร ทะนนไชยกล่าวเกลี้ยง จะเลี้ยงชัยบาน หมายคงเป็นการ กินให้สมคะเน เปลื้องเครื่องจำจอง ทะนนไชยได้ช่อง นั่งยองยิ้มเผล สั่งให้พวกบ่าว ซื้อเหล้าแปดเท อะหนีมึงคะเน สามเทพอการ ฯ

๏ ครั้นสั่งเสร็จสรรพ บ่าวแบกสำรับ มาส่งพอการ รับลงนาวา ข้าวปลาอาหาร แกล้มกับทุกประการ คาวหวานพร้อมพรัก รินเหล้าส่งให้ เพชฌฆาตนายใหญ่ ใส่เข้าสองอั๊ก เต็มตึงครึ่งโพง พูดโผงพิงพนัก ทะนนไชยคอยพยัก ชักชวนเป็นเกลอ ลงนิ้วสาบาน เจรจาห้าวหาญ โฮกฮากหาวเรอ อวดอ้างทางโกง เสียงโผงพูดเพ้อ ทะนนไชยอ้ายเกลอ มึงอย่ากลัวตาย ทะนนไชยจึงว่า ครั้งนี้ชีวา กูคงวอดวาย จะเล่นให้สนุก เปลื้องทุกข์ทั้งหลาย สิ้นทั้งหัวท้าย เมามายทั้งลำ เสียงก้องท้องท่า ดอกสร้อยสักรวา เสภาลำนำ ปรบไก่ครึ่งท่อน ละครมอญรำ ยับเยินสาระยำ ไม่รู้สึกกาย ทะนนไชยร้องว่า เห่เรือเถิดหวา เฮฮาให้สบาย บอกบทคนหนึ่ง มึงคอยรับปลาย ลูกคู่ทั้งหลาย ร้องไห้พร้อมกัน ถ้ากูบอกไป ว่าศรีทะนนไชย โจนน้ำไปพลัน รับว่าไชยแก้ว แม่กุลาเห่ลั่น ร้องให้พร้อมกัน โห่ลั่นสามลา ครั้นเรือลอยล่อง ทะนนไชยจึงร้อง เห่รับเรื่อยมา เสียงโห่สนั่น เลื่อนลั่นกลางชลา เหล้าข้าวสุรา กินมาตามทาง ทะนนไชยได้ที โจนน้ำว่ายหนี ไม่มีขัดขวาง ข้างท้ายร้องบอก ตะคอกคัดง้าง ทะนนไชยว่ายคว้าง โจนน้ำหนีไป ข้างหัวเรือนั้น เห่เรื่อยรับกัน โห่สนั่นหวั่นไหว ท้ายร้องบอกตะบัน ยิ่งรันรับไป บัดเดี๋ยวทันใจ ถึงหัวตะแลงแกง ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย ครั้นขึ้นบกได้ ดีใจพอแรง เหลียวหน้าเหลียวหลัง ยับยั้งแอบแฝง รีบเร่งโดยแรง ถึงเรือนโดยหมาย แต่ครั้งก่อนนั้น กฎหมายตั้งมั่น แม้นโทษถึงตาย ถ้าใครหนีรอด ไม่วอดวางวาย ถึงโทษมากมาย ไม่ตายเลยนา ครั้นว่ารุ่งเช้า ทะนนไชยเข้าเฝ้า ให้ท้าวเห็นหน้า ใจตรึกนึกกริ่ง หมอบนิ่งภาวนา ฟังพระบัญชา โปรดมาอย่างไร ฯ

๏ ฝ่ายองค์ทรงเดช ชำเลืองเหลือบเนตร เห็นศรีทะนนไชย เอะอ้ายตัวดี กลับหนีมาได้ มึงทำอย่างไร จงเร่งบอกมา ทะนนไชยก้มเกล้า กราบทูลตามเค้า เดิมลงโทษา เกล้ากระหม่อมคิดอ่าน กลการมารยา จึงรอดชีวา มาได้ง่ายดาย จึงตรัสสรรเสริญ อ้ายนี่ดีเกิน แก้ตัวรอดตาย พลางตรัสปฤกษา เสนาทั้งหลาย เลี้ยงมันไว้ใช้ ลองดูสักคราว ตั้งแต่นั้นมา ทะนนไชยระอา ไม่อาจอื้อฉาว ราชการไม่เว้น ทั้งเย็นทั้งเช้า อุตส่าห์หมั่นเฝ้า เป็นนิจนานมา ฯ

ยานี ฯ ครั้งหนึ่งพระจอมนารถ เสด็จยุตยาตร์จากปรางค์ปรา สู่สวนอยุธยา พร้อมเสนามุขมนตรี แห่แหนแน่นเป็นขนัด ทรงเศวตฉัตรบังสุริศรี ซ้ายขวาวาลวิชนี เสด็จถึงที่พลับพลาพลัน ประทับในสวนโอฬาร์๑๙ ชมพฤกษากระเษมสันต์ ดอกผลกลแกมกัน เป็นเหล่าหลั่นประหลาดตา อินจันสุคันธรส กลิ่นสวยสดซาบนาสา หอมหวนยวนวิญญา พระลีลาล่วงจรลี มาถึงสระบุษบง เคยลงสรงกระเษมศรี ชมผลจงกลนี ในวารีสำอางครัน จึงตรัสเรียกทะนนไชย เองนี้ไซร้ตัวขยัน ความคิดทีจะดีครัน คนย่อมพรั่นทั้งกรุงไกร แม้นเองมีปัญญา อย่านิ่งช้าจงแก้ไข ลวงให้กูลงไป ในสระน้ำอย่านิ่งนาน จึงจะเห็นว่าฉลาด เป็นเชื้อชาติชายโวหาร ถ้ามาทแม้นไม่สมการ กูจะประหารซึ่งชีวัน ทะนนไชยครั้นได้ฟัง ข้อรับสั่งเห็นคมสัน ตรองตรึกนึกได้พลัน ทางปัจจุบันขยันดี จึงทูลฉลองลองลวงเค้า จงโปรดเกล้าเกศเกศี ซึ่งจะลวงฝ่าธุลี ให้ลงที่สระบุษบง ครั้งนี้เห็นสุดคิด แทบชีวิตจะผุยผง ไม่เห็นเลยว่าพระองค์ จะเสด็จลงเหมือนวาจา ถ้าแม้นพระองค์ลงสู่สระ ทรงชำระพระมังษา จะลวงหลอกบอกราชา ให้ขึ้นมาบัดเดี๋ยวใจ พระองค์ทรงสรวลร่า อย่างนั้นหนาแน่หรือไฉน เอาชุดสรงทรงทันใด เสด็จลงในชลธาร จึงตรัสเรียกศรีทะนนไชย เองว่องไวในโวหาร จงล่อลวงอย่าหน่วงนาน เร่งคิดอ่านให้จงดี ให้กูขึ้นไปพ้น จากฝั่งชลบนสระศรี ทะนนไชยอัญชุลี ทูลธิบดีด้วยทันใด กระหม่อมฉันล่อลวงพระองค์ ให้เสด็จลงในสระใหญ่ จะกลับให้ลวงใหม่ เห็นผิดไปจากบัญชา ฯ

๏ พระองค์ได้ทรงฟัง เห็นจริงจังยังมันว่า ลวงให้กูลงมา เห็นพร้อมหน้าทุกเสนี ขึ้นจากสระทรงเสด็จ ปูนบำเหน็จให้ตามที่ กลับคืนเข้าบุรี แรมราตรีหลายวันมา ทะนนไชยไม่ประมาท มิได้คลาดให้ขาดหน้า ระวังตัวกลัวอาญา ย่อมตรึกตราหาอุบาย ฯ

๏ ครั้งหนึ่งเสด็จดล จากไพชยนวิเชียรฉาย มาตยาเสนานาย น้อมถวายวันทะนา จึงตรัสประภาษสั่ง ให้เตรียมที่นั่งทั้งซ้ายขวา เราจักจรลีลา เที่ยวมหานทีธาร สั่งให้ศรีทะนนไชย ย่อมว่องไวในโวหาร รู้ขนบข้อราชการ โปรดประทานท้ายนาวา พระเสด็จออกจากวัง ลงพระที่นั่งอันเลขา สั่งให้ออกนาวา โห่สามลาเลื่อนครรไล เรือคู่ดูสล้าง ตามแถวทางชลาไหล เรียบรื่นพื้นอำไพ หมู่มิ่งไม้มากคัณนา ทอดพระเนตรเห็นปลายตาล สูงกระหง่านเงื้อมเวหา จึงมีพระบัญชา ตรัสทักว่าโน่นต้นตาล ขุนนางเสนามาตย์ จึงรับราชบรรหาร กราบทูลว่าต้นตาล ตามโองการทุกตัวคน ฝ่ายว่าศรีทะนนไชย แจ้งเจนใจไม่ขัดสน กราบทูลพระจุมพล อันเหตุผลใช่ต้นตาล ขอพระองค์จงพินิจ ข้าเห็นผิดจากบรรหาร ถ้ามาทแม้นว่าต้นตาล จงประหารชีวาลัย พระองค์ทรงพิโรธ จะลงโทษให้ตักษัย ต้นตาลว่ามิใช่ ทูลพลิกไพล่ไม่เข้าการ จึงประทับพระที่นั่ง เข้าถึงฝั่งฟากสถาน เสด็จจากฝั่งชลธาร ถึงดงตาลเข้าทันใจ ยกพระหัตถ์ขึ้นตรัสชี้ นี่ต้นตาลหรือมิใช่ อย่างไรให้ว่าไป ศรีทะนนไชยให้ว่ามา ฝ่ายศรีทะนนไชย กราบทูลไปมิได้ช้า ซึ่งพระองค์ทรงทัศนา ในนาวานั้นข้างปลาย ต้นตาลอยู่ข้างล่าง เห็นผิดอย่างพระทัยหมาย ทอดพระเนตรแต่ข้างปลาย คนทั้งหลายเห็นพร้อมกัน พระองค์ทรงพระสรวล ฟังสำนวนมันคมสัน แก้ไขว่องไวครัน ทางประจุบันมันเต็มดี จึงเสด็จกลับจรดล ถึงไพชยนปราสาทศรี ประทับแท่นแผ่นมณี ครองบูรีจำเริญมาฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย พอพระไทยเป็นหนักหนา เฝ้าท้าวทุกเวลา เป็นนิจมาในธานี ทรัพย์สินพาลจะน้อย จะใช้สอยไม่ถึงที่ ตรึกตราทุกราตรี จะหาที่ทางอุบาย เมียม่อยเขาพลอยบ่น ถึงความจนแล้วใจหาย กินแล้วเที่ยวกรุยกราย ไม่ค้าขายหาเงินทอง ทะนนไชยรำคาญหู ว่าเมียกูพานจองหอง ทำไมกับเงินทอง มิตรึกตรองมากถมไป มึงซื้อผ้าละว้า มาเย็บถุงให้จงได้ ประมาณสักร้อยใบ กูจะใส่เงินห่อมา เมียว่าเจ้าหน้าเคอะ พูดเลอะเทอะเหมือนยังบ้า จะเอาเงินที่ไหนมา ช่างเจรจาหน้าไม่อาย ทะนนไชยร้องตะเพิด พรุ่งนี้เถิดอีฉิบหาย กูจะให้ขนแทบตาย อีหลังลายมึงคอยดู เมียว่าหน้าขี้ถัง ขี้คร้านฟังรำคาญหู เถียงอึงล้วนมึงกู เคยลบหลู่แต่เดิมมา ครั้นรุ่งประจุสมัย ศรีทะนนไชยเรียกร้องหา พวกเหล่าบ่าวเข้ามา ส่งถุงละว้าให้ทุกคน จึงเข้าไปในวัง เสนานั่งอยู่เกลื่อนกล่น พร้อมมูลหมู่สามนต์ คอยเสด็จดลโดยสมปอง บ้างปรึกษาราชกิจ คิดพร้อมมูลคอยทูลฉลอง อเนกแน่นพระโรงทอง ข้าทูลละอองมากครามครัน ทะนนไชยจึงทรุดนั่ง ตั้งกระทู้ดูคมสัน ขัดสมาธิขึ้นสองชั้น ไม่เกรงกันศักดินา จึงร้องขึ้นทันที ท่านเหล่านี้อึงนักหนา เก็บเอาที่ไหนมา สั่งสนทนาไม่ต้องการ ขุนนางตำแหน่งใน ฟังทะนนไชยมันว่าขาน โกรธขึ้งอึงอลหม่าน เสียงสะท้านพระโรงทอง ชิชะศรีทะนนไชย เอ็งนี้ไซร้พาลจองหอง องอาจชาติลำพอง คะนองนักจนเกินตัว เขาปรึกษานั่งว่าขาน ด้ายราชการพระอยู่หัว ควรหรือไม่เกรงกลัว ตัวมาขัดราชการ ทะนนไชยจึงโต้ตอบ ด้วยเห็นชอบช่องโวหาร เรานี้ดีชำนาญ รู้ถึงท่านทุกสิ่งไป แม้นว่าจะคิดอ่าน ด้วยราชการเป็นไฉน เรารู้ในน้ำใจ คิดอย่างไรคงรู้ทัน ขุนนางต่างขึ้งโกรธ บ้างพิโรธร้องตัวสั่น ชาวเราจงชวนกัน ขันพนันกับมันดู เก่งกวดอวดตัวดี มันจะหนีหรือจักสู้ ปรึกษากันเป็นหมู่ หน้าหมาหมูรู้อะไร ถ้ามันว่าอย่างนั้น เราพลิกพลันเสียก็ได้ ถ้าแม้นว่าถูกใจ เรากลับไพล่เสียโดยเร็ว ถึงมันมีปัญญา จะเที่ยวว่าคว้าน้ำเหลว เหลือทนอ้ายคนเลว เร็วเถิดเราจงสู้มัน จึงว่าศรีทะนนไชย ท่านนี้ไซร้ตัวขยัน ล่วงรู้น้ำใจกัน จักพนันสักเท่าไร ถ้าถูกเหมือนว่าแท้ เรายอมแพ้เสียเงินให้ แม้นว่าไม่ถูกใจ เดิมพันไซร้เป็นของเรา ทะนนไชยทำอิดออด ไม่พูดพลอดนั่งกอดเข่า จะพนันกันก็เอา ตามบุญเราสู้ดูที บรรดาพวกข้าหลวง ทุกกระทรวงเสียงอึงมี่ เอาเงินมามากมี ถั่วเป็นทีแทงเถิดเรา บ้างต่อรองสองเอาหนึ่ง บาทสลึงคงสู้เจ้า ทะนนไชยเห็นตายเรา คงเล่นเจ้าทุกตัวคน ครั้นว่าเสด็จออก บ้างลงศอกอยู่สับสน บังคมบาทยุคล ทั้งสามนต์มาตยา ทะนนไชยใจเหี้ยมหาญ บังคมคัลเหนือเกศา ขอเดชะพระอาญา ปกเกล้าข้าทูลละออง ข้าพเจ้าจักพนัน เงินครามครันสักพันสอง บรรดาข้าทูลละออง คิดปรองดองอันเดียวกัน จึงกราบทูลเหตุแต่หลัง ให้ท้าวฟังซึ่งข้อขัน ข้าพเจ้าคนเดียวนั้น จะพนันสู้เสนา โปรดยืมพระราชทรัพย์ สำหรับราชโกษฐา มาวางกลางชาลา ตรงพักตราพระทรงธรรม์ พระองค์ทรงพินิจ เห็นความคิดมันเข้มขัน ขุนนางสิ้นทั้งนั้น รู้ไม่ทันทะนนไชย พระองค์จึงตรัสสั่ง เบิกเงินคลังออกมาให้ ทดลองทะนนไชย ตามแต่ใจมันเถิดนา เงินกลางวางพอครบ พระจอมภพผู้นาถา จึงตรัสถามลงมา อย่างไรหวาศรีทะนนไชย ว่ากล่าวให้เขาจน ด้วยเล่ห์กลเป็นไฉน อย่าช้าจงว่าไป ให้กูแจ้งประจักษ์การ ทะนนไชยจึงกราบทูล ตามเค้ามูลโดยโวหาร แต่บรรดาข้าราชการ ซึ่งพนันกันทั้งหมด ย่อมซื่อสัตย์สุจริต มิได้คิดเป็นกบฏ ไม่มีที่ทรยศ ไม่คิดคดต่อบาทา ขอพระองค์ทรงซักถาม คงทราบความไม่มุสา แม้นไม่จริงเหมือนวาจา จงล้างข้าให้วอดวาย เสียงทรงพระสรวลดัง ชั่งเหมือนอย่างพระทัยหมาย ทะนนไชยทำอุบาย คิดเทถ่ายขายคนกิน จึงตรัสถามสิ้นทั้งนั้น บรรดาพนันกันทั้งสิ้น เอ็งซื่อตรงทรงธรณิน ต่อแผ่นดินหรือไรนา ขุนนางพญานาย ถวายบังคมแล้วก้มหน้า ต้องรับพระบัญชา สมวาจาศรีทะนนไชย ครั้นเสด็จขึ้นจากที่ หมู่เสนีทั้งน้อยใหญ่ เสียรู้อดสูใจ ศรีทะนนไชยมันล่อลวง อับอายไพร่พลเมือง บ้างเหงาเงื่องลงนั่งง่วง ครางฮือมือลูบทรวง มันหลอกลวงเอาลอย ๆ ครั้นมาถึงเคหา เมียมันด่านั่งหน้าจ๋อย ไม่อาจว่าทำตาปรอย ลมพลอยจับนอนหลับตา ฯ

๏ ฝ่ายทะนนไชยให้บ่าวขน เงินเหลือล้นเป็นนักหนา แบกหลามตามกันมา ถึงเคหาบ้านเรือนตัว ลูกเมียหมอบลอยหน้า รวยเริงร่ากว่าเจ้าสัว เจี๊ยะหมูอู๋อวดตัว อั๊วไม่กลัวจนเลยนา ครั้นอยู่มาช้านาน แสนสำราญแสนหรรษา พร้อมมูลหมู่ญาติกา มาพึ่งพาได้ทุกคน เข้าเฝ้าทั้งเช้าเย็น มิได้เว้นวันละสองหน โปรดจริงยิ่งกว่าคน ไม่ร้อนรนโรคโรคาฯ

