๏ ป่างองค์อัมเรศร์อดิศร |
ผ่านสมบัติในสุทัสนนคร |
สถาวรไปด้วยทิพศวรรยา |
เอาสูงพื้นหมื่นแสนพระเมรุมาศ |
เป็นอาสน์ทองรองดาวดึงสา |
กว้างยาวหมื่นโยชน์คณนา |
ประดับปราการแก้วแกมกัน |
สี่ทิศมีมหาทวาเรศ |
ระหว่างเขตหมื่นโยชน์ระยะคั่น |
ประตูรายหมายยอดสำคัญพัน |
มีสระสวนทุกหลั่นทวาไร ฯ |
๏ เจ็ดชั้นวิชยันตปราสาท |
สี่มุขมาศดาดแก้วจำรัสไข |
สูงพันโยชน์งามทีที่ใกล้ไกล |
มีธงชัยเฉลิมยอดพิมานทอง |
ดังเบื้องพระกรพระบรมพรหเมศร์ |
กวักประเวศเทวัญบัญชาสนอง |
ระยับคั่นแก้วกั้นกระหนกกรอง |
ประลองแสงล้ำแสงพระสุริยา |
ที่เชิงปรางค์ในระหว่างจังหวัดนั้น |
รูปเทวัญถือทิพบุปผา |
บ้างทรงปัญจาวุธบนอาชา |
เอามุกดาเป็นสร้อยวลัยกร |
งามคณานางชูสุหร่ายสรง |
รูปอนงค์แก้วประพาฬประภัสสร |
สลับไพฑูรย์องค์วิชาธร |
ทรงอาภรณ์ล้วนสีมณีนิล |
หนึ่งแถวไม้กำมพฤกษ์ที่นึกทิพ |
จงนับแสนแทนสิบก็เกินถวิล |
มีทรายทองรองรับกับพื้นดิน |
ประพรมสินธุ์เสาวรสจรุงใจ |
กำแพงแก้วล้วนแก้วทั้งเจ็ดชั้น |
ตาลสุวรรณรุ่นรื่นเรียงไสว |
เมื่อลมพัดก็สะบัดสำเนียงใบ |
เฉลิมโสตหฤทัยดังดนตรี ฯ |
๏ หนึ่งโรงเทวสภาอันเนืองนิจ |
ควรพิศพื้นแก้วทั้งเจ็ดสี |
สูงห้าร้อยโยชน์สุดบราลี |
ท่วงทีเทิ่งท้องทิฆัมพร |
ฉลุบันก้านเกี้ยวเลี้ยวลด |
ช้อยชดเศียรสีหไกรสร |
ช่อฟ้าชวนฟ้าให้ชมงอน |
แก้วทอนท่อนซ้อนลำยองเรียง |
บุษปขดารด้านฝาผนังเพชร |
มุมเม็ดเก็จกั้นเชิงเฉลียง |
ขำไขแข่งสีวิเชียรเคียง |
ยลเยี่ยงหยาดสายสุธานอง |
จระนำเจียระไนไพฑูรย์แท่ง |
ดวงแดงสุริยาว่ายังหมอง |
บังอวจพิงอิงพาดพนักรอง |
เขนยทองขนัดแท่งมณีนิล ฯ |
๏ ชานชาลาหน้าหลังพระลานมาศ |
ศิลาลาดแลคว้างเล่ห์ทางสินธุ์ |
อ่อนละไมใยทิพโกมิน |
มลทินมิได้สุมอยู่รุมราย |
มีลมหนึ่งหอบหวนประมวลพัด |
ระบัดดวงปทุมามากรองถวาย |
เป็นสิงหราชผาดเผ่นผยองกาย |
คชาส่ายงารำสำเริงเริง |
บ้างร้อยรุมโกสุมเป็นสิงห์ขนัด |
ดูเอี้ยวอัดซัดเท้าจะโลดเถลิง |
งามบุปผาอาชาประลองเชิง |
ที่ละเลิงเลี้ยวไล่ลำพองคะนอง |
มะลุลีสารภีพิกุลแก้ว |
เป็นถ่องแถวมฤคีที่เยื้องย่อง |
บ้างพัดดวงมณฑามากรายกรอง |
บนตั่งทองหอมฟุ้งจรุงใจ |
ยังมีลมหนึ่งรับเอาบุปผา |
ที่โรยรสพัดพาไปเนินไศล |
เอาสินธุใสสิ้นมลทินไคล |
มาพรมในรัถยาศิลาลาย ฯ |
๏ หนึ่งเจดีย์พระจุฬามณีสถิต |
อันไพจิตรด้วยฤทธิ์สุเรนทร์ถวาย |
สูงร้อยโยชน์โชติช่วงประกายพราย |
ยิ่งแสงสายอสุนีในอัมพร |
เชิญเขี้ยวขวาเบื้องบนพระทนต์ธาตุ |
ทรงวิลาศไปด้วยสีประภัสสร |
แทนสมเด็จพระสรรเพชญ์ชิเนนทร |
สถาวรไว้ในห้องพระเจดีย์ |
ประดิษฐ์บนพระมหาจุฬารัตน์ |
เป็นที่แสนโสมนัสแห่งโกสีย์ |
กับสุราสุรเทพนารี |
ดั่งจะชี้ศิวโมกข์ให้เทวัญ |
ประดับด้วยราชวัติฉัตรแก้ว |
พรายแพร้วลายทรงบรรจงสรรค์ |
ระบายห้อยพลอยนิลสุวรรณพรรณ |
เจ็ดชั้นเรียวรัดสันทัดงาม |
ดั่งฉัตรเศวตพรหเมศร์ครรไลหงส์ |
เมื่อกั้นทรงพุทธาภิเษกสนาม |
