ภาคถอดความเป็นภาษาไทยกลาง

พระยาคันคาก

ปณามคาถา

ข้าพเจ้า ขอนมัสการพระพุทธเจ้า (พระธรรมและพระสงฆ์ อันเป็นมิ่งมงคลสูงสุด) ขอผลบุญจงช่วยปกปักรักษาให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนเป็นหมื่น ๆ ปี ขอเอาเกศาพร้อมทั้งศีรษะถวายบูชาแทบเบื้องบาทของพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ผู้มีพระญาณอันประเสริฐ ๓ ประการ (ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ตั้งมโนจิตบูชาพระองค์นั้น) ขออย่าให้มีโรคาพยาธิอันร้ายกาจ แลอันตรายใด ๆ มาเบียดเบียนข้าพเจ้าได้

ข้าพเจ้าขอเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จดั่งที่ได้ปรารถนาไว้ ขอให้มีความสุขเหมือนดังพระอินทร์ผู้ทรงเสวยทิพย์สุขอยู่ในสรวงสวรรค์

เมืองอินตามหานคร

ข้าฯ จักเล่าเรื่องราวแต่อดีตอันไกลโพ้น ปางเมื่อพระโพธิสัตว์ยังเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารแต่ครั้งปฐมกัปโน้น ยังมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งอยู่ในทวีปชมพู ชื่อว่าเมืองอินตา มีอาณาเขตกว้างใหญ่มาก มีพระราชาปกครองบ้านเมือง มีบัลลังก์แก้วเป็นที่ประทับยามออกว่าราชการ พระองค์ทรงเป็นพระยาเอกราชแต่เพียงผู้เดียวในชมพูทวีปนี้ จะหาพระราชาพระองค์ใดมาเปรียบกับพระองค์ไม่มีเลย ที่วังหลวงมีคูน้ำล้อมรอบตัวเมือง กำแพงเมืองนั้นก่อด้วยหินศิลาแลงทั้งสิ้น ภายในกำแพงมีหอคอยขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ประตูเมืองทั้งแปดทิศ ที่ยอดช่อฟ้ามองเห็นทองคำเปล่งประกายเหลืองอร่าม มีปราสาทใหญ่อันเป็นที่ตั้งของท้องพระโรง บนยอดปราสาททำด้วยทองคำ ภายในปราสาทหลังนั้น มีพระแท่นทองคำนับเป็นร้อย มีทั้งพระเทวีแก้วซึ่งยังสาว และสวยประดุจนางฟ้า มีนางนักสนมซึ่งเป็นสาวน้อยคอยเฝ้าบำเรอถึงสี่พัน มีทั้งเสนาอำมาตย์หลายเหล่าหลายกองคอยเฝ้าแหน ทั้งช้างม้าก็มีมากมายยิ่งนัก

พระราชาพระองค์นั้นทรงดำรงพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นพระราชาที่ทรงศีลห้าอยู่เป็นนิจ ด้วยพระบุญญาบารมีของพระองค์ ทำให้ทุกประเทศใหญ่น้อยยอมสยบและขอเป็นเมืองขึ้น พากันนำเอาทรัพย์สินเงินทองมาถวายเป็นราชบรรณาการ มีแต่ความสุขเกษมสำราญถ่ายเดียวด้วยเมืองขึ้นพากันมาส่วยทองมิได้ขาด

ฝูงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต่างก็มีความสุขไปกับพระองค์ด้วย ถึงเหล่าเสนาอำมาตย์ผู้ปฏิบัติราชกิจต่างพระเนตรพระกรรณ ต่างก็ได้รับความสุขกันทั่วหน้าด้วยบุญญาธิการของพระองค์คุ้มครอง

พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา

บัดนี้ จะกล่าวถึงพระโพธิสัตว์เจ้า พระองค์สถิตอยู่ในวิมานบนสรวงสวรรค์ มีเหล่านางฟ้าซึ่งล้วนแต่มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ประมาณสามหมื่นนางเฝ้าบำเรอ เมื่อพระองค์เจริญพระชนมายุได้พันปี พระองค์ก็จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดกับพระนางเอกราช เพื่อชดใช้เวรกรรมแต่ชาติปางหลัง

พระนางเอกราชฝันเห็นดวงจันทร์

พอเมื่อพระโพธิสัตว์ลอยเข้าสู่ปากพระมารดาเท่านั้น พระนางก็ฝันเห็นพระจันทร์กำลังเปล่งแสงเจิดจ้าในยามเที่ยงคืน และแล้วพระจันทร์นั้นก็ลอยละลิ่วลงมาตกลงบนห้องของพระนาง นางรีบยื่นมือคว้าเอามาอุ้มไว้ พระนางดีใจมากที่ได้ดวงจันทร์เพ็ญ พระนางชื่นชมและจูบมันแต่แล้วไม่นานนักพระนางก็กลืนกินมันลงท้อง พอถึงท้องเท่านั้น มันก็เปล่งแสงเรืองรองไม่ขาดสาย ทั้งเนื้อทั้งตัวของนางจึงรุ่งเรืองประดุจดังแก้ว ทันใดนั้นดาวที่อยู่บนท้องฟ้าก็พากันลอยละลิ่วลงมายังปรางค์ปราสาทของนางเต็มไปหมด มันพากันทอแสงระยิบระยับ ต่อมาชั่วครู่หนึ่งตัวนางก็กลับเหาะลอยขึ้นสู่อากาศ ลอยสูงขึ้น ๆ ไปจนถึงฟ้าอันเป็นที่ตั้งเขาพระสุเมรุ ซึ่งมียอดสูงที่สุด

ในฝันนั้น นางได้เตะถีบจนเขาพระสุเมรุนั้นพังทลายลงแล้วกลับกลายเป็นดอกไม้ให้พระนางได้ประดับทัดทรง ชั่วครู่หนึ่งนางก็ทะยานลงมาถึงพระแท่นบัลลังก์ มีเหล่าเสนาอำมาตย์ทั่วสารทิศมาเฝ้าแหน เมื่อพระนางฝันเสร็จก็ใกล้รุ่งสางแล้ว พระนางสะดุ้งตื่น แล้วทรงรำพึงถึงความฝัน พระนางรู้สึกประหลาดใจในเรื่องราวที่ตนได้ฝันไปจึงรีบลุกไปเข้าเฝ้าทูลถามพระสวามี เพื่อให้คลายสงสัย

พระยาเอกราชทรงใช้พระปัญญาพินิจดู ก็แจ้งประจักษ์ในพระทัย จึงตรัสกับพระนางว่า

“ไม่มีเรื่องร้ายอะไรหรอกนะจ๊ะ ตามความฝันของน้องนั้น น้องกำลังจะตั้งครรภ์ลูกชาย และลูกชายของน้องนั้นจะเป็นผู้ประเสริฐยิ่งนัก เขาเป็นผู้มีบุญบารมีมากยิ่งกว่าใคร ๆ ทั่วทั้งปฐพี ฉะนั้นเจ้าอย่าได้คิดทุกข์ร้อนใจในเรื่องอะไร ๆ เลย ขอให้เจ้าตั้งใจรักษาศีล ๕ แล้วเจ้าจะได้ลาภคือลูกชายผู้ประเสริฐนั้นเอง เราทั้งสองจะได้เสวยสุขด้วยบุญบารมีของเขา”

ครั้นพระราชาตรัสอวยพรแล้วก็ทรงนิ่งอยู่

นางเทวีจึงประนมมือขึ้นเหนือหัวพลางกล่าวว่า

“ขอให้ได้ดั่งพระดำรัสที่พระองค์ตรัสโดยชอบธรรมนั้นเถิด ขออย่าได้มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นเลย เพคะ”

หลังจากนั้นวันเวลาล่วงไปได้สิบเดือนพระครรภ์ของพระนางก็แก่เต็มที่ พระกุมารน้อยจึงประสูติออกมา

พระกุมารเหมือนคางคก

พอพระกุมารออกพ้นครรภ์พระมารดา พวกสาวสนมกำนัลก็พากันเอาผ้าสีทองรองรับเอามาห่อห่มให้ และใช้ผ้าสีทองทำเป็นอู่แก้วให้แก่พระกุมารน้อย

ในขณะนั้นพวกเขาต่างก็เห็นรูปโฉมของพระกุมารน้อยเหมือนคางคกทองคำตัวน้อย พวกเขาต่างพากันทักท้วงอยู่อื้ออึงพร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“นี่ ดูซิรูปร่างพระกุมารน้อยต่างคนทั่ว ๆ ไปนะ พระกุมารก็งามอยู่หรอก ผิวพรรณดุจทองคำ ติแต่พระองค์มีรูปร่างเหมือนคางคกน้อยนี่ซิ”

พอแต่พวกเขาพูดตำหนิรูปร่างพระกุมารเข้าเท่านั้น เมฆก็บดบังท้องฟ้ามืดครึ้มไปทั่ว มีทั้งฝนทั้งลมและเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ลมกรรโชกถูกต้นไม้โอนเอนไปทุกต้น สายฟ้าฟาดดังกึกก้องจนแผ่นดินสะเทือนสะท้านหวั่นไหวเอนเอียงไปมา ผู้คนพากันเซล้มระเนระนาด พวกโอ่งพวกไหแตกกระจาย ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยบุญของพระกุมารต้องการสยบคนทั้งหลาย ผู้คนต่างพากันอัศจรรย์ใจ และนึกกลัวจนตัวสั่นต่อเดชของพระกุมารคางคก

ฝ่ายพระเทวีผู้เป็นพระมารดาก็ทรงคลั่งแค้นในหัวอกยิ่งนัก ทรงร่ำไห้คร่ำครวญว่า

“โอ้ แม่นึกว่าแม่ได้อุ้มท้องลูกชายผู้ประเสริฐแก้วนา ทำไมเจ้าถึงมามีรูปร่างเหมือนสัตว์ต่างผู้ต่างคนเขาเสียละลูก แม่ว่าจะทะนุถนอมเลี้ยงไว้ ก็ไม่เป็นผู้เป็นคนพอจักได้พึ่งพาอาศัย ครั้นจะให้เขาเอาไปลอยแพเสียก็ยังนึกเอ็นดู”

ในขณะนั้นเอง พระกุมารคางคกน้อยก็เอ่ยปากพูดออดอ้อนได้เหมือนคนทั่วไปว่า

“ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเถิด พระมารดาบังเกิดเกล้าของลูกเอ๋ย ขอพระมารดาทรงพระเมตตาเลี้ยงดูลูกก่อนเถิด ที่ลูกเป็นเช่นนี้ก็ด้วยเวรกรรมแต่ชาติก่อนที่ลูกจำต้องชดใช้ ครั้นพระมารดาเลี้ยงลูกจนโตแล้ว พระองค์ก็จะได้เห็นเองแหละว่าลูกเป็นเช่นไร พระเจ้าข้า”

พระเทวีได้ยินคำลูกพูดก็ให้นึกสงสารและรู้สึกเอ็นดู จึงยื่นมือไปอุ้มเอามาจูบและชื่นชม ทรงพูดปลอบลูกด้วยคำไพเราะพร้อมทั้งกล่อมไกวลูกน้อยด้วยวงแขนอย่างทะนุถนอม

“แม้ว่าลูกของแม่จะมีรูปร่างเหมือนคางคกก็ตามทีเถิด แม่จักเลี้ยงเจ้าไว้ไม่ทอดทิ้งเด็ดขาด เพียงได้ยินเสียงใส ๆ ที่แสนจะไพเราะเสนาะหู แม่ก็พอใจแล้ว ลูกรักของแม่เจ้าไม่ต้องคิดเศร้าโศกอะไรทั้งสิ้นนะลูก ลูกช่างมีผิวพรรณงดงามประดุจทองคำเลยนะนี่”

จากนั้นพระยาเอกราชผู้เป็นพระบิดา จึงรับสั่งให้จัดหาคนมาคอยเฝ้ารับใช้และดูแล ทรงให้เลือกเอาสตรีที่มีนมเต่งตูมสวยงามมาเป็นแม่นม มาคอยปรนนิบัติพระนางและลูกน้อยประมาณร้อยคน เสร็จแล้วพระองค์ก็รับสั่งให้โหราจารย์เข้าเฝ้า ทรงให้หมอดูทำนายพระโอรสน้อยว่า

“ดูซิว่าพระกุมารเกิดมานี้จะดีร้ายประการใด พวกเจ้าอย่าช้า ดูแล้วให้รีบบอก”

พวกโหราจารย์ ต่างคนต่างขีดเขียนดวงชาตาของพระกุมารดูแล้ว จึงถวายคำทำนายว่า

“โชคของพระกุมารนี้ต่างจากคนทั่วไป พระเจ้าข้า แต่ทว่าพระกุมารนี้เป็นคนประเสริฐแท้มีบุญญาธิการเหนือคนทั้งหลาย ติแต่พระโฉมเป็นคางคก แต่ก็จะเป็นในช่วงเยาว์วัยเท่านั้น เบื้องหน้าจะกลายเป็นดีเอง พระเจ้าข้า พระรูปพระโฉมของพระกุมารจะปรากฏงดงามประดุจพระอินทร์ทรงเนรมิตขึ้นก็ปานกัน เมื่อเจริญวัยถึงสิบสี่เข้าก็จักรุ่งเรืองแน่ พระกุมารนี้มิใช่ผู้ต่ำต้อยด้อยวาสนาอับปัญญา แต่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้เกิดมาค้ำคูณโดยแท้ ภายใต้ท้องฟ้า บนพื้นชมพูทวีปเรานี้ พระกุมารจะครอบครองเป็นเอกราชแต่เพียงผู้เดียว ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกสิ่งใดเลย พระเจ้าข้า เราทั้งหลายรอคอยพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระกุมารนั้นเถิด”

พระเจ้าเอกราชได้ฟังคำทำนายของพวกหมอ ก็ทรงชื่นชม ตรัสสรรเสริญว่า “ดี ดี” จากนั้น ทรงพระราชทานเงินสี่ร้อยเพื่อเป็นการสมนาคุณแก่พวกโหราจารย์ซึ่งเป็นหมอที่เคยทายได้แม่นยำ พวกหมอโหรรับพระราชทานรางวัลแล้ว ก็กราบถวายบังคมลาลงมา

พระโอรสคางคกอยากได้ปราสาทเสาเดียว

ต่อมาเมื่อพระกุมารมีอายุได้ ๑๓ ปี ก็แตกเนื้อหนุ่ม ก็คิดอยากได้เมียมาแนบข้าง จึงทูลพระบิดาว่า