๏ ครั้งหนึ่งจอมนัคเรศ ต่างประเทศต่างภาษา จากสิงหลพารา ถิ่นเกาะแก้วพิสดาร จึงใช้ให้นักปราชญ์ อันฉลาดในโวหาร รู้พระธรรมอันโอฬาร ถือข่าวสารมาทันที มาถึงบรมวงศ์ ผู้ดำรงซึ่งกรุงศรี อยุธยายอดธานี บูรีรมยกรุงไกร เลื่องลือทั่วประเทศ อณาเขตย่อมแถลงไข ว่านักปราชญ์ในกรุงไกร ย่อมว่องไวปัญญาญาณ รู้แก้ปริศนาธรรม ที่ลึกล้ำคัมภีร์สาร พระปริยัติชัดชำนาญ ธรรมวิตถารทางบาลี นักปราชญ์กรุงสิงหล ล่วงจรดลมาถึงนี่ ตั้งอยู่นอกบูรี เขตแดนศรีอยุธยา จักสำแดงซึ่งธรรมยุทธ วชิราวุทธปัญหา ถ้ามาดแม้นใครอัปรา ตั้งราคาพนันเมือง สมเด็จจอมโมลี ทรงสารศรีทราบสิ้นเรื่อง พระกระมลระคนเคือง จะปลดเปลื้องประการใด นักปราชญ์กรุงลังกา ต้นศาสนาอันสูงใหญ่ ย่อมพิสดาร ชำนาญใน ไตรปิฎกธรรมามูล นักปราชญ์ในกรุงเรา เมธีเล่าก็เสื่อมสูญ เรียนร่ำพระธรรมามูล ไม่บริบูรณ์เหมือนลังกา จะตอบสารให้เขารู้ ไม่ต่อสู้ทางปัญหา ให้คืนกลับไปพารา อย่านิ่งช้าเลยเสนี ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย หมอบอยู่ในตำแหน่งที่ ตรองความตามคดี เห็นได้ทีจึ่งกราบทูล ของเดชะละอองบาท บรมนาถนเรนสูรย์ ข้าพเจ้าเห็นเค้ามูล จะเสื่อมสูญกระวีวงศ์ อันกรุงศรีอยุธเยศ ย่อมวิเศษอันสูงส่ง จะหย่อนยอมถ่อมพระองค์ กลับส่งซึ่งสาราไป เห็นว่าทุกธานิน จะดูหมิ่นพระองค์ได้ แม้นเลื่องลือตลอดไป คงจะขายพระบาทา ข้าพเจ้าเป็นข้าบาท ขอรับขาดเข้าอาสา สำแดงธรรมยุทธนา ด้วยลังกาต่างธานี ถ้ามาดแม้นว่าอัปรา จงเข่นฆ่าให้เป็นผี ญาติกาบรรดามี ล้างชีวีวายชนม์ ท้าวทรงสดับฟัง พระทัยยังคิดฉงน ทะนนไชยก็แสนกล ย่อมเลิศล้นทางอุบาย ฝ่ายข้างคดีธรรม ไม่เห็นร่ำเรียนสืบสาย จะแก้อรรถาธิบาย ไม่สมหมายจะเสียการ จึงตรัสประภาษถาม ด้วยทางความในบรรหาร เอ็งร่ำเรียนได้เขียนอ่าน ด้วยอาจารย์อารามใด ทะทนไชยได้วิเศษ จึ่งก้มเกศกราบทูลไข กระหม่อมฉันชำนาญใจ ในปัญหาพยากรณ์ อย่าทรงพระวิโยค จงสร่างโศกสโมสร คงจะกู้พระนคร ให้ถาวรวัฒนา จะสำแดงธรรมยุทธ์ คงแพ้หลุดไม่มุสา จะตระเตรียมซึ่งโยธา จะขอลาพระองค์ไป ฯ

๏ ฝ่ายองค์อศิศร จึงอวยพรให้พ้นภัย จงชำนาญชำนะใน หมู่นักปราชญ์พวกลังกา ทะนนไชยประนมกร รับพระพรใส่เกศา เลยถวายบังคมลา แล้วกลับมาด้วยทันที ให้คนตัดไม้ทองหลาง ทำเหมือนอย่างรูปคัมภีร์ เอาผ้าที่อย่างดี มาคลี่ห่อให้พอการ มากมายถึงแปดหมื่น ทั้งสี่พันโดยบรรหาร จึ่งสั่งให้ธรรมการ ไปนัดแนะกำหนดวัน ครั้นรุ่งพระสุริแสง จึงจัดแจงจะจรจรัล เหล่าพวกทั้งนั้นครัน ประกวดกันแต่งกายา พระราชทานยานุมาศ สำหรับราชยศถา ทะนนไชยนำโยธา เคลื่อนไคลคลาหมู่นิกร เหล่าพวกข้างเมธี แบกคัมภีร์ตามสลอน ออกจากพระนคร ถึงแดนดอนพวกลังกา ฯ

๏ ทะนนไชยทำองอาจ ใจสามารถทั้งแกล้วกล้า ออกยืนกลางโยธา พวกศิษย์หาหมอบเกลื่อนไป นักปราชญ์กรุงสิงหล จึงจรดลเข้ามาใกล้ เชื้อเชิญศรีทะนนไชย เป็นแต่ใจไม่วัจนา แล้วยกมือขึ้นนิ้วหนึ่ง จะถามซึ่งทางปัญหา หมายปองลองปัญญา ท่านเมธาข้างกรุงไทย ทะนนไชยใจสามารถ เขาฉลาดคิดแก้ไข รู้แท้แน่เต็มใจ ในปริศนาอันถาวร จึ่งยกมือขึ้นพลัน ห้านิ้วนั้นให้เห็นก่อน ลดเสียสี่นิ้วทอน ผ่อนชูไว้นิ้วหนึ่งนา นักปราชญ์กรุงสิงหล ทำลึกล้นเป็นนักหนา นักปราชญ์ศรีอยุธยา แก้ปัญหาได้ง่ายดาย ถ้าอรรถแปลแก้บาลี เราเสียทีจักฉิบหาย จะได้ความอับอาย แก่พลไพร่ชาวธานี ครั้นคิดดั่งนั้นไซร้ ยกพลไกรรีบถอยหนี กลับคืนไปบูรี ยังแต่ศรีทะนนไชย มหาดเล็กพวกนายงาน ถามอาการว่าเป็นไฉน นักปราชญ์ลังกาไซร้ ยกขึ้นไว้นิ้วหนึ่งพลัน ท่านยกห้านิ้วก่อน แล้วจึ่งผ่อนสี่นิ้วนั้น นิ้วหนึ่งยังชูชัน นี่ถามกันว่าอย่างไร ทะนนไชยจึงบอกความ ลังกาถามเรานั้นไซร้ ปริศนาเป็นทางใน ยกขึ้นไว้นิ้วหนึ่งนา ถามว่าในกรุงไทย ปลาแห้งไซร้ชุมนักหนา กี่ตัวเฟื้องหนึ่งนา เราจึงกล้าแก้ทันที บอกว่าปลาในเมือง ห้าตัวเฟื้องขายเต็มที่ ยกมือขึ้นอย่างนี้ บอกเมธีปราชญ์ลังกา มหาดเล็กแจ้งความชัด รีบเร็วรัดจะเอาหน้า มาถึงพระราชา กราบสามลาทันที พระองค์ทรงซักถาม เออได้ความอะไรนี่ ทะนนไชยกับไพรี ใครเสียทีประการใด มหาดเล็กทูลทันที ว่าครั้งนี้มิเป็นไร ลังกาอัปราชัย หนีกลับไปยังพาราฯ

๏ พระองค์ทรงซักถาม ซึ่งข้อความด้วยกังขา ทะนนไชยอย่างไรนา แก้ปัญหาบัดเดี๋ยวดล อรรถแปลแก้ข้อไหน กูนี้ไซร้ยังคิดฉงน ทางธรรมพระทศพล ลึกเลิศล้นเหลือประมาณ มหาดเล็กกราบทูลไท ตามทะนนไชยนั้นว่าขาน ถามราคาปลาชำลาน ข้างนี้ผ่านว่าห้าตัว พระองค์ทรงโสมนัส ตบพระหัตถ์แล้วยิ้มหัว ความคิดมันเกินตัว ไม่มีชั่วใช้ปัญญา ทรงฟังยังกินแหนง นี่มันแกล้งหลอกล่วงหน้า พลางตรัสด้วยเสนา คอยอยู่ท่าทะนนไชยฯ

สุรางคนางค์ ฯ ครั้นได้เวลา ทะนนไชยไคลคลา เข้ามากรุงไกร จึงเข้าไปเฝ้า จอมเจ้าภพไกร ถวายบังคมไท ธิเบศธิบดี พระทรงทายทัก ปราโมทย์โปรดนัก ซักถามถ้วนถี่ เหตุผลเป็นไฉน อย่างไรเดิมที จึงพวกไพรี หนีกลับไปเมือง ทะนนไชยกราบทูล บอกเล่าเค้ามูล ทูลถวายตามเรื่อง ข้าแก้ปัญหา ปริศนาแขกเมือง ลึกนักยักเยื้อง ยากล้นพ้นใจ นักปราชญ์สิงหล ยกมือของตน นิ้วหนึ่งทันใด ถามเป็นปริศนา ให้ข้าแก้ไข ถามว่าเป็นใน ภัทกัปป์นี้นา พระพุทธิเจ้า ได้กี่องค์เล่า ดำรงศาสนา แต่ครั้นพรหมมินทร์ เสพกลิ่นพระสุธา จำเนียรคณนา นับมาสี่องค์ ข้าพเจ้าล่วงรู้ ยกมือขึ้นชู ห้านิ้วโดยประสงค์ ว่าพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสห้าพระองค์ ล่วงแล้วโดยจง สี่องค์นฤพาน ลดเสียทั้งสี่ นิ้วหนึ่งนั้นชี้ แจ้งข้อบรรหาร บอกเป็นปริศนา ว่ายังพระศรีอาริย์ พระองค์ทรมาน อยู่ชั้นดุสิดา นักปราชญ์สิงหล พอทราบเหตุผล ข้าแก้ปัญหา ยกพวกเมธี หนีไปพารา จงทราบบาทา ท้าวไทธิบดี ฝ่ายนเรนสูรย์ ทะนนไชยกราบทูล วันนั้นถ้วนถี่ ชื่นชมพิศมัย พระไทยเปรมปรีดิ์ เหล่าพวกเสนี ซ้องสาธุการ กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่นั้นมา ลือชาทุกสถาน พระเกียรติยศ ปรากฏใครจะปาน นักปราชญ์ราชฐาน ศฤงคารโภไคย ฯ

๏ คราวครั้งหนึ่งนั้น ยังมีกำปั่น ฝรั่งเศสวิไสย กปิตันกรดอน สัญจรคลาไคล มาถึงกรุงไทย ทอดหน้าธานี มีของวิเศษ โคมหวดขวดเทศ เพชรนิลอย่างดี ผ้าเกี้ยวกุศราช วิลาศต่างศรี ของกินก็มี ซาระหม่ามูลมอง มีผ้าขาวเทศ เนื้อหนังวิเศษ ไม่มีถึงสอง กึงตังเซี่ยงไฮ้ ค้าขายหลายคลอง จะพนันกันลอง ไม่สู้เลยนา ครั้นมาถึงนี่ ร้องป่าวอึงมี่ ทั่วศรีอยุธยา จะพนันกันเล่น ให้เห็นเต็มตา ผ้าผืนนี้นา ราคามากมาย ชาวบ้านพลเมือง อึงอื้อลือเลื่อง ทั่วทั้งหญิงชาย ขอชมเขาเล่น ไม่เห็นเส้นสาย เนื้อหนังชั่งคล้าย เงา ๆ แลนา ทะนนไชยรู้ข่าว จึงถามเรื่องราว อย่างไรนั้นหวา สรรเสริญแซ่ซ้อง ก้องทั่วพารา พวกบ่าวบอกว่า ผ้าขาวเนื้อดี พวกฝรั่งเอามา เนื้อหนังนั้นนา เลิศล้นพ้นที่ ผ้าผ่อนเมืองเรา สู้เขาเต็มที จักหาอย่างนี้ ไม่มีเลยนาย เขาจักพนัน เงินเจ็ดกำปั่น เล่นกันมากมาย แม้นผ้าใครมี อย่างนี้โดยหมาย เขาจักยอมให้ ตามสัญญากัน ทะนนไชยได้ฟัง เอนอิงพิงนั่ง น้ำใจกระสัน เห็นทางอุบาย แยบคายหลายชั้น กูจักพนัน ขันสู้มันเอง ให้คนไปว่า พวกฝรั่งมังค่า พูดจาครืนเครง ทะนนไชยนายข้า เสาะหานักเลง ผ้าท่านมีเอง เนื้อดีเหลือใจ ฯ

๏ พวกฝรั่งฟังว่า ให้ล่ามถามมา ว่าแน่หรือไฉน จึงเอาเดิมพัน วางกันเท่าใด ถ้าใครหนีไซร้ เดิมพันกินลอย ครั้นว่ารุ่งเช้า ทะนนไชยเข้าเฝ้า ให้ท้าวใช้สอย จึงทูลขึ้นพลัน ว่ากำปั่นมาลอย ขายเพชรขายพลอย อยู่หน้าธานี เจ็ดลำด้วยกัน ผ้าผืนหนึ่งนั้น เนื้อหนังเต็มดี เที่ยวพนันทุกเมือง รู้เรื่องถ้วนถี่ ครั้นมาถึงนี่ เที่ยวขันพนัน เกล้ากระหม่อมขอสู้ ผ้าดีมีอยู่ เนื้อหนังคมสัน ใครดูไม่ได้ เอาไว้พนัน ขอเชิญทรงธรรม์ คอยทอดทัศนา พระองค์ทรงฟัง อันชาติฝรั่ง ของดีนักหนา เองจะสู้ได้ ตามใจเถิดนา จะเอาไหนมา เมืองเราไม่มี ฯ

๏ ทะนนไชยก้มเกล้า ข้าพระพุทธิเจ้า คงไม่ถอยหนี อันผ้าฝรั่ง เนื้อหนังอย่างนี้ ของข้าบาทมี เนื้อดีกว่ากัน ทูลแล้วโดยหมาย จึงให้ทนาย รีบไปเร็วพลัน บอกกล่าวเจ้าท่า ผู้ว่ากำปั่น ใครจะพนัน ชวนกันรีบมา ฯ

๏ ฝรั่งรู้ข่าว จึงหยิบผ้าขาว เนื้อดีมีค่า พับซ่อนใส่หีบ เร็วรีบเรียกหา กระซิบทาสา เร่งมาพร้อมกัน เสียงพูดโลเล ไอโกดูเปล แวระยูโกบัน หัวเราะเริงร่า จะมาพนัน ฝรั่งทั้งนั้น ตามกันเป็นพรวน ชาวบ้านพลเมือง แขกหลามตามเนื่อง พม่ามอญญวน สินตึงตังหนัง เซ่อซังเซอะซวน แขกลาวเก้าล้วน ชวนกันมาดู บ้างเข้าข้างฝรั่ง คนละชั่งสองชั่ง วางกันเป็นหมู่ ข้างไทยเป็นรอง สามสองไม่สู้ คนหลามตามดู เยียดยัดอัดอึง พอสามโมงเช้า ทะนนไชยให้บ่าว แบกหีบมาถึง ขุนนางเหล่านั้น เถียงกันอึงคะนึง รับรองสองเอาหนึ่ง อื้ออึงทั้งวัง ฯ

๏ ฝ่ายข้างฝรั่งนั้น เงินเจ็ดกำปั่น จะพนันโดยหวัง เล่นกันให้พอ ต่อหน้าพระที่นั่ง ครั้งนี้เล่นสั่ง กันเสียสักงาน ทะนนไชยทุนน้อย ยืมเงินหลวงพลอย เติมลงพอการ เล่นกันถึงที่ ครั้งนี้สนุกสนาน ยิ่งกว่ามีงาน มหรสพครั้งเดิม ครั้นจวนเสด็จออก นักเลงเล่นนอก อึกกระทึกฮึกเหิม ใครหาญอ่อนข้อ ขัดต่อตามเดิม ไม่พอขอเพิ่ม เดิมพันทันที ครั้นเสด็จออกมา ขุนนางพร้อมหน้า หมอบหลามตามที่ กลาโหมมหาดไทย ซ้ายขวาธิบดี แขกเมืองอึงมี่ ถอดหมวกกราบกราน ฯ

๏ พระองค์ทรงถาม ขุนนางพวกล่าม รับบัญชาการ พร้อมแล้วโดยหวัง สั่งเจ้าพนักงาน หามาหน้าพระลาน ให้พร้อมมูลกัน ทะนนไชยกับฝรั่ง รู้กระแสรับสั่ง หาตัวคู่ขัน จึงถือหีบผ้า เข้ามาพร้อมกัน ถวายบังคมคัล ลงแล้วสามลา ฯ

๏ แขกเมืองนั้นไซร้ เปิดหีบทันใจ หยิบห่อกาสา คลี่ออกโดยหวัง เนื้อหนังรจนา ดูเหมือนสีฟ้า ผิดผ้าผ่อนเรา ไม่มีเส้นสาย เนื้อหนังยังคลาย ควันไฟฟางเผา ยกขึ้นเชิดชู ดูเห็นเป็นเงา พิศแล้วพิศเล่า ปลิวเปล่าเป็นควัน ทะนนไชยตัวดี เปิดหีบทันที คลี่ออกด้วยพลัน เชิดชูดูเอา มือเปล่าทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นควัน ดูขันเต็มเคอะ ฯ

๏ ขุนนางชั้นใน กึกก้องร้องไป เก็บไว้เสียเถอะ เงินถึงเจ็ดลำ อย่าทำเจ๋อเจ๊อะ จะพากันเคอะ ยิ่งกว่าผีหลอก นักเลงนอกนั้น พูดโอ้โห่ลั่น เสียงสนั่นดังละลอก ที่เข้าไม่ทัน เพื่อนนั้นร้องบอก เหล่าพวกเล่นนอก ออกตัวไม่ทัน ฯ

๏ ทะนนไชยร้องว่า อ้ายพวกนี้บ้า พูดจาไม่ขัน ผ้าฝรั่งขี้ริ้ว ดูปลิวเป็นควัน ผ้าของกูนั้น ดีกว่าเท่าไร พวกโง่บัดซบ หน้าเองจะพบ ของดีที่ไหน ผ้ากูผืนนี้ เนื้อดีสุดใจ ไม่เห็นเป็นสาย เนื้อคล้ายกระจก ฯ

๏ ฝรั่งถามว่า ล่ามเป็นภาษา โกรธางันงก ผ้าไม่มีเลย ทะเฉยโสทก คิดการโกหก ยกมือเปล่าดาย ทะนนไชยเถียงดัง ผ้าของท่านยัง เนื้อหนังคลายคลาย เป็นควันปลิวอยู่ เรารู้แยบคาย อย่าพึ่งนึกหมาย ไม่เหมือนของเรา อันผ้าผืนนี้ เนื้อหนังเต็มดี ไม่มีใครเอา ในโลกอันนี้ ไม่มีแล้วเจ้า ดูเห็นเป็นเงา แพ้เราทุกประการ ถุ้งเถียงกันไป แขกเมืองจนใจ ไม่อาจว่าขาน ตัวเป็นลูกค้า พลัดมาต่างบ้าน ทะนนไชยรุกราน เรียกเงินเดิมพัน ฯ

๏ พระองค์ทรงตรอง รู้ความทำนอง ไม่ต้องทางธรรม์ จึงห้ามปากเสียง อย่าได้เถียงกัน เนื้อความทั้งนั้น จะว่าตามตรง จึงตรัสปรึกษา ตามทางธรรมดา โดยราชประสงค์ ข้างผ้าฝรั่ง จริงจังโดยจง ของมีมั่นคง คนเห็นเต็มตา แต่ผ้าผืนนี้ เหมือนควันอัคคี ไม่เคยเห็นมา เข้าของอย่างนี้ ยากที่จะปรึกษา ครั้นจะว่าผ้า ก็ผิดทำนอง ฯ

๏ แต่ข้างทะนนไชย ยกมือขึ้นไว้ ไม่เห็นสิ่งของ บอกว่าผ้ามี เนื้อดีลำยอง ครั้นคลี่ดูลอง ไม่ต้องอย่างกัน ว่าผ้าสาฎก เนื้อหนังดั่งกระจก เท็จจริงคมสัน ครั้นจักสอบสวน เป็นสำนวนต่อกัน แขกเมืองทั้งนั้น จะได้ขุ่นเคือง ฯ

๏ ตรัสโปรดลงมา คนต่างภาษา ให้ว่าตามเรื่อง นักเลงต่อรอง เงินทองนองเนือง ฉีกแหกแยกเยื้อง อย่าให้ยากตระลาการ ถ้าใครทวงถาม เกาะกุมซุ่มซ่าม ก่อความข้ามสาร ไม่ฟังกำหนด ต้องบทพระอัยการ โทษถึงประหาร ชีวันบัลลัย นักเลงทั้งปวง ไม่อาจทักท้วง ถอยหลังออกไป แขกเมืองอึงมี่ ทั้งศรีทะนนไชย ต่างคนกลัวภัย ในราชอาญา ฯ