ยิ่งดวงจันทร์พันแสงสมัยยาม |
อร่ามทองแกมแก้วอลงกรณ์ |
ครั้นถ้วนถึงวันครบอุโบสถ |
กำหนดพร้อมด้วยสุราสุรางค์สมร |
บูชาเครื่องเสาวรสสุคนธร |
ข้าวตอกแก้วแกมซ้อนสุมามาลย์ |
บ้างเริงรื่นชื่นชมประนมหัตถ์ |
กระทำทักษิณาวัฏบรรณสถาน |
ประนอมจบเคารพไตรทวาร |
แล้วลีลาศยังสถานพิมานจันทน์ ฯ |
๏ มีพระยาไม้ปาริกชาติ |
ประจำเชิงเมรุมาศมไหศวรรย์ |
สูงร้อยโยชน์ยิ่งไม้ในหิมวันต์ |
ทรงสุคันธ์ทิพรสขจายจร |
กลิ่นบุปผาฟุ้งฟ้าไปร้อยโยชน์ |
อบเอารสสาโรชเกสร |
ทั่วสถานพิมานเทวนิกร |
เบิกบัญชรพิศงามเมื่อยามบาน |
เพื่อองค์วาสวรินทร์เทวราช |
ประเวศน์อาสน์ร่มไม้มณฑลสถาน |
ประยูรหมู่สุรเทพเยาวมาลย์ |
สำราญรมย์ชมช่อมณีผกา |
บัณฑุกัมพลอาสน์ศิลาทิพ |
กำหนดสิบห้าโยชน์โดยหนา |
กว้างสองหมื่นโยชน์เจษฎา |
เป็นมหาบัลลังก์แก้วอำไพ |
ยาวหกหมื่นโยชน์แดงก่ำ |
ดังน้ำปัทมราชอันสุกใส |
เจริญสวัสดิโสมนัสแก่หัสนัยน์ |
ชุ่มฤทัยไปด้วยรสสุมาลี ฯ |
๏ อันภายนอกพระนครทั้งสี่ทิศ |
ย่อมโสภิตสระสวนเกษมศรี |
แต่นามนันทวันโบกขรณี |
เป็นพื้นที่สนานสนุกแห่งเทวัญ |
ระเบียบสระทั้งสี่วารีทิพ |
เหมือนจะหยิบเสาวรสให้ทรงสรรค์ |
มีโกสุมปทุมซ้อนสลับกัน |
ทั้งชั้นสัตวาจงกลบาน |
กว้างยาวร้อยโยชน์จตุรัส |
ให้โสมนัสในท่าสินธุสนาน |
แม้นจิตถวิลว่าจะลงไปสรงธาร |
ก็บันดาลพุ่งฟุ้งมายังองค์ |
มีขนานนาวาเป็นคู่คู่ |
ลอยชูกิ่งแก้วอันระหง |
พระที่นั่งบุษบกบัลลังก์ทรง |
อลงกตด้วยโฉมสุรางค์นาง |
งามระหงทรงพู่มรกต |
ช้อยชดช่อห้อยกระหนกหาง |
ทรงซึ่งมุขสี่ด้านพิมานปรางค์ |
ไว้หว่างท่วงทีละอย่างกัน |
หนึ่งเรือชัยฉากพายทองท่อง |
นางประจำลำร้องเพลงสวรรค์ |
หวนสำเนียงครวญเสียงโอดพัน |
เกษมสันต์ด้วยเทวนิกร ฯ |
๏ ในอุทยานนันทวันที่ประพาส |
รุกขชาติร่มรื่นเกษมสลอน |
มณฑาไม้ทิพรสขจายจร |
แก้วซ้อนเกดแซมผกากาญจน์ |
รกฟ้ารังฟุ้งหวนหอม |
ประยงค์เปรียงพะยอมกลิ่นหอมหวาน |
เสาวรสส่งรสสุมามาลย์ |
ลมพานเลื่อนพวงลงร่วงราย |
อุทยานมีมิ่งไม้สูงระหง |
จันทน์แดงเดื่อดงขล้อขลาย |
กุหลาบกาหลงแลยางทราย |
กุ่มงอกแกมหงายสลับกัน |
พุดจีบพวงจาบพิมเสนสน |
จำปาจวงปนนมสวรรค์ |
แคฝอยเค็ดฝิ่นโมกมัน |
กลำพอกลำพันคนทา |
ควรพิศจิตรลดาวันสถาน |
มะลิพันเลื้อยพานพฤกษา |
ช้องนางช้างน้าวมะลิลา |
มะลุลีลอยฟ้าดอกสะพรั่งไพร |
ยมโดยแย้มดอกออกสลอน |
อัญชันอ่อนช้อยยอดไสว |
สายหยุดส่งเสาวรสไกล |
กล้วยไม้เกลื่อนหมู่เถาวัลย์ |
อันปารุสกวันซึ่งทรงผล |
ปรางปนปริงปานดังรังสรรค์ |
พวงหว้าพลับหวานม่วงมัน |
เกดจันทน์กำจัดไฟเฟือง |
แลยอลำไยเรียงขนัด |
ขวิดสละขว้าวสลัดใบเหลือง |
สวายสอไสวสีเรื่อเรือง |
ชิดเนื่องชั้นเนินกัทลี ฯ |
๏ ปิ่นบูรินทรราชอดิศร |
ขจรเกียรติเกริ่นฟ้าทุกราศี |
กับสามองค์อัคเรศเทวี |
มีพระนามเนืองนับสุธรรมา |
สุจิตราสุนันทาวิไลลักษณ์ |
เจริญพักตร์ในเทวนาถา |
สุรางค์นาฏซึ่งเป็นบาทบริจา |
ดั่งดาราในหมื่นจักรวาล |
พระลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ |
เกษมสวัสดิ์ด้วยบำรุงบำเรอสถาน |
พลางพิศโฉมวธุรสยุพาพาล |
ซึ่งโดยเสด็จมาสำราญพิมานทอง |
คำนึงถึงสุชาดายุพาพักตร์ |
เคยร่วมรักฤๅมาร้างดังหมางหมอง |
นิจจาเอ๋ยเหมือนพี่เมินสะเทิ้นครอง |
ไฉนน้องเจ้ามาได้อาดูร |
จึงส่องดวงเนตรทิพลงหยิบเหตุ |
เห็นประเวศอยู่ในภพอสูร |
จะสำราญยังพิมานไพฑูรย์ |
ฤๅจะพูนสวัสดิ์ในวิไชยันต์ |
โอ้ปางนี้ควรพี่จะพาสมร |
เดินอัมพรมาพิมานแมนสวรรค์ |
จะไว้ยศปรากฏให้พร้อมกัน |
เป็นจอมจรรโลงเทพนารี |
ครั้นเสร็จถวิลปิ่นภพอัมเรศร์ |
ไม่สั่งองค์อัคเรศมเหสี |
พระทรงวชิราวุธแล้วจรลี |
ยังมหาธานีอสุราฯ |
บัดองค์สารถีผู้ชาญฤทธิ์ |
กำหนดคิดดำเนินเทวนาถา |
ก็แจ้งในฤทัยทิพอัชฌา |
จึงแต่งรัถาตามเสด็จจร |
มหาเวชยันต์ราชรถ |
อลงกตด้วยแก้วประภัสสร |
หกหมื่นเส้นสุดท้ายธงเงื้อมงอน |
เทวบุตรอัสดรกำหนดพัน |
นิรมิตเป็นสินธพชัก |
จักรดุมเลื่อนเหียนดั่งกังหัน |
งามดั่งดวงเทพสุริยัน |
เมื่อพุ่งแสงสัตพันไปอัสดง |
บัลลังก์แก้วแลคันเศวตฉัตร |
กำหนดยาวโยชน์ทัดงามระหง |
เครื่องสูงจูงจิตให้พิศทรง |
ก็ขับลงยังพิภพพอสุรี ฯ |
๏ ฝ่ายองค์เนวาสิกาสูร |
สมบูรณ์ด้วยสมบัติดังโกสีย์ |
ตั้งพิมานสถานราชธานี |
ในระหว่างตรีกูฏใต้พระเมรุธร |
ประดับด้วยเสนางค์สุรางค์นาฏ |
ท้าวมีราชธิดาดวงสมร |
ไม่ประสงค์ที่จะทรงสยุมพร |
ก็อาวรณ์ที่จะครองพระวงศ์ไป |
ให้ประชุมมารหมู่อสูรภพ |
ในมณฑปไพชยนต์พินิจฉัย |
เสด็จนำพระธิดายาใจ |
ให้นั่งในอาสน์แก้วอันพรรณราย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์วาสวรินทร์ผู้ทรงจักร |
ประเวศยังกรุงยักษ์ก็สมหมาย |
จึ่งอ่านเวทบังเนตรจำแลงกาย |
ก็กลายเป็นพฤฒาอสุรี |
ยุรยาตรเข้าในอาสน์ประชุมพร้อม |
นั่งปลอมองค์อยู่ด้วยวงศ์ยักษี |
พินิจพิศโฉมราชเทวี |
พลางระวังมารที่จะราญรอน ฯ |
๏ ส่วนเนวาสิกาสูรราช |
ถนอมสวาทพระธิดาดวงสมร |
อ้าแม่มีพักตร์อันสุนทร |
จงผ่อนจิตคิดคำของบิดา |
อสูรใดที่จะครองประคองสม |
เป็นคู่ชมชูชื่นเสน่หา |
จงสวมพวงทองทิพมาลา |
ที่หัตถาให้ประจักษ์อสุรี ฯ |
๏ บัดองค์สุชาดาวิไลลักษณ์ |
เฟี้ยมพักตร์คิดคำท้าวยักษี |
ความอายฤๅจะวายแก่สตรี |
มิรู้ที่จะประกอบให้ชอบการ |
จำจิตเกรงฤทธิ์พระปิตุราช |
เยื้องวิลาสจากอาสน์พิมานสถาน |
ชม้ายชายนัยนายุพาพาล |
ที่ประชุมมารหมู่พลากร |
เห็นโฉมเทพสุราพฤฒาสูร |
ให้พูนสวัสดิ์โสมนัสฤทัยสมร |
สลัดพวงเสาวรสสุคนธร |
ไปสวมกรอสุราชหัสนัยน์ |
โฉมสุรางค์อสุรีอันมีศักดิ์ |
เหล่ายักษ์ที่ประชุมก็สงสัย |
องค์ธิดามิได้คิดอาลัยใจ |
เสน่ห์ในอสุราทิพาพงศ์ |
กระสันแสนเสน่หาพฤฒายักษ์ |
ไปรักกาพาสูญประยูรหงส์ |
ก็ซร้องเสียงพร้อมทูลพระบิตุรงค์ |
ให้เชิญองค์นางคืนพิมานจันทน์ ฯ |
๏ ปิ่นบุรินทรทรราชอันเรืองฤทธิ์ |
ประกาศิตในสองชั้นสวรรค์ |
แสดงกายให้ประจักษ์แก่กุมภัณฑ์ |
ผันพักตร์เข้าประคองพนิดา |