“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ขอพระกรุณาโปรดเมตตาลูกด้วยเถิด บัดนี้ลูกอยากได้ปราสาทเสาเดียว กับทั้งนางสนมมาแนบข้าง พระพุทธเจ้าข้า”

พระบิดาจึงตรัสกับลูกตนว่า

“รูปร่างของเจ้ายังแตกต่างจากผู้คนอยู่นะลูก การที่จะให้พ่อไปขอลูกสาวเขามาให้เจ้าจะมีประโยชน์อะไร เจ้าจะได้แต่นอนเฝ้าเขาเท่านั้นเอง รูปร่างของเจ้ายังเป็นคางคกอยู่เลย อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยลูกเอ๋ย ดูไม่เข้าท่า”

ท้าวคางคกยังเฝ้าทูลวิงวอนพระบิดาด้วยใบหน้าที่ตรอมตรมว่า

“ขอพระบิดาได้โปรดเมตตาลูกด้วยเถิด ถ้าจะมองที่รูปร่างของลูกก็เป็นจริงดังที่พระองค์ตรัส แต่มันก็ไม่เกินไปกว่าบุญของลูก แล้วพระบิดาจักได้เห็น เมื่อใดวัสสันตฤดูมาถึง ฝนโปรยปรายรดแผ่นดิน ห้วยหนองคลองบึงน้ำเจิ่งนองจนล้นฝั่ง เมื่อนั้นลูกจักจัดสร้างขุนเขาอันเป็นที่พึ่งพิง (ของสัตว์โลก) หากว่าบุญบารมีของลูกยังแก่กล้าแล้วไซร้ บุญนั้นจะมาสำแดงเดชให้ได้เห็นกัน พระเจ้าข้า”

พระบิดาได้ฟังก็ตรัสปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า

“เจ้านี้ ยังเด็กเล็กนัก แต่กลับมีปัญญาเกินธรรมดาจริงหนอ เอาเถอะ วันใดที่เจ้ามีรูปร่างสะอาดงดงาม วันนั้นพ่อจักมอบบ้านเมืองให้แก่เจ้า”

ท้าวคางคกผู้น่าสงสาร ก็ทูลลาพระบิดาลงมา เขาเดินตรงไปยังเตียงทองคำอันเป็นแท่นบรรทม แล้วก็นอนอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย รัตติกาลผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน เมื่อผู้คนพากันพักหลับนอนจนหมดแล้ว ท้าวคางคกก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า

“ขอพระอินทาธิราช ทรงโปรดหม่อมฉันด้วยเถิด ขอพระองค์ทอดพระเนตรลงมาดูโลก จงเห็นหม่อมฉันผู้ซึ่งอยู่เดียวดาย อนึ่งบุญบารมีหม่อมฉันได้ก่อสร้างมาหลายภพชาติ ขอพระพันตาได้ทรงเล็งเห็น และช่วยให้หม่อมฉันได้สมความปรารถนาด้วยเถิด”

พระอินทร์ประทานปราสาทเสาเดียว

ครั้นเขาอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ทำใจให้นิ่งสงบอยู่ หินบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ก็กลับแข็งกระด้างขึ้น พระอินทาธิราชผู้ประเสริฐก็ทอดพระเนตรตรวจดูโลก ก็ทรงพบท้าวคางคกอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว พระองค์จึงรีบเสด็จลงมา ทรงเนรมิตวิมานทองคำซึ่งตั้งอยู่บนเสาแก้วอันสูงมากเพียงเสาเดียว ด้านกว้างขนาดพันวา มียอดช่อฟ้าสูงได้หมื่นวา ที่ยอดวิมานประดับด้วยแก้วเจ็ดประการมีแก้วไพฑูรย์ เป็นต้น ที่วิมานนั้นมีรูปภาพและลวดลายประดับประดาไว้อย่างหลากหลาย ดอกบัวงามบานสะพรั่งเดียรดาษ ฝูงหมู่กินรีกินนรพากันยืนฟ้อนกรีดกรายอยู่ที่ช่องหน้าต่าง พวกมันปักปิ่นสวมเทริดและสังวาลงามระยับ ที่วิมานนั้นยังมีหมู่ต้นกาลพฤกษ์เรียงเป็นทิวแถว มีผ้าทิพย์แขวนห้อยย้อยระย้า ข้างบนวิมานก็กั้นเพดานด้วยลวดลายต่าง ๆ สำรับกับข้าวของกินของใช้มีไว้พร้อมทุกชนิด พื้นวิมานปูด้วยแผ่นแล้วมหานิล ข้างในมีพระแท่นทองนับเป็นร้อย ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหอสรงสำหรับสระเกศ น้ำดอกเทศมีอยู่เต็มอ่างทองคำ

ครั้นพระอินทร์เนรมิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็รีบไปอุ้มเอาท้าวคางคกมาไว้ในปราสาท ทรงวางเขาไว้บนหมอนเหนือแท่นบรรทม ท้าวคางคกหลับสนิทไม่รู้สึกตัวเลย จากนั้นพระองค์ก็ไปนำเอานางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปมาให้เป็นคู่เคียงเรียงหมอนของท้าวคางคก ทรงวางนางไว้ข้าง ๆ ท้าวคางคก แล้วก็เสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์โดยเร็วพลัน

ฝ่ายโฉมงามจากอุตตรกุรุทวีปก็ปลุกท้าวคางคกให้ตื่นขึ้น ท้าวคางคกลุกขึ้นนั่งแล้วเหลียวไปรอบ ๆ ก็พบสาวงามมานั่งอยู่ข้าง ๆ ตัว กับได้เห็นปราสาทหลังใหญ่ที่งดงามและกว้างขวางเป็นพัน ๆ วา เขาก็นึกเฉลียวใจรู้ว่าเกิดจากแรงบุญที่ตนได้อธิษฐานไว้แน่ จึงเอ่ยถามหญิงงามนั้นทุกอย่างที่ตนสงสัยว่า

“ที่นี่เมืองสวรรค์หรือเมืองคนกันจ๊ะน้อง พี่นี้รู้สึกแปลกใจจริง ๆ แล้วตัวน้องละจ๊ะเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันจ๊ะ ปราสาทที่กว้างใหญ่หลังนี้งดงามประดุจเมืองสวรรค์ ถึงตัวน้องเองก็สวยดั่งนางฟ้า นี่มันอะไรกันจ๊ะ”

โฉมงามจากอุตตรกุรุทวีป จึงเล่าเรื่องราวให้เขารู้ทุกอย่างว่า

“ที่นี่เป็นบ้านเมืองของเสด็จพี่นั่นแหละ เป็นเมืองหลวงของเสด็จพ่อของพระองค์ พระอินทร์ท่านทรงมาเนรมิตให้แก่เสด็จพี่โดยเฉพาะ ตัวน้องนี่อยู่ที่อุตตรกุรุทวีปโน้น พระอินทร์ท่านไปนำมามอบให้เสด็จพี่เพคะ น้องนี้เคยเป็นเมียพี่มาหลายชาติแล้ว ชาตินี้บุญก็กลับมาส่งให้เป็นเมียพี่ถึงที่นอนอีกครั้งหนึ่ง”

ท้าวคางคกจึงรับคำนางว่า

“พี่ยินดีเหลือเกินและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้น้องนางผู้ประเสริฐมาเป็นคู่ครอง”

จากนั้นเขาจึงถอดคราบคางคกออกไว้ซึ่งคราบนั้นก็ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่เลย แล้วเดินตรงไปยังอ่างนำทิพย์ที่พระอินทร์เนรมิตไว้ให้ เขาลงไปอาบน้ำทิพย์นั้นแล้ว ก็กลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ อาบเสร็จก็เดินมายังแท่นบัลลังก์หยิบเอาเสื้อผ้าอันเป็นทิพย์มาสวมใส่ แล้วประดับแหวน เทริดและสังวาลทิพย์ นางงามจากอุตตรกุรุทวีปจึงเอาดวงดอกไม้อันมีกลิ่นหอมถวาย เขาจึงหยิบเอามาแซมผม จันและคู้ส่งกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจ

ทั้งสองมีรูปร่างงดงามดุจเดียวกัน เหมือนพระอินทร์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยเหล่านางฟ้า

จากนั้นพระกุมารคางคกจึงอุ้มนางทิพย์ขึ้นมาจูบและเชยชม ทั้งสองต่างชื่นชมเสน่หานอนซ้อนกลั้วกลิ่น ผัดกันดมผัดกันจูบด้วยความรักซึ่งกันและกัน พระกุมารคางคกได้สมความปรารถนาแล้วจึงพร่ำว่า

“พระอินทร์ท่านมีบุญคุณแก่เราเหลือเกินที่ท่านได้ลงมาโปรดเรา จากนี้ไปขอให้เราทั้งคู่อยู่ครองรัก อย่าได้นิราศร้างห่างกันให้มีอายุยืนเป็นหมื่น ๆ ปีเถิด”

ทั้งสองต่างพร่ำพลอดออดอ้อนออเซาะซึ่งกันและกัน ทั้งสองร่างกอดกันแนบสนิทด้วยความสิเน่หา ประดุจดังเส้นไหมสีทองสองเกลียวที่เขาฝั้นเข้าเป็นเส้นเดียว หรือไม่ก็เหมือนกุญแจที่เขาล็อคไว้จนแน่นสนิท ทั้งสองนอนกอดกันกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความลุ่มหลงในรสรักจนรู้สึกระโหยโรยแรง แต่ทั้งสองต่างก็มีความสุขที่ได้รับกลิ่นกายของกันและกัน ได้ประเล้าประโลมได้นอนซ้อนกายได้จูบลูบไล้ ต่างมีความสุขสุดจะรำพันด้วยดวงจิตที่ดื่มดํ่าในดำกฤษณา ต่างรักต่างลุ่มหลงกันและกันจนอยากจะให้ร่างทั้งสองหลอมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว แม้นจะกอดรัดทับซ้อนไขว้ขาไขว้แขนกันอย่างไรก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม ต่างแสดงบทรักซ้ำแล้วซํ้าอีก ดังว่าความรักมันคับอกจนแทบจะแตก แม้นจะแสดงความรักออกมาอย่างไรก็ไม่หมด ทั้งสองต่างแสดงบทรักอยู่บนแท่นบรรทมจนแทบใจจะขาด ความรักที่ทั้งสองมีให้กันนั้น มากจนอยากกลืนกินกันและกัน แต่ก็ใช่สิ่งที่กลืนกินได้ ทั้งสองต่างหยิบยื่นรสรักให้แก่กันเป็นร้อย ๆ รอบ พระกุมารคางคกใช้มือนวดน้าวนมน้อยที่เนียนมือ จนกระทั่งใกล้รุ่งแจ้ง เสียงไก่ตบปีกขันไม่ทันไรก็สว่าง ทั้งสองจึงลุกอาบน้ำสรงสนาน เสร็จแล้วจึงมานั่งคู่กันอยู่บนพระแท่น ของทิพย์ก็พลันปรากฏขึ้นเต็มภาชนะ ทั้งสองไม่ต้องทำอะไร ได้แต่พากันกินอย่างมืความสุข กินอาหารเสร็จแล้วก็พากันเคี้ยวหมากซึ่งอยู่ในพานข้าง ๆ กาย แล้วต่างก็ชื่นชมต่อกัน

พระยาเอกราชและชาวเมืองขึ้นชมปราสาททิพย์

รุ่งเช้าขึ้นชาวเมืองพากันมองเห็นปราสาทหลังใหญ่ มันตั้งอยู่กลางพระราชวัง มีแสงสะท้อนจากทองคำวาววับ พวกเขาพากันทักทั้งเมืองเสียงดังอื้ออึง บางพวกรีบวิ่งมาดู ชาวเมืองหลั่งไหลมาดูเนืองแน่น ต่างออกปากชมเป็นเสียงเดียวกันว่า

“ปราสาทหลังนี้งามเหลือเกิน คงเป็นวิไชยยนต์ปราสาทที่พระอินทร์ท่านเนรมิตขึ้นเป็นแน่ หลังใหญ่มองจนสุดสายตาทีเดียว จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ขจรขจายไปทั่วโลก ควรที่เราทั้งหลายจะอัศจรรย์ใจและให้ความยำเกรงยิ่งนัก”

ฝ่ายพระยาเอกราช ก็เสด็จออกทอดพระเนตรที่มุขปราสาท เมื่อทรงเห็นเต็มพระเนตรถึงกับลืมองค์ไปชั่วขณะ เพราะได้เห็นความสวยงามและทองคำที่ห้อยย้อยเปล่งประกายแวววาว ทรงรำพึงในพระทัยว่า “นี่คงเป็นวิไชยยนต์ปราสาทแก้วของโอรสคางคกเป็นแน่”

คิดแล้วพระองค์ก็รีบเสด็จขึ้นไปดูบนปราสาท ถึงพระเทวีผู้เป็นพระมารดา ก็ดี เหล่าสาวสนมกำนัลนางรับใช้ก็ดี พร้อมทั้งเหล่าเสนาอำมาตย์กำลังพลแสนโกฏิ ต่างก็มีความชื่นชมยินดี ขึ้นไปบนปราสาทพร้อม ๆ กัน พระยาเอกราชเสด็จขึ้นไปบนปราสาท ถึงประตูแล้วแล้วก็ทรงมองเห็นบัลลังก์ทอง ตั้งเรียงรายกันเป็นร้อย ๆ ประดับด้วยลวดลายต่าง ๆ ปราสาทนั้นกว้างเป็นพัน ๆ วา มองดูสุดสายตา พระองค์รู้สึกครั่นคร้ามเมื่อมองเห็นแก้วมหานิลที่ประดับปราสาทนั้นใสและส่องสะท้อน ประดุจวังน้ำที่กว้างใหญ่ทั้งลึกและใส พระองค์เพ่งพินิจจนแน่พระทัยว่าไม่ใช่วังน้ำ แต่เป็นเงาสะท้อนของแก้วมหานิล จึงแข็งพระทัยยกพระบาทก้าวไปทั้ง ๆ ที่ยังทรงหวั่นกลัว พระเทวีผู้เป็นพระมารดาพร้อมทั้งสาวสนมกำนัลมองเห็นแก้วมหานิลนั้นแล้ว ถึงกับกลัวจนตัวสั่น ตลอดถึงเหล่าเสนาอำมาตย์ช้าราชบริพารทั้งหลาย ต่างก็ตามเสด็จไปด้วยความหวาดกลัว