ฉบัง ฯ ฝ่ายพวกแขกเมืองนั้นไซร้ แพ้รู้ทะนนไชย กลับไปจากศรีอยุธยา คุมแค้นขัดใจนักหนา ครั้นถึงพารา อยู่มาไม่ทันขวบปี ได้นกแขกเต้าอย่างดี พูดจาพาที ไม่มีใครสู้เลยนา หัดพูดได้ทุกภาษา สั่งสอนสนทนา เจรจาไม่เหมือนคำไทย หมายเขม้นเล่นศรีทะนนไชย มันหลอกเล่นได้ จะไปเล่นมันมั่นคง จึงจัดกำปั่นโดยจง เงินทองบรรทุกลง ตรงเข้ามาศรีอยุธยา ครั้นถึงจึงทอดอยู่หน้าท่า เปิดระวางสินค้า สารพันผ้าผ่อนมูลมอง ชาวบ้านพลเมืองเนืองนอง ลูกค้าแซ่ซ้อง มาซื้อสิ่งของนา ๆ พวกฝรั่งทั้งท้ายเภตรา เอากรงนกมา วางไว้ตรงหน้าบาหลี แขกเต้าพูดพลอดพาที ลูกค้าอึงมี่ มานั่งเอียงคอคอยฟัง ฝ่ายพวกกำปั่นฝรั่ง พูดกันโดยหวัง ครั้งนี้จะพนันกันก็เอา แม้นนกใครมีเหมือนเรา พูดจาเพราะเพรา เอามาสู้กันอย่านาน ชาวเมืองเลื่องลือทุกสถาน ต่างคนชื่นบาน มาฟังแขกเต้าเจรจา ขุนศรีทะนนไชยใจกล้า ฟังข่าวเล่ามา ว่านกแขกเต้าอย่างดี พูดได้ทุกภาษากระลาสี ฝรั่งตัวดี ทีนี้มันจะเล่นกู ตรองตรึกนึกนั่งฟังดู คิดอยู่เป็นครู่ ก็รู้ในทางอุบาย จึงสั่งพวกบ่าวทังหลาย ให้เที่ยวแยกย้าย กันไปเที่ยวหานกตะกรุม พวกบ่าวก็มามากกลุ้ม พบฝูงนกตะกรุม รุมกันเข้าจับเอาตัวมา ทะนนไชยดีใจเต็มประดา ต่อกรงแน่นหนา เอามาขังในหลายวัน ให้อดข้าวปลาสารพัน นักตะกรุมหิวครัน ป่วนปั่นด้วยอดผักปลา ทะนนไชยให้บ่าวเที่ยวหา นกเอี้ยงกลางนา เอามาให้กินทุกวัน นกตะกรุมคาบนกเอี้ยงอาสัญ กลืนทั้งตัวนั้น มันกินมิใคร่อิ่มเลย ส่งให้ทุกวันจนเคย เจ้าสาริกาเอ๋ย เคยเลี้ยงมาแต่บูราณ ทะนนไชยครั้นเห็นได้การ สั่งทนายมินาน ท่านจงลงไปเภตรา บอกกับนายฝรั่งมังค่า ว่านกสาริกา ของเรามีอยู่จะสู้กัน ทนายรับคำขมีขมัน รีบไปด้วยพลัน ถึงกำปั่นฝรั่งนั่งลง บอกความตามใจประสงค์ ว่านายให้ลง มาบอกแก่ท่านด้วยพลัน สาริกาท่านมีดีครัน พูดจาขยัน สารพันรู้ลักษณะเหมือนคน จะพนันสู้กันสักหน เล่นกันตามจน จะชนเสียให้ถึงดี นายฝรั่งฟังว่าพาที หน้าตาอย่างนี้ ที่ไหนจะมีเหมือนเรา จะพนันกันจริงหรือเจ้า แม้นจะสู้เรา จงเอาประจำวางกัน ทนายเทถุงลงพลัน กลางธารกำนัล วางกันตามเจ้าพนักงาน แล้วกลับมายังสถาน บอกนายมินาน เป็นการแล้วคุณอย่ากลัว ทะนนไชยดีใจยิ้มหัว กูมิใช่ชั่ว อย่ากลัวเลยพวกชาวเรา ว่าแล้วจึงเข้าไปเฝ้า ทูลตามลำเนา ให้ท้าวเธอทราบบาทา ว่ามีแขกเมืองพ่อค้า มีนกเข้ามา ว่าแขกเต้านั้นตัวดี สารพันพูดได้ถ้วนถี่ ครั้นมาถึงนี่ เซ้าซี้จะชวนขันพนัน เกล้ากระหม่อมจะขอสู้มัน ซึ่งเงินเดิมพัน ไม่พอจะขอรับประทาน พระองค์ทรงทราบโวหาร ทะนนไชยคิดการ ทั้งนี้ก็ทราบพระทัย นกหนูมันมีที่ไหน สิงหนาทตรัสไป ตามใจเองจะพนัน ทะนนไชยถวายบังคมคัล ออกมาด้วยพลัน ครั้นแล้วจึงสั่งเสนา จงเร่งไปบอกเจ้าท่า ให้รีบเข้ามา บรรดาพวกจะพนัน เสนาจึงมาเร็วพลัน จึงบอกกปิตัน จะพนันก็รีบเร็วไป ฝรั่งฟังเสนีดีใจ เรียกหาข้าไท ให้ถือกรงนกนั้นมา แขกเต้าพลอดจ้อเจรจา มาถึงศาลา ต่อหน้าที่นั่งภูธร ทะนนไชยกลับไปบ้านก่อน จัดแจงผ้าผ่อน อันดีคลี่ออกหุ้มกรง บ่าวข้าแบกมาโดยประสงค์ ครั้นถึงจึงปลง กรงนกนั้นลงทันที ให้พวกเสนาเสนี มาดูอึงมี่ นกอะไรอย่างนี้ไม่เคย คลุมไว้มิดชิดเจียวเหวย ดูไม่เห็นเลย เผยออกแต่พอขอชม ทะนนไชยว่าอย่าปรารมภ์ คงจะได้ชม นกเราคารมเหลือใจ นักเลงเล่นนอกเล่นใน เสียงสนั่นหวั่นไหว เบียดกันเข้าไปมองดู ไม่เห็นด้วยนกตัวหนู ผ้าคลุมซุมซู่ ไม่รู้ว่านกอะไร นกฝรั่งชั่งพูดเหลือใจ นี่นกอะไร ไม่ได้ยินเสียงเจรจา จึงเอาเดิมพันนั้นมา วางกลางชาลา คอยท่าสมเด็จภูมี ครั้นสามโมงเศษใสศรี สมเด็จธิบดี เสด็จจากท้องพระโรงทอง เสนาบังคมทูลฉลอง ขอเดชฝ่าละออง ธุลีพระบาททรงธรรม์ แขกเมืองซึ่งมาพนัน พร้อมทั้งคู่ขัน นกนั้นก็เอาขึ้นมา พระองค์ทรงสั่งมิช้า ฝรั่งลูกค้า พานกแขกเต้าเข้าไป ทะนนไชยไม่พรั่นหวั่นไหว ถวายบังคมไท กรงนกก็ให้เอามา ผ้าคลุมหุ้มมิดหนักหนา เห็นผิดกิริยา ที่ว่าเป็นนกอย่างดี กปิตันเปิดกรงทันที แขกเต้าตัวดี พาทีพูดพลอดสนทนา จีนไทยได้ทุกภาษา ละแวกแขกละว้า พม่ารามัญเม็งมอญ บรรดาเสนานิกร ชูคอสลอน คอยฟังสุนทรสกุณี ทะนนไชยได้นกอัปรีย์ เปิดกรงทันที เสนีหัวร่ององัน นกตะกรุมยืนชูคอชัน ฝูงคนทั้งนั้น ชวนกันตบมืออื้ออึง บ้างร้องต่อรองสองเอาหนึ่ง แปดบาทเอาสลึง ไม่มีใครจะรองสักคน เหล่าพวกเสนาสามนต์ ถากถางทุกคน สัปดนดื้อดึงเต็มประดา ทะนนไชยจึงตอบเสนา ท่านเหล่านี้บ้า หน้าตาจะพบของดี สาริกามาแต่เมืองตานี อย่าว่าจู้จี้ คงได้เห็นดีดอกนาย พวกฝรั่งนั่งอยู่มากมาย เยาะเย้ยแยบคาย หมายคงชนะทะนนไชย เปิดกรงแขกเต้าทันใด จึงปล่อยออกไป ให้พูดถากถางสนทนา แขกเต้าเข้าไปตรงหน้า เอียงคอต่อว่า พูดจาฉอเลาะเราะราย ถากถางพูดจาท้าทาย เจ้าน่าไม่อาย รูปร่างกรุยกรายโกรงเกรง หัวหูล้านโล่งโทงเทง มายืนโย่งเย่ง หรืออยากจะใคร่กินปลา นกตะกรุมเห็นใกล้เข้ามา นึกอยากเต็มประดา ยื่นหน้าอ้าปากลนลาน เจ้าของร้องว่ามินาน เขาว่าหัวล้าน โต้ท่านทะเลาะลองดู นกเราเคยพูดเป็นหมู่ เดาสวดอวดคู่ สู้เขาอ้ายพ่อจะขอฟัง ฝ่ายนักเลงเล่นข้างฝรั่ง ต่อรองก้องวัง เสียงดังสะท้านพารา แขกเต้าเต้นไปเต้นมา นกตะกรุมถลา อ้าปากคาบคั้นทันใด ขยอกกลอกกลืนเข้าไป เจ้าของตกใจ ลุกไล่ตะครุบไม่ทัน พวกฝรั่งตีอกงกงัน นกอะไรอย่างนั้น ดุดันดื้อดึงเต็มประดา พนันกันขันพูดตามภาษา ไม่ทันเจรจา มากินนกข้าอย่างนี้ ทะนนไชยเถียงแทนทันที นกเจ้าไม่ดี เซ้าซี้ถากถางมากมาย นกข้าได้ความอับอาย แก่นักเลงทั้งหลาย มันร้ายมาแต่บูราณ ทุ่มเถียงกันไปช้านาน เสียงก้องอลหม่าน สะท้านทั้งท้องพระโรงคัล ทะนนไชยเรียกเงินเดิมพัน แพ้เราทั้งนั้น นกท่านจึงถึงความตาย ฝ่ายพวกฝรั่งทั้งหลาย เถียงกันวุ่นวาย ทะนนไชยพูดแก้ตามโกง นักเลงเล่นนอกท้องพระโรง ขึ้นเสียงเถียงโผง ทะนนไชยคิดโกงแล้วหวา ฝ่ายพระทรงภพนาถา จึงมีบัญชา ตรัสว่าอย่าทุ่มเถียงกัน จะปรึกษาว่าให้เป็นธรรม์ พวกแขกเมืองนั้น ด้วยไม่ทันพิจารณา เสียรู้เจ้าของสาริกา ซึ่งว่าเงินตรา อย่าให้ได้เสียแก่กัน เลิกทั้งสองข้างคู่ขัน ใครทวงถามกัน จะบั่นเศียรให้วางวาย รับสั่งแล้วเสด็จผันผาย สู่แท่นพรรณราย จำรัสจำรูญรังสี ฝ่ายพวกเสนามนตรี แขกเมืองอึงมี่ พากันนินทาทะนนไชย ว่าตั้งแต่นี้สืบไป อ้ายคนจัญไร กูไม่อยากเล่นกับมัน เสียดายแขกเต้าตัวขยัน ฝ่ายฝรั่งโกรธครัน จึงลงกำปั่นกลับไป ฯ

ยานี ฯ ครั้นอยู่มาช้านาน แสนสำราญทั้งกรุงไกร วันหนึ่งภูวไนย เสด็จลงไปตำหนักแพ ห้ามแหนแน่นขวักไขว่ นางชาวในมาเซ็งแซ่ เสนามาตย์หมอบอัดแอ ริมกระแสชลาลัย พระองค์ทรงตรึกตรอง คิดจะลองศรีทะนนไชย ฉลาดจริงหรืออย่างไร ทำอย่าให้มันรู้ตน จึงแจกซึ่งไข่ไก่ ให้มหาดเล็กสิ้นทุกคน ใส่ไว้ซ่อนให้พ้น ทั้งสามนต์แลไพร่นาย สั่งให้หาทะนนไชย รีบเร็วไปดังใจหมาย อย่าแจ้งให้แพร่งพราย ทำระคายให้รู้ตัว ตำรวจรีบเร็วไป พบทะนนไชยแล้วยิ้มหัว รับสั่งให้หาตัว ไม่ได้ผัวเอาเมียไป ฯ

๏ ทะนนไชยหัวเราะแหะ ถุดอ้ายแปะเป็นเหตุไฉน กริ้วกราดประการใด จงบอกให้รู้ก่อนรา ตำรวจว่าบอกไม่ได้ รีบเร็วไปเถิดนายข้า ช้านักจักโกรธา เสด็จคอยถ้าตำหนักแพ ทะนนไชยไม่รอรั้ง ตามรับสั่งโดยกระแส ครั้นถึงตำหนักแพ แลดูสล้างล้วนเสนา ไม่รู้ว่าดีร้าย ถวายบังคมก้มเกศา หมอบนิ่งภาวนา อยู่ตรงหน้าพระภูวไนย สมเด็จพระทรงธรรม์ เกษมสันติ์ตรัสปราศรัย ดูราศรีทะนนไชย กูจะให้ลงคงคา ดำลงให้พร้อมกัน ครั้นผุดขึ้นให้ร้องว่า เสียงกะต๊ากจากคงคา ชูไข่มาให้พร้อมพลัน ถ้าใครไม่มีไข่ กูจะให้เขาฟาดฟัน เสนาทั้งปวงนั้น ผลัดผ้าพลันโจนลงไป ทะนนไชยไวปัญญา หัวเราะร่าขึ้นทันใจ โจนลงชลาลัย ดำลงไปสิ้นทั้งนั้น ครั้นผุดขึ้นมาได้ ชูไข่ไก่ขึ้นพร้อมกัน ร้องกะต๊ากเสียงสนั่น ว่ายพัลวันทั้งไพร่นาย ทะนนไชยผุดชะโงก ร้องกะโต๊กขึ้นโดยหมาย ขัดใจโผนเผ่นกาย ดำผุดว่ายไล่ตัวเมีย พระองค์ทรงประภาษ มันฉลาดประดาเสีย พลิกแพลงแกล้งกลบเกลี่ย มันไม่เสียที่เกิดมา จึงตรัสถามทะนนไชย ไหนไข่ไก่เองเล่าหวา ล่วงเกินซึ่งอาญา เห็นชีวาจะบรรลัย ทะนนไชยทูลทันที ตัวผู้นี้ไม่มีไข่ ตัวเมียทั้งนั้นไซร้ ที่ชูไข่ขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่มีตัวผู้ไซร้ จะมีไข่ที่ไหนนั่น ท้าวทรงพระสรวลครัน จริงของมันแล้วแลนา บรรดาพวกข้าหลวง ทุกกระทรวงสั่นเกศา กลอกหัวกลัวปัญญา โชคชะตามันเต็มดี พม่าแขกเม็งมอญ ลาวละครทุกกรุงศรี ลือเลื่องเปรื่องเต็มที ทุกธานีไม่ต้านทาน พระเสด็จเข้าวังใน อยู่นานไปในสถาน ยศศักดิ์แสนศฤงคาร ประมาณแม้นเมืองอมรา ครั้งหนึ่งหน่อนรินทร์ ปิ่นพิภพพระนาถา พรั่งพร้อมหมู่มาตยา เสด็จออกมาว่าราชการ ทรงพระดำริคิด เห็นชีวิตจะสังขาร ตรัสด้วยพวกธรรมการ โดยวิถารทางอธิบาย เมธีทูลบรรหาร ว่าเกิดมาอย่าพึงหมาย ไม่เที่ยงแท้ทางทำลาย คงวอดวายไม่เว้นวาง ฝ่ายขุนศรีทะนนไชย ทูลท้าวไทที่ถากถาง ขัดคอพวกขุนนาง พูดอวดอ้างไม่กลัวตาย แม้นไม่ถึงเวลา ใครจะฆ่าไม่วอดวาย แม้นว่าถึงที่ตาย อย่าพึงหมายไม่เว้นเลย พระองค์ทรงโทมนัส มันทูลขัดเอาเฉย ๆ ตัวเก่งไม่เกรงเลย เคยว่าได้ไม่เกรงกัน ทรงพระสุรสิงหนาท กริ้วเกรี้ยวกราดเสียงสนั่น กูจะดูความคิดมัน คงเห็นกันดอกเสนา ฯ

๏ รับสั่งให้ต่อกรงพลัน เหล็กทั้งนั้นให้แน่นหนา รีบเร่งเร็วอย่าช้า ดูน้ำหน้ามันท้าทาย เวลาน้ำขึ้นเช้า ออกปากอ่าวดังใจหมาย ตรงแหลมลำพูราย ใส่กรงไว้ในคงคา ถ้าแม้นมันตัวดี ไม่ถึงที่ยังมันว่า คงจะไม่มรณา สมน้ำหน้าอ้ายทะนนไชย พวกช่างต่อกรงพลัน เหล็กทั้งนั้นไม่หวาดไหว ฝ่ายศรีทะนนไชย นึกเสียใจเต็มประดา ด้วยตัวนั้นทูลผิด เห็นชีวิตจะสังขาร์ ท้าวทรงพระโกรธา คงก้มหน้าไปตามที เสียแรงเกิดเป็นชาย จะกลัวตายไปไยมี จึงกราบทูลพระภูมี ด้วยเห็นที่ทางอุบาย ขอเดชพระบารมี โปรดปรานีมามากมาย เห็นไม่รอดคงวอดวาย จะขอถวายบังคมลา แต่ชุบเลี้ยงมาหลายปี ยังไม่มีเครื่องยศถา ถึงจะตายตามเวรา ไม่เมตตา โปรดปรานี ขอรับเครื่องกกุธภัณฑ์ เศวตฉัตรพานพระศรี ไปตั้งพอเป็นที ให้เห็นดีว่าโปรดปราน ท้าวทรงพระสรวลร่า อ้ายนี่กล้าใจโวหาร คงมั่นจะวายปราณ ขอให้ทานมันตามที ฯ

๏ จึงสั่งเจ้าพนักงาน โปรดประทานพานพระศรี ทะนนไชยได้ของดี ปลื้มเปรมปรีดิ์เต็มประดา ฝ่ายพวกเพชฌฆาต รับสั่งขาดนาถนาถา หามกรงลงนาวา ล่องมากับศรีทะนนไชย ครั้นมาถึงปากน้ำ จอดเรียงลำตามชลาลัย น้ำแห้งขอดลงไป เอากรงใหญ่วางลงพลัน ตราตรึงให้แน่นหนา ตามบัญชาทุกสิ่งสรร ทะนนไชยเข้ากรงพลัน กุญแจลั่นให้มั่นคง เครื่องสูงเศวตฉัตร พัดพานทองต้องประสงค์ เรียงวางบนหลังกรง ล้วนบรรจงงามเพริศพราย ฯ

๏ เสวยอยู่ในกรง แต่องค์เดียวน่าใจหาย วันนี้เป็นวันตาย จะเทถ่ายอย่างไรดี ทำมะรงกลับมาพลัน พอตะวันบ่ายพระสุริศรี จนน้ำขึ้นเต็มที แทบถึงที่จะท่วมกรง หวุดหวิดเจียนวอดวาย ไม่เคยตายตามประสงค์ เทวามาดำรง ด้วยซื่อตรงคงสัจจัง ฯ