อุ้มนางทางเทวสิงหนาท |
ร้องประกาศเหวยมารยักษา |
กูเรืองฤทธิ์อิศเรศในเทวา |
ผ่านมหาสุทัสนธานี |
หวังว่าจะพาดวงสวาท |
นิราศจากอสูรภพแห่งยักษี |
แล้วผาดแผลงแกว่งจักรด้วยฤทธี |
จรลีขึ้นยังทิฆัมพร ฯ |
เนวาสิกาสูรฤทธิรงค์ |
เห็นองค์วัชรินทร์พาสมร |
ในท่ามกลางแสนยาพลากร |
ให้อาวรณ์ร้อนเร่าซึ่งอัประมาณ |
ดั่งไฟฟ้าผ่าดวงมาโนช |
อสูรโกรธคือเพลิงเถกิงผลาญ |
แล้วเผ่นโผนเหาะไล่ไปรอนราญ |
กำลังหาญจะให้ทันซึ่งไพรี |
เหลียวสั่งหมู่มารอันชาญฤทธิ์ |
เร่งประชิดติดตามท้าวโกสีย์ |
ไม่ต่อรับจับเป็นไปธานี |
แม้นตอบตีโยธีจึงเอาตาย |
เสนารับรสพจนารถ |
ประกาศหมู่อสูรทั้งหลาย |
เห็นได้ทีไพรีแต่เดียวกาย |
ก็รีบหมายไล่ชิงซึ่งกัลยา ฯ |
๏ พระจอมมิ่งมงกุฎทิพเทเวศ |
หัตถ์ซ้ายอุ้มอัคเรศเสน่หา |
กรขวาทรงจักรอันศักดา |
เหาะมาพบรถวิไชยันต์ |
สมประสงค์ดั่งองค์สุเรนทร์คิด |
เทวฤทธิ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ประคองโฉมสุชาดาวิลาวัณย์ |
จรจรัลขึ้นราชรถชัย |
วางองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ |
พระกล่าวอรรถโอภาปราศรัย |
เจ้าดวงสมรแม่อย่าอาวรณ์ใจ |
อันภัยมารมิได้ระคายกาย |
สุชาดาน้อมองค์ลงทูลสนอง |
ไม่ปองจิตคิดจงจำนงหมาย |
คืนไปกรุงอสุรีให้มีลาย |
จะสู้วายชีพใต้บทมาลย์ ฯ |
๏ พอเหลือบเห็นอสุราเข้ามาชิด |
ประกาศิตซึ่งเทวบรรหาร |
ให้รีบเร่งรถแก้วสุรกานต์ |
ผยองผ่านสิมพลีสกุณา |
สารถีให้ทีสินธพชัก |
จักรกงกำก้องพระเวหา |
สนั่นเสียงเท้าเทวอาชา |
เริงร่าลำพองด้วยฤทธี |
ส่วนสุบรรณโปดกปักษิน |
ได้ยินกงรถแห่งโกสีย์ |
ก้องสะเทือนเลื่อนลั่นถึงสิมพลี |
ดั่งอสุนีผ่าพื้นพิมานทอง |
ต่างตระหนกตกใจไม่มีขวัญ |
สร้อยเศียรชูชันเสียวสยอง |
กระหยับหางกางปีกกระพือลอง |
ก็บรรสานเสียงร้องขึ้นทุกตน |
พระตรัสถามสารถีที่ขับรถ |
สำเนียงใดปรากฏในกลางหน |
น้อมภิวาททูลบาทยุคล |
ว่ามาใกล้ไพชยนต์สิมพลี |
ลูกสุบรรณตกใจวิไชยันต์ |
กงสนั่นลั่นก้องถึงปักษี |
ประหวั่นพรั่นเสียงรถและพาชี |
สกุณีจึ่งร้องด้วยกลัวภัย ฯ |
๏ ฝ่ายองค์วัชรินทร์เทวราช |
ได้เสาวนารถมาตุลีก็หม่นไหม้ |
ให้อาวรณ์เร่าร้อนในฤทัย |
จะรีบไยไปให้พ้นอสุรา |
เหมือนไม่มีอาลัยแก่ปักษิน |
แม้นม้วยด้วยไพรินยักษา |
ไม่สูญเสียทางธรรม์อันศักดา |
จะตั้งเมตตาไว้ให้ถาวร |
จึงสั่งให้กลับราชรถทรง |
ดุรงค์รู้บรรหารด้วยชาญสมร |
ประทับไว้ในวิถีทิฆัมพร |
เฉลิมงอนต่อพาลไพรี ฯ |
๏ ฝ่ายเนวาสิกาสุรราช |
ผาดเห็นธงรถทรงท้าวโกสีย์ |
สะบัดโบกหน้ามายังโยธี |
หมายว่าหนีฤๅจะพ้นซึ่งมือมาร |
แล้วประหวั่นพรั่นในฤทัยคิด |
ด้วยบุญฤทธิ์อัมราศักดาหาญ |
ดั่งเทวัญพันหมื่นจักรวาล |
มาตั้งราญรอนทัพอสุรา |
ให้สลดระทดระทวยองค์ |
เหมือนจะท่าวทบลงในเวหา |
ไม่อาจรอต่อเทวศักดา |
เลิกแสนยากรกลับไปธานี ฯ |
วัชรินทรราชฤทธิรงค์ |
เห็นองค์เนวาสิกาสูรยักษี |
แสยงเดชอิศเรศไม่ต่อตี |