เมื่อเข้าไปในตัวปราสาท พระยาเอกราชก็พบทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์แก้ว ทั้งสองมีรูปร่างงดงามเสมอกัน ความงามของทั้งสองคนนั้นเปรียบประดุจรูปวาด หาใครจะมาเปรียบเทียบมิได้เลย ปานดังเทพยดามาเนรมิตไว้คู่กัน อนึ่งประดุจดังว่าเกิดจากฟ้าแล้วเสด็จลงมา ทุกคนต่างมองดูความงามจนตาไม่กระพริบ พระยาเอกราชเสด็จขึ้นเหนือพระแท่นบัลลังก์ ทั้งสองหนุ่มสาวต่างพากันลุกมาถวายบังคมพระบิดา พระบิดาจึงตรัสถามทั้งสองว่า

“เจ้าเป็นโอรสของเราใช่หรือไม่”

พระกุมารคางคกประนมหัตถ์รับคำเสด็จพ่อ

“หม่อมฉันเป็นลูกของเสด็จพ่อผู้ทรงบุญญาธิการพระเจ้าข้า และนี่เป็นวิมานแก้วที่พระอินทร์ทรงประทานให้ พระองค์เสด็จมาเนรมิตให้เมื่อคืนนี้ทุกอย่างเลย พระเจ้าข้า แม้นางงามแก้วผู้นั่งเคียงกายลูกนี้ พระองค์ก็ไปเอามาจากอุตตรกุรุทวีปโน้น แล้วทรงประทานให้แก่ลูก เมื่อก่อนนี้ลูกมีรูปโฉมเหมือนคางคก แต่บัดนี้ลูกได้ถอดคราบนั้นออกแล้วจึงปรากฏรูปโฉมดังที่พระองค์ได้เห็นนี่แหละ พระเจ้าข้า”

พระยาเอกราชทรงสวมกอดพระโอรส และทรงชื่นชมยินดี ทรงอุ้มและจูบลูกพลางตรัสว่า

“เวลานี้ ลูกของพ่องดงามเหลือเกิน”

ฝ่ายพระเทวีผู้เป็นพระมารดา อุ้มลูกสะใภ้ขึ้นมาจูบชม พลางตรัสว่า

“บัดนี้นับว่าเป็นบุญของลูกแล้ว ที่ได้นางงามผู้ประเสริฐมาเป็นคู่ครองแนบข้าง แม้นล่วงไปร้อยปีพันปี ขอไมตรีอย่าได้โรยรานะลูกนะ ขอให้เจ้าอายุยืนแสนปีอยู่เคียงข้างลูกชายของแม่”

พระเทวีก็ตรัสประโลมนางทิพย์ พลางอุ้มเอาลูกชายมาแนบอก ตรัสว่า

“คราบคางคกของเจ้าอยู่ไหนล่ะลูก เอามาให้แม่ดูทีเถิด”

พระโอรสก็หยิบเอาคราบคางคกสีทองมาให้พระมารดาจับดู มันสะท้อนแสงวาบ ๆ เหมือนกลีบดอกบัวทองคำ พระเทวีก็คลี่ดึงออกดูเหมือนเสื้อดี ๆ นี้เอง นางจึงหวงเอาไว้เป็นของสงวน ตรัสว่า

“นี่เป็นของแปลกประหลาดและคํ้าคูณจริง ๆ”

จากนั้น พระกุมารคางคกจึงหยิบเอาผ้าทิพย์ที่พระอินทร์ประทานไว้ เอามาให้แก่นางสนมกำนัลเพื่อใช้แต่งตัว ทั้งพระบิดาพระมารดา ทรงให้คนขนเอาของทิพย์ไปเก็บไว้จนล้นท้องพระคลัง ด้วยความเบิกบานพระทัย พระโอรสคางคกทรงประทานของทิพย์ให้แก่เสนาอำมาตย์ไพร่ฟ้าประชาชนทุกหมู่เหล่า เขาได้แล้วก็พากันถวายบังคมลา แม้เหล่าทหารกล้านับแสนนับล้าน ต่างก็ได้ประดับของทิพย์กันทั่วหน้า พวกคนทุกข์ยากไร้ก็พากันเอาของมาหาบไปจนเต็มหาบ พวกเขาต่างอิ่มเอมในความสุขยิ่งนัก ทั้งนี้ก็เพราะบุญญาธิการของพระกุมารปกแผ่คุ้มครอง พระกุมารประทานข้าวของอันเป็นทิพย์ให้เป็นทานอันประเสริฐแต่ข้าวของอันเป็นทิพย์นั้น ก็หาได้หมดสิ้นไปไม่ มันยังคงเหลือล้นอยู่ตลอดเวลา

ในเวลานั้นเหล่าขุนนางและประชาชนพลเมืองต่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์ พวกเขาพากันเลิกเข็นหลาปั่นฝ้าย ถึงพวกสาวน้อย ๆ ต่างก็สบายมือ[๑] (ไม่ต้องเข็นหลาปั่นฝ้ายอีกต่อไป)

กล่าวถึงฝ่ายนางทิพย์จากอุตตรกุรุทวีปตักเอาข้าวจากหม้อไปให้ท่านพวกเสนาอำมาตย์ทั้งไพร่พลเมือง ต่างพากันกินจนอิ่มท้อง ถึงพวกคนขอทาน คนตกทุกข์ได้ยากอดอยากมากันมากมาย นางก็เอาไปประทานให้ แม้นว่าพวกเขาจะรับเอาไปเป็นหาบ ๆ ก็ดี ข้าวทิพย์นั้นก็ยังคงเต็มปากหม้ออยู่ตลอดเวลา มิได้พร่องไปเลย

ในเวลานั้นไพร่ฟ้าประชาชนก็พากันวางงานไร่งานนาเสียไม่มีใครไถไร่ไถนาปลูกข้าวกล้าอีก ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เป็นทิพย์แต่งตัวแล้วก็พากันเล่นรำทำเพลงอยู่อย่างสบายใจ

พระยาเอกราชเวนราชสมบัติให้แก่ราชาคางคก

ต่อมาไม่นานนัก พระยาเอกราชก็รับสั่งให้ประชุมเสนาอำมาตย์ทุกคนแล้วตรัสว่า

บัดนี้ เราจักมอบบ้านเมืองให้แก่ราชกุมารคางคก วันพุธเช้า ได้ฤกษ์งาม ยามดี ให้ไพร่ฟ้าประชาชนมาพร้อมกันทุกคน เราจักทำพิธีมูรธาภิเษกให้แก่พระกุมาร”

เสนาอำมาตย์ไพร่ฟ้าประชาชนรับพระบัญชา เตรียมตัวมาร่วมพิธีทุกผู้คน

พอรุ่งขึ้นเช้าได้ฤกษ์มหาไชยซึ่งเป็นฤกษ์ใหญ่ ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลมารวมตัวกัน พากันยกพลับพลาไชย ดาดเพดาน กั้นสัปทน เหล่ารี้พลทหารกล้ามาช่วยกันเสียงดังอื้ออึง พากันปลูกหอสรง ปราสาท และทำทางมองดูขวักไขว่ เมื่อเสร็จทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็ขึ้นอัญเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จสู่พลับพลาพิธี ทั้งพระกุมารและนางทิพย์ก็เสด็จเข้าสู่หอสรง เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมในพิธีดังระเบ็งเซ็งแซ่

เมื่อทั้งสองกษัตริย์เสด็จเข้าสู่หอสรงทั้งเคียงคู่กันเรียบร้อยแล้ว พระอินทาธิราชก็หลั่งน้ำทิพย์สรง ทรงยกคนทีซึ่งมีกลิ่นหอม ประพรมลงบนตัวของคนทั้งสอง แล้วประทานพรให้มีอายุยืนยาว เสร็จแล้วก็เสด็จกลับสู่อากาศ ต่อจากนั้นพระบิดาและพระมารดา เสนาอำมาตย์ไพร่ฟ้าประชาชน ก็เข้าสรงตามลำดับ เสร็จแล้วทั้งสองก็เสด็จออกมาขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์ เสียงดนตรีประโคมขับกล่อมดังกระหึ่ม เสียงขลุ่ยถูกเป่าเป็นเพลงบรรเลงก้อง เสียงซอถูกสีดังอ้อยอิ่ง เสียงพิณพาทย์แคนไค้ดังประสานเสียง เสียงปี่แถถูกเป่าบอกเวลาดังก้อง เสียงฆ้องกังวานไกล เสียงดนตรีบรรเลงกล่อมระบำรำฟ้อนทุกหนแห่งดังประสานกันไพเราะจับใจทั้งสอง กษัตริย์หนุ่มสาวต่างสำราญพระทัยยิ่งนัก ประทับอยู่บนปรางค์ปราสาทแสนจะเป็นสุขเสมือนได้อยู่ในวิมานแมนแดนสวรรค์

พระยาเอกราชได้ทรงมอบบ้านเมืองพร้อมทั้งเสนาอำมาตย์ และรี้พลนับแสนโกฏิ ทั้งช้างศึกนับหมื่นให้แก่พระโอรสคางคก มอบความเป็นใหญ่ให้แต่เพียงผู้เดียว

“ขอลูกจงเป็นราชาเป็นหลักชัยของบ้านเมืองเถิด”

พระยาเอกราชตรัสพลางรับสั่งให้เลือกเอาหมู่หญิงงาม ซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นจำนวน ๔ พันนางมาถวายให้แก่ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่

“ลูกจงชื่นชมเสน่หาด้วยเหล่าหญิงงามนี้ทุกคนเถิด”

จากนั้นพระองค์จึงหาพระนามอันเป็นสิริมงคลมาขนานให้แก่พระโอรสว่า “พระมหาราชาคางคก”

บุญญาธิการของราชาคางคก

ต่อแต่นั้น บรรดาสัตว์ต่าง ๆ มีพระยานาค พระยาครุฑ เป็นต้น ต่างก็ออกจากน้ำมาถวายบังคมอยู่เบื้องบาท พร้อมทั้งนำเอาเงินทองทองแก้วของมีค่าทุกสิ่งอย่างมาถวายแก่ราชาคางคก ถึงพวกนกชนิดต่าง ๆ มีนกกก นกแขก เป็นต้น ก็พากันคาบเอารวงข้าวมาถวาย ขนใส่จนเต็มหมื่นยุ้งพันฉาง แม้สัตว์อื่น ๆ เช่น ผึ้ง ต่อ แตน เหลือง เป็นต้น ก็พากันเอารวงรังมาถวาย หมู่เสือโคร่ง เสือเหลือง ก็พากันคาบเอาเก้งกวางมาถวาย หมู่หมี หมู่เหมือย[๒] และหมู่เม่น พวกอกด่าง[๓] ต่างพากันคาบเอาไม้มาน้อมถวาย ฝูงหมู่กบเขียด และหมู่อึ่งอ่างกลางดง เขาก็พากันมาส่งเสียงร้องถวายตัวเป็นบริวาร แม้พวกช้างพลาย ช้างพัง ช้างเผือกฉัททันต์ ก็ดี เขาก็พากันมาแวดล้อมราชาคางคก ช้างนั้นมีจำนวนมากมายประมาณได้แปดหมื่นสี่พันตัว มีเทวดาขี่นำมาถวายตัว แม้พวกม้ารูปร่างงามสีขาวเผือกก็พากันวิ่งทะยานมาเฝ้า จำนวนแปดหมื่นหนึ่งพัน มีเทวดาขี่นำมาถวายตัว พวกแร่เงินแร่ทองผุดขึ้นมาเป็นลำ ๆ ลอยมาเวียนแวดล้อมเป็นกำแพงอยู่สะพรั่ง แม้นว่ากงจักรแก้วกลมใหญ่ประดุจกงเกวียน เทวดาก็นำมาถวายแก่ราชาคางคก

ต่อมาราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ ก็ขึ้นสู่กงจักรแล้วเหาะทะยานขึ้นสู่อากาศ บินเวียนอ้อมดูทั่วเขตชมพูทวีปโดยใช้เวลาไม่นานเลย รวดเร็วดังสายลม เพียงชั่วครู่ก็เสด็จกลับขึ้นสู่ปราสาท ทรงลงจากกงจักรแล้ว ก็เก็บจักรแก้วไว้ในที่สูง กงจักรส่องแสงวาววับประดุจดวงตะวันเมื่อยามเช้า

ราชาคางคกไม่มีความทุกข์ยากด้วยเรื่องเงินทองของใช้ ทุกสิ่งเทวดานำมาถวายให้ทั้งสิ้น มีแต่สนุกอยู่กับการให้ทานแก่ไพร่ฟ้าประชาชน ประชาชนก็มั่งมีเหลือล้น ทุกผู้คนต่างแซ่ซ้องสาธุการถวายพระพรชัยอยู่มิได้ขาดปาก เพราะพวกเขาต่างก็มีความสุขปานดังเทวดา

“นี่คงเป็นด้วยพวกเรามีบุญอยู่บ้างนะ จึงได้เกิดมาร่วมชาติกับพระองค์ทั้งสอง”พวกเขากล่าว

ทั้งพระชนกและพระชนนี ต่างก็ทรงพระเกษมสำราญและศรัทธาในพระบุญญาธิการของพระโอรส แม้พระราชาเจ้าประเทศราชทั้งหลายนับร้อย ๆ ต่างก็แซ่ซ้องถวายพระพรชัยที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ทั้งหมู่เสนาอำมาตย์ราชมนตรี ข้าราชบริพารน้อยใหญ่นับแสน ต่างมาคอยเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีมิได้ขาด พระราชาคางคกไม่ทรงมีความวิตกกังวลอะไรเกี่ยวกับศึกสงคราม ทรงอยู่อย่างสบายพระทัยดังอยู่ในเมืองสวรรค์ ผู้คนในยุคของพระองค์อายุยืนได้แสนปีเป็นกำหนด ทุกคนต่างมีอายุยืนยงอยู่พร้อมหน้าลูกเมีย ขึ้นชื่อว่า ความตายนั้นไม่มีใครได้ข่าวเลย มีแต่การประดับตกแต่งร่างกายแล้วพากันเที่ยวเล่นอย่างสนุกของพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ

บ้านเมืองเกิดแห้งแล้งถึง ๗ ปี

นับแต่ราชาคางคกขึ้นครองราชย์ เวลาล่วงไปแล้วได้ร้อยปี ในเวลานั้นอุบาทว์เดือดร้อนซึ่งเกิดจากกรรมเวรแต่ชาติปางก่อน ได้มาสนองแก่ราชาคางคก ด้วยว่าได้บังเกิดความแล้งเป็นเวลาถึงเจ็ดปีติดต่อกัน ฝนไม่เคยตกรดพื้นดินเลย จนแผ่นดินแห้งกลายเป็นฝุ่นผงปลิวคละคลุ้งไปทั่ว พวกแม่น้ำใหญ่ ๆ ลดลงจนเกือบแห้ง ส่วนแม่น้ำน้อย ๆ แห้งขอดเลยทีเดียว เกิดความร้อนไปทั่วทุกหัวระแหงจนกลายเป็นกลุ่มควันลอยขึ้นไปในอากาศ เหมือนดั่งว่าไฟกำลังไหม้แม่น้ำและร้อนแผ่นดิน พวกเสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันขึ้นเฝ้ากราบทูลให้ราชาคางคกทรงทราบว่า

“พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ฝนไม่เคยตกรดแผ่นดินนานแล้ว พริกพลูพืชพันธุ์ธัญญาหารจึงเหี่ยวตายจนหมดสิ้น จะทำอย่างไรฝนจึงจะตกรดแผ่นดินบ้าง คงไม่เกินกว่าพระวินิจฉัยของพระองค์กระมัง แต่พวกข้าพระบาทพากันมากราบทูลพระองค์ก็ด้วยสุดคิดสุดปัญญาแล้ว พระเจ้าข้า”

ราชาคางคกได้ฟังก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงที่ห้าวหาญ โดยไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไรว่า

“ท่านทั้งหลาย ฝนนี่แหละคือรากเมือง หากฝนไม่ตกบ้านเมืองก็พินาศแน่ แก่นเมืองนั้นได้แก่อาวุธ คือ หลาว แหลมและหอกง้าว จะได้ใช้ปกป้องบ้านเมืองยามศึกสงคราม หูเมืองนั้น ได้แก่เทพารักษ์ ยามจะเกิดเหตุเดือดร้อน เขาจะรู้ก่อนเรา ตาเมืองนั้นได้แก่หมอโหรผู้ทำนายได้แม่นยำ เขาจะเหมือนเป็นผู้กำบังเมืองไว้ ฝาเมืองนั้น ได้แก่ชาวชนบททั้งหลาย พวกเขาจะเป็นด่านแรกที่ช่วยปกป้องบ้านเมือง เขื่อนเมืองนั้นได้แก่แก้ว ๓ ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ใจเมืองนั้น ได้แก่ พระราชธิดา นางนั้นจะมีลูกเต้าเป็นเชื้อสืบสายต่อไป พยับแดดนั้น ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระองค์จะเป็นผู้ทรงบัญชาการเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง นี้เป็นขนบจารีตประเพณีแต่โบราณที่โบราณบัณฑิตท่านสั่งสอนไว้ ท่านทั้งหลายจงพากันจดจำเอาไว้อย่าลืม”

ครั้นราชาคางคก ตรัสบอกขนบธรรมเนียมแต่โบราณแล้ว เสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็พากันจดจำไว้

พระราชาตรัสต่อไปว่า

“บัดนี้ฝนแล้งได้เจ็ดปีเต็มแล้ว เราจักไปถามพระยานาคในน้ำดูก่อน ด้วยว่าพระยานาคนั้นทรงวิทยาอาคม และมีฤทธิยิ่งนัก เขาอยากจะทำอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อิกอย่างพวกเขาก็ได้เอาแก้วแหวนเงินทองของมีค่ามากมายมาถวายแก่เรา เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี เพราะฉะนั้น เราจะไปเที่ยวถามดูถึงเหตุที่ฝนแล้ง”

ครั้นตรัสเสร็จก็เสด็จไปโดยด่วน ทรงขึ้นกงจักรเหาะลิ่วออกไป กงจักรลอยผ่านน้ำดำดิ่งเข้าไปในมหาสมุทร ด้วยอิทธิฤทธิ์ของกงจักรจึงไม่จมน้ำ และเลยเข้าไปถึงเมืองนาคได้

พวกนาคเห็นราชาคางคกก็เข้ามาทูลถามด้วยความกลัวว่า

“มีเรื่องอะไรหรือพระเจ้าข้า จึงได้เสด็จมาถึงนี้ หรือพระองค์มีเหตุร้อนประการใด พระเจ้าข้า”

ราชาคางคกจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่ห้าวหาญว่า

“เราไม่สบายใจเรื่องฝนแล้ง เราจึงมาถามหาที่ตั้งของบ่อฝน ใครบ้างที่รู้ที่ที่ฝนตก รู้แต่ว่ามาจากบนฟ้า พระยานาคเคยไปพบแถนที่เมืองฟ้า คงรู้เหตุแห่งฝนบ้างกระมัง หากรู้ก็ช่วยบอกเราด้วย อย่าได้ปิดบังไว้เลย”

พระยานาคจึงทูลว่า

“พระองค์ไม่ควรเสด็จขึ้นไปแต่เพียงลำพัง พระเจ้าข้า หม่อมฉันจะเล่าถวาย อันสายธารที่เป็นบ่อฝนนั้นมีจริง พระเจ้าข้า พบที่ยอดเขาพระสุเมรุโน้น มีเขาบริภัณฑ์แวดล้อมอ้อมอยู่โดยรอบ เขาพระสุเมรุนั้นมียอดสูงที่สุดประมาณแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ส่วนเขาบริภัณฑ์ทั้ง ๗ นั้นสูงลดหลั่นกันลงมาตามลำดับเหมือนดังลูกแคน เขาบริภัณฑ์ลูกหนึ่งนั้นสูงถึงเขาพระสุเมรุ ที่นั้นเป็นเมืองพระยาแถนครองอยู่ ครั้นพวกหม่อมฉันไปถึงฟ้า ก็จะขอน้ำกับพระยาแถน ท่านจะไม่ขัดข้องและมอบน้ำให้

ยังมีสระอันหนึ่ง ชื่อว่าสระคงคา เป็นสระสงวนไว้สำหรับแข่งเรือของพวกแถน พอถึงปีใหม่ฟ้าร้องครื้น ๆ เมื่อยามเดือนหก นาคก็ไปถึงแถนขอลงเล่นน้ำ พระยาแถนไม่ขัดพวกนาค ปล่อยให้พวกนาคลงเล่นตีน้ำแกว่งหางตามสบาย พวกนาคต่างพากันลงเล่นน้ำดำผุดดำว่ายดูขวักไขว่ ตีฟาดน้ำหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน น้ำในสระใหญ่กว้างที่ชื่อว่าคงคาก็กระฉอกขึ้นเป็นก้อน ๆ เมื่อลมที่แรงกล้าประดุจคมมีดพัดมาก็หอบเอาไปตกลงลูกเขาพระสุเมรุ ก้อนน้ำนั้นฟาดเหลี่ยมเขาพระสุเมรุ ก็แตกกระจายออกเสียงดังครื้นเครง และแล้วก็ตกลงมายังพื้นโลกเรานี้ คนจึงเรียกว่า น้ำห่าฝน”

แต่ว่าเรื่องฟ้านั้น ยังมีนิทานต่างออกไป กล่าวกันว่า ยังมีนางเทพธิดาน้อย ชื่อว่า เมขลา นางมีฤทธิ์มาก ยามเมื่อฟ้าร้องครื้น ๆ ในระดูปีใหม่มาถึง นางก็รู้สึกชื่นชมสนุกเล่น นางจึงโยนลูกแก้ววิเศษผ่าไปกลางห่าฝน ส่งประกายวาววับ ยังมีพระยายักษ์ผู้หนึ่งมีอาคมจบศิลปะด้านการยิงธนู มันจึงยกธนูทองขึ้นยิงหมายจะเอาแก้ว แต่ลูกธนูของมันไม่ถูกแก้วนางเมขลา มันจึงทะลุลิ่วลงมาผ่าต้นไม้ แต่นั้นมาคนในโลกเรานี้จึงเรียกว่า ฟ้าผ่าไม้ มีตามนั้นจริง ๆ นะท่านเอ๋ย

ครั้นพระยานาค บอกเหตุแห่งฝนดังนั้น ราชาคางคกจึงตรัสถามเหตุว่า

“อ้าวแล้วไฉนฝนจึงไม่ตกลงรดพื้นโลกเล่า หรือว่าพวกนาคไม่สนใจจะขึ้นไปลอยเล่นน้ำกันกระนั้นหรือ”

พระยานาคจึงทูลเหตุว่า

“บัดนี้ พระยาแถนกันไว้ ห้ามมิให้ลงลอยเล่น แม้ว่าฝูงนาคพร้อมใจกันขึ้นไปวอนขอหลายทีแล้วก็ตาม พระยาแถนเลยเกิดความโกรธตวาดว่าจะฆ่าเสีย พระเจ้าข้า”

ราชาคางคกจึงตรัสถามพวกนาคถึงสองครั้งว่า

“อ้าวแล้วทำไม พระยาแถนจึงมาหวงไว้เสียเล่า”

พระยานาคจึงทูลตามเป็นจริงว่า

“พวกแถนเขาไม่พอใจต่อพระองค์ พระเจ้าข้า เขาว่าบุญบารมีของพระองค์ไปข่มพวกเขา มนุษย์ทั้งโลกต่างขึ้นกับพระองค์จนหมดสิ้น พวกแถนจึงกลัวว่าพระองค์จะมีความสุขยิ่งกว่า พวกเขาจึงหวงห้ามน้ำฟ้าไว้ ไม่ให้ตกลง”

เมื่อพระยานาคทูลเสร็จ ก็ทำให้พระองค์เข้าใจถึงสาเหตุที่ฝนไม่ตก จึงถามพวกนาคถึงทางที่จะไปยังเมืองแถนว่า

“ทางที่จะขึ้นไปยังเมืองแถนนั้นมีหรือไม่”

พวกนาคทูลว่า

“หนทางที่จะขึ้นไปนั้น ไม่มีหรอกพระเจ้าข้า เว้นแต่พวกเรียนจบวิชาอาคม มีฤทธิ์อาจไปทางอากาศก็เป็นได้ แต่ว่าทางที่จะเดินไต่ขึ้นไปจากพื้นดินไม่มีแน่”

ราชาคางคกจึงตรัสถามว่า

“ถ้าเราจะขึ้นกงจักรเหาะไปจะถึงหรือไม่”

พวกนาคทูลว่า

“ถึงแต่พระองค์คนเดียวเท่านั้น ใครจะสามารถเอาชนะแถนนั้น ยังไม่เคยเห็น แถนนั้นจบพระเวท ทรงความรู้ด้านศิลปศาสตร์”

ราชาคางคกให้สร้างทางขึ้นฟ้า

ครั้นพวกนาคทูลให้รู้เรื่องทางจะขึ้นไปนั้นแล้ว ก็ทรงนิ่งตรึกอยู่ชั่วครู่ก็ทรงเห็นหนทาง จึงตรัสแก่พวกนาคว่า

“พวกท่านจงพากันสร้างทางโดยเอาหินมาก่อพูนขึ้นไป ให้สูงถึงพื้นจอมเขาที่พวกแถนอยู่นั้น เราจักนำหมู่ช้างและไพร่พลขึ้นทำสงคราม แล้วเราจะไปบอกให้พวกปลวกทั้งหลายมาช่วยสร้างทางขึ้นไปโดยเร็ว”

พวกนาครับพระบัญชาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นกงจักรเหาะทะยานกลับบ้าน กงจักรลอยกลับขึ้นมาโดยเร็ว เมื่อมาถึงริมฝั่งน้ำก็หยุดพัก ราชาคางคกก็เอาค้อนมาตีที่จอมปลวก ด้วยเดชของพระองค์ก็สะเทือนขึ้นทั่วแผ่นดิน ปลวกพากันเกรงกลัวรีบหลั่งไหลมาเป็นแสนโกฏิมากมายเหลือเกิน พากันไหว้และทูลถามว่า

“มีเหตุร้อนเรื่องใดถึงพระองค์หรือพระเจ้าข้า”

ราชาคางคกจึงตรัสบอกพระยาปลวกว่า

“บัดนี้ บ้านเมืองเกิดแห้งแล้งขาดฝน พวกท่านจงพากันไปก่อสร้างทางขึ้นฟ้าช่วยพวกนาคนั้นเถิด ให้สูงถึงยอดเขาพระสุเมรุโน้นเลย อย่าได้ชักช้า รีบก่อขึ้นให้ถึงเมืองแถนที่บนฟ้านั้นโดยเร็ว เราจักนำทัพขึ้นทำสงครามกับแถนอย่างไม่ถอย จะให้แถนปล่อยน้ำลงมาบ้านเมืองจะได้ชุ่มเย็น”

พวกปลวกพร้อมกันรับพระบัญชา จากนั้นเขาก็พากันไปก่อทางอย่างขมีขมัน พวกปลวกทั้งพื้นโลก ต่างพากันมาช่วย ดูขวักไขว่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดจนมิอาจจะประมาณได้

ราชาคางคกรีบเสด็จคืนเข้าสู่เมือง เมื่อถึงปราสาทแล้วก็ประทับรอคอย

ในขณะนั้น เหล่าพระยานาคในมหาสมุทร มากันมากมายเหลือที่จะนับได้ ต่างพากันหอบอุ้มเอาภูเขาหลายต่อหลายลูกมาติดตั้งต่อ ๆ กันขึ้นไป ส่วนพวกปลวกก็ขนดินขึ้นทำทางช่วยพวกนาค ทางนั้นดูแข็งแรงและมั่นคงดุจขุนเขา

นับจากพากันก่อสร้างทางมาก็เป็นเวลาถึงสามปีเต็ม ทางนั้นก็เสร็จถึงยอดเขาอันเป็นที่ตั้งเมืองแถนพอดี ครั้นทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไป ฝ่ายพระยานาคก็มากราบทูลให้ราชาคางคกทราบ

ราชาคางคก ก็ตรัสสรรเสริญว่า “ดี ดี” จากนั้นพระองค์จึงให้ตีฆ้องป่าวประกาศให้จัดรี้พลนับล้าน ๆ โดยเร็วพลัน และรับสั่งให้จัดม้าเร็วไปแจ้งแก่พระยาเมืองต่าง ๆ ให้จัดรี้พลมาสมทบโดยเร็วภายในเจ็ดวันเป็นอย่างช้า ให้ทุกพระยามาพร้อมกันโดยเร็ว