๏ จะกล่าวถึงนายสำเภา เข้ามาแต่เมืองกึงตัง ลอยแล่นดันทุรัง ด้วยกำลังเข้าดลใจ แลเห็นกรงเหล็กพลัน เจ๊กทั้งนั้นยืนไสว ทะนนไชยร้องอึงไป ว่ากูไม่เป็นแล้ววา แต่ร้องอยู่เป็นครู่ ฝ่ายจีนจู๋จีนล้าต้า ทอดสมอรอเภตรา แร่ขึ้นมาเห็นของดี ล้วนเครื่องมหากษัตริย์ มีสารพัดพานพระศรี มันร้องว่าอย่างนี้ เห็นจะมีเหตุสิ่งไร จึงลงสำปั้นโล้ ร้องอายโลเข้ามาใกล้ จึงถามภาษาไทย ว่าเหตุไฉนอย่างนี้นา ขุนศรีทะนนไชย จึงบอกไปด้วยมุสา ว่าเจ้ากรุงพารา จะค้นหาให้ครองเมือง เรานี้ไม่อยากเป็น ด้วยคิดเห็นไม่ได้เรื่อง ไม่อยากจะครองเมือง ท้าวขุ่นเคืองในพระทัย จึงเอามาใส่กรง ด้วยพระองค์ยังสงสัย แม้นร้องกลับเสียใหม่ ว่าจะไปเป็นแล้ววา ไม่เลือกว่าจีนไทย คงจะได้ทุกภาษา เครื่องสำหรับกระษัตรา ประทานมาทุกสิ่งอัน ฝ่ายจีนชาวสำเภา ได้ฟังเล่าทุกสิ่งสรร ไม่รู้เล่ห์กลมัน ต่างชิงกันจะเข้ากรง อึงอื้อทั้งสำเภา ไหว้ปูนเถ้าให้โตหลง เถียงกันไม่ตกลง คงจะได้แก่พวกเรา จุ้นจู๋เจ้าพานิช กำเริบจิตคิดโฉดเขลา ไม่เสียดายกับสำเภา หมายจะเข้าไปครองวัง จึงมอบสำเภาใหญ่ ให้ทะนนไชยดังใจหวัง ไม่ประวิงเห็นจริงจัง สักกี่ครั้งได้นั่งเมือง จึงเปิดกรงออกทันใด ศรีทะนนไชยยังนั่งเงื่อง ไม่ใคร่จะย่างเยื้อง ค่อยเดินเชื่องออกจากกรง นายสำเภาเข้าไปพลัน กุญแจลั่นให้มั่นคง ทะนนไชยได้สมประสงค์ ลงสำเภาแล้วรีบไป จุ้นจู๋อยู่ในกรง ส่งเสียงร้องก้องชลาลัย จะเป็นแล้ววาว่าอย่างไทย ร้องร่ำไปริมชายทะเล ไม่เห็นใครแววมา ทรงโศกาหาอาเป๋ จวนค่ำน้ำเลเพ ใกล้จะเทท่วมถึงกรง ฯ

๏ เจ๊กตายวายชีวา ปูนเถ้าม้าไม่โต้หลง นอนหงายอยู่ในกรง จนน้ำลงไปทันใด ครั้นรุ่งพระสุริฉาน เจ้าพนักงานรีบลงไป ไม่เห็นศรีทะนนไชย ในกรงใหญ่อันตรึงตรา เห็นแต่เจ๊กจีนใหม่ นอนพุงใสอยู่อ้าซ่า ประหลาดใจฝ่ายเสนา กลับคืนมาถึงธานี กราบทูลขอประทานโทษ ตามจะโปรดเกล้าเกศี ทะนนไชยมันตัวดี หนีออกไปได้เพราะเจ๊ก รูปร่างเหมือนจุ้นจู๊ นอนตายอยู่ในกรงเหล็ก มิใช่ว่าเด็กเล็ก ดูเหมือนเจ๊กเจ้าสำเภา พระทรงฟังคำเสนา สำรวลร่าอ้าปากเปล่า ปรารภตบพระเพลา อ้ายเจ้าเล่ห์มันเหลือคน ครั้นเวลาสามโมงเช้า ขุนนางเข้ามาสับสน เฝ้าไทท้าวภูวดล พร้อมสามนต์มาตยา ฝ่ายขุนศรีทะนนไชย ครั้นขึ้นไปถึงเคหา จัดแจงเครื่องบรรดา ล้วนสินค้าของสำเภา ให้บ่าวแบกตามมา ถึงทวาราคลานเข้าเฝ้า ทูลถวายของสำเภา แล้วก้มเกล้ากราบสามรา พระองค์ทรงตรัสทัก แล้วซักถามด้วยกังขา เองว่องไวใช้ปัญญา อย่างไรหวาจงว่าไป ทะนนไชยจึงกราบทูล ตามเค้ามูลทูลถวาย โปรดประทานเครื่องยศไป พอได้คิดการแก้ตัว เดชะโปรดปรานี พระบารมีอยู่เหนือหัว คิดอุบายถ่ายโทษตัว เรือเจสัวแล่นตรงมา เพราะคุณข้างโกหก เจ๊กวิ่งวกเข้ามาหา ตายแทนเห็นทันตา จึงรอดมาได้ง่ายดาย ฯ

๏ พระองค์ได้ทรงฟัง เหตุแต่หลังสิ้นทั้งหลาย ทะนนไชยคิดอุบาย ล้ำเลิศชายในโลกา กูคิดว่าวอดวาย กลับมาได้ดีนักหนา บุญตัวเต็มประดา เพราะปัญญามันเชี่ยวชาญ มิเสียแรงเกิดเป็นชาย ไม่กลัวตายใจทหาร ยกโทษกับโปรดปราน ซ้ำประทานเครื่องยศถา พอเสด็จขึ้นปรางค์ศรี หมู่เสนีทั้งซ้ายขวา สรรเสริญสั่งสนทนา นั่งพร้อมหน้าศรีทะนนไชย ต่างคนชมปัญญา ล้ำโลกาจะหาไหน ประจบอื้ออึงไป ในท้องพระโรงรัตนา ฯ

ฉบัง ฯ จะกล่าวถึงศรีทะนนไชย พ้นมรณะภัย กลับได้สำเภาเภตรา เพราะจีนหลงเล่ห์เวรา เคยใช้ชาติมา จึงกล้าเข้ารับดับชนม์ มอบทรัพย์นาวาข้าคน ให้แก่ศรีทะนน ไชยสิทธิทั้งลำสำเภา พวกเจ๊กเล็กใหญ่นายเถา ย่อยอบหมอบเทา ตรงเข้าพิทักษ์ฝากกาย ล้าต้าต้นหนคนท้าย จับกังทั้งหลาย ทั้งนายบัญชีชี้แจง เงินทองของเข้ากล่าวแถลง มากน้อยคอยแจ้ง ทุกแห่งให้รู้ดูแล เพชรนิลจินดาผ้าแพร ถี่ถ้วนควรแท้ รู้แน่สิ้นจบครบครัน ทะนนไชยได้ลาภครามครัน กลับคืนเขตขัณฑ์ หาเหล่าภรรยาข้าไท พาไปลงสำเภาใหญ่ ลูกเมียดีใจ ยกให้ขายค้าอย่านาน ภรรยาคำนับรับสาร บ่าวไพร่ใช้การ ทำร้านเรียงขายในเรือ หญิงชายหลายคนล้นเหลือ นับร้อยลอยเรือ ซื้อเพื่อมาค้าหน้าแพ เครื่องใช้หลายอย่างทั้งแร่ วัตถาผ้าแพร เซ็งแซ่หญิงชายขายดี เดือนกึ่งจึงเสร็จทันที ทั่วทั้งธานี ไม่มีใครรู้เรื่องราว ฝ่ายศรีทะนนไชยใจห้าว คิดค้าสำเภา ไปเข้าเมืองจีนดูลอง จึงสั่งภรรยาหาของ ฝ้ายฝางตั้งกอง ใส่ท้องเภตราสารพัน เมียฟังตั้งใจผายผัน จัดจบครบครัน หลายวันสำเร็จเสร็จการ เอมโอชโภชนาอาหาร พร้อมสรรพกราบกราน นำสารแจ้งอรรถภัศดา ฯ

๏ ทะนนไชยได้ฟังภรรยา ยินดีปรีดา กราบลาปิตุราชญาติวงศ์ ผู้ใหญ่ให้สวัสดิ์ยิ่งยง คนควรประสงค์ ประสิทธิ์ประสาทพรพลัน ทะนนไชยคำนับอภิวันทน์ ลงนาวาพลัน ชวนกันกับจีนลินลา ถอนสมอล่องลอยปล่อยมา ปากน้ำเจ้าพระยา ถึงมหานัททีคลี่ใบ จึงถามไต้ก๋งจงไข เดิมอยู่เมืองไหน จงได้แจ้งความนามกรุง ล้าต้าว่าอยู่กวางตุ้ง ไปขึ้นจอมกรุง ปักกิ่งบพิตรผิดพระพักตร์ รูปทรงองค์มนุษย์สุทธิศักดิ์ เบื้องเศียรเป็นสุนัข สบพักตร์ผู้ใดวายชนม์ เสนาเข้าเฝ้าภูวดล มีงาบังตน ไม่ยลพระเนตรพักตรา ทะนนไชยทราบสารหรรษา เราจักไคลคลา พาราเอหมึงจึงดี ตั้งเข็มแล่นลัดนัทที ไปสู่บูรี ต่างมีจิตหวังตั้งใจ ไต้ก๋งตรงพักตร์ชักใบ ตามแผนแล่นไป ถ้วนในทศมาส์ช้านาน ถึงอ่าวบูรีมีด่าน มาถามตามการ ว่าท่านมาแต่เมืองใด ไต้ก๋งจึงแถลงแจ้งใจ มาแต่กรุงไทย ทะนนไชยเป็นเจ้าเภตรา นายด่านแจ้งใจไคลคลา เข้าสู่ภารา จึงแจ้งกิจจาเจ้าเมือง เจ้านายฝ่ายเมืองจีนยินเรื่อง รู้ชัดขัดเคือง ชาวเมืองสยามทำนาย ใช้จีนเป็นข้าค้าขาย นึกมาน่าอาย กฎหมายตั้งไว้ไม่เกรง ผู้ใดใจอาจกาจเก่ง คนโกงโฉงเฉง เราเร่งจับส่งจงพลัน ขุนนางต่างกลุ้มรุมกัน บาทหมายมาพลัน บอกกันว่าไทยนายกระทรวง สั่งให้ส่งไปเมืองหลวง สิ่งของทั้งปวง มอบไว้ต้นหนคนรอง ทะนนไชยได้ฟังทางตรอง สมคิดจิตปอง จะต้องไปเฝ้าท้าวไท ได้ดูหน้านั้นฉันใด สุนัขแน่ใจ จักได้จดจำหน้ามา คิดแล้วสั่งจีนถ้วนหน้า มอบเจ้าภารา สิ่งค้าเร่งขายจ่ายไป รวบรวมต้นทุนกำไร มากน้อยเท่าใด เก็บไว้ให้มั่นทันที ขุนนางเอหมึงอึงมี่ เตรียมพลโยธี พาศรีทะนนไชยไปนคร ตกค่ำหยุดเช้าจึ่งจร พาชีมุ่งนคร๒๐ ข้ามดอนสามเดือนโดยมา ถึงกรุงจีนพลันหรรษา บอกเหล่ากิจจา เสนาผู้ใหญ่ได้ฟัง เข้าเฝ้าเจ้าพักตรสุนัขชัง ทูลแจ้งกิจจัง เหมือนอย่างเอหมึงส่งมา ฯ

สุรางคนางค์ ฯ เจ้ากรุงปักกิ่ง ฟังความตามจริง ท้าวกริ่งตรึงตรา ตรัสสั่งคนล่าม ให้นำเข้ามา ใครรู้นัครา ภาษากรุงไทย ฝ่ายเสนาล่าม รู้คำชาวสยาม มานำทะนนไชย เข้าเฝ้าเจ้าพิภพ นิ่งนบอยู่ใน มิให้แลไป สบพักตร์กรุงจีน มีงาบังหน้า ทุกตัวเสนา วงศาทั้งสิ้น ขุนนางใหญ่น้อย นับร้อยพื้นจีน ยืนซื่อมือตีน อยู่สิ้นทุกนาย รับสั่งให้ถาม ถึงกรุงสยาม โดยนามช้างพลาย งามีสี่กิ่ง เป็นจริงเหมือนหมาย ล่ามจึงภิปราย ซักไซ้ไปมา ทะนนไชยทูลพลาง ว่ามีสองช้าง สองนางสี่งา รูปร่างโตใหญ่ สูงได้สามวา มีในอยุธยา ยิ่งกว่ากรุงใด ล่ามจึงทูลสาร ท้าวทราบภูบาล ถามการสืบไป ว่าผักโหมมี เป็นที่โตใหญ่ ยี่สิบวาได้ หรือไรถามพลัน ล่ามถามตามตรัส ทะนนไชยฟังอรรถ ไม่ชัดอย่างนั้น ผักขามดอกใหญ่ ขึ้นได้คนฟัน สูงเจ็ดเส้นสรร มากครันในกรุง ไทยไม่นับถือ ด้วยผักมีชื่อ นามคือผักบุ้ง บิดาข้าไซร้ เป็นนายส่วยกรุง ส่งแต่ผักบุ้ง ชาวกรุงยินดี เก็บมาทั้งเถา ต้มสุกใส่ราว ดั่งกล่าววาที โดดงับรับประทาน เป็นการสวัสดี โรคภัยไม่มี ผักนี้เป็นยา ฯ

๏ ฝ่ายเจ้าปักกิ่ง ฟังไทยหมายจริง ไม่กริ่งหัทยา นึกจักใคร่เห็น พอเป็นขวัญตา ไม่แจ้งกิจจา ปัญญาทะนนไชย จึงสั่งเสนา หาผักบุ้งมา อย่าช้าเร็วไว ทำตามคำสั่ง เหมือนดังกล่าวไว้ จะกินอย่างไร ให้ได้ดูกัน เสนาทุกกรม รีบหามาต้ม สุกสมเสร็จพลัน ตั้งราวเถาห้อย เรียบร้อยเรียงรัน หน้าพระที่นั่งนั้น เสร็จสรรพ์ทันที รับสั่งให้ล่าม รู้ภาษาสยาม ทำตามยินดี ล่ามจึงเตือนพลัน เชิญท่านเดี๋ยวนี้ กินให้เห็นดี ตามที่เคยมา ฝ่ายศรีทะนนไชย สมจริตคิดไว้ ดั่งใจปรารถนา คงจะประสบ พานพบพักตรา จึงวางแผ่นงา แหงนหน้าอภิวันท์ โจนขึ้นคาบผัก ค่อยเคี้ยวเหนี่ยวชัก พิศพักตร์ทรงธรรม์ เห็นเศียรทรงศักดิ์ เป็นสุนัขสดสัน จึงจับสำคัญ แม่นมั่นกับตา กรุงจีนน้อยพระทัย เห็นศรีทะนนไชย ตั้งใจดูหน้า กริ้วกราดคาดโทษ อ้าโอษฐ์โกรธา รับสั่งเสนา ฉุดคร่าตัวไป ใส่ตึกมดคัน ให้สิ้นชีวัน ไม่ทันอึดใจ ถ้ามันยังเป็น ตึกเย็นต่อไป คงจักตักษัย อย่าไว้ชีวิต จีนเหล่าเสนา ฉวยยุดฉุดคร่า ออกมาตามจริต มิได้ปรานี ทุบตีไม่คิด ตามองค์ทรงฤทธิ์ ว่าผิดถึงตาย ทะนนไชยได้โทษ วันทาอ้าโอษฐ จงโปรดภิปราย โทษใดไม่แจ้ง ยื้อแย้งแยบคาย ล่ามบอกบรรยาย โทษร้ายถึงตน แกล้งดูพระพักตร์ พระองค์จอมจักร์๒๑ โทษาวายชนม์ ไปตึกมดคัน ตัวท่านเหลือทน คงตายไม่พ้น มดขนหมดกาย ทะนนไชยได้ฟัง ตั้งจริตคิดหวัง เห็นยังไม่ตาย ซื้ออ้อยตะเภา ที่เขาวางขาย แบกไปมากมาย เดินย้ายเต็มแย่ ถึงตึกมดคัน ส่งเข้าไปพลัน แล้วลั่นกุญแจ ทะนนไชยใจอด เห็นมดมากแท้ อ้อยชักหักแผ่ เรียงแรรายไป มดหอมกลิ่นหวาน น้อยใหญ่ไต่คลาน รับประทานชื่นใจ ทั้งสิ้นกินอ้อย นับร้อยอสงไขย พ้นศรีทะนนไชย มิได้แผ้วพาน ตั้งแต่พลบค่ำ หลับเรื่อยเฉื่อยฉ่ำ จนย่ำสุริฉาน ฝ่ายจีนรุ่งเช้า บ่ว่างเก่าการ ไขตึกเผยบาน เห็นท่านทะนนไชย ตื่นจากตึกมด พักตราปรากฏ ชื่นสดผ่องใส มิได้ม้วยมอด กลับรอดอยู่ได้ มาทูลภูวไนย ว่าไทยยังเป็น เจ้าปักกิ่งฟัง จึงมีรับสั่ง ให้ขังตึกเย็น กับจีนหนึ่งนั้น โทษทัณฑ์แสนเข็ญ ใส่คู่กูเห็น ไม่เว้นวันตาย เสนาทั้งนั้น ทูลลามาพลัน พากันวุ่นวาย เวลาจวนค่ำ เร่งนำผันผาย นักโทษสองนาย ถึงตายมั่นคง จีนกับทะนนไชย เขาส่งเข้าไป ในตึกโดยจง ใส่กุญแจไว้ ให้วายชีวง สิ้นแสงสุริยง เพียงปลงชีวา ฝ่ายศรีทะนนไชย กับจีนนั้นไซร้ เย็นพ้นปัญญา หนาวจนตัวสั่น สะท้านกายา เหลือล้นคณนา ดั่งว่าวายปราณ ส่วนศรีทะนนไชย ปัญญาว่องไว นึกได้มินาน เข้าปล้ำคนโทษ ดั่งโกรธเดือดดาล จนเกิดเหงื่อกาล ค่อยพานอุ่นกาย หนาวเนื้อเหลือทน ปล้ำกันหลายหน จึงพ้นความตาย ครั้นแจ้งแสงทอง ทั้งสองค่อยคลาย จนเวลาสาย ไม่วายชีวัน ฝ่ายพวกเสนา รุ่งเช้าเข้ามา ถึงหน้าตึกพลัน ไขเข้าไปดู เห็นอยู่ด้วยกัน ไม่ม้วยชีวัน พากันชื่นชม เชิญตัวมาเฝ้า กรุงจีนปิ่นเกล้า ให้ท้าวสบสม กรุงจีนผินพบ แสนสบอารมณ์ โทษดับกลับชม ว่าสมบุญมี จึงโปรดพระราชทาน ทุกสิ่งศฤงคาร ยวดยานอย่างดี ให้เป็นเกียรติยศ ใสสดโสภี ครบเครื่องเรืองศรี ถ้วนถี่ทุกประการ ตรัสสั่งเสนา จัดรถเทียมม้า โยธาทหาร ไปส่งให้ถึง เอหมึงถิ่นฐาน อย่าขัดทัดทาน ทุกด่านเมืองไทย ฯ