ยกโยธีหนีกลับไปเมืองมาร |
สั่งให้เดินโยธาวิชัยรถ |
บทจรคืนไพชยนต์สถาน |
สารถีรับเทวโองการ |
ก็ขับผ่านสิมพลีพิมานไป ฯ |
๏ ดำเนินโดยอากาศวิถี |
ตามราศีจักรวาลหว่างไศล |
พระชี้ชวนสุชาดายาใจ |
ให้ชมน้ำในสีทันดร |
แปดหมื่นสี่พันโยชน์ลึกกว้าง |
อยู่หว่างมหาสิงขร |
กำหนดเขาสัตภัณฑ์ชโลธร |
ชะง่อนสูงกว้างลึกละกึ่งกัน |
ใสสะอาดมาตรแม้นมยุรหงส์ |
จะวางแววหางลงไม่หวนหัน |
จนกระทั่งทรายแก้วอันแพรวพรรณ |
เจ็ดชั้นล้อมรอบพระเมรุทอง |
ฝูงพระยาวาสุกรีลงสรงเล่น |
โลดเต้นฝ่าหลังชลาล่อง |
ฉวัดเฉวียนเวียนพ่นบังหวนฟอง |
ละอองน้ำดังสายสุหร่ายริน |
จึ่งเบือนพักตร์ไปพิศสาคเรศ |
นอกเขตเขาอัสกรรณกระแสสินธุ์ |
ดั่งคงคาในท่ามุจลินท์ |
สิ่งมลทินมิได้ปนระคนพาน |
ขนองคลื่นสูงแต่พื้นสมุทร |
หกสิบโยชน์โดยสุดประมาณสถาน |
ชมมหามัจฉาเจ็ดประการ |
บ้างว่ายแหวกแถกธารในวังวน |
เหล่ามหิรมิงศโรหา |
มินคลาไล่คู่อยู่สับสน |
ติมิงคล์ชิงติมิงเชยชล |
อานนท์ลอยเศียรหางขึ้นขวางกาย |
ยาวพันโยชน์เยิ่นดั่งเนินผา |
กลอกตาดูดวงพระสุริย์ฉาย |
ไม่ย้ายเยื้องเพลงพลิกกระดิกกาย |
ก็ถอยหลังยังสายชโลธร ฯ |
๏ พลางชวนชมอัสกรรณวิเชียรรัตน์ |
ดั่งวงฉัตรประเทศสิงขร |
วารีพุพุ่งฟุ้งลงสาคร |
หมู่ทวยเทพนิกรมาเชยชม |
วินันตกงามกลมประสมศรี |
ด้วยไพรทีแก้วลายระบายถม |
มีวุ้งเวิ้งแท่นทองที่ต้องลม |
เตือนอารมณ์ให้เกษมในไสยา |
เนมินท์พิศทรงเหมืองกงรถ |
จอมบรรพตเลิศล้วนมณีผา |
กระลอกรุ่งพุ่งพรายถึงเมฆา |
เล่ห์วลาหกทิพอันพรอยพรำ |
โน่นสุทัสน์ควรทัสนาสถาน |
แก้วประพาฬย่อมแท่งดูแดงขำ |
ชะง่อนเงื้อมง้ำแหว่งดั่งแกล้งทำ |
มีคูหาท่าน้ำทุกแนวเนิน |
นั่นเชิงชั้นการวิกบรรพต |
ง้ำกำหนดชั้นการเวกเหิน |
เป็นหุบเหวตรวยตรงลงโตรกเตริน |
สว่างเพลินไปด้วยแก้วสุรกานต์ ฯ |
๏ สิขรินอิสินธรรัตน์ |
แจ่มจำรัสไขสีมุกดาหาร |
เมื่อน้อมยอดรองบาทพิชิตมาร |
ประสานเคียงคู่ขุนยุคุนธร |
คิรีนี้ล้วนแก้วมณีโชติ |
จึงแผลงแสงรุ่งโรจน์ประภัสสร |
สูงเสมอปรางค์จันทร์ทินกร |
เดินอัมพรไปทั้งสองเทวัญ |
ธตรฐเนาในบูรพทิศ |
ไพจิตรไปด้วยทิพรังสรรค์ |
บริวารล้วนเทพคนธรรพ์ |
งามมไหศวรรยาและธานี |
เวสสุวรรณอันทรงมเหศร |
สถิตที่อุดรราศี |
แสนเกษมสมบัติสวัสดี |
เป็นจรรโลงโมลีอสุรา |
นั่นองค์วิรุฬปักษ์เทเวศ |
อยู่ประเทศปราจิมทิศา |
เป็นปิ่นมงกุฎแห่งนาคา |
ทรงศักดาฤทธิราญรอน |
วิรุฬหกเป็นใหญ่ในกุมภัณฑ์ |
พิมานเมศเจ็ดชั้นประภัสสร |
ประจำทิศทักษิณยุคุนธร |
ดำรงทิพนครละกลกัน ฯ |
๏ พลางชมชวนยวนเย้าเสน่หา |
หวังให้ดวงวนิดาเกษมสันต์ |
แล้วรีบเร่งรถาวิไลวรรณ |
ก็บรรลุยังสุทัสนธานี |
ประทับรถเข้าเคียงกับเกยมาศ |
จึ่งจูงกรเยาวราชมเหสี |
โดยเสด็จวรบาทจรลี |
เข้าสู่ที่แท่นแก้วอลงกรณ์ ฯ |
๏ ลดองค์ลงแนบกนิษฐา |
พระจึ่งกล่าววาจาประโลมสมร |
เจ้าพวงทิพเสาวรสสุคนธร |
แต่เรียมจรจากน้องก็นมนาน |
สุดแสนอาดูรพูนเทวษ |