ท้าวพระยาเจ็ดหมื่นสี่พันองค์ในชมพูทวีป ต่างนำทัพมาสมทบครบทุกองค์ แต่ละองค์มีกำลังพลมากเหลือเกิน ต่างหลั่งไหลกันมาประดุจทรายไหลเมื่อหน้าแล้ง เสียงดังกระหึ่มไปทั่ว ราชาทุกพระองค์ไม่มีใครอาจขัดพระบัญชา ต่างพากันมาเข้าเฝ้าราชาคางคก รวมกำลังพลทั้งหมดเป็นแสนล้าน พญาช้างสารนับแสนโกฏิ มาชุมนุมกันเต็มแผ่นธรณีจนดูมืดไปหมด มีช้างเผือกฉัททันต์ถึงแปดหมื่นสี่พันตัว ล้วนประดับด้วยทองคำ มีทั้งม้าขาวและลาเผือก ซี่งมีกำลังมากวิ่งทะยานไปดุจสายลม มีจำนวนถึงแปดหมื่นสี่พันตัว งดงามด้วยเครื่องประดับทองคำ

ราชาคางคกยกทัพขึ้นสู่เมืองแถน

ครั้นรวมไพร่พลพร้อมแล้ว ก็รับสั่งให้หาฤกษ์ยามที่ดี เมื่อได้อุทธังราชา[๔] ราชาคางคกก็เสด็จออก พระองค์ได้นำเอานางทิพย์จากอุตรกุรุทวีปไปด้วย ให้นางขึ้นนั่งร่วมไปกับพระองค์บนหลังคชสาร เสียงกลองสะบัดไชยถูกรัวดังกึกก้อง มองเห็นสัปทนสีขาวถูกกางเป็นทิวแถว และธงสีขาวปลิวโบกสะบัดนำหน้า พระยานาคและพรรคพวกเหาะไปข้างบนเพื่อนำทาง พระยาครุฑพร้อมสังข์บินขึ้นเหนือลมมุ่งหน้าไปก่อน เหล่าฝูงนกป่าต่างพากันบินแวดล้อมพระยาครุฑใหญ่ไป ฝูงหมู่ผึ้งต่อแตนเหลืองซึ่งเป็นสัตว์ดุร้ายก็ไปด้วย พวกเขาขันอาสาออกทัพหน้า พากันบินมาจนท้องฟ้าดูมืดมัวไปหมด เสียงบินดังหึ่ง ๆ จนอื้ออึงไปทั่วท้องฟ้า พวกมอดหัวตัดก็บินขวักไขว่ พวกมันต่างขันอาสาโดยไม่รู้สึกกลัว พวกเสือเหลืองเสือโคร่งที่ดุร้ายก็ไป หมีดำและหมู่หมียักษ์ อีเห็น ชะมด หมู่เม่นและอีเห็นคอลาย ลิงกังก็พากันไป ฝูงชะนีกระโดดห้อยโหนไปตามต้นไม้ พวกมันต่างอาสาไปโดยไม่ย่อท้อ พากันส่งเสียงร้องโหวกเหวกพลางวิ่งไป

กองทัพเคลื่อนตัวออกไปเป็นริ้วขบวน คนคับคั่งจนล้นหนทางที่กว้างใหญ่ เสียงดนตรีบรรเลงปลุกใจไพร่พลดังอึงคะนึงครื้นเครงจรดท้องฟ้า

เหล่าพระยานาคแปลงเพศเป็นคนถือธนูทองแห่ราชาคางคกไปทั้งปีกซ้ายและปีกขวา มองเห็นราชาเมืองน้อยใหญ่ขี่พระยาสารเคลื่อนขบวนแห่พระองค์ไปทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ราชาคางคกเหลียวดูไปรอบ ๆ เห็นเหล่าทหารกล้าเดียรดาษเต็มแผ่นดิน พวกตามหลังโน้นเหล่ากบเขียด พวกบินผ่านฟ้าคือเหล่าพระยาครุฑทอง ฝูงนกหัสดีลิงค์และหมู่นกยูงหนุ่ม อีกาและอีแร้ง ฝูงนกแก้วและโนรีก็ไป พวกไปทางปลายไม้ก็พวกลิง และพวกค่าง หางก่าน อีเห็น เม่น หมู่ชะนี เสือโคร่งเขี้ยวใหญ่ หมู่หมีป่า พวกนี้เดินไต่ขึ้นมาอยู่หลังสุด พวกเดินตามราชาคางคก ก็พากันกางร่มใหญ่ดูสะพรึบไปหมด และที่พระยาช้างซึ่งมีงาขาวงาม ซึ่งยืนเรียงรายเดียรดาษ ก็มีสัปทนกางกั้นอยู่ทุกตัว พวกมันต่างก็อาสาราชาคางคก ที่จะต่อสู้กับเหล่าช้างของพวกแถนโดยไม่เกรงกลัว เหล่าพระยาช้างเผือกเดินกันเป็นขบวนใหญ่ มาเป็นเสนาแห่ราชาคางคกจนแผ่นดินสะเทือน ที่เห็นแสงแวววาวส่องประกายอยู่นั้น คือเหล่ารัตนชาติ ๗ ประการ ซึ่งประดับอยู่ที่ตัวปราสาทมันตั้งอยู่บนหลังช้างแห่งราชาคางคกและนางทิพย์ ซึ่งทั้งสองทรงช้างร่วมกัน

พลหอกทองคำ มีปลายหอกติดภู่ขาวพากันแห่พระองค์ไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง ตามมาด้วยเหล่าทหารรับใช้ชั้นผู้น้อยซึ่งมีขาลายดังเขียดตะปาด มีริ้วขบวนของพวกถือธงไชยเดินนำไปก่อน ล้วนงดงามด้วยเครื่องประดับสีขาว พระยานาคในมหาสมุทรเนรมิตตนเป็นคนมาแห่พระองค์ไปข้างหน้า ฝ่ายพระชนกและพระชนนียังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักเพื่อบริหารบ้านเมืองแทน

เดินทาง ๓ ปีจึงถึงเมืองฟ้าพระยาแถน

จากนั้นราชาคางคกเสด็จไปโดยด่วน ถึงทางขึ้นที่เชิงเขาจึงรับสั่งให้หมู่ช้างม้าหลั่งไหลขึ้นไป พร้อมทั้งผู้คนต่างพากันไต่ขึ้นไปอย่างสนุกสนานและส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ว่า

“คราวนี้แหละนะที่พวกเราจะได้เห็นเมืองฟ้าของพวกพระยาแถน ขอให้พวกเรามีโชคได้รับชัยชนะ ปราบพวกพระยาแถนได้ด้วยเถิด เราจะได้เอานางฟ้ามาเป็นเมียร่วมรักสมัครเสน่หาเฝ้าคลอเคล้าเหล่านางฟ้าให้อิ่มหัวใจ ซึ่งพวกเราต่างก็เคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่า สาวสวรรค์นั้นงามยิ่งนัก รูปร่างเนื้อตัวอ่อนละมุนปานปุยฝ้าย เราจักจุมพิตแก้มเจ้าจันทร์แจ่มยอดเสน่หา จะเฝ้าเชยชมนางฟ้าไม่ห่างกาย”

นี่เป็นถ้อยคำที่เหล่าทหารหาญพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน เพื่อเป็นการหยอกล้อกัน เมื่อพากันหลั่งไหลขึ้นไปตามเส้นทางภูเขาจนดูสุดสายตา สูงถึงกลีบฟ้า มองเห็นแต่กลุ่มเมฆ ราชาคางคกจึงเหลียวลงมาดูเห็นทวีปชมพูดูน้อยนิดเดียว เหลียวไปเห็นสมุทรน้อยใหญ่เป็นแสนแห่ง สีน้ำส่องประกายวาววับดุจแก้วมรกต มองเห็นขุนเขาบริภัณฑ์ตั้งเรียงรายกันดูเดียรดาษ เวียนล้อมเขาพระสุเมรุซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง กองทัพทุกหมู่เหล่าต่างพากันเหลียวไปดู แล้วก็พากันทักท้วงเสียงดังอื้ออึง เห็นแม่น้ำอโนมาทั้ง ๕ สายไหลล้อมเขาพระสุเมรุถึงสามชั้นแล้วก็แตกเป็นแม่น้ำ ๕ สายอยู่ในระหว่างเขา

วันเวลาผ่านไปหลายวันหลายคืน วันแล้ววันเล่าจนกระทั่ง ๔ เดือนผ่านไป ก็จึงขึ้นไปสูงมาก มองลงมาไม่เห็นทวีปชมพูเลย เห็นแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว จนกระทั่งถึงกลีบฟ้าชั้นบนมีแต่เมฆห้อมล้อมหนาวเย็น มองลงสุดสายตาเห็นเป็นท้องฟ้าสีเขียวแก่ นับจากเดินทางขึ้นสู่เมืองแถนเป็นเวลานานถึง ๓ ปีจึงถึง เมื่อถึงเมืองแถนแล้วราชาคางคกจึงรับสั่งให้ครุฑนาคพากันตั้งค่าย พวกครุฑพวกนาครับพระบัญชาแล้วก็พากันเนรมิตเป็นวังขึ้นด้วยหินก่อเป็นวงกลม มีคูน้ำเล็กล้อมรอบกำแพงวังโดยใช้ศิลาแลงเป็นกำแพง จากนั้นพระยานาคจึงเนรมิตท้องพระโรงขนาดใหญ่ ด้านกว้างประมาณหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยวา หลังคามุงด้วยทองคำ เมื่อเสร็จแล้วราชาคางคกก็เสด็จเข้าพัก ให้เอาช้างเทียบเกยแล้วเสด็จลง เข้าไปยังท้องพระโรงประทับบนพระแท่น โดยมีนางทิพย์คอยนั่งเฝ้าปรนนิบัติ เหล่าเสนาอำมาตย์ราชมนตรีใหญ่น้อยหลั่งไหลกันมาเฝ้าแหนพระองค์ เสียงดนตรีถูกบรรเลงขับกล่อมดังกังวาลสอดประสานสะท้อนไปจรดขอบฟ้า

ราชาคางคกประกาศสงคราม

จากนั้นราชาคางคกรับสั่งให้ยิงปืนใหญ่ เสียงของมันดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วเมืองแถนที่กว้างใหญ่ พระยาแถนได้ยินก็ทรงทักว่า

“ใครกันมายิงปืนใหญ่ หรือว่าข้าศึกใหญ่เข้าประชิดเมืองเราแล้ว”

พวกแถนต่างก็ส่งเสียงทักกันทั้งเมือง พากันรู้สึกร้อนรนใจ พระยาแถนรับสั่งให้ม้าเร็วไปสืบดู ม้าเร็วรีบวิ่งไป เขาก็ไปเห็นวัง เห็นพลช้างพลม้า และกองทัพอยู่เต็มทุ่งนาที่กว้างใหญ่ แถนจึงเข้าไปสอบถามดู

“พวกเจ้ามาจากประเทศไหนกันนี่”

“พวกข้ามาจากชมพูทวีปโน้น จะมาทำสงครามกันพวกแถน”

ทูตฝ่ายแถนจึงถามให้ละเอียดอีกว่า

“เจ้าเหนือหัวของพวกท่านชื่อใด”

เหล่าทหารกล้าของราชาคางคก จึงร้องบอกแก่พวกแถนด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญว่า

“ราชาคางคกเป็นเจ้าเหนือหัวพวกเรา พระองค์เป็นผู้ทรงบุญบารมี จะทรงกำชัยชนะเหนือหมู่แถน”

“พวกเจ้ามาแค้นเคืองอะไรให้เรา พวกเจ้าก็อยู่ถึงโลกมนุษย์โน้น ไฉนจึงได้มาคิดทำสงครามกับพวกเราถึงที่นี้”

ทูตฝ่ายพระยาแถนสอบถามต่อเพื่อให้ได้รายละเอียด ทหารกล้าฝ่ายราชาคางคกจึงแจ้งความผิดให้ฟังว่า

“เพราะพวกท่านได้ละทิ้งจารีตประเพณีแต่โบราณเสีย เมื่อก่อนนี้ พระยาแถนจะปล่อยน้ำฝนลงไปให้โลกมนุษย์ทุกปี แต่มาบัดนี้ พระยาแถนได้ปล่อยให้ฝนแล้งมา ๗ ปีเต็ม พวกเราจึงยกทัพมาทำลายบ้านเมืองของพวกท่าน เป็นแถนแท้ ๆ ทำไมไม่จดจำคำโบราณสอนสั่งเล่า คราวนี้แหละเราจะทำลายบ้านเมืองของท่านให้พินาศย่อยยับไปเลย”

ทูตฝ่ายพระยาแถนได้ยินคำตอบเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกโกรธยิ่งนักจึงตะคอกใส่ด้วยเสียงอันดังว่า

“พวกเราอยู่บนฟ้านี้ตามทำนองคลองธรรม ไม่ได้เป็นทาสรับใช้ส่งฝนให้พวกแกนะโว้ย อวดว่าตัวเก่งแท้ลองมาชนช้างกับกูดูเสียก่อน อย่าได้ช้า อีกสองสามวันเจอกัน”

ครั้นทูตกล่าวตอบแล้ว ก็ชักม้ากลับคืน เมื่อมาถึงพระยาแถนก็ทูลว่า

“ที่ได้ยินเสียงปืนดังตึง ๆ กลางนาโน้น มันคือราชาแห่งโลกมนุษย์ พระเจ้าข้า มันชื่อราชาคางคก ผู้กำชัยชนะเหนือหมู่แถนว่าอย่างนั้น พวกมันเคียดแค้นพระองค์เพราะเหตุฝนแล้งในโลกมนุษย์ บัดนี้พวกมันยกทัพมาเพื่อทำสงครามกับพระองค์ มันบอกว่าจะทำลายบ้านเมืองให้พินาศย่อยยับว่าอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