ยานี ฯ เสนาได้รับสั่ง ต่างคนบังคมท้าวไท เร่งรัดจัดรถไชย เตรียมพลไกรไว้ครบครัน ล่ามเชิญศรีทะนนไชย ทรงโปรดให้ท่านผายผัน ส่งคืนไปเขตขัณฑ์ เพิ่มรางวัลอันไพบูลย์ ฝ่ายเจ้าศรีทะนนไชย บังคมไทเจ้าไอศูรย์ ได้ลาภกลับเพิ่มพูน บังคมทูลลาทรงธรรม์ ขึ้นรถพร้อมโยธา ยกพลมาจากไอศวรรย์ ออกกรุงมุ่งอรัญ ล่วงเขตคันดั้นดงแดน ค่ำหยุดเช้าคลาคลาด ถ้วนไตรมาสถึงแว่นแคว้น เมืองขึ้นในพื้นแผ่น รับส่งแทนทุกแดนมา มาถึงเอหมึงก๊ก เจ้าเมืองตกใจนักหนา รู้ข่าวท้าวเมตตา ส่งไทยมาด้วยยินดี รีบร้อนออกต้อนรับ ทำคำนับทางไมตรี เชิญไปในบูรี เอาใจดีตอบมินาน ทะนนไชยครั้นไปถึง เห็น เอหมึงไม่ร้าวราน ชี้แจงแจ้งในการ เชิญรับประทานโภชนา ทะนนไชยได้ชิดเชื้อ เรียกพลเรือมาปรึกษา ขายของท้องนาวา ได้ราคาหรือขาดทุน ล้าต้าต้นหนเรียน ทั้งเสมียนนายปั่นจุน ว่าขายได้แต่ทุน ยังไม่อุ่นซิมสิ่งใด ทะนนไชยครั้นได้แจ้ง ไม่รู้แห่งจะปราศรัย ทราบสิ้นจีนกับไทย คงพลิกไพล่ไว้ใส่ตัว จึงแกล้งเอาดีตอบ ว่าเราขอบใจเจ้าสัว ได้ทุนเป็นบุญตัว ข้าคิดกลัวจะเสียการ ครั้งนี้มีแต่ทุกข์ ไม่เป็นสุขเพียงสังขาร ปี้ป่นทนทรมาน แทบสูญปราณดับชีวา บุญตัวไม่ตักษัย แล้วยังได้ทุกสินค้า ท่านจงลงนาวา เร็วเราลาเจ้าบูรี พวกจีนสำเภานั้น ต่างชวนกันลาจรลี ลงมาสู่วารี ขึ้นยังที่ท้ายเภตรา ทะนนไชยลาเจ้าเมือง ค่อยย่างเยื้องลงนาวา จึงเรียกเอาเงินตรา จ่ายสินค้าลงครบครัน ของจีนสิ้นทุกอย่าง มีต่าง ๆ เร่งจัดสรร เพียงลำสำเภาพลัน ม้าฬ่อลั่นสนั่นอึง ไหว้เจ้าเผากระดาษ ล่องลิลาศจากเอหมึง ชักใบแล่นตะบึง สองเดือนกึ่งถึงพารา ฝ่ายศรีทะนนไชย จะต้องไปเฝ้าราชา ตรึกตรองของบรรณา ควรจะพาไปถวาย ของดีก็มีอยู่ ไหนจะสู้รูปเจ้านาย จำได้เขียนง่ายดาย นึกสมหมายดังใจรัก เลือกคัดกระดาษขาว เขียนรูปท้าวหน้าสุนัข เหมือนองค์ทั้งวงพักตร์ เจ้าจอมปักกิ่งโลกา แล้วทำภูมิแผนที่ ทุกบูรีอันดับมา ตามแถวแนวมรรคา ตลอดมาลงสาคร เสร็จสรรพพับใส่หีบ แล่นใบรีบสำเภาจร ถึงทอดจอดนคร แจ้งนุสรณ์เจ้าพนักงาน ฯ

๏ ท่านผู้ใหญ่ฝ่ายกรมท่า แจ้งกิจจาดังว่าขาน ยามเฝ้าเข้ากราบกราน ทูลภูบาลทราบบาทา บัดนี้ศรีทะนนไชย ไม่บรรลัยในคงคา ได้ดีมีเภตรา จักเข้ามาเฝ้าบทมาลย์ ฯ

๏ สมเด็จจอมอยุธเยศ๒๒ ทรงทราบเหตุที่ทูลสาร เอื้อนโอษฐพจมาน ตรัสบรรหารด้วยทันที เอออ้ายศรีทะนนไชย ใส่กรงไว้ในวารี ไม่ตายวายชีวี กลับได้ดีมีนาวา ไปพามาให้ได้ น่าสงสัยเป็นนักหนา แล้วตรัสถามเสนา ใครรู้ว่าเป็นฉันใด ขุนนางต่างก้มเกล้า ข้าพุทธิเจ้าได้แจ้งใจ เห็นจีนสิ้นตักษัย ติดอยู่ในกรงตรึงตรา ไม่เห็นศรีทะนนไชย ประหลาดใจเป็นนักหนา จะทูลพระกรุณา เกรงอาญาฝ่าบาทบงสุ์ จอมภพตบพระหัตถ์ ทรงโสมนัสสำราญองค์ ชื่นชมสมประสงค์ คืนชีวงกูดีใจ ใช่ว่าจะฆ่ามัน ให้อาสัญนั้นเมื่อไร ทำตามคำมันไข ถือว่าไม่ถึงที่ตาย ไปพาขึ้นมานี่ ฟังคดีข้ออุบาย ควรตายแล้วไม่ตาย เลิศล้ำชายในปัฐพี ขุนนางต่างกรมท่า บังคมลารีบจรลี มายังฝั่งนัทที ร้องเชิญศรีทะนนไชย รับสั่งให้หาท่าน อย่าช้าพลันเร่งเร็วไว ทรงภพสบพระทัย อย่าพรั่นใจไม่โกรธา ทะนนไชยได้สดับ ขานขอรับรีบรัดหา ของถวายในเภตรา ล้วนแพรผ้าราคาแพง เครื่องจีนสิ้นทุกอย่าง ใช้จับกังขนขันแข็ง แบกหามตามเรี่ยวแรง แล้วจัดแจงแต่งกายา แผนที่กับรูปวาด ในกระดาษหยิบออกมา ใส่พานทองถมยา ขึ้นจากท่าเข้าวังพลัน จีนขนของถวาย วิ่งตามนายรีบผายผัน ถึงหน้าชาลาพลัน กองอนันต์ในพระลาน ทะนนไชยเข้าไปเฝ้า ประณตเกล้าถวายพาน รูปวาดต่างราชสาร แผนที่บ้านเมืองจีนมา แล้วทูลถวายของ ที่ตั้งกองอยู่ชาลา บังคมก้มพักตรา หมอบอยู่หน้าพระลานไชย จอมภพสบพระเนตร ตรัสถามเหตุไปทันใด ตั้งแต่ใส่กรงไป เป็นไฉนได้คืนมา ขอเดชะพระปกเกล้า นายสำเภาเขาเมตตา มอบทรัพย์กับเภตรา ตายแทนข้าฝ่าธุลี มึงพูดอย่างไรหวา นายเภตราจึงเป็นผี แทนด้วยไม่เห็นมี ว่าเช่นนี้ไม่เชื่อฟัง ขอเดชพระพุทธิเจ้า ร้องไม่เอาขึ้นดัง ๆ นายสำเภาเข้ามาฟัง ซักถามทั้งโทษทรลักษณ์ ข้าพระจะบอกตรง เกรงบาทบงสุ์เสื่อมยศศักดิ์ บอกแบ่งแกล้งเยื้องยัก ขอพึ่งพักตร์ท่านจักรี ท่านจะให้ธิดา ทั้งวัตถายศศักดิ์ศรี ทำแทนท่านธิบดี ตัวเรานี้ไม่ต้องการ ใส่กรงมาทิ้งน้ำ ถ้าคืนคำจะโปรดปราน ใคร ๆ ได้ราชการ ให้คืนสถานครองบ้านเรือน นายสำเภาเขาอยากได้ เพื่อนดีใจใครจะเหมือน ความรักเฝ้าตักเตือน ขัดกรงเคลื่อนให้ออกมา เข้าอยู่แทนข้าบาท ซ้ำประสาทให้นาวา พวกพ้องของเภตรา มอบให้ข้าฝ่าละออง ข้าบาทกลับบ้านถิ่น ค้าขายสิ้นทุกสิ่งของ ครั้นจ่ายได้เงินทอง ซื้อเข้าของบรรทุกลง ไปค้าเมืองเอหมึง พอไปถึงเจ้าเมืองส่ง คุมข้าบาทบงสุ์ ไปถึงพระองค์เจ้าพักตรา รูปทรงองค์มนุษย์ เศียรบริสุทธิ์สุนักขา ไต่ถามนามนัครา นั้นปรึกษาสองประการ ท้าวโกรธทำโทษขัง ดังชีวังจะสังขาร ไม่ตายได้โปรดปราน กลับพระราชทานทุกสิ่งมี๒๓ ให้ส่งลงในสำเภา ข้าพระพุทธิเจ้าทำแผนที่ ทั้งรูปเจ้าปัฐพี เกษีสุนักข์เจ้าลักมา ขอถวายใต้พระบาท ทั้งเครื่องราชบรรณา ขอพึ่งพระเดชา ตราบชีวาจะบรรลัย ฯ

ฉบัง ฯ กรุงกษัตริย์ยุธยาจอมไตร ฟังศรีทะนนไชย พระทัยยินดีปรีดา ตรัสชมคมสันปัญญา เลิศมนุษย์สุดหา ลือชาเฉลียวเชี่ยวชาญ แก้จนพ้นผิดกิจการ รอดภัยวายปราณ คิดอ่านออกตนพ้นตาย กลับดีมีลาภเหลือหลาย องอาจชาติชาย จดหมายเรื่องราวเข้ามา ทรงหยิบรูปวาดทัศนา เศียรเป็นสุนักขา กายาเท่าเทียมเทวิน จอมจักรปักกิ่งกรุงจีน เนื้อหน่อธิบดิน ธานินนั่นหรือฉันใด ศรีทะนนไชยทูลภูวไนย ข้าพเจ้าเข้าใจ จีนไขเป็นเรื่องเนื่องมา ว่าท้าวทรงอิทธิ์ฤทธา เหาะเหินเวหา ตรงมาในกลางอัมพร กรุงจีนสิ้นท้าวเจ้านคร สิ้นวงศ์ภูธร ข้านครทั้งสิ้นยินดี เชื้อเชิญลงมาธานี มอบฉัตรกรุงศรี เสนีน้อยใหญ่ไพร่พล ให้ท้าวผ่านพื้นภูวดล จีนทุกตำบล เป็นต้นบูรินจีนมา ขอพระองค์จงทราบบาทา จีนกล่าวเล่ามา ดังข้าบาทมูลทูลความ สมเด็จธิบดินปิ่นสยาม ทราบเหตุเสร็จความ ทรงนามฟังสิ้นยินดี ทอดพระเนตรชมแดนแผนที่ เมืองเอกโทตรี บูรีน้อยใหญ่รายมา ตั้งแต่กรุงจีนลินลา ถิ่นฐานมรรคา จนมาลงลำสำเภา สามเดือนเดินไพรชายเขา ทางน้ำลำเนา ก็เข้าสามเดือนเหมือนกัน ตรัสชมสมควรสรวลสันต์ พระราชทานรางวัล สารพันเครื่องยศงดงาม ขุนศรีทะนนไชยได้นาม ปลัดฉลองถ้อยความ นาสามร้อยไร่ในการ ศรีทะนนไชยได้ที่ฐาน คำนับกราบกราน รับประทานยศศักดิ์ภักดี ทูลลามาพลันทันที พาจีนจรลี สู่ที่เภตราคลาไคล ถึงหน้าบ้านทอดจอดไว้ ภรรยาข้าไท ดีใจมาพลันวันทา ทะนนไชยหมายมอบภรรยา ของในนาวา เร่งค้าขายทำตามควร ภรรยายินดีถี่ถ้วน ถามไถ่ไต่สวน จำนวนสิ้นจบครบครัน ใช้คนรีบขายไปพลัน ทุกทิวาวัน ให้ท่านสามีปรีดา รู้กลปรนนิบัติอัตรา คืนวันหรรษา ทุกท่าทุกสิ่งยิ่งยง มิได้ข้องขัดตัดตรง สุดที่ประสงค์ ก็คงสมหวังดังใจ ฯ

๏ ฝ่ายท่านขุนศรีทะนนไชย ชื่นจิตพิสมัย ผ่องใสประเสริฐสมปอง หมั่นทำราชกิจจิตตรอง มั่งมีเงินทอง สิ่งของบริบูรณ์พูนมา น้ำใจหมายมาตรศาสนา จะสร้างวัดวา ให้ปรากฏไว้ในกรุง ก่อสร้างทรงธรรมบำรุง การชั่วมัวนุง ผดุงผดามานาน ยามเข้าเฝ้าเบื้องบทมาลย์ จึงกราบทูลสาร ในการกุศลตนคิด ขอเดชพระองค์ทรงฤทธิ์ จงโปรดประสิทธิ์ อุทิศสุธาอาราม ข้าพระจะผดุงวิสุงคาม ก่อสร้างอาราม ด้วยความยินดีปรีดา ฯ

๏ ฝ่ายจอมมงกุฎอยุธยา ทรงธรรม์หรรษา ปรีดาเอื้อนอรรถตรัสพลัน เองจะสร้างวัดจัดสรร ไม่ขัดสัจธรรม์ เช่นนั้นกูนี้ดีใจ แม้นว่าไปพอข้อใด ขัดข้องของใช้ ไม้ไร่เงินทองต้องการ จะให้ไม่ขัดทัดทาน ขาดเหลือเจือจาน กว่าการสำเร็จเสร็จทำ ทะนนไชยฟังสิ้นยินคำ นึกยิ้มอิ่มหนำ ทูลซ้ำว่าทรงเมตตา บาทบงสุ์ทรงพระกรุณา ถวายบังคมลา ไคลคลามาบ้านทันที ปรึกษาบ่าวไพร่ใจดี เห็นวัดไหนมี เป็นที่ชำรุดทรุดเซ บ่าวว่าวัดวาขรัวเป โบสถ์ร้างเกเร โย้เย้ยับมาช้าครัน มะม่วงใหญ่ ๆ หลายพัน ผลดกรกครัน สมภารหวงแหนแสนทวี ทะนนไชยได้ฟังยินดี เอ็งพาไปดูที กูนี้จะให้ได้การ ชายผู้หนึ่งจึงมาว่าขาน มะม่วงสมภาร อย่าหาญอย่าของ้อเลย ไม่ได้แม่นมั่นท่านเอ๋ย ถึงจะคุ้นเคย อย่าเลยทีเดียวเหนียวนัก ถ้าท่านขอได้จนสัก ผลหนึ่งจึงจัก เป็นข้าให้ใช้ในเรือน ทะนนไชยดีใจใครจะเหมือน จึงท้าว่าเพื่อน อย่าเบือนข้าจะไปพนัน ขอไม่ได้จะทำขวัญ ห้าชั่งรางวัล กับท่านเป็นชัดสัจจัง ชายนั้นว่าอย่ากลับหลัง ไม่ได้ไม่ฟัง ข้ายั่งยืนขอต่อทวี ถ้าได้เป็นข้าสิบปี ไม่ได้ไม่ดี ข้านี้เอาบ้างชั่งเดียว ไม่รู้จักขรัวตัวเหนียว ขายค้าตาเดียว เหมือนเหนี่ยวเชือกหนังรั้งตึง ทะนนไชยต่อเก้าอันถึง สิบปีเอาปีหนึ่ง อย่าอึงเลยไปได้กัน ศรีทะนนไชยพาคนพนัน ไปถึงวัดพลัน อภิวันท์ขรัวตาพาที รู้จักทักว่าขุนศรี ทะนนไชยได้ที วันนี้ฉันมาหาคุณ ขอสร้างวิหารการบุญ โบสถ์การเปรียญคุณ บ้างลุ่นอยู่แล้วควรผดุง ได้เฝ้าทูลกระหม่อมจอมกรุง ขอทำบำรุง ให้รุ่งเรืองงามตามมี รับสั่งให้ทำตามที่ วัดร้างกว้างดี หรือมิโปรดปรานฉันใด สมภารขานตอบขอบใจ เชิญท่านฉันให้ ตามใจจะคิดกิจการ อุโบสถกุฎีวิหาร การเปรียญส้วมถาน ตะพานสระบ่อหอระฆัง ทะนนไชยร้องสาธุดัง ชื่นชมสมหวัง ให้ช่างมาจัดวัดวา วิหารโบสถ์สองฝ่ายซ้ายขวา โดยยาวเก้าวา ข้างหน้าริมน้ำกรรมเปรียญ หอไตรใส่กลางสระเฉนียน หอระฆังหว่างเตียน วัดเวียนดูทั้งกว้างยาว มะม่วงใหญ่ต้นผลขาว ต้องฟันรานร้าว อยู่ราวริมโบสถ์โทษมี สมภารร้องขอรอที ให้ผลแก่ดี เดือนนี้ยังไม่ได้การ เดือนหกตกแรมจึงราน เร่งตั้งโรงงาน จับการรอนก่อนผ่อนไป ฝ่ายข้างขุนศรีทะนนไชย ยั่วเย้าเอาใจ มิให้ขรัวตาว่าตน ขอลองสักสองสามผล ยำเล่นสักหน ชอบกลอยู่ท่านฉันดี ขรัวตาตอบสารทันที เอาสักสามสี่ ผลนี้ยังน้อยจ้อยเจียว พอให้เข้าไคลหายเปรี้ยว ยำดีทีเดียว ก้นเปรี้ยวสักหน่อยกร่อยไป ทะนนไชยสั่งบ่าวเข้าใจ เลือกผลใหญ่ ๆ เอาไปแต่น้อยสอยดู อ้ายบ่าวเชิงดีมีครู ทำสอยหง่อยอยู่ มีผู้รับห่อพอการ แล้วหลีกครรไลไปบ้าน คนสอยค่อยคลาน ว่าได้รับทานหลายใบ สมภารว่าเออเอาไป นายเองชอบใด เร่งมาเอาไปให้ทัน ทะนนไชยได้ชนะพนัน เร่งรัดจัดสรร พากันคำนับกราบลา ฝากเชือกของใช้ไม้วา สิ่วขวานมีดพร้า เวลาพลบค่ำจำไป รุ่งเช้าขุนศรีทะนนไชย เงินทองจ่ายไป ซื้อไม้ทั้งอิฐปูนทราย ให้ช่างจ้างคนล้นหลาย ตั้งโรงงานราย สั่งนายสิทธิ์ขาดจัดแจง ขุดรากโบสถ์วิหารขันแข็ง ปลูกสร้างตั้งแต่ง แข็งแรงเร่งรัดจัดเจน เลื่อยถากลากขนคนเกณฑ์ เสียงราวกราวเขน ข้าบ่าวข้าเวนเกณฑ์กัน ช่างไม้ช่างอิฐปิดปั้น งานชุกทุกวัน คนพนันแพ้ให้ใช้การ ทำโบสถ์กุฎีวิหาร โรงธรรมส้วมถาน ปลูกตะพานคันโพงโรงควง เจดีย์ใจร้ายใหญ่หลวง ก่อสร้างทั้งปวง แล้วล่วงสำเร็จเจ็ดปี สระบ่อหอไตรใสศรี หอระฆังเภรี ทั้งมีเสาหงส์ธงทอง ฯ