เพราะทุเรศแรมรสฤดีสมาน |
เมื่อสามองค์นงลักษณ์ยุพาพาล |
ได้สำราญในพิมานวิไชยันต์ |
ไม่เห็นดวงพักตร์มิ่งสมรมิตร |
ปิ้มชีวิตพี่จะม้วยด้วยโศกศัลย์ |
แต่เคร่าครองปองโฉมวิไลวรรณ |
เพิ่งได้ขวัญเนตรมายังธานี |
เชิญร่วมสุขเศวตฉัตรสมบัติทิพ |
อันลอยลิบเลิศจักรราศี |
เป็นจอมจรรโลงเทพนารี |
มิให้สายสวาทพี่อนาทร ฯ |
๏ บัดองค์อัปสรสมรนาฏ |
บังคมทูลเทวราชมเหศร |
คุณพระล้ำดินฟ้าแลสาคร |
ซึ่งอาวรณ์ด้วยทรงพระเมตตา |
หากว่าน้องมิได้แจ้งในใจทิพ |
ซึ่งเลือกหยิบเอาแต่ข้อเสน่หา |
จะเชื่อขานคำหวานพระพรรณนา |
แต่ชาวฟ้าท่านที่เคยภักดี |
แม้นรักจริงฤๅจะทิ้งให้ทนเทวษ |
ไปเนาในนัคเรศแห่งยักษี |
นี่จงชมสมบัติในธานี |
จึ่งลีลาศไปประพาสถึงเมืองมาร |
พอสบคล้องก็ได้น้องมารองบาท |
ดั่งโศกแสนพิศวาสพระบรรหาร |
ยังไม่ควรรับเทวโองการ |
อันประทานที่ปิ่นสนมใน ฯ |
๏ เจ้าดวงสมรอดิศรอัคเรศ |
แม่ขวัญเนตรผู้ยอดพิสมัย |
อย่านึกแหนงแคลงคำให้ช้ำใจ |
ว่าเรียมไม่อาลัยพนิดา |
เมื่อเริ่มพรากจากไปเป็นปักษิน |
อยู่ระหว่างวารินที่เนินผา |
ประพฤติเพศโดยพรรณสกุณา |
แสวงหามัสยาในสาชล |
พี่เอารักหักยศสุราฤทธิ์ |
ไปตามติดแจ้งความที่แหนงฉงน |
แล้วอุ้มนาฏปักษามาไพชยนต์ |
ให้ชมสระโกมลลดาวัลย์ |
แต่หากน้องข้องขัดไม่อยู่ได้ |
ก็วอนให้พาคืนวนาสัณฑ์ |
เพราะเวรหลังกำจัดจึ่งพลัดกัน |
จะผูกพันเคียดแค้นด้วยข้อใด |
แสนเสน่หาน้องถึงเพียงนี้ |
คิดดูเถิดว่าจะดีหรือหาไม่ |
พลางสัมผัสให้ปรากฏซึ่งรสใจ |
แล้วคว้าไขว่ในเชิงภิรมยา ฯ |
๏ สุชาดาป้องปัดสลัดกร |
คมค้อนผลักทิพหัตถา |
เลื่อนองค์ลงจากอาสน์ที่นิทรา |
ชายตาต่อตาสุเรนทร |
นิลเนตรต่อนิลเนตรนาฏ |
ดั่งพรหมาสตร์แผลงซ้ำกระหน่ำศร |
ไปทอแทงแสงรัชนีกร |
สะท้อนถึงท้องถ้ำสุรกานต์ |
เลี่ยงพักตร์เบี่ยงบงกชรัตน์ |
วัชรินทรพร้องสนองสาร |
เจ้างามงอนยุพเรศสุมามาลย์ |
จะรอนราญรสรักพี่กลใด |
นิจจาเอ๋ยกระไรเลยไม่คิดบ้าง |
ให้เจ็บจากพรากร้างไปถึงไหน |
จะเมินม้วนหวนเหินสะเทิ้นใจ |
เคืองพี่ไยใช่ที่พนิดา |
มาเถิดมามิ่งสมรมิตร |
จะครองไมตรีจิตกนิษฐา |
เฉวียนกรอุ้มแก้วกัลยา |
มายังแท่นรัตนอันรูจี ฯ |
๏ โฉมอนงค์องค์เทพอัปสร |
ประจงกรเปลื้องกรท้าวโกสีย์ |
ให้ปรากฏยศเทวสตรี |
แสร้งวาทีแยบเยื้องรำพัน |
พระเป็นใหญ่ในสองชั้นฟ้า |
ซึ่งพามาให้ครองมไหศวรรย์ |
ดั่งดอกไม้รังพื้นพนาวัน |
ฤๅจะทันมณฑาที่เคยทรง ฯ |
๏ เจริญศรีสวัสดีดวงสมร |
งอนคำน้ำเพชรสุหร่ายสรง |
อย่าหมองข้องเคืองระคายองค์ |
ที่จงรักฤๅมาชักให้ช้าที |
พลางจุมพิตพักตร์อัคเรศ |
เสพสมรมเยศเกษมศรี |
กระแหม่วแนวนวลทิพนาภี |
ดวงฤดีดัดฤดีประลองคะนอง |
กรลอดสอดเลี้ยวเกี้ยวกระหวัด |
สะพัดแอบแนบชิดสนิทสอง |
ดั่งแท่งแก้วอันทำเป็นลำยอง |
สะดุ้งหลังแท่นทองที่ไพชยนต์ |
วลาหกเทวบุตรเมื่อคิมหันต์ |
ก็อัดอั้นดั่งจะปรายซึ่งสายฝน |
พายุพัดกลัดเมฆที่มัวมน |
มิให้หล่นลั่นฟ้าลงมาดิน |
นันทโบกขรณีสี่สถาน |