พระยาแถนได้ฟังคำทูลจากราชทูต ก็กำพระหัตถ์ฟาดลงบนหมอนด้วยความฉุนเฉียวยิ่งนัก

“กูจะไปต่อยุทธกับราชาคางคกดูที ทำไมมันถึงบังอาจมาดูถูกเหยียดหยันระรานโดยไม่รู้สึกเกรงเราแม้แต่น้อยเช่นนี้ ต่างคนต่างใหญ่ด้วยบุญบารมี มาอุตริใส่ความ อวดวิเศษว่าตัวเก่ง ถือตัวว่ามีฤทธิ์วิเศษกว่าใครในโลกมนุษย์ ทำไมถึงไม่บันดาลให้น้ำฝนตกลงมาเองเล่า เราก็เป็นใหญ่เสวยราชย์ตามทำนองคลองธรรม ไม่ได้เป็นผู้รับใช้คอยส่งฝนให้แก่พวกมันสักหน่อย อวดว่าตัวเองเก่ง ปีนเขาขึ้นมาต่อสู้กับเรารึ เดี๋ยวเถอะ กูจะฟันให้มุ่นจับโยนให้กลิ้งลงไปเลย”

ครั้นตรัสเสร็จ ก็รับสั่งให้ตีฆ้องประกาศรวมพลโดยเร็วพลัน

ในทันทีนั้นแถนเลิง แถนลอและแถนหล่อ ก็รีบมาพร้อมกำลังพลนับล้าน เสียงเคลื่อนพลดังสะเทือนเลื่อนลั่น ฝูงช้างงาขาวงามเดียรดาษมากันพร้อม ม้าอาชาไนยนับแสนนับล้านก็มากันพร้อมเครื่องประดับ พลโล่ พลหอก พลดาบมากมายหลายล้าน พลธนูไฟ[๕] พร้อมพลปืนใหญ่ล้นหลาม พลอาสาสมัครพร้อมพลธนู ผู้เชี่ยวชาญในการยิงก็มา พวกพลแถนเขารีบมารวมพลโดยไม่ชักช้า

“พวกมนุษย์โลกที่อยู่เบื้องล่างต่างกล่าวอวดกล้าว่า เตรียมตัวมาทำสงครามกับพวกเรา พวกเราไม่รู้สึกหวั่นกลัวพวกมนุษย์เลย ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยแม้แต่น้อย เว้นแต่พระอินทร์เจ้าฟ้าทรงโปรดเมตตาพวกเข้านั้น เราก็อาจจะหวั่นอยู่บ้าง แต่ถ้าเฉพาะชาวโลกแล้ว เราไม่สะทกสะท้านเลย”

พระยาแถนได้ฟังคำโหรทัก

ครั้นรวมพลเสร็จ พระยาแถนก็หาฤกษ์ ตรัสว่า

“เมื่อได้ฤกษ์มหาไชย จึงค่อยเคลื่อนพล”

เมื่อตรวจดูนักขัตฤกษ์ก็พอดีถูกฤกษ์มหาไชยเข้า แต่โหราจารย์ประจำราชสำนักทักว่า

“ฤกษ์เวลานี้ ดีแต่ทีแรกเท่านั้น ภายหลังเขาจะชนะ อย่าได้อยากต่อสู้กันนักเลย ไม่อาจเอาชนะเขาได้ ฤกษ์นี้ดีแต่ทีแรกแล้วเราจะชนะเขาหรือ พระเจ้าข้า ถ้าจะให้ดีแท้ อดใจรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อนเถิด แล้วเราจะได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด พวกเขาจะยอมสยบ”

พระยาแถนก็รีบตรัสสวนไปด้วยฤทธิ์สุราพาให้ด่วนว่า

“จะมัวรีรออยู่ได้อย่างไร ด้วยมีเรื่องเร่งร้อนประดุจไฟไหม้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องจะทำใจเย็นรอช้าอยู่ได้ ท่านโหรเอยนี่มันศึกสงครามใหญ่ เขาเข้ามาจนใกล้ จะตีชิงเอาบ้านเมืองเราจนย่อยยับวันไหนไม่รู้ ควรที่พวกเราจะยกพลไปรับมือพวกเขาดูเสียก่อน”

ครั้นตรัสเสร็จก็เป็นอันยุติ พระองค์ก็เสด็จขึ้นหลังช้างยกพลออกจากวังไป เสียงกลองสะบัดไชยตีปลุกใจเหล่าทหารหาญดังกึกก้อง เหล่าทหารกล้าทั้งหมดพากันแห่แหนพระองค์ออกไป มองเห็นปลิวโบกสะบัดเคลื่อนตัวไปก่อนหน้าใครโน้นคือธงทิวปลิวไสว พวกพลร่มก็พากันกางร่มอยู่สะพรึบพร้อม ได้ยินเสียงฆ้องตีเตือนให้เคลื่อนทัพมองเห็นเหล่าช้างพลายเดินหน้าออกประตูวังเป็นทิวแถวพร้อมทั้งเหล่าม้าศึกอาชาไนย ก็ร้องอยู่อื้ออึงเพราะถูกแส้ตีเตือน ถึงเหล่าช้างก็ส่งเสียงร้องก้องกัมปนาท ที่เห็นแสงวาบ ๆ นั้นเกิดจากการกวัดแกว่งดาบทองของเหล่าพลทหารที่วิ่งตามตีนช้างดูขวักไขว่

เมื่อยกทัพไปถึงทุ่งกว้าง ก็พากันมองเห็นวังราชาคางคกอยู่ลิบ ๆ พระยาแถนก็ทรงบัญชาทัพให้จัดปีกซ้ายขวาว่า

“ทัพขวาให้สู้กับทัพขวาอย่าหวั่น ปีกซ้ายให้สู้กับปีกซ้ายอย่าถอย ให้พวกเจ้าดาหน้ากันเข้าไปโดยเอาโล่ไขว่กันเข้าไว้ ช้างต่อช้างเรียงกันเป็นชั้นอย่าย่อท้อ เหล่าพลธนูทองซึ่งมีอยู่มากมายนั้น ก็ให้พากันระดมยิงอย่าได้หยุดแม้ชั่วครู่ ทั้งพลธนูไฟ[๖] และพลปืนใหญ่ให้พากันยัดดินปืนให้แน่น ๆ แล้วจึงค่อยยิง”

ครั้นพระยาแถนราชาแห่งพิภพแถน จัดขบวนทัพจำนวนมหาศาลเสร็จแล้ว ในขณะเดียวกันกองทัพฝ่ายราชาคางคกก็ดูมหึมา ราชาคางคกรับสั่งให้โหรบอกเวลาเคลื่อนทัพหน้า ที่แลเห็นเคลื่อนไหวยวบยาบ ๆ เป็นริ้วขบวนไปข้างหน้านั้นคือเหล่าธงไชย พลร่มก็พากันกางสัปทนสีขาวอยู่เหนือหลังช้างเผือกฉัททันต์ ราชาคางคกทรงประทับบนหลังพระยาช้างตัวกลาง ซึ่งทั้งใหญ่และสูง โดยมีเหล่าช้างต้นงางามห้อมล้อมพระองค์อยู่นับแสน ๆ เฉพาะช้างนั้นมีกำลังพลเป็นแสนเป็นล้านและล้วนแต่มีงายาวงามทั้งสิ้น ยังเหล่าพระยานาคซี่งเป็นทหารฝ่ายราชาคางคกอีกเล่า พวกเขาพากันแปลงกายเป็นพระยาช้างสารหลายแสนล้าน

ในขณะนั้น เหล่าพระยานาคก็พากันยิงธนูออกไป ที่บินอยู่บนฟ้านั้นเล่าเหล่าพระยาครุฑทอง ทั้งหมู่แร้งผู้ทรงพลัง หมู่กาและหมู่พระยาเหยี่ยว ฝูงผึ้งและต่อแตน ต่างก็พากันบินขวักไขว่อยู่เต็มท้องฟ้า

นอกจากนั้น ยังมีหมู่หมี หมู่หมียักษ์ และหมู่เสือโคร่งจำนวนมากพากันคำรามร้องเสียงดังอึกทึกกึกก้อง ทั้งเหล่าอีเห็นหางลาย และหมู่สัตว์น้อยใหญ่พร้อมพวกลิงพากันกระโดดโลดเต้นอยู่อึกทึกครึกโครม พวกสัตว์ชั้นต่ำสุดนั้น คือพวกกบเขียด พวกมันพากันส่งเสียงร้องอยู่อื้ออึง

สงครามนำมาซึ่งความเจ็บปวดและความพินาศ

เมื่อนั้นราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ จึงทรงบัญชาให้พวกกบเขียดส่งเสียงร้องพร้อมกับกระโดดออกไปต่อสู้ คลื่นกบเขียดหลั่งไหลกระโดดกันไปเต็มพื้นแผ่นดิน โดยมีพระยาจัน ซึ่งเป็นราชาแห่งกบนำหน้าไปก่อน ส่วนราชาอึ่งเพาร้องสั่งไพร่พล พวกเขียดตะปาดขาลายพากันส่งเสียงร้องทุกห้วยหนองคลองบึงอยู่เซ็งแซ่ไม่อาจจะประมาณได้ มากมายเต็มท้องทุ่ง ดูดำมืดไปหมด พากันส่งเสียงร้องตะเบ็งเซ็งแซ่

พระยาแถนเลิง แถนหลวง และแถนหล่อ ต่างพูดกันว่า

“โอ้โฮ บรรดาสัตว์ในโลกมนุษย์โน้น มันคงพากันมาหมดเลยกระมัง”

แถนจึงร่ายมนต์เสกเป่าไป กลายเป็นงูยั้วเยี้ยเต็มไปหมด มันก็แผ่พังพานชูคอขึ้นแล้วก็เลื้อยลิ่วมาพร้อมกับชูคอขึ้นเหลียวหากบเขียด แล้วก็ฉกขบได้แล้วก็กลืนเข้าท้องอย่างโกลาหล กบเขียดพากันกลัวแตกหนีกลับคืนกระจัดกระจาย เพราะเห็นงูมีมากคาบกลืนกินเต็มไปหมด

นับแต่พระยาแถนชั่ว ร่ายมนต์ให้งูไล่กินกบเขียดนั้นมา งูจึงได้เป็นคู่ปรับกับกบเขียดสืบมาจนบัดนี้ ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงตรัสบอกหมู่เหยี่ยว หมู่แร้ง และหมู่อีกา

“พวกเจ้า อย่าช้า จงรีบบินไปจิกกินพวกงูโน้น เดี๋ยวนี้”

พวกมันก็พากันบินไปจนมืดมิดไปทั่ว ถึงพวกงูแถนแล้วก็รุมจิกรุมตียุบยับไปหมด ทั้งหมู่แร้งหมู่เหยี่ยวและหมู่อีกาตัวดำปี๋ ต่างก็รุมจิกรุมยื้อแย่งกินไส้แห่งงู

นับแต่กาและเหยี่ยวได้กินงูอุบาทว์ในคราวนั้น เหยี่ยวและแร้งจึงได้เป็นคู่ปรับกับงูสืบมาจนบัดนี้

พระยาแถนได้เห็นก็ให้นึกประหลาด พระยาแถนนั้นทรงอาคมเชี่ยวชาญในศิลปศาสตร์ จึงเป่ามนต์ไปกลายเป็นฝูงหมาใหญ่ พากันวิ่งเห่าหอนไปทั่ว กระโดดเข้าคาบคอแร้งแกว่งไปมา บางตัวคาบได้ทั้งแร้งทั้งกา ฝูงแร้งกาต่างบินแตกกระจายหนี เพราะเห็นหมามากมายเที่ยวคาบกินพวกมันอยู่ทุกหนแห่ง

ราชาคางคกเห็นเช่นนั้น ก็บัญชาให้พวกอีเห็นหางลาย พร้อมฝูงสัตว์จำพวกค่างลิงไปว่า

“พวกเจ้าจงไปอย่าได้ช้า พากันขบกัดเหล่าหมาพวกโน้นเดี๋ยวนี้”

พวกมันรับพระบัญชาแล้วรีบพากันกระโดดไปโดยเร็ว หลั่งไหลไปปานน้ำหลาก ทั้งฝูงลิงค่าง อีเห็นหางลาย อีเห็นอ้ม และหมู่ชะนี พากันดาหน้าเข้าหาหมาใหญ่ วิ่งเข้าไปจนฝุ่นตลบทั่วทุ่งนา อีเห็นพุ่งเข้าคาบหางหมา หมากระโดดงับคาบคอเห็นดึง ตีนเห็นกบตะกายถูกตาหมาบอด ก็มี พวกอีเห็นหางลายวิ่งเข้าขบก้นหมา พวกหมู่ลิงกังกลัว คอยมองอยู่ห่าง ๆ แล้วแตกหนี บางพวกขึ้นต้นไม้ คอยมองดูหมา ในครั้งนั้นหมาชนะ หมู่ลิงกังต่างแตกหนีกระเจิงกลับคืนโดยเร็ว

นับแต่ฝูงหมาพระยาแถน ไล่กัดกินฝูงลิงกังและอีเห็นจนพ่ายครั้งนั้น หมาจึงได้เป็นคู่ปรับกับหมู่สัตว์พวกนั้นสืบมาจนบัดนี้

ราชาคางคก ได้เห็นก็รู้สึกขัดเคืองพระทัยจึงมีบัญชาให้พวกเสือพร้อมหมู่หมีว่า

“พวกเจ้าจงรีบไปเดี๋ยวนี้ เข้าขบคาบเคี้ยวพวกหมาแถนโน้นโดยเร็ว”

พวกมันรับพระบัญชาแล้วรีบพากันวิ่งไปโดยเร็ว มันไปกันมากมายหลายหมื่น หลั่งไหลกันไปทั้งหมู่เสือ หมู่หมี หมู่หมียักษ์ต่างแซงกันขึ้นหน้า ถึงหมาแถนเสือกระโจนเข้าคาบคอ ดึงฉีกกินแล้วกลืนลงท้อง บางตัวกระโดดผ่าเข้ากลางวง คาบดึงหมู่หมาแถนฉีกกิน ฝูงหมาแถนตกใจกลัว แตกหนีกระเจิดกระเจิงไม่เป็นท่า พวกเสือร้องคำรามวิ่งไล่ตามก้นติด ๆ และแล้วหมาแถนก็ตายลงพร้อมกับหายวับไปจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ

นับแต่เสือกัดกินหมาแถนล้มตายลงก่ายกองจนหมดสิ้นในครั้งนั้น เสือจึงได้เป็นคู่ปรับกับหมาสืบมาจนบัดนี้