ยานี ฯ ฝ่ายศรีทะนนไชย สร้างวัดไว้สมใจปอง เสร็จกิจคิดตรึกตรอง หล่อพระทองให้มากครัน หาช่างสร้างพระนั่ง ประธานตั้งโตสนั่น แล้วสร้างพระยืนพลัน พระผายผันเที่ยวโคจร สร้างทั้งพระอุ้มบาตร พระไสยาศน์ทรงจีวร พระเอกเขนกนอน พระสิงขรปาลิไลยก์ หัตถ์หนึ่งห้ามญาติขาม สองหัตถ์ห้ามสมุทรไท สมาธิรำพึงไป พระตรัสใต้โพธิบัลลังก์ พระโปรดพุทธบิดา โปรดพิมพาที่ในวัง สำเร็จเสร็จสมหวัง แล้วจึงสร้างพระธรรมา เสร็จสรรพช่วยคนบวช เข้าผนวชในศาสนา จนในไตรสรณา ให้ปรีดาโดยใจปอง ตกแต่งจัดแจงเสร็จ พร้อมสำเร็จทุกสิ่งของ จัดจ่ายไว้สำรอง จะฉลองให้ลือชา ทูลท้าวเจ้าพิภพ บอกกันครบทั้งเสวกา เชิญท่านไปโมทนา กลางเดือนห้าสามราตรี เจ้าพระยาพระหลวงขุน คนเคยคุ้นต่างยินดี จีนไทยฝ่ายเสนี เจ้าภาษีมีเงินทอง ต่างคนยินดีนัก ทั้งทรงศักดิ์พระทัยปอง โปรดปรานประทานของ ทั้งเงินทองที่ต้องการ ทะนนไชยได้สินทรัพย์ ทูลลากลับมาถึงบ้าน จึงสั่งตั้งโรงงาน ให้เสร็จการในกลางเดือน เลขผาข้าคนใช้ พลอยดีใจใครจะเหมือน หนุ่มแก่ไม่แชเชือน ต่างตักเตือนเพื่อนกันเอง ไปวัดจัดปลูกฝัง โรงโขนหนังตั้งเหมาะเหม็ง งิ้วมอญละครเพลง โรงหุ่นเร่งให้ทันการ แล้วเสร็จสิ้นทั้งปวง โขนหุ่นหลวงโปรดประทาน เจสัวช่วยงิ้วงาน กรมนครบาลช่วยระวัง หมูไก่ฝ่ายภาษี ท่านอธิบดีช่วยเล่นหนัง วันโกนคนประดัง เริ่มแรกตั้งสวดพุทธมนต์ พระสงฆ์ห้าร้อยถ้วน ไตรแพรล้วนจีวรย่น บ่ายคล้ายค่อยนิมนต์ ให้สรงชลแล้วครองไตร สามโมงสรงเสร็จสรรพ นั่งเรียบรับท่านผู้ใหญ่ ห้าแห่งแบ่งกันไป ที่หอไตรห้าสิบองค์ สวดสมัยธรรมจักร เคยซ้อมซักไว้มั่นคง สวดที่กุฏิสงฆ์ ห้าสิบองค์ภาณต้นปลาย การเรียบร้อยยี่สิบห้า สวดคิริมานนท์ตามหมาย อิสีคิลิตติดต่อท้าย รอคอยนายเป็นเจ้าของ ในโบสถ์สวดเจ็ดตำนาน ที่พระวิหารสวดสิบสอง สามร้อยแบ่งสองคลอง พิณพาทย์ฆ้องกลองประโคม พิณพาทย์มอญพม่า จีนแล้วจาประดาโหม เครื่องฝรั่งตั้งครึกโครม สุดแสนโสมนัสจริง ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย ญาติน้อยใหญ่พร้อมชายหญิง คนรักพักพึ่งพิง ช่วยเต้นวิ่งไม่เว้นการ จุดธุปเทียนบุปผา ที่บูชาในวิหาร รับศีลห้าประการ พระขัดตำนานขึ้นสรัชชัง โบสถ์สวดสัตตปริต เพราะจับจิตวิเวกวัง การเปรียญสวดเสียงดัง แรกขึ้นตั้งคิริมานนท์ หอไตรสวดธรรมจักร เสียงพร้อมพรักพระพุทธมนต์ ทั้งสมัยไม่เวียนวน สวดภาณต้นตึกสมภาร ครั้นจนจบพลบค่ำ ให้ถวายน้ำอัฏฐบาน ครึกโครมโหมโรงงาน เสียงสะท้านทั้งวัดวา พระสงฆ์เสร็จทุกข์ร้อน ต่างเจริญพรลุกเลื่อนลา ทะนนไชยไหว้วันทา ขออาราธนามาเช้า ๆ พลบค่ำย่ำสุริโย โรงหนังโห่สนั่นฉาว โหมโรงโกร่งเกรียวกราว จับเรื่องราวเจ้าลงกา ฤๅษีที่อาจารย์ พาหนุมานเข้าอาสา ไหลหลงทรงเมตตา ผลาญชีวาให้ปลดปลง โรงงานงิ้วโขนหุ่น โหมโรงวุ่นเสียงระหง ก้องวัดจังหวัดวง ดึกดื่นลงเลิกลีลา หนังหยุดจุดดอกไม้ เสียงหวั่นไหวทั้งวัดวา คนดูอยู่เฮฮา จนเวลาทิวากาล รุ่งเช้าเจ้าคณะ ห้าร้อยพระจากสถาน ถึงวัดเข้านมัสการ โบสถ์วิหารทุกด้านเคย หญิงชายฝ่ายในวัด เร่งแจงจัดไม่ช้าเฉย ของเลี้ยงเทียบเคียงเคย ล้นเหลือเลยได้เลี้ยงกัน ทะนนไชยให้ตักบาตร พวกพ้องญาติที่ผายผัน มาค้างทั้งคืนวัน ยกแม่ขันข้าวออกมา ใส่บาตรเต็มห้าร้อย ใช่นิดหน่อยบ้างเหลือตรา สำรับจับขนมา ทั่วทั้งห้าที่สวดมนต์ จุดธูปเทียนบุปผา อาราธนาศีลทศพล ถืออุโบสถทุกคน ฟังสวดมนต์ถวายพร นะโมจบสามหน ขึ้นสวดมนต์พาหุงก่อน จนหมดสิ้นบทกลอน คำอวยพรพูนพรรณนา ทะนนไชยไปคำนับ ประเคนสำรับโภชนา พร้อมสรรพกับภรรยา สั่งวงศาประเคนไป ถ้วนหน้าทั้งห้าแห่ง พระสงฆ์แบ่งบูชาไตร แล้วฉันทั่วกันไป ต่างองค์ให้โมทนา ฉันเสร็จทั้งคาวหวาน ขุนไชยทานทูนเกศา น้อมถวายรายกันมา ครบเครื่องสารพันมี พระรับเสร็จให้ยะถา พระพุทธาประเสริฐศรี อันดับรับสัพพี เสียงอึงมี่รอบอาราม ทะนนไชยให้อุทิศ น้อมน้ำจิตพยายาม แผ่ผลกุศลคราม สร้างอารามทั้งปฏิมา แล้วสร้างไตรปิฎก บวชเป็นสกเป็นสังฆา มนุษย์แลเทวดา จึงโมทนาข้าด้วยพลัน บิดามารดาญาติ เปรตปีศาจทุกสิ่งสรรพ์ นาคครุฑชกุมภัณฑ์ ข้าแบ่งปันบุญส่งไป ในสวรรค์ชั้นมนุษย์ โดยที่สุดสัตว์ในไพร แบ่งผลกุศลให้ ถึงสัตว์ในอเวจี เวรกรรมข้าทำไว้ ขออย่าให้เป็นไพรี แบ่งผลกุศลนี้ ใช้แทนหนี้เวรก่อนมา พระสงฆ์ให้พรสรรพ ต่างลากลับไปวัดวา สมภารท่านปรีดา ได้วัตถาสารพัน ทะนนไชยใจอ่อนน้อม สร้างเสร็จพร้อมทุกสิ่งสรรพ์ เฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ด้วยกตัญญูยิ่งยง ทูลถวายพระกุศล แด่ภูวดลโดยซื่อตรง จอมราชยอดขัตติยง เอื้อนโอษฐทรงโมทนา โปรดปรานประทานของ ทรัพย์เงินทองด้วยเมตตา เพชรนิลแก้วจินดา ทั้งยศถาศักดินานาม ฯ

๏ ขุนศรีทะนนไชย สั่งข้าไทให้แบกหาม มาบ้านไม่ครั่นคร้าม เลื่องลือนามความยินดี เป็นสุขทุกค่ำเช้า หมั่นเข้าเฝ้าฝ่าธุลี โรคภัยมิได้มี ทุกเดือนปีทุกทิวา ฯ

สุรางคนางค์ ฯ จะกล่าวบทไป ยังมีท้าวไท กรุงไกรมาลากา จักใคร่ดูดี กรุงศรีอยุธยา ตรองตรึกปรึกษา เสนาธิบดี โต้ครูผู้ใหญ่ ชกดีมีชัย ว่องไวแสนทวี เคยพนันบ้านเมือง ลือเลื่องชาตรี แขกในปถพี ย่อมมีบรรณา ฝากตัวกลัวเดช ร้อยห้าสิบเศษ ขึ้นเขตมาลากา ท้าวไทหมายมุ่ง เอากรุงอยุธยา จึงสั่งให้มา เสนามีไชย อำมาตย์ผู้นั้น ฝึกหัดจัดสรร แข็งขันโตใหญ่ สูงหกศอกเศษ ทราบเหตุพาไป ถวายตัวท้าวไท เธอได้ทัศนา ว่าศิษย์ข้านี้ ถวายฝ่าธุลี เป็นศรีพารา แทนตัวข้าบาท องอาจหนักหนา จะพนันพารา แกล้วกล้าสุดใจ ท้าวฟังทูลเหตุ ทั้งได้ทอดพระเนตร สมเจตนาใน จึงหาคนปล้ำ เคยชำนาญใจ พร้อมหน้าพาไป ได้ห้าสิบคน ให้สู้คนนั้น ที่จะพนัน ลองกันสักหน ถ้าใครชนะ เราจะตั้งตน เป็นใหญ่กว่าคน ที่ตนมีชัย คนห้าสิบคน เข้าปล้ำคนหล เหลือทนแพ้ไป สิ้นทั้งห้าสิบ หนีลิบหลบไกล คนเดียวสู้ได้ ท้าวไทชื่นบาน ตรัสโปรดเสนา ดีแน่แล้วหนา ปรีชาไชยชาญ ควรจะตั้งให้ เป็นใหญ่ทหาร รู้ครบรบราญ ในการราวี จึงให้จัดสรรพ์ ต้นหนกัปตัน กำปั่นโยธี ให้บรรทุกสิ่งของ เงินทองอันดี ไปยังธานี กรุงศรีอยุธยา กำปั่นสามลำ เลือกคัดคนปล้ำ กำยำกายา ตัวครูผู้ใหญ่ เป็นนายนาวา เคยพนันพารา ได้มาทุกเมือง เสนาเป็นนาย รีบรัดบัตรหมาย จับจ่ายครบเครื่อง สามลำนาวา โยธานองเนือง ห้าร้อยรุ่งเรือง ได้เครื่องแต่งกาย เสร็จสรรพกราบลา จากกรุงมาลากา แล่นมาโดยหมาย ข้ามโอฆมหา ลมพาผันผาย สิ้นสามเดือนปลาย เข้าชายเขตคัน ฝ่ายเรือกองตระเวน แล่นหลามตามเกณฑ์ แลเห็นกำปั่น มาใกล้ไต่ถาม แจ้งความทุกอัน กลับไปไอศวรรย์ แจ้งท่านธิบดี เสนาผู้ใหญ่ เข้าเฝ้าภูวไนย ทูลไททันที ว่าแขกมาลากา สามลำเภตรา หมายมาราวี จะมาพนัน ปล้ำกันโดยดี ถ้าแพ้กรุงศรี ตามทีจะทำ ถ้าแพ้แก่เขา จะให้ไปเฝ้า ก้มเกล้าเกรงยำ จงทราบฝ่าพระบาท แขกอาจข้อคำ หยาบช้าสาระยำ ชอกช้ำวาจา พระองค์ทรงแจ้ง ตรัสว่าอย่าแหนง เคลือบแคลงวิญญา แล้วรับสั่งให้ ทะนนไชยเข้ามา ทั้งเรือมาลากา เร่งมาอย่านาน ตำรวจเวรวัง ฟังศัพท์รับสั่ง กลับหลังลนลาน เรือเร็วลงไป ข้างฝ่ายชลธาร ทางบกไปบ้าน ถึงท่านทะนนไชย บอกข้อรับสั่ง ให้หาหน้าวัง อย่ารั้งเร็วไว ขุนศรีมิช้า ผลัดผ้าทันใจ เรียกเหล่าบ่าวไพร่ รีบไปเร็วพลัน เดินเหย่าเข้าวัง บ่าวหลามตามหลัง ไปยังพระโรงคัล ครั้นถึงจึงเข้า ประนมก้มเกล้า ถวายอภิวันทน์ เฝ้าองค์ทรงศักดิ์ ด้วยภักดีครัน คอยรับสั่งพลัน๒๔ อภิวันทน์กราบกราน สมเด็จจอมไตร สบศรีทะนนไชย ฤทัยเบิกบาน ตรัสเรียกเข้ามา ปรึกษาราชการ ชี้แจงแจ้งสาร ในการพนัน ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย ตรึกตรองว่องไว ทูลไททรงธรรม์ ข้าบาทจะคิด กลกิจสู้กัน จะให้ผายผัน ไม่ทันช้านาน พระฟังทรงตอบ ตามจะประกอบ ให้ชอบไชยชาญ สุดแท้แต่เอ็ง จงเร่งคิดอ่าน ชวนใครใช้การ สั่งสารเสร็จคำ ทะนนไชยทูลลา มาที่ปรึกษา เสนาเกรงยำ สั่งให้ไปว่า รอท่าคนปล้ำ ขอผัดนัดคำ ค่อยกำหนดการ คนปล้ำร่ำร้อง ภรรยาเจ็บท้อง ขัดข้องรำคาญ ด้วยจะคลอดบุตร แสนสุดสงสาร ขอผลัดนัดงาน ในการพนัน ใช้ล่ามนำเรื่อง ไปผัดแขกเมือง ตามเบื้องบทบรร แขกฟังทั้งหลาย มาตรหมายเที่ยงธรรม์ มิได้เดียจฉันท์ สำคัญจริงจัง ทะนนไชยได้การ หาคนเศียรล้าน รูปพาลขึงขัง ฟันหักปากโหว่ ใหญ่โตตึงตัง ขนที่ลับบัง ถอนทั้งหมดเตียน สารเปลให้นอน ต่างเด็กเล็กอ่อน ผ้าผ่อนล่อนเลี่ยน หาหญิงรูปใหญ่ แกว่งไกววนเวียน นั่งรอล้อเลียน ผลัดเปลี่ยนกันไป เป็นทีพี่เลี้ยง สองนางข้างเคียง กล่อมเสียงจับใจ ผูกเปลริมทาง ต้นคางโตใหญ่ คนเดินมาไป มิให้เจรจา ฯ