บันดาลแล้งแห้งทางระหว่างสินธุ์ |
ส่วนพระยาคชเรศเทวินทร์ |
กระหายวารีดิ้นพิมานทอง |
หนึ่งดอกดวงพวงพุ่มผกามาศ |
ครั้นอากาศมืดคลุ้มชอุ่มหมอง |
ก็คลี่คลายขจายกลีบเรณูรอง |
ละอองสร้อยเสาวรสรำเพยพาน |
แล้วเชยดวงพวงทิพสังวาส |
ปรามาสมณฑาทองสองสมาน |
ค่อยชื่นเริงเชิงเล่ห์ระเริงลาน |
เป็นสุขสุดสำราญในเทวัญ |
พระลืมชมอุทยานสนานสินธุ์ |
โฉมยุพินลืมสิ่งเกษมสันต์ |
สุเรนทร์ลืมออกมุขวิไชยันต์ |
นางลืมพงศ์กุมภัณฑ์แลธานี ฯ |
๏ ครั้นเว้นว่างทางเทวสัมผัส |
นางแย้มวัจนาทูลท้าวโกสีย์ |
น้องไกลองค์ปิตุเรศอสุรี |
ด้วยภักดีโดยบาทบดินทร |
แม้นพระจากไพชยนต์วิมลมาศ |
ขอลีลาศโดยเสด็จอดิศร |
จำเริญสวัสดิ์โสมนัสถาวร |
ด้วยพรปิ่นเทวราชบัญชา ฯ |
เจ้างามล้ำอัปสรสมรมิตร |
สมดั่งคิดเรียมแสนเสน่หา |
จงประสิทธิ์ดั่งจิตเจตนา |
กนิษฐาอย่าร้อนอาวรณ์ใจ |
แล้วปลุกปลื้มอารมณ์ให้ชมซ้ำ |
พระรื้อร่ำเรืองรสพิสมัย |
สองสมานสำราญทิพฤทัย |
อยู่ในปรางค์แก้วเจ็ดประการ ฯ |
๏ ฝ่ายเนวาสิกาสูรราช |
ลีลาศถึงนครบวรสถาน
|
สถิตยังบัลลังก์รัตน์ชัชวาล |
ให้ดาลเดือดฤทัยแก่ไพรี |
แค้นอายดังจะวายชีวิตม้วย |
ด้วยโกมินทร์หมิ่นศักดิ์ยักษี |
กำจัดพรากจากเทวธานี |
แล้วมิหนำซ้ำพาธิดาไป |
เจ้าดวงเนตรของบิตุเรศเอ๋ย |
จะชื่นเชยชมชิดพิสมัย |
อสุรินสุริยวงศ์พระองค์ใด |
ไม่เห็นใครที่จะสืบศฤงคาร |
สงวนไว้จะบำรุงเป็นสูงภพ |
เจ้างามลบโฉมโลกทุกสถาน |
แม่เจริญสวัสดิ์อยู่ในรัตนพิมาน |
พ่อสำราญฤทัยไม่เว้นวาย |
อสูรเอ๋ยอัปยศในครั้งนี้ |
ไม่รู้ที่จะล้างครหาหาย |
ถึงจะคืนบุตรีก็มีลาย |
จะเอาอายนั้นไปแฝงที่แห่งไร ฯ |
๏ ครั้นระงับดับอาดูรสวาท |
ลีลาศออกพิมานพินิจฉัย |
เถลิงบัลลังก์อาสน์อำไพ |
ในภายใต้ฉัตรแก้วสุรกานต์ |
หมู่เสนางค์ต่างเฝ้าประจำองค์ |
ทรงดำริด้วยราชบรรหาร |
พอแคฝอยคลี่สร้อยสุมามาลย์ |
เบ่งบานเสาวรสรำเพยขจร |
คิดคำนึงถึงปาริกชาติ |
เคยประพาสเชยทิพเกสร |
จำจะทำสงครามวัชรินทร |
คืนสุทัศน์พระนครสวรรยา ฯ |
๏ จึ่งสั่งสามอสุรีที่ชาญฤทธิ์ |
จิตราสูรอุปราชเป็นทัพหน้า |
ทัพสองกาลสุทอสุรา |
เอาเสนากาลสูรเป็นตรีทัพ |
จะขึ้นไปรณรงค์ด้วยโกสีย์ |
เหวยอสูรหัตถีเครื่องประดับ |
โยธาเราคณานับ |
มาคอยรับเสด็จหน้าพระลานชัย ฯ |
๏ พอล่วงราชบัญชาประกาศิต |
ก็แจ้งจิตไปด้วยทิพนิสัย |
ตลอดจนอสุรภพทั้งใกล้ไกล |
มาพร้อมในที่ประชุมพลากร ฯ |
๏ ฝ่ายองค์จอมอสุเรศอันเรืองยศ |
อลงกตทิพยรัตน์ประภัสสร |
ทรงวิเชียรเสโลแล้วบทจร |
มาขึ้นยานกุญชรอันนฤมิต ฯ |
๏ มหิสูรแปลงกายเป็นหัตถี |
มีสีดังเงินยวงท้าวสถิต |
สูงร้อยห้าสิบโยชน์กำลังฤทธิ์ |
เหมือนจะปิดสุริยาลงมาดิน |
เครื่องประดับสรรพทั่วสารพางค์ |
แต่ละอย่างช้างทรงองค์โกสินทร์ |
หมายประจญเอราวัณอินทร์ |
จะเพิกพังปฐพินพระเมรุทอง |
ส่ายหน้าร่างากระหึมมัน |
กระชันหูชูงวงเยื้องย่อง |
ดุเดือดเงือดเงื้อจะแทงลอง |
คะนองเสียงเพียงสังข์พิชัยยุทธ์ |