พระยาแถนเห็นเช่นนั้น ก็ให้แค้นเคืองใจนัก เห็นหมู่เสือโคร่งใหญ่หลายแสนหลายล้านพากันวิ่งกระโจนเข้าใส่ไพร่พลของพระองค์ พระยาแถนก็จึงร่ายมนต์เป่าไปกลายเป็นกับดักอยู่ทั่วไป พวกเสือโคร่งวิ่งเข้าไปถูกกับดักนั้นเข้าต่างส่งเสียงร้องแผดก้องอยู่ข้างในกับดัก ทันใดนั้นฝ่ายพระยาแถนก็พากันร้องโห่ขึ้นอื้ออึง ต่างพากันถือหอก ถือง้าวและทวนล้อมไล่แทง พวกเสือถูกฆ่าล้มตายลงก่ายกอง ทั้งเสือ หมีน้อย หมีใหญ่[๗] พากันวิ่งเผ่นกลับคืน

นับแต่พระยาแถนใช้กับดักฆ่าเสือในครั้งนั้น คนจึงได้เป็นคู่ปรับกับเสือสืบมาจนบัดนี้

ราชาคางคกเห็นเช่นนั้น ก็เคืองใจนัก ทรงบัญชาให้หมู่ผึ้ง หมู่แตนซึ่งดุร้ายไปว่า

“พวกเจ้า อย่าได้ช้า รีบบินลิ่วเข้าไปขบตอดไพร่พลพระยาแถน ณ บัดเดี๋ยวนี้”

ฝูงผึ้ง ฝูงต่อและแตนเหลือง ต่างบินขึ้นสู่เวหาพร้อม ๆ กัน กลายเป็นกองทัพสัตว์ปีกมหึมา มันบินเข้าสู่กองทัพพระยาแถนแล้วกระจายกันเข้าขบตอดผู้คน ช้าง ม้า จนแตกกระเจิง แถนบางพวกซัดหอกง้าวทิ้งเสีย ก็มี บางพวกใช้มือปิดป้องโกลาหล พลางกระโดดหนี บางพวกกระโดดลงน้ำจมหาย ก็มี บ้างก็เอาผ้าจุ่มน้ำปกหัวหลบอยู่ในน้ำ ก็มี ช้างม้าแผดเสียงร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา

พระยาแถนตกใจกลัว จิตใจพะว้าพะวังนึกอะไรไม่ออก และแล้วจึงร่ายมนต์เป่าไปกลายเป็นไฟลนลวก เกิดเป็นควันกลุ้มขึ้นทั่วไป ฝูงต่อ ฝูงผึ้งตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบบินหนีกลับคืน แต่ไฟก็ยังลุกไหม้ไล่ตามและควันนั้นก็รมไปทั่ว

นับแต่ไฟแถนไหม้จุดต่อ แตน ผึ้งในครั้งนั้น คนจึงได้เป็นคู่ปรับกับสัตว์เหล่านั้นสืบมาจนบัดนี้

เมื่อไฟแถนลุกไหม้มาประจญ ทำให้ร้อนรนไปทั่ว ราชาคางคกก็ได้แต่พะวักพะวน พวกพระยาครุฑจึงพากันถ่มน้ำลายลงกลายเป็นห่าฝน หลั่งไหลตกลงมาไม่มีหยุด จนน้ำนองแผ่นดินไฟแถนจึงดับสนิท เลยเกิดเป็นแม่น้ำไหลบ่าเข้าถาโถมท่วมพวกแถน ไพร่พลแถนถูกน้ำพัดไหลล่องส่งเสียงร้องอยู่อึงมี่ บางพวกปีนป่ายขึ้นต้นไม้หนี กลัวจนตัวสั่น

พระยาแถนจึงรีบยิงธนูอาคมออกไปโดยเร็ว ลูกศรพุ่งเข้าตรงพระยาครุฑทอง ทั้งปืนก็ยิงขึ้นบนท้องฟ้าสนั่นหวั่นไหว พวกครุฑพากันอ้าปากรอพอลูกปืนเข้าปากก็รีบกลืนแล้วปล่อยให้ลูกปืนทะลุออกทางก้น กลายเป็นดวงไฟไปเผาไหม้ไพร่พลพระยาแถนร้อนรน ขี้ครุฑตกถูกช้างม้าล้มตายลงทั้งยืน ไพร่พลแถนล้มตายลงกลาดเกลื่อนประดุจหินระเกะระกะอยู่กลางแก่ง พระยาแถนจึงร่ายมนต์เป่าไปกลายเป็นปะรำเหล็กแผ่นมุงบังไว้ทุกทิศ

จากนั้น แถนเลิง แถนลอ แถนหล่อ ก็รีบเป่าช้างม้าให้ฟื้นคืนมา แล้วแถนก็ยิงธนูทองให้กลายเป็นแรด แรดก็อ้าปากร้องเกิดเป็นดวงไฟลุกไหม้ลามไปถึงไพร่พลของราชาคางคกพากันล้มตายลงเป็นจำนวนมากต่อมาก เป็นที่แค้นเคืองพระทัยของราชาคางคกยิ่งนัก พวกพระยานาคจึงพากันเอาหางเกี้ยวดวงไฟได้แล้วรีบกลืน นาคก็กลืนออกทางก้นกลายเป็นลูกปืนใหญ่ พวกมันต่างตั้งใจเบ่งออกไปดังสะเทือนเลื่อนลั่น ถูกช้างม้าไพร่พลพระยาแถนล้มตายลงก่ายกองเหลือที่จะนับจะประมาณได้ แถนจึงร่ายมนต์เป่าไพร่พลคืนมาดังเก่า แล้วพระยาแถนจึงยิงปืนทองออกไป มันดังสะท้านสะเทือนไปจรดขอบจักรวาลครื้นเครงไปทั่วท้องฟ้า ลูกปืนหมุนวนอยู่กลางอากาศแล้วเกิดเป็นหอกง้าวพุ่งลงสู่พื้น เสียบผู้คนฝ่ายราชาคางคกล้มตายลงก่ายกอง พวกครุฑจึงกางปีกออกบังประดุจดังแผ่นกระดานหิน ในขณะเดียวกัน พระยาเวสสุวัณราชาครุฑจึงร่ายมนต์เป่าผู้คนให้ฟื้นคืนมาดังเดิม

ฝ่ายพวกนาคก็พากันพ่นลมออกทางจมูก กลายเป็นเปลวไฟลุกประดุจสายฟ้า โหมไหม้กองทัพฝ่ายแถนตายลงดุจใบไม้ร่วง ทั้งช้างม้าล้มตายดารดาษ แถนจึงร่ายมนต์เป่าไปทลายเป็นฝนแสนห่า ไฟนาคจึงดับลงหมดสิ้น ไพร่พลแถนพากันอยู่เย็น จากนั้นแถนจึงร่ายมนต์เสกให้เป็นวังหินล้อมรอบแล้วจึงเป่าให้ช้างม้าไพร่พลฟื้นมาคืน

ราชาคางคกเห็นดังนั้น ไม่รอช้ารีบยิงธนูออกไป กลายเป็นสายฟ้าผ่าฟาดลงถูกวังหินแห่งพระยาแถน ลูกธนูเหาะอ้อมผ่าหินแตกสนั่นหวั่นไหวดุจเสียงฟ้าร้อง ผ่ากำแพงหินแตกกระจัดกระจาย แล้วลุกไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี ลูกศรยังซ้ำพุ่งเข้าหาไพร่พลพระยาแถน ถูกช้างม้าผู้คนล้มตายลงกลาดเกลื่อน แล้วลูกศรก็วกกลับคืนมาหาเจ้าของ ราชาคางคกรู้สึกชื่นชม

พระยาแถนท้าราชาคางคกชนช้าง

พระยาแถนมองดูไพร่พลแล้วจึงใช้มนต์เป่าให้ฟื้นคืนมา จากนั้นจึงขี่พลายเข้าหาพร้อมกับตะโกนท้าราชาคางคกว่า

“เชิญพระองค์มาชนช้างกันเถิด พอให้สว่างหัวใจ อันการใช้เวทมนต์อาคมขลังนี้ เราทั้งสองพอ ๆ กัน ไม่มีใครเกินใคร เสมอ ๆ กัน”

คราวนั้นราชาคางคก ตรัสตอบอย่างห้าวหาญพร้อมไสช้างเข้าหา

“ใครจะกลัวเล่า ในเมื่อมีมือมีตีนเท่า ๆ กัน มือก็มี ๕ นิ้วเหมือนกัน ใยจะต้องกลัวใคร”

ตรัสเสร็จขี่พระยาสารไสเข้าต่อแถนอย่างไม่เกรงกลัว เสนาอำมาตย์ต่างห้อมล้อมไปไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน มากมายเหลือล้น แถนจึงแยกช้างทรงออกจากหมู่ไสเข้าต่อกรกับราชาคางคก ทั้งแรงช้างแรงคนช่วยกันรบ ช้างก็วิ่งเข้าชนพร้อมแผดเสียงร้องก้องกัมปนาท ช้างต่อช้างเรี่ยวแรงมากพอ ๆ กัน แถนก็ยกขอขึ้นฟันผ่าอย่างเร็วยิ่ง ฟันถูกเทริดของราชาคางคกถึงกับหมวกแตกกระจาย นายท้ายกระเด็นตก ทันใดนั้นแปดหมื่นสี่พันพระยาก็โหมกันเข้าชนช้างเผือกของพระยาแถน ราชาคางคกเมื่อเห็นว่าไม่ชนะก็ทรงหยุดช้าง และถอยช้างออกมารั้งอยู่ด้านหลัง

เมื่อแถนมีชัยชนะฟันถูกหัวราชาคางคกแล้ว ก็ใช้ขอสับช้างแยกตัวถอยคืนกลับมาแกว่งง้าวพร้อมกับตรัสว่า

“นี่หากเราไม่ถูกรุมชนมากมายหลายตัวเช่นนี้ บางทีพวกท่านอาจจะเสียราชาไปเพราะง้าวของเรานี่แล้ว อวดว่าตนดีวิเศษจริงให้มาชนกันสองต่อสองดูเถิด ไฉนจึงมารีบถอยหนีด้วยความกลัวเช่นนั้นเล่า ใคร ๆ เขาก็ลือกูทั้งนั้นแหละว่าราชาแถนผู้ทรงอาคม ใครมาเผชิญหน้ากับกูมันต้องตายแน่”

ในขณะเดียวกันราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ ก็เอามือคลำหัวดูรู้สึกบวมนูนขึ้นมาเหมือนปุ่มฆ้อง จึงแข็งใจตอบแถนไปทั้งยังสั่นว่า

“คราวนี้เป็นโชคของท่านหรอก อย่าได้คุยโม้โอ้อวดเก่งนัก รอดูวันใหม่ พรุ่งนี้ท่านจักได้เห็นเอง นี่เป็นด้วยเคราะห์คราสของเรายังไม่สร่าง เหมือนมันจะส่งท้ายก่อนที่มันจะหมดเท่านั้นแหละ”

ทั้งสองฝ่ายพักรบ มอดเข้าทำลายสิ่งของฝ่ายแถน

ครั้นเจรจากันแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ตกต่ำจวนลับขอบฟ้า ต่างก็ถอยทัพแยกออกจากกัน หลั่งไหลกลับเข้าวัง พระยาแถนก็นำทัพกลับเข้าสู่วังหมดแล้ว จึงรับสั่งให้เอาหินศิลาแลงปิดประตูไว้ แล้วให้ยิงปืนใหญ่เพื่อประกาศชัยชนะเสียงดังกึกก้อง แล้วให้จัดเวรยามคอยระแวดระวัง และคอยตีฆ้องบอกเวลา เมื่อพระยาแถนเสด็จถึงพระแท่นบรรทม นางเทวีและเหล่านางสนมกำนัลก็มาเฝ้าปรนนิบัติกันพร้อมหน้า

กล่าวฝ่ายราชาคางคก ก็ไสช้างเข้าจอดเทียบเกย แล้วก็เสด็จขึ้นสู่แท่นบัลลังก์โดยมีนางทิพย์คอยเฝ้าปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ราชาคางคกจึงร่ายมนต์กดลงบนหัวที่นูนขึ้นมาพอแต่ถูกมนต์เท่านั้น หัวก็ยุบลงมาตามเดิม

นับแต่ราชาคางคกถูกง้าวแถนสับหัวจนปูดบวมในคราวนั้น หัวคางคกจึงได้เป็นปุ่มสืบมาจนบัดนี้ เราจะเห็นมีปุ่มกลม ๆ อยู่บนหัวของมัน ปรากฏเป็นทุกตัว เนื่องจากพวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ราชาคางคกนั่นเอง จริงหรือไม่ให้เราสังเกตดู

เสร็จแล้วราชาคางคกจึงรับสั่งให้โยธาหาญพักผ่อน และตรัสบอกพวกมอดหัวตัดว่า

“พวกเจ้า จงพากันไปกัดกินพวกเครื่องศาสตราวุธของพวกแถนโน้น กัดหมู่ด้ามของ้าว ขอสับช้าง ทั้งด้ามหอกดาบง้าว กัดกินให้สิ้น อย่าให้เหลือ กินทั้งสายธนู หน้าไม้ ทั้งปืนทุกอย่าง จงรีบพากันไปเดี๋ยวนี้ อย่าชักช้า”

ในทันใดนั้น ฝูงมอดหัวตัดก็รีบพากันหลั่งไหลไปเป็นกองทัพมอด เข้าไปในวังใหญ่ กัดด้ามดาบ ขอช้าง และเครื่องอาวุธ เขาก็พากันกัดกิน ธนูและสายพร้อมด้ามมีดพร้า คันจามและหอกแหลม พวกหมู่พลทหารของแถน พากันหลับไหล มอดก็เลยกัดกินเครื่องอาวุธตามสบาย

นับแต่มอดกัดกินของแถนจนหมดสิ้นคราวนั้น มอดก็เลยได้คู่ปรับนั้นสืบมาจนบัดนี้ พอแต่เห็นเครื่องไม้หรือสรรพสิ่งของบ้านเรือนก็ดี พวกมันจะพากันกัดกินจนสิ้น มันจึงได้ชื่อว่ามอดเพราะว่าแถนมอดมิดในครั้งนั้น ก็เพราะพวกมัน

ครั้นกัดกินของแถนจนหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว พวกมันจึงพากันบินฉวัดเฉวียนกลับมาทูลรายงานราชาคางคกว่า

“บัดนี้ พวกข้าได้ไปกัดกินของแถนทุกสิ่งจนสิ้นแล้ว ขอพระองค์ทอดพระเนตรพรุ่งนี้เช้าดูเถิด”