ฉบัง ฯ วันหนึ่งแขกเมืองโยธา ลงจากนาวา ก็พากันเดินเพลินไป ชมชานบ้านเมืองเนืองใน นอกทุ่งกรุงไทย เพลินใจไม่ทันยืดยาว มาเห็นลูกอ่อนนอนขาว เปลไกวใหญ่ยาว สักเก้าศอกกว่าน่ากลัว เห็นเด็กใหญ่จนขนหัว ผ้าผ่อนล่อนตัว น่ากลัวที่เครื่องเคืองตา ชวนกันฉาวฉู่รู้มา ดูแลชนา นอนในเปลชาแกว่งไกว พี่เลี้ยงรักษานั้นไซร้ ชาวชนาใน คนในเปลใหญ่หนักหนา แล้วป้อนอาหารโภชนา ชามหนึ่งไม่สา ยังร้องแกวกวาอยู่ใน เวลาอาบน้ำนั้นไซร้ ยกขึ้นไม่ไหว ตักเอาน้ำในนั้นมา เอากระบอกฉีดในเปลผ้า ร้องอยู่แออา ทำเสียงดั่งว่าลูกอ่อน แล้วดูดนิ้วมือหลับนอน ทำอย่างลูกอ่อน แม่ซื้อหลอกหลอนแลนา แขกเมืองแลเห็นเต็มตา จึงมีวาจา ก็ถามไต่มาทันที ยักษาหรือว่าอสุรี นอนในเปลนี้ ผิดทีมนุษย์แลนา ทะนนไชยบอกไปมิช้า บุตรอ่อนเกิดมา ได้สามทิวาราตรี พ่อนั้นเป็นมวยชกดี ใหญ่เท่ายักษี คนใดไม่มีเปรียบนา แต่ชะง่อนก้อนคีรีผา ชกออกไฟมา ไหม้ป่าไหม้ดงพงไพร ในกรุงอยุธยานั้นไซร้ แต่ม้วยบรรไลย ด้วยเพื่อนนั้นไซร้มากนา ลือว่าพวกแขกเมืองมา ชกปล้ำกันนา ด้วยว่าภรรยาป่วยอยู่ ครั้นคลายหายเจ็บออกสู้ แขกเมืองไม่รู้ ออกสู้เห็นจะม้วยชีวา กลับไปเมืองเสียดีกว่า จะเอาตัวมาฆ่า ไหนจะรอดชีวาไม่มี แขกเมืองได้ฟังวาที ใจคร้ามขามหนี เชื่อถ้อยวาทีทะนนไชย เห็นสมทุกสิ่งจริงไป ลูกอ่อนนอนใน เกิดสามวันใหญ่หนักหนา ครั่นคร้ามขามในอุรา ชวนกันปรึกษา ลากลับพาราด้วยไว แขกเมืองบอกเสนาใหญ่ ชกปล้ำนั้นไซร้ เป็นสุดน้ำใจท่านอา ที่ไหนจะสู้ได้นา แต่บุตรเกิดมา สามวันใหญ่กว่าทั้งปวง ข้าไซร้ใจไม่หนักหน่วง ไม่สู่จู่จ้วง เจ้านายจะลวงเข้ามา จะมีโทษทัณฑ์แห่งข้า คิดจะกราบลา ใต้ฝ่าธุลีบาทไป เสนามุขอมาตย์ผู้ใหญ่ ฟังแขกกล่าวไข ไม่สู้แล้วไซร้ขอลา ฝ่ายเราไม่ได้ฝืนฝ่า ด้วยเดิมนั้นมา คงชอบหัทยาพระทัย ทูลท่านผู้ทรงภพไตร ตามแขกกล่าวไข จะขอลาไปพารา ทรงธรรม์ดำรัสตรัสว่า ตามแต่อัชฌา แขกมาจะลากลับไป ทั้งนี้เพราะศรีทะนนไชย ทำกลลวงไซร้ จึงแขกแปลกใจถอยวา ทรงชมสติปัญญา ดีนักหนักหนา ยิ่งกว่าคนทั้งธานี พระราชทานตระการมากมี เงินทองของดี สิ่งพรรณอันมีนานา ทะนนไชยใจเป็นสุขา เป็นข้าราชา ทั่วทุกชนายำเกรง เพื่อนไซร้ใจไม่เฉงเลง ทั้งหลายได้เกรง เพราะเป็นข้าท้าวแลนา อยู่เป็นเจียรกาลนานมา ทะนนไชยคิดว่า จะทำไรนาหัวปี แล้วเพื่อนไปจัดแจงที่ ชายริมชลธี มากมายชายฝั่งสมุทา ที่เป็นไม้งอกออกมา ค้อนรานมิช้า ให้ชักกันพาเข้าไป ไว้ชายริมป่าชัฏไซร้ ข้าวลีบหว่านไว้ บัดเดี๋ยวน้ำไหลขึ้นมา บังเกิดลมพายุพัดพา เม็ดข้าวในนา เพื่อนโกรธโกรธาฟุนไฟ ว่าลมข่มเหงกันไซร้ พาข้าวกล้าไป เพื่อนไซร้มาร้องยังศาลา ว่าข้าหว่านข้าวตกกล้า ริมฝั่งสมุทา ลมแกล้งบีฑายายี หอบพาเอาไปสิ้นดี ยังแต่ปัฐพี ไม่สักเม็ดเลยนา ขอจงท่านเกาะตัวมา ไต่ถามพิจารณา ซักไซ้ไล่หาเอาความ ทั้งหลายก็มาไต่ถาม ลมผู้พาลลาม อยู่คามานานแห่งใด เอ็งจงนำทนายพาไป เกาะเอามาไว้ ถึงไซร้เราจักถามดูนา ทะนนไชยขอหมายไม่ช้า กับทนายพามา เที่ยวเตร่เร่หาทุกแห่ง เร่เที่ยวสืบเสาะทุกแพร่ง ตำบลหนแห่ง ไม่พบลมแรงเลยนา วันหนึ่งถึงยังคามา บ้านยายแม่ค้า สมบัติวัตถามั่งมี วันนั้นยายเวียนเกศี บังเกิดลมมี ให้คลื่นให้เคล้อเรอไป ทะนนไชยเพื่อนถึงถามไต่ ว่ายายเป็นไร ให้เคล้อเรอในขึ้นมา ยายบอกตามความสัจจา ยายนี้แลนา ลมนามาเป็นต้นการ เป็นเจ้าของลมมานาน แต่อายุสมกาล ประมาณก็ได้สิบปี ทะนนไชยฟังถ้อยวาที ยายว่ามานี้ ข้านี้มิได้รู้นา พวกยายไปได้ลักพา เอาข้าวกล้ามา ที่ริมชลธาสายชล ตัวข้ามาคิดใจจน ด้วยไม่รู้หน ตำบลอยู่แห่งใดนา วันนี้เป็นบุญแห่งข้า มาพบยายนา บอกว่าเป็นเจ้าลมเอง ทะนนไชยบอกไปตามเพลง ไม่ขามไม่เกรง ชี้บอกแก่ทนายด้วยไว ทนายถือหมายแจ้งใจ ว่ายายนี้ไซร้ ต้องคดีในที่มีมา ข้าจะเกาะไปยังพารา ยังซึ่งศาลา ส่งท่านสุภาว่าความ ยายฟังหน้าตามิงาม ถูกถ้อยจวนความ น้ำใจมิงามเลยนา จึงหุงข้าวน้ำโภชนา ให้ทนายภักษา ครั้นรุ่งสุริยาคลาไคล เรียกเงินค่าเกาะตัวไว้ ตามธรรมเนียมไป พายายจรไคลรีบมา มิช้ามาถึงศาลา ส่งให้สุภา เกาะเป็นเชิงลาไว้พลาง ผู้คุมไม่เสียยศอย่าง เพื่อนไม่ละวาง เกาะกุมพิทักษ์รักษา แล้วเรียกเอาเงินทองตรา เป็นธรรมเนียมมา เสียทรัพย์วัตถานาพรรณ แล้วเรียกซึ่งนายประกัน ผู้รับเรือนนั้น หนังสือประกันสัญญา ทั้งใบอายัตตนา ประกันแก้หา ไว้ต่อสุภาทั้งสอง ทำไว้ไม่ผิดทำนอง เรียกสมุดทั้งสอง ให้ต้องยศอย่างสุภา ถามตามทะนนไชยว่า ตามร้องตามหา ว่าเพื่อนตกกล้าริมชล ลมไซร้พาไปบัดดล สิ้นเม็ดพืชผล ยายตนจะว่ากระไรนา ยายว่าไม่รู้เจ้าข้า ว่าลมพัดพา เอาเม็ดข้าวกล้าท่านไป ข้อหนึ่งว่าศรีทะนนไชย นำทนายไป พบยายข้างในคามา ถามยาย ๆ รับวาจา ว่าต้นลมนา บอกจริงหรือว่าประการใด ยายรับว่าบอกจริงไซร้ ยายไม่พาไป ให้ส่งลมไซร้ผู้พา ยายเฒ่าจนในอุรา รับใช้ทุนกล้า ทั้งค่าฤชาตระลาการ แล้วลาคืนกลับยังสถาน ดำริตริการ ทำงานจะเลี้ยงกายา ทะนนไชยได้เงินทองมา อยู่เป็นสุขา เลี้ยงบุตรภรรยาสืบไป วันหนึ่งน้ำจิตคิดใหญ่ โลภบังเกิดใน จะใคร่ได้ทรัพย์เงินทอง ปัญญาว่องไวใจคล่อง มิได้ขัดข้อง ว่องไวสติปัญญา คิดจะเอาเงินเสนา ผู้น้อยถอยมา แต่เพียงเสมอหน้าแก่กัน คิดแล้วเพื่อนแคล้วผายผัน ยังศาลาพลัน พร้อมกันจึงมีวาจา ว่าท่านทั้งหลายนี้นา ซึ่งนั่งศาลา ข้าจะว่าใดหนาให้สม ทั้งหลายให้เป็นนิยม ว่าไม่เห็นสม ต่าง ๆ เกี่ยงกันไปมา ทะนนไชยว่าพนันกันนา ทั้งปวงปรึกษา ถ้วนหน้าว่ามิสมจริง ข้าจะให้เงินทองของสิ่ง แต่ให้สัจจริง ทุกสิ่งอย่าล่อลวงการ ให้ท่านผู้ใหญ่เป็นพยาน มาเป็นประธาน จะพาโลการกันนา ต่าง ๆ ให้สัจสัญญา สิ้นพนันกันมา ทะนนไชยก็ว่าความไป ว่าท่านทั้งปวงนี้ไซร้ ซึ่งเป็นข้าไท๒๕ น้ำใจมิได้ฉันทา ต่อใต้ละอองบาทา มิคิดอิจฉา ต่อใต้บาทาไม่มี คิดคดกบฏวาที สักคนไม่มี ราตรีนบไหว้วันทา ทั้งหลายครั้นไม่รับว่า ไม่ซื่อตรงนา กลัวซึ่งชีวาบรรลัย ต้องรับว่าจริงจริงไซร้ แพ้แก่ทะนนไชย เสียเงินทองให้นานา ทะนนไชยว่องไวปัญญา ได้ทรัพย์วัตถา แก่เสนาแล้วลาไป คามังยังเคหาใน อยู่สำราญใจ โพยภัยสิ่งใดไม่มี อยู่เย็นเว้นทุกข์สุขี ค่ำเช้าราตรี สวัสดีในกายกายา ใจตรึกนึกใคร่จรคลา จากกรุงอยุธยา ตามบุรพเจตนาน้ำใจ ไปเที่ยวปักษ์ใต้นั้นไซร้ ลาภผลเป็นกระไร ใคร่รู้แจ้งใจด้วยนา คิดแล้วทะนนไชยแคล้วคลามา นั่งด้วยราชา แทบหน้าห้องพระโรงรูจี ทะนนไชยทำเขียนอักษรศรี เพื่อจะให้จักรี ทรงมีประภาษตรัสถาม หวังจะเอาข้อเรื่องความ มิช้าทรงนาม ตรัสประภาษถามมาพลัน ทะนนไชยเขียนอะไรนั้น เพื่อนทูลด้วยพลัน ชีวันอยู่ใต้บาทา ข้าแต่พระพุทธิเจ้าข้า ขอพระเดชา อาญาอยู่ใต้ธุลี ในข้าพระพุทธิเจ้านี้ เขียนอักษรศรี ทะนนไชยใจมิรักใคร่ จะกินซึ่งเมืองปักษ์ใต้ เขียนหาถูกไม่ บัดสีดีร้ายหนักหนา พระองค์ทรงฟังวาจา ศรีทะนนไชยว่า ดำรัสตรัสมาทันใด เอากระดาษมาข้างนี้ไซร้ ทรงเขียนด้วยไว ทะนนไชยกินเมืองปักษ์ใต้ ทะนนไชยย่อบังคมไหว้ ได้ดังหมาย ขะเยื่อนเลื่อนกายออกมา ยังซึ่งอาลักษณ์มิช้า ว่าให้แต่งตรา รับสั่งให้ข้านี้ไป กินเมืองปักษ์ใต้เล่าไซร้ เร่งแต่งตราไว ช้าไปจะมีโทษา อาลักษณ์ไม่เชื่อวาจา เพื่อนยังเถียงท้า ไม่มีคนหนามาสั่ง ทะนนไชยรับถ้อยวัจนัง ท้าเอาคนสั่ง ลายพระหัตถ์ยังเป็นไฉน จะไม่เชื่อถือหรือกระไร จะกราบทูลไท ภูวไนยจะทรงเคืองคา ข้อว่าข้อกล่าวโทษนา ลายพระเลขา เป็นสำคัญมานี้ไฉน อาลักษณ์คิดดูจนใจ ไม่เชื่อถือไซร้ ลายพระหัตถ์ไทจริงนา จึงแต่งสารศรีมิช้า ในลักษณ์สารตรา มาถึงเจ้าเมืองกรมการ ด้วยพระองค์ทรงบัญชาชาญ ทรงโปรดประทาน ในลักษณสารมีมา โปรดให้ศรีทะนนไชยนา มาครองพารา เป็นมหาเสนาไพร่พล สิ่งใดในเกิดลาภผล อย่าให้ผู้คน แก่งแย่งแข่งตนอยู่นา ถ้อยความราษฎร์ร้องฟ้องหา พิไนยอาญา เป็นสิทธิ์ขาดนาทะนนไชย ความโจรผู้ร้ายเก่าใหม่ ซึ่งเป็นพิไนย สิทธิ์ขาดทะนนไชยแลนา ในตรามีถ้วนถี่มา ตามอย่างสารตรา อาลักษณ์แต่งมาแต่ก่อน ได้ตราเพื่อนจึงคลาจร ออกมารีบร้อน มาถึงคาเมเคหา จัดแจงผู้คนเรือชา กับเครื่องยศถา เช่ายืมเขามาเอาไป ปืนสั้นปืนยาวกระบี่ใช้ ดาบเทศดาบไท เครื่องยศมีไปนานา กำหนดวันยามยาตรา เสารีสิบห้า ใช้ใบนาวาคลาไคล ออกสู่สมุทรสุดไกล ตั้งเข็มแล่นไป หมายใจเอาเมืองไชยา เจ็ดวันพลันถึงมิช้า ถึงปากชลธา ให้คนไวนารีบไป บอกแก่กรมการน้อยใหญ่ ว่าเจ้าเมืองใหม่ มีรับสั่งไทให้มา ว่าการที่เมืองไชยา ทั้งหลายถ้วนหน้า ให้เอาเรือชาลงไป รับท่านผู้เจ้าเมืองใหม่ เวลานี้ไซร้ ช้าไปจะมีเคืองคา กรมการฟังถ้อยวัจนา ซึ่งคนไวมา กล่าวถ้อยวัจนาปราศรัย ต่างคิดอัศจรรย์ใจ เจ้าเมืองมาใหม่ ทำไมตราไม่นำมา ต่างคนต่างคิดสงกา สัจจังดั่งว่า จะมีโทษาราวี ต่างชวนกันมาเร็วรี่ ถึงพลันทันที ต่างต่างชูลีวันทา พระยาใหม่จึงปราศรัยว่า กรมการถ้วนหน้า มิใคร่นับหน้าแก่เรา กรมการคิดการดูเบา ไม่นับถือเรา ดูเบาโฉดเขลาหนักหนา เรามาถึงปากชลธา มิใคร่จะมา ให้ขึ้นไปหาช้าอยู่ ทั้งหลายย่อไหว้พร้อมพรู เรียนว่าไม่รู้ รู้แล้วก็กรูกันมา ปลัดยกกระบัตรกรมนา กรมการถ้วนหน้า เกณฑ์จากไม้มาเร็วพลัน ปลูกที่เป็นพลับพลาพลัน แรมอยู่สามวัน เกณฑ์กันไปปลูกในจวน มากมีครบครันถี่ถ้วน เป็นเชิงกระบวน ถ้วนถี่มีสรรพครบครัน ที่ว่าราชกิจฐานนั้น ส้วมเว็จเสร็จพลัน สามวันดำเนินไคลคลา ถึงที่อยู่มิได้ช้า พระยาเก่ามาหา ก็วางซึ่งตราด้วยพลัน ต่างแจ้งในสารานั้น ชวนนบนอบครัน ถ้วนหน้าชวนกันวันทา จัดแจงจะทำขวัญตรา กรมการถ้วนหน้า นั่งเคียงเรียงมาพร้อมพรู กะเกณฑ์ตามเลขหมวดหมู่ น้อยมากไม่รู้ คงเอาให้สิ้นหมวดกอง ทำโรงใหญ่สิบสองห้อง ทำตามทำนอง ให้ต้องตามยศอย่างมา กำหนดวันทำขวัญตรา บอกกันถ้วนหน้า ชนาลูกค้าจีนไทย กรมการผู้น้อยผู้ใหญ่ นายที่มีใน จังหวัดขึ้นเมืองไชยา อำเภอแขวงกำนันนั้นนา ให้บอกกันมา จะทำขวัญตรามากมี แขกเก่าแขกใหม่ทั้งนี้ มาให้สิ้นที่ เศรษฐีชาวนาค้าขาย ให้สิ้นทั้งทั่วตัวไพร่ ชาวเรือเหนือใต้ ชาวไร่อยู่ชายเชิงไพร พวกเราชาวเหล่านั้นไซร้ จีนเก่าจีนใหม่ บรรดาคนในพารา ให้เร่งชักชวนกันมา จะทำขวัญตรา เป็นมหามงคลสวัสดี ถึงวันได้ฤกษ์นาที เชิญตราคชสีห์ ไปสู่โรงรีทันใด พร้อมด้วยพระสงฆ์ผู้ใหญ่ ชยันโตไว เทียนไชยก็จุดเวียนมา ทั้งหลายเวียนซ้ายหาขวา พระยาใหม่พึงมา เวียนขวามาหาซ้ายพลัน บิดเบือนทำให้เหมือนกัน เสร็จซึ่งเวียนขวัญ จบซึ่งชยันลงมา ปลัดยกกระบัตรกรมนา ผู้มือมิช้า คนละห้าตำลึงตราด้วยพลัน ผู้น้อยถอยลงกึ่งกัน เจ๊กจีนใต้หวัน เสมอกันคนละหกบาทตรา พวกไพร่ทำไร่ทำนา คนละสองตำลึงตรา ถ้วนหน้าไม่มีหลงแวง ทั้งนี้เพราะคนจัดแจง มิให้หลงแวง ชาวไร่ได้แตงฟักทอง ข้าวโพดข้าวฟ่างก่ายกอง ข้าวเม่าข้าวพอง อีกทั้งผักดองถั่วงา มะพร้าวสีผึ้งนองา เนื้อค่างย่างมา เป็นของเครื่องป่ามากมาย เอามาทำขวัญเจ้านาย เนื้อกวางเนื้อทราย ทุกสิ่งทุกอย่างต่างกัน ครั้นเสร็จสำเร็จการขวัญ เป็นสุขนิรันดร์ กรมการทั้งนั้นวันทา ความใดพินัยเร่งมา อย่าได้ค้างช้า เร่งรัดกันมาวุ่นไป ทุกสิ่งเอาภาษีไซร้ ครกสากน้อยใหญ่ เอาเสมอกันไปสองสลึง มีแต่กระโด้งฝัดเอาครึ่ง กระบายกึ่งหนึ่ง กระโล่นั้นครึ่งลงมา ทุกสิ่งสรรพการนานา เก็บภาษีมา ได้เงินทองตรามากมาย แต่ว่าน้ำจิตคิดใคร่ ทำนากลางสาย เห็นว่าจะได้เงินทอง ให้จัดข้าวลีบโดยปอง มากมายก่ายกอง ประมาณสักสองเกวียนตรา ให้บรรทุกเรือเอามา หว่านกลางชลธา ทางซึ่งนาวาคลาไคล แล้วให้ทำไว้ด้วยไว คนคอยอยู่ไซร้ ถ้าว่าเรือใครเข้ามา พายไปซึ่งในข้าวกล้า จับตัวเอามา จำคาขื่อใหญ่ไว้พลัน เอามาส่งศาลานั้น ให้ว่าโทษทัณฑ์ ซึ่งลุยข้าวนั้นไปนา ต่างคนต่างจนอุรา เสียทรัพย์วัตถา ถูกด้วยทำนากลางทะเล กรมการพาลคิดโยเย ด้วยพระยาโอ้เอ้ ทำนากลางทะเลนี้นา แต่ก่อนบห่อนเห็นมา ชั่วยายชั่วตา เล่าสืบกันมาไม่มี ซึ่งทำนากลางชลธี คิดการครั้งนี้ ประโยชน์จะเอาเงินทอง ต่างต่างเคืองคัดขัดข้อง ด้วยผิดทำนอง ไม่ต้องยศอย่างก่อนมา ลางคนที่ใจหาญกล้า ลัดลอดเข้ามา ยังกรุงอยุธยาธานี เอาความมาแจ้งอึงมี่ ทราบใต้ฝ่าธุลี จึงมีรับสั่งถามมา ทะนนไชยใครให้ไปนา กินเมืองไชยา เสนาก็ทูลความไป ว่าเมื่อเดือนก่อนนั้นไซร้ เอารับสั่งไท้ มาแจ้งความในศาลา ว่าให้กินเมืองไชยา ต่างคิดสงกา ลายพระหัตถาสำคัญ ชวนกันแต่งตราให้พลัน ทะนนไชยรับได้ตรานั้น ไปไชยาพลัน ทรงธรรม์จงทราบบาทา๒๖ พระองค์ทรงรำลึกว่า เป็นความจริงนา มีพระบัญชาตรัสไตร ให้แต่งตราออกไปใหม่ ว่ามีโองการไท ทะนนไชยคืนกลับอยุธยา ด้วยการติดพันกายา ให้เร่งรีบมา อย่าช้าตามพระโองการ คนไวไปมิทันนาน เจ็ดราตรีกาล ก็ลุถึงเมืองไชยา เอาตราวางให้มิช้า จัดแจงนาวา รื้อครัวเข้ามาด้วยไว คนที่เกี่ยวข้องสิ่งใด เร่งเงินทองไว ขับเฆี่ยนกันไปโบยรัน เพื่อนไม่ปรานีแก่กัน ซึ่งเป็นประโยชน์นั้น เพื่อนไม่คิดกันเลยนา สุดแต่ได้เงินทองตรา สิ่งทรัพย์วัตถา บรรทุกนาวามาพลัน เจ็ดวันบรรลุถึงพลัน ศรีอยุธยานั้น ขึ้นเฝ้าทรงธรรม์ราชา ทรงนิ่งมิได้เคืองคา ตรัสสิ่งใดนา เป็นข้าราชาต่อไป ฯ

๏ อยู่เป็นเจียรกาลนานไป เจ้าศรีทะนนไชย น้ำใจใคร่ไปวัดวา ไปนั่งให้สบายกายา เล่นหมากรุกสกา กับด้วยเถราเจ้าไท วันนั้นข้ามฟากชลาลัย ท่าคลองหนึ่งไซร้ เพื่อนจึงเดินไปมิช้า ครั้นถึงริมฝั่งชลธา ไม่มีเรือชา จะข้ามไปหนาไม่มี เพื่อนนั่งชายฝั่งนที ช้านานดีหลี ไม่มีเรือข้ามเลยนา ดูไปที่หน้าวัดวา เห็นสำมเณรรา ก็มีวาจาพาที พ่อเณรเอ็นดูข้านี้ ข้ามเรือสักที เอ็นดูโยมนี้เถิดนา เณรน้อยยินถ้อยวัจนา จึงข้ามไปมา เรือที่หน้าท่าริมชล ทะนนไชยน้ำใจคิดจน เสียรู้เสียกล ครั้งนี้มาจนอุรา จึงกลับคืนถ้อยวาจา ว่าเอาเรือมา ข้ามฟากนี้นาพลอยไป เณรจึงพาเรือไปไว ถึงศรีทะนนไชย เพื่อนไซร้ก็ลงนาวา เณรน้อยพายลอยล่องมา ถึงกลางชลธา จึงมีวาจาว่าไป ว่าประสกจะขึ้นที่ไหน ทะนนไชยว่าตามใจ ที่ไหนก็จอดเถิดนา เจ้าเณรบ่ายบากเรือมา ตรงกอไผ่ป่า ซึ่งรกหนามหนาชัฏไป จอดให้นายศรีทะนนไชย ว่าประสกขึ้นไป ข้าไซร้จะไปวัดวา ทะนนไชยเสียรู้เณรา คิดน้อยหัทยา ก็จนอุราขึ้นไป ต้องแผ้วต้องถางกอไผ่ แต่เช้าเล่าไซร้ จนบ่ายชายไปสุริยา จนตลอดไปยังเคหา ว่าจะไปวัดวา เล่นหมากรุกสกาเปล่าไป ฯ