พวกพลโยธากว่าแสน |
เนืองแน่นโกลาอุตลุด |
พลมารห้าวหาญชาญยุทธ์ |
มาหยุดยั้งเชิงเมรุคีรี ฯ |
๏ สั่งให้เข้าหักด่านตาล |
จับนาคพลทหารของโกสีย์ |
ครั้นได้ฟังสารสั่งอสุรี |
แผลงฤทธีหมายจับซึ่งภุชงค์ ฯ |
๏ คณานาคพันโกฏิอันรักษา |
เชิงมหาศิขเรศก็พิศวง |
เห็นอสูรสงครามรณรงค์ |
ไม่องอาจที่จะรอต่อมือมาร |
ดังกุญชรกาสรมฤคเพศ |
แสยงฤทธิ์สิงหเรศประหารผลาญ |
ภุชงค์หนีไพรีไม่ต่อพาล |
ไปชั้นบาดาลปฐพี ฯ |
๏ จอมภพสุรพงศ์ผู้ทรงสวัสดิ์ |
ให้รีบรุดโดยเมรุวิถี |
ถึงสุบรรณอันประดับด้วยโยธี |
ยกเข้าตีปักษินไพชยนต์ ฯ |
๏ ส่วนพระยาทิชาชาติก็หวาดจิต |
เห็นฤทธิ์อสุรีตะลึงฉงน |
เล็งด้วยทิพย์สิบทั่วไม่สิ้นพล |
ดังสายฝนซ่านไปในจักรวาล |
หมู่สุบรรณพันโกฏิในสิมพลี |
ทฤษฎีแล้วทุเรศจากสถาน |
ก็เหาะหนีอสุรีไม่รอนราญ |
ไปพิมานชั้นประชุมซึ่งกุมกัณฑ์ ฯ |
๏ ปิ่นมกุฎอสุรีสวัสดิราช |
หมายคืนกรุงเมรุมาศมไหศวรรย์ |
ครั้นมีชัยในราชสุบรรณ |
ให้ยกตีชั้นสามไม่คร้ามคิด ฯ |
๏ ทัพพระยากุมภัณฑ์อันรักษา |
ชั้นมหาบรรพตอันไพจิตร |
เห็นสงครามลามล่วงกระชั้นชิด |
กำลังฤทธิ์เพียงเพชรปาณี |
ครั้นจะสู้ดูหนึ่งไม่มีสัตย์ |
ดำรัสแล้วพาพวกโยธีหนี |
ก็แตกร่นย่นฤทธิ์อสุรี |
ถึงชั้นสี่ที่ประชุมไพชยนต์ยักษ์ ฯ |
๏ องค์อสูรอันสมบูรณ์อิสริยยศ |
ก็ปรากฏอดิศรขจรศักดิ์ |
ดังได้สมบัติในจตุรพักตร์ |
ให้เร่งยกหักด่านบุรินทร |
ส่วนสาตาคิรีผู้เป็นใหญ่ |
นภาลัยมณฑลสิงขร |
ทั้งเสนามาตยาพลากร |
ก็ราญรอนฤๅไพรี |
เห็นสามชั้นมิได้กั้นประจามิตร |
ให้ติดตามมาสงครามถึงยักษี |
ไม่สามารถตั้งมั่นประจัญตี |
พาโยธีหนีไปกุนทริน ฯ |
๏ ฝ่ายองค์เนวาสิกาสูร |
ยิ่งเพิ่มพูนสุรฤทธิ์ดังจิตถวิล |
ให้ทัพหน้าเร่งเร้าพลพฤนท์ |
เหาะข้ามสินธุไปยังขุนยุคนธร ฯ |
๏ ฝ่ายจาตุมหาราชิการาช |
ทรงซึ่งทิพอาสน์มเหศร |
เป็นอิสระอยู่ในสันดร |
ขจรยศปรากฏทั้งจักรวาล |
ครั้นแจ้งว่าสุราอสุรภพ |
จะรบชั้นเทวัญวิมานสถาน |
ดำรัสเรียกดุรงค์บวรยาน |
หมู่เทเวศบริวารในธานี ฯ |
๏ เหล่าสุราภพพลมาตย์ |
ได้ฟังราชบัญชาทุกราศี |
มาชุมพร้อมกันที่จอมโยธี |
โดยวิถีเทวราชบทจร ฯ |
๏ ตระบัดท้าวฟังศรีผู้มีสวัสดิ์ |
ประจงโจงทิพรัตน์ประภัสสร |
ดูเปล่งปลาบอาบศรีฉวีวร |
แล้วทรงขรรค์กรายกรขึ้นม้ามา ฯ |
๏ สินธพเทเวศนฤมิต |
เป็นสีทองชวลิตทั่วมังสา |
สูงระหงทรงทิพโอภา |
รจนาเครื่องประดับสำหรับยศ |
เหาะรอบขอบจักรวาลไม่ทันช้า |
สี่เท้าเร็วยิ่งกว่าลมกรด |
ให้คลายคลี่โยธีเป็นหลั่นลด |
บทจรไปต่อด้วยไพรี ฯ |
๏ เหลือบเห็นพลอสุราเสนาทัพ |
ให้หวาดหวั่นพรั่นกลับอาชาหนี |
พาซึ่งเทพเจ้าและโยธี |
ก็จรลีไปสุทัสนนคร ฯ |
๏ เข้าทูลองค์วาสวรินทร์เทวราช |
ตามแต่บาทยุคลอดิศร |
อสุรีกรีทัพแสนยากร |
มารุกรอนชั้นยอดยุคลธรินทร์ |
หมู่สงครามลามล่วงกำเริบนัก |
พระปิ่นปักหลักโลกจงทรงถวิล |
จะหมิ่นยศเทวาชั่วฟ้าดิน |
องค์ศักรินทร์ได้เมตตา |