ราชาคางคกจึงตรัสว่า

“พวกเจ้าเก่งกล้านัก ไม่เสียทีที่ขันอาสากูมา”

แสงอาทิตย์พวยพุ่งขึ้นเหนือขอบเขา เรืองรองส่องสว่างไปทั่ว ราชาคางคกเตือนจัดทัพโดยเร็ว

“พวกเจ้า อย่าช้า วันนี้โชคจะเป็นของเรา พระยานาคจงมาห้อยท้ายขี่ร่มของเราจะทำให้ท่านทรงพลัง ผูกมัดแถนได้ ให้ท่านถือบ่วงนาคบาศมงคลเอาไว้ไห้ดี เตรียมรอคล้องผูกเอาแถนเมื่อเราชนช้าง พอเราทุ่มกำลังฟันง้าวใส่แถนนั้นโดยเร็ว ท่านก็อย่าช้ารีบขว้างนาคบาศใส่คอมันทันที แล้วพันเกี้ยวลากดึงเอามา อย่าได้ช้าเด็ดขาด ให้รีบดึงกลับมา”

ครั้นตรัสแล้ว เสด็จนำทัพออก พระยานาคมาห้อยท้ายร่มราชาคางคก ถือบ่วงนาคบาศวิเศษไว้มั่น พหลพลโยธาต่างแห่แหนกันมาเนืองแน่นทุกทิศ นั่งปีกซ้ายปีกขวามากมายเท่ากัน เสียงกลองสะบัดไชยตีปลุกใจทหารหาญดังกระหึ่ม ที่เห็นปลิวไสวนั่นคือธงและภู่ที่ติดด้ามดาบ เสียงลงแส้เร่งม้าอาชาไนย อาชาไนยเลยร้องเสียงแหลม พวกช้างก็ส่งเสียงร้องอึงอลกึกก้องทั่วเวหาอากาศ ทัพช้างมากมายหลายล้านล้วนมีงาสะพรั่ง ราชาคางคกนำรี้พลรุกเข้าจนประชิดวังพระยาแถน แถนก็แตกตื่นตีฆ้องโกลาหล

“ขณะนี้ข้าศึกซึ่งมีกองกำลังมหึมา ยกมาคับแผ่นดินแล้ว เตรียมทำสงครามต่อที่ทุ่งกว้างโน้น”

พระยาแถนจึงให้ตีฆ้องรวมพล กองกำลังรวมพลมากมายเหลือล้นเสร็จแล้วก็เคลื่อนทัพออกไปมืดฟ้ามัวดิน พระยาแถนส่งเสียงท้าทายว่า

“มาเถิดราชาคางคกรีบมา เมื่อวานเราได้เห็นชั้นเชิงคางคกทองแล้วเราจึงไม่รู้สึกกลัวท่านแม้เท่าใยหนึ่ง ไฉนจึงอุตริมาหาที่ตายกับกูถึงที่นี้ เมื่อวานกูก็ฟันหัวให้ทีหนึ่งจนหมวกแตกคาหัว ปานนั้นก็ยังไม่อ่อนน้อมยอมถวายเทียนแก่กู ยังว่าจะต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้ายอีก”

ตรัสเสร็จก็เสด็จขี่คอคชสารง้างง้าวทองแกว่งควงไปมาดูฉวัดเฉวียน

“เอาล่ะที่นี้ กูจะไม่ปรานี จะเอาหัวมันมารองนั่งให้ได้ ไฉนจึงมาดูหมิ่นถิ่นแคลนกูถึงเพียงนี้ มาเที่ยวข่มเหงระรานไม่ยำเกรงกันบ้าง ภายใต้ท้องฟ้ากูไม่เคยกลัวใคร แม้นจะยกกันมาทั้งแผ่นดิน กูก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย”

พระยาแถนกล่าวแล้ว ก็ไสช้างเดินหน้าเข้าหาอย่างเร่งรุด ฝูงเหล่าทหารกล้านับล้านตามแห่พระองค์ไป เสียงยิงปืนใหญ่เป็นการประกาศศึกดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งเสียงคนโห่ร้องดังอื้ออึง ทั้งเสียงแส้ขับม้าอาชาไนย ทั้งเสียงช้างครื้น ๆ นับอเนกอนันต์เต็มท้องทุ่งนา พระยาแถนก็ไสพลายเข้าหาราชาคางคก พร้อมกับร้องเรียกว่า

“มาเถิดราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ คราวนี้ปล่อยให้สองเจ้าต่อสู้กันเอง ใคร ๆ อย่าได้ไสช้างเข้ามารุมชนเหมือนเมื่อวาน ถึงแม้นมีโชคได้รับชัยชนะ ก็ไม่เป็นที่เลื่องลือไปในภายหน้า”

ทีนั้น พวกเขาก็ปล่อยที่ว่างไว้ไห้สองกษัตริย์ต่อสู้กันเอง เหล่าทหารกล้าต่างคอยยืนดูทั้งสองฝ่าย ช้างทรงทั้งสองวิ่งเข้าชนกัน ดันกันไปมา ต่างตัวต่างไม่ถอยยืนยันกันอยู่ และแผดเสียงร้องข่มกัน งางัดงา งวงเกี้ยวรัดไขว่กันไปมา ช้างต่อช้างยืนค้ำปล้ำกัน ต่างตัวต่างไม่ถอยหนี พละกำลังมากพอ ๆ กัน

พระยาแถนเสียชัยแก่ราชาคางคก

ทีนั้นพระยาแถนยกง้าวทอง เหวี่ยงฟันไปโดยแรง ราชาคางคกยกด้ามง้าวขวางรับไว้ทัน ง้าวแถนหักกระเด็นตกลงไปเบื้องล่าง ราชาคางคกพลิกง้าวเหวี่ยงฟันสวนกลับไปทันที ถูกเทริดครอบศีรษะพระยาแถนแตกกระจุย พระยานาคขว้างบาศบ่วงสวมคอพระยาแถนได้ฉับพลันแล้วก็ชักดึงบ่วงบาศทันที พระยาแถนรีบยกมือ ไหว้ว่า “ยอมพระองค์แล้ว ๆ” นาคไม่รีรอ รีบเกี้ยวกอดรัดมัดตีนรวมกันอย่างแน่นเหนียว

ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ ยกพระหัตถ์ทั้งสองกำแล้วตีหูรับกันทั้งสองข้าง

“ไหนลือว่าพระยาแถนผู้เก่งกล้า ชนช้างเก่งเหลือเกิน ทำไมถึงได้เคราะห์ร้ายปล่อยให้เขาจับตัวได้ดังตะกวดเสียเล่า ใคร ๆ เขาก็ยกย่องเลื่องลือกูนี้แหละราชาคางคก ชื่อว่าราชาผู้ยิ่งใหญ่ผู้กำชัยเหนือหมู่มาร อวดว่าตัวดีวิเศษนักหนา พูดโอ้อวดยกตนข่มท่าน เดี๋ยวจับผูกจุ่มน้ำ หรือให้เขาจับย่างจับทอดเสียเลยดีกระมัง”

ครั้งนั้น พระยาแถนเลยยกพระหัตถ์วิงวอนว่า

“หม่อมฉันขอยอมเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ด้วยเถิด หม่อมฉันจะจัดส่งน้ำฝนลงไปให้ทุก ๆ ปี”

ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ ตรัสตอบด้วยสุรเสียงที่ห้าวหาญไม่มีความกลัวว่า

“ดี ๆ ดีแล้ว พระยาแถนผู้ชิมด้ามง้าวกูเอ๋ย ก็พวกท่านเป็นคนรับใช้คอยจัดน้ำฝนลงไปให้เราแต่โบราณมาแล้ว”

คราวนั้น พวกพหลพลโยธาของพระยาแถน ต่างแตกหนีกันอลหม่าน เพราะต่างกลัวจะถูกจับฆ่าเสีย วิ่งหนีกันโกลาหล บ้างก็โยนหอกดาบทิ้งเสีย ก็มี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเห็นฝ่ายข้าศึกเอาชนะพระยาแถนของตน เห็นเขาผูกคอพระยาแถนแล้วฉุดกระชากลากดึงไป อันจักมีชีวิตรอดนั้นไม่มีหวังแล้ว ครั้นหนีกลับมาหมดแล้ว ก็ให้ปิดประตูหินไว้อย่างแน่นหนา แล้วจึงพากันขึ้นกราบทูลพระเทวีผู้เป็นพระแม่เมืองโดยละเอียด

“บัดนี้ แย่แล้ว พระเจ้าข้า พระอยู่หัวทรงเสียไชยให้แก่ข้าศึกแล้ว เขาจับตัวพระองค์ไปได้ขณะกำลังชนช้างกัน พวกเขาพูดจาเย้ยหยันพร้อมกับฉุดกระชากพระองค์ไป ไม่มีหวังว่าพระองค์จะรอดชีวิต แม้พระยาช้างมงคลที่พระองค์ทรงขี่ชนกับเขานั้นเขาก็จับเอาได้พร้อมพระองค์พระเจ้าข้า”

พระเทวีแห่งพระยาแถนได้ฟังก็ถึงกับเซล้ม พระนางก็ทอดพระองค์ลงกลิ้งเกลือกกรรแสงหาพระสวามี แม้พวกสาวสนมกำนัลชาววังสามหมื่น ก็เช่นกัน เขาก็พากันร่ำไห้ระทมทุกข์ถึงเจ้าอยู่หัวของเขาอยู่ทุกหนแห่ง เหล่าข้าราชบริพารและโยธาหาญร้อยโกฏิก็เช่นกัน ต่างพากันน้ำตาไหลรินสงสารเจ้าของเขาทุกคน

ราชาคางคกเดินทัพเข้าสู่วังหลวงพระยาแถน

ในขณะเดียวกัน ข้างฝ่ายราชาคางคกก็กำลังไชโยโห่ร้องและพากันผูกสอกพระยาแถนติดกันไว้แล้ว ยกใส่ช้างทั้งที่ศอกยังผูกคาอยู่กับโล่ทองนั้น แล้วเขาก็พากันนำกลับไปยังวังพระยาแถน

ราชาคางคกทรงช้างมงคล โดยมีกำลังพลจำนวนมากตามแห่ห้อมล้อมไปคอยระแวดระวัง เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งวังพระยาแถนประตูนั้นเขาปิดไว้สนิท ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงจากข้างในวังร้องออกมาว่า

“ราชาคางคกเอย พวกกูไม่กลัวมึงดอก เพราะมึงอาศัยไพร่พลจำนวนมากรุมล้อมเข้าข่มเหง”

จอมจักรพรรดิแห่งเมืองคน ก็ทรงอาคมวิทยายุทธการต่อสู้ทุกอย่าง ฉะนั้นพระองค์จึงทรงจับธนูยิงผ่าขึ้นไป ลูกธนูวิ่งเหาะอ้อมขอบจักรวาล เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นปานเสียงฟ้าร้อง แล้วมันก็ปักหัวลงชนปานขวานฟ้าผ่า ถูกหมู่ช้างพระยาแถนล้มตายลงกลาดเกลื่อน ถูกวังพระยาแถนซึ่งสูงถึงแปดชั้นพังทลายลงมา แล้วลูกศรก็แล่นกลับคืนมาหาราชาคางคก พระองค์ก็เก็บมันไว้ในถุง แล้วเหล่าโยธาหาญก็หลั่งไหลเข้าแห่ราชาของเขาเข้าสู่วังพระยาแถนเฒ่า

ราชาคางคกให้เทียบช้างที่เกยแล้วเสด็จลง ดำเนินขึ้นสู่ปราสาทหลังใหญ่ ตรงไปประทับนั่งลงบนบัลลังก์แก้วของพระยาแถน เหล่าเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารนั่งเฝ้าแหนเป็นแสนชั้น ราชาน้อยใหญ่ทุกเมืองขึ้นต่างเข้ารายงานตัว นางทิพย์จากอุตตรกุรุทวีปประทับนั่งเคียงข้าง ทั้งสองพระองค์เหลียวมองไปรอบ ๆ เห็นแก้วแหวนเงินทองของพระยาแถนมีอยู่เดียรดาษ มีของทุกชนิดมากมายเหลือล้น ไม่อดอยากสิ่งของ ราชาคางคกตรัสกำชับไพร่พลว่า

“เฝ้าพระยาแถนไว้ให้ดี อย่าเพิ่งปล่อยตัวไป พวกเจ้าจงใช้เชือกมัดให้แน่น ใส่ขื่อคาที่คอด้วย มัดด้วยเชือกเหล็กและบ่วงนาคบาศแล้วเอามัดติดกับต้นเสาไว้”

ไพร่พลราชาคางคกพากันผูกและมัดพระยาแถนไว้บนท้องพระโรง แล้วพากันถือหอกง้าวเฝ้าระวังอยู่เป็นหมื่น ๆ ชั้น

เทวีแห่งพระยาแถนจึงแต่งเครื่องราชบรรณาการ และเหล่าสาวสนมนางห้าสี่พันซึ่งล้วนแต่เป็นสาวแรกรุ่นขึ้นถวายราชาคางคก

“ขอพระราชทานชีวิตหม่อมฉันและพระยอดเมืองด้วยเถิด เพคะ ของทั้งหมดนี้พร้อมด้วยเงินทองและแก้วเจ็ดประการ และสิ่งของแสนโกฏิ ขอถวายแก่ฝ่าพระบาท ขอพระองค์ได้โปรดปรานี อีกทั้งช้างม้านับแสนตัว ขอน้อมถวายแก่พระองค์ ขอพระองค์ทรงเอ็นดูไว้ชีวิตด้วยเถิดเพคะ”

ราชาคางคกจึงตรัสด้วยสุรเสียงที่ห้าวหาญว่า

“ดี ดี ดีแล้ว พระเทวีคิดดีแล้วเราไม่ได้หมายจะฆ่า จะเอาพวกท่านไว้ส่งฝน เราก็ให้ผูกมัดไว้พอสมควรแก่โทษเท่าทั้น พ้นโทษแล้ว ก็จะมอบคืนให้แก่พระนาง ที่เป็นดังนี้ก็ด้วยท่านไม่ปล่อยน้ำฝนลงไปให้ เมืองชมพูขาดฝนมาเจ็ดปี แห้งแล้งจนเป็นฝุ่นผงแล้ว เอาล่ะ เราจะให้ผูกพระยาแถนไว้เจ็ดวันตามโทษก่อน พระนางอย่าได้ทรงวิตกทุกข์ร้อน แล้วเราจะมอบเมืองให้คืน