สุรางคนางค์ ฯ กล่าวถึงเจ้าเณร อยู่ในบริเวณ อาวาสเจ้าไท คิดจะสึกออกมา เป็นข้าภูวไนย ด้วยองอาจใจ ในทางราชการ คิดแล้วมิช้า จึงเข้าไปหา บิดาชนมาน บอกว่าไม่สบาย มันให้รำคาญ จิตใจพลุ่งพล่าน แดดาลอินทรีย์ อยู่เป็นชีไป เป็นสุดน้ำใจ ในตัวลูกนี้ คิดว่าจะลา สึกออกจากชี พ่อแม่ปรานี แก่ลูกเถิดนา พ่อแม่สองไท ฟังบุตรสุดใจ มาอ้อนวอนว่า จะขัดเอาไว้ ไม่ให้สึกนา เจ้าเณรลูกยา จะมาคาเคือง จะตรอมผอมไข้ ลูกอยู่ไม่ได้ จำจากปลดเปลื้อง ยอมให้สึกนา ลูกอาอย่าเคือง ไม่รักผ้าเหลือง ปลดเปลื้องบาปกรรม ครั้นจะขัดอัชฌา ไม่สบายกายา เจ็บไข้รับทำ เทวดารักษา ชักมาเพราะกรรม ต้องกินข้าวค่ำ รัมทำน้ำใจ ตริแล้วสองรา จัดแจงแต่งหา ธูปเทียนมาลัย เภสัชเพลา ทั้งผ้านุ่งใหม่ เสร็จแล้วแคล้วไคล ยังในวัดวา จึงหารือไท พระครูผู้ใหญ่ ด้วยไวมิช้า ว่าลูกเณรน้อย คิดจักขอลา สึกจากบรรพชา ลาพระคุณไป อาจารย์ขานว่า ตามแต่อัชฌา เจ้ากูเถิดไซร้ ครั้นอยู่ไม่ได้ ขืนให้อยู่ไป จะมีเหตุภัย ใจจะอาวรณ์ พระครูผู้ใหญ่ ให้กราบพระไหว้ แล้วให้ศีลพร รับซึ่งศีลห้า เป็นสัจถาวร จึงให้ลูกอ่อน นุ่งผ้าดำพลัน เสร็จแล้วลาไท ยังเคหาใน ทั้งสองสามนั้น อยู่เป็นสุขา ทุกวิวาวัน สบายคลายครัน ทุกวันเวลา วันหนึ่งลูกชาย น้ำจิตคิดหมาย ในกายอาตมา ใคร่เป็นข้าท้าว ปิ่นเกล้ากระษัตรา ถวายตัวเป็นข้า เจ้าฟ้าธาตรี จึงมีวาจา พ่อแม่สองรา โดยถ้อยวาที น้ำจิตคิดว่า ตัวลูกยานี้ เป็นข้าธุลี ใต้บาทบาทา คนจะเกรงขาม จะได้รู้ความ ในกิจการนา คุ้มเหย้าคุ้มเรือน คุ้มทั้งไร่นา โคกระบือลือชา นานาทุกพรรณ พ่อแม่สองรา ได้ฟังวาจา บุตราจาบัลย์ ฟังชอบแก่หู กุศลมาทัน พร้อมน้ำใจกัน ผันรับวาจา แก่ลูกชายรัก เจ้าคิดดีนัก พ่อชอบอุรา ได้เป็นข้าท้าว เย็นเกล้าเกศา ผู้ใดใครนา ไม่มาดูแคลน ตามบุญวาสนา กุศลเกื้อมา จะได้สูงแสน มีเกียรติยศถา ไม่มาดูแคลน น้ำจิตคิดแม่น พ่อแม่สองรา จัดแจงธูปเทียน จำนงจงเนียร อีกดอกจำปา ใส่พานน้อย ๆ เดินค่อยเข้ามา จึงเข้าไปหา เสนาผู้ใหญ่ ให้นำลูกชาย เอาเข้าไปถวาย แก่ปิ่นภพไตร ทรงพระปรีดา เริงรื่นอุรา๒๗ ชื่นพระหฤทัย โปรดใช้สอยไป ว่องไวปัญญา ตั้งเป็นปลัดเวร ใช้สอยจัดเจน ในใต้บาทา ทรงชอบพระทัย ในพระหัทยา เลื่อนชื่อขึ้นมา เป็นนายเวรพลัน ฯ

๏ เรื่องนี้ยกไว้ กล่าวถึงตายาย จิตหมายผายผัน ไปทวงขอเงิน แก่ทะนนไชยนั้น ยืมช้านานครัน แต่พาโลมา ยามเมื่อขัดสน บอกว่ายากจน มายืมเงินตรา ครั้นไปทวงขอ กลับพาโลว่า ยืมสองเดือนนา นานช้านับปี ขอแต่เภอใจ พาลพาโลไป ทุกครั้งทุกที คงทราบพระกรรณ์ ทรงธรรม์พันปี ทำฎีกานี้ ทูลใต้บาทา ยายตาสองศรี วานให้คนดี ผู้มีปรีชา เขียนฎีกาถวาย ทูลใต้บาทา ตามเรื่องราวมา เสร็จสิ้นทุกประการ ฯ

๏ วันหนึ่งพระองค์ จอมกษัตริย์ขัตติวงศ์ ทรงดูหมายสาร สองเฒ่ายายตา ชูฎีกาคลาน ออกตรงหน้าฉาน หน้าพลับพลาพลัน ทอดพระนัยนา เห็นสองยายตา ฎีกาสำคัญ ทรงเข้าพระทัย ในองค์ทรงธรรม์ สัตว์ผู้ยากนั้น ทูลเรื่องเนื้อความ ดำรัสตรัสไตร สั่งตำรวจใน เร็วไวไปถาม สองเฒ่ายายตา เป็นธุระความ ให้บอกแต่ตาม ความสัจของเรา ตำรวจวิ่งไป ถึงสองเฒ่าไซร้ รับดูฎีกา แจ้งว่าทะนนไชย ไปยืมเงินตรา ชั่งห้าตำลึงมา แล้วพาโลความ ทวงขอไม่ให้ พาโลเอาไว้ ไม่ให้โดยงาม สองเฒ่าจนใจ ทูลไททรงนาม ให้ทรงทราบความ ตามจะโปรดเกศา ตำรวจเข้าไป กราบบังคมไท ตามในฎีกา ทรงทราบอาบใจ ในพระหัทยา เห็นเป็นสัจจา ยายตาสองศรี ผินสั่งนายเวร ซึ่งเป็นเจ้าเณร สึกออกจากชี มาเป็นข้าท้าว จงรักภักดี อย่าให้เสียที ที่นับถือมา ให้หาทะนนไชย ชำระกันไซร้ ด้วยสองยายตา ให้เป็นยุติธรรม ลำเอียงอิจฉา ให้เป็นธรรมา ตามข้อเรื่องความ นายเวรเณรน้อย รับบังคับถ้อย พระผู้ทรงนาม ทูลรับอาสา พิจารณาความ ให้ต้องยศตาม อย่างโบราณมา พาสองเฒ่าไป ยังซึ่งศาลใหญ่ ดูในฎีกา รู้แจ้งแห่งสิ้น ข้างในวิญญา จึงใช้ไปหา พาตัวทะนนไชย มาถึงมิช้า ถามเรื่องราวมา กล่าวข้อความไป จะดูสำนวน นายศรีทะนนไชย จะว่ากระไร ในถ้อยวาจา นายศรีทะนนไชย จึงกล่าวความไป เร็วไวมิช้า ว่าข้าไปยืม เงินของยายตา แต่ข้าสัญญา สองเดือนตราไตร ไม่ถึงสัญญา ข้าจะให้เงินตรา แก่ตาฉันใด ถึงสองเดือนตรา ข้าจะหวงไว้ไย ต่างว่าเถียงไป อึงในศาลา นายเวรเณรน้อย มีวาจาถ้อย วันนี้เวลา ถามสอบไม่ทัน นัดกันพรุ่งนา พร้อมกันศาลา มาให้ทันกาล๒๘ จะว่ากระไร สองเฒ่าติดใจ มิให้ไปบ้าน ติดใจกันไว้ คุมกันนอนศาล ถ้าใครไปบ้าน จากศาลแพ้กัน ผู้ดาษจดไว้ ถ้อยคำสองฝ่าย ซึ่งติดใจนั้น ส่งไว้ศาลา คุมมิช้าพลัน อย่าให้เถียงกัน มั่นเป็นแขนงความ รุ่งเช้าพาไป ชายที่โรงใน น้ำใสแสนงาม๒๙ นายเวรเณรไป ค่ำในติยยาม เรียกโจทก์จำเลยถาม ตามข้อความมา ฎีกาตายาย รู้ความนั้นไซร้ เป็นใจความว่า ทะนนไชยยืมเงิน ชั่งห้าตำลึงตรา แล้วพาโลว่า สัญญาไม่ถึง เป็นข้อใจความ นายเวรเณรถาม มิได้อื้ออึง เรื่องยืมเงินตรา ชั่งห้าตำลึง จำเลยจงพึง ให้การแก้มา๓๐ เป็นกระไรทะนนไชย จงให้การไป เป็นความสัจจา ว่าตัวข้าไซร้ ไปยืมเงินตรา ของท่านยายตา ชั่งห้าตำลึงจริง ข้าได้สัญญา ได้สองเดือนตรา ขอให้ไม่นิ่ง ไม่ครบสัญญา ยายตาอึงจริง ไมถงจึงนิ่ง ตาวิ่งกลับไป๓๑ นายเวรเณรนั้น มีวาจาพลัน ซักศรีทะนนไชย ว่าสัญญาไว้ สักสองเดือนไซร้ เดือนพระอุทัย หรือเดือนในสุธา ทะนนไชยว่าไป เดือนพระอุทัย ในข้อสัญญา มิใช่เดือนวัน ในชมพูนา คำมั่นสัญญา ของข้ามั่นคง นายเวรชี้ไป บนเวหาไซร้ ไม่เบียนเพียรคง แล้วถามทะนนไชย บอกไปตามตรง ว่าเดือนสุริยง คงข้าสัญญา จึงชี้ลงไป ฝ่ายคงคาใน เงาฉายขึ้นมา จึงถามทะนนไชย ไปไวมิช้า ในตรงคงคา เรียกว่าชื่อไร ทะนนไชยรับว่า ดวงพระสุริยา เหมือนกันนั้นไซร้ นายเวรจึงว่า เถียงท้าไปไย ครบสองเดือนไซร้ ไยพาโลความ ทะนนไชยเสียที มาแพ้อับปรีย์ หน้าตามิงาม ครั่นครามน้ำจิต ใจคิดเข็ดขาม จะพาโลความ ไปได้ไม่มี ให้เร่งเงินตรา ส่งให้ยายตา ครบครันทันที ต่างกลับคามา เคหาเดิมที ทะนนไชยใจมี แต่ความเศร้ามา นายเวรเณรนั้น เฝ้าองค์ทรงธรรม์ ทูลข้อความว่า ความศรีทะนนไชย กับสองยายตา เสร็จแล้วเจ้าข้า ทราบฝ่าธุลี ด้วยศรีทะนนไชย คิดพาโลใจ เอาเฒ่าสองศรี ยืมเอาเงินตรา สัญญาวาที สองเดือนสุรีย์ จึงจะให้กัน เกล้ากระหม่อมพาไป ศาลาชายใน ริมคงคานั้น ถามศรีทะนนไชย ใจยังดื้อดัน ว่าเดือนเดียวนั้น ไม่ถึงสัญญา เกล้ากระหม่อมชี้ไป บนเวหาใน รับว่าสุริยา ครั้นชี้ลงไป ฝ่ายในชลธา รับเหมือนกันนา มารับแพ้ความ เร่งเงินให้ไป ครบครันกันไซร้ ไปเคหาคาม ขอทราบพระองค์ พุทธพงศ์ทรงนาม สิ้นข้อเรื่องความ ตามมีบัญชาฯ

๏ พระองค์ทรงไชย สบพระหฤทัย ในองค์ทรงฟ้า ตรัสชมสรรเสริญ เยินยอปรีดา ประเสริฐเลิศตรา ชนาธาตรี สั่งแก่กรมวัง ให้แต่งหมายตั้ง เลื่อนขึ้นจากที่ ให้เป็นพระครู มโหสถนี้ ปรึกษาคดี ความราษฎร์ประชาฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย แต่วันนั้นไป ใจเศร้าโรยรา ด้วยไม่เคยแพ้ แก่ใครเลยนา ให้ละอายหน้าตา ใจมาทุกข์ตรอม บังเกิดโรคา เบียดเบียนบีฑา กายาไผ่ผอม นอนชุกขุกไข้ ไม่วายทุกข์ตรอม กายไซร้ไผ่ผอม ตรอมทุกเวลา เกือบใกล้ความมรณ์ ยิ่งให้อาวรณ์ ร้อนเร่าอุรา ให้เมียเข้าไป เฝ้าไทราชา ให้กราบทูลว่า จะขอลาตาย ใคร่พบพระองค์ พระผู้พุทธพงศ์ จะทูลถวาย๓๒ ให้เสด็จมาไซร้ บอกไปไม่ได้ เรื่องที่มุ่งหมาย๓๓ ประเสริฐเลิศฟ้า เมียก็เข้าไป ทูลองค์ทรงไชย ผู้ผ่านนัครา ตามคำทะนนไชย สั่งไปทูลว่า ทรงทราบหัทยา ในองค์ทรงธรรม เป็นความรู้ดี ของมันนั่นมี เสด็จจะลาผัน ทะนนไชยไข้หนัก ชักใจอยู่นั้น พระองค์ทรงธรรม์ ขึ้นยังเคหา จึงศรีทะนนไชย ยอมือด้วยไว ขึ้นนบวันทา ทูลแก่พระองค์ ผู้ทรงอิศรา ว่าจะขอลา ชีวาเป็นผี ความรู้หนึ่งนา ยิ่งเลิศชนา ทูลทราบคดี เชิญขยับพระกาย มาให้ใกล้ที่ เพื่อนทูลคดี แก่พระราชา ปลาหมอตับปิ้ง อย่าได้ตั้งผิง ไว้ประเดี๋ยวนา ให้แปรข้างละที กินดีนักหนา จะจิ้มน้ำปลา กินน่าอร่อย พระองค์ทรงฟัง ถ้อยคำวัจนัง ด่าว่าอ้ายถ่อย แต่มันจะตาย กล่าวคดชดช้อย พูดเล่นยับย่อย ชั่วถ่อยหนักนา ถ้ามึงตายไซร้ กูจะให้นางใน เยี่ยวใส่ธาตุนา สั่งแล้วเสด็จกลับ ยังมณฑิรา สั่งนางซ้ายขวา ข้างหน้าข้างใน สืบให้รู้แท้ ทะนนไชยตายแน่ จะเผาที่ไหน ทั้งหลายจึงชวน ถ้วนหน้ากันไป เยี่ยวใส่ธาตุไซร้ สมใจมันนา ฯ

๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย รู้ทราบในใจ ว่าไทราชา จะให้เยี่ยวใส่ ในธาตุกูนา เพื่อนมีวาจา สั่งภรรยาไว้ ว่าตัวกูนี้ ถ้าม้วยชีวี จะเผาผีไซร้ อย่าเอาไม้อื่น กูไม่ชอบใจ ไม่ลังตังใส่ ชอบไซร้ใจกู ฯ

๏ อยู่สองสามวัน ทะนนไชยอาสัญ บ่ายหน้าไปสู่ นรกหมกไหม้ ทนกายตนอยู่ บาปตีพระครู ท่านผู้อาจารย์ ฯ

๏ ฝ่ายว่านางใน ครั้นรับสั่งไท สืบอยู่ทุกกาล รู้แท้แน่ใจ ทะนนไชยวายปราณ เผาป่าช้าชาญ เยี่ยวใส่ธาตุไว้ ต่างเยี่ยวไม่ช้า เถ้าลังตังนา ฟุ้งซ่านขึ้นไป ต้องของสงวน ถ้วนหน้าคนใน ฟกบวมขึ้นไซร้ นางในป่วยงาน ฯ

๏ เรื่องศรีทะนนไชย ผูกกล่าวเล่าไป หมดสิ้นตำนาน ผูกแต่จำได้ ไว้ให้เด็กอ่าน พอรู้นิทาน เรื่องศรีทะนนไชย ฯ

- ศรีทะนนไชยจบแต่เท่านี้แล -

[๑] ความตอนนี้ ในต้นฉบับเดิมว่า “นางตื่นขึ้นทันที ปลุกสามีด้วยเร็วรา เล่าความตามสัจจา ว่าน้องมานิมิตฝัน นันทาตื่นขึ้นแล้ว กอดเมียแก้ว แล้วรับขวัญ พรุ่งนี้เราชวนกัน ไปหาท่านที่อาราม...”

[๒] ตอนนี้ความเดิมในต้นฉบับว่า “แทบถึงเศวตฉัตร ทงจันทร์บริวาร...” เห็นว่า สัมผัสผิดวรรคตอนจึงแก้เสีย

[๓] ต้นฉบับว่า “ร้องไห้อื้อฉาว” เห็นว่าสัมผัสไม่รับกันจึงแก้เสีย

[๔] ต้นฉบับเดิมเป็น “เห็นลูกคลุกคลาน” เห็นว่าไม่รับสัมผัสจึงแก้เสีย

[๕] ต้นฉบับไม่มี จึ่ง แต่เห็นว่าขาดคำจึงเติมลง

[๖] ต้นฉบับเดิมว่า “อยู่ไปหลายวัน”

[๗] ต้นฉบับเดิมว่า “ผัวเมียขวนขวาย”

[๘] ต้นฉบับเดิมว่า “ฝ่ายผัวเมียสองศรี”

[๙] ต้นฉบับเดิมไม่มี แต่ขาดวรรค จึงเติมลงไว้

[๑๐] ต้นฉบับเดิมไม่มี แต่ขาดวรรค จึงเติมลงไว้

[๑๑] ต้นฉบับเดิมไม่มี แต่ขาดวรรค จึงเติมลงไว้

[๑๒] ต้นฉบับเดิมไม่มี แต่ขาดวรรค จึงเติมลงไว้

[๑๓] ต้นฉบับเดิมเป็น “คอยจ้องประจำ” แต่ไม่รับสัมผัส จึงแก้เสีย

[๑๔] ต้นฉบับเดิมเป็น “ทะนนไชยเจ้าเล่ห์” แต่ไม่รับสัมผัส จึงแก้เสีย

[๑๕] ต้นฉบับเดิมเป็น “การ” แต่ไม่รับสัมผัส จึงแก้เสีย

[๑๖] ต้นฉบับเดิมเป็น “ลำนำ” แต่ไม่รับสัมผัส จึงแก้เสีย

[๑๗] ขาดวรรค จึงเติมลง

[๑๘] ต้นฉบับเดิมเป็น “ไม่กลัวลื้อ” แต่ไม่รับสัมผัส จึงแก้เสีย

[๑๙] ต้นฉบับเดิมเป็น “ขวัญ” แต่ไม่สัมผัส จึงแก้เสีย

[๒๐] ต้นฉบับเดิมว่า พาชีเทียบรถบทจร แต่คำเกิน

[๒๑] ต้นฉบับเดิมเป็น จอมจักรนัครา แต่สัมผัสไม่รับ

[๒๒] เนื้อความตอนนี้ เรื่องซ้ำกับตอนต้นได้กล่าวมาแล้วในหน้า ๔๒

[๒๓] ต้นฉบับเดิมเป็น “ทุกสิ่งอัน” แต่ไม่รับสัมผัส.

[๒๔] ความเดิมตอนนี้ว่า “ครั้นถึงจึงเข้า ก้มเกล้าอภิวันทน์ เฝ้าองค์ทรงธรรม์” แต่เห็นว่าขาดวรรคไม่รับสัมผัส จึงแต่งเติมเสียใหม่

[๒๕] เนื้อความตอนนี้ เรื่องซ้ำกับตอนต้นได้กล่าวมาแล้ว

[๒๖] ความเดิมตอนนี้ว่า “ชวนกันแต่งตราไว้พลัน ขอทราบเบื้องบาทา” แต่ไม่รับสัมผัสจึงเติมลง.

[๒๗] ความขาด ผิดสัมผัส จึงแต่งเติมลง

[๒๘] ความในต้นฉบับเดิมว่า “นัดกันพรุ่งนา แต่โจทก์จำเลย พร้อมกันศาลา” เห็นว่าผิดสัมผัสจึงแก้เสีย

[๒๙] เดิมว่า “ปลูกในน้ำใส” เห็นผิดสัมผัส

[๓๐] ความขาด ผิดสัมผัสจึงแต่งเติมลง

[๓๑] ความเดิมว่า “ยายตาของอึง ข้าว่าไม่ถึง ตาบึ่งกลับไป” เห็นว่าผิดสัมผัสจึงแก้เสีย

[๓๒] ความขาด ไม่รับสัมผัสจึงเติมลง.

[๓๓] ความขาด ไม่รับสัมผัสจึงเติมลง.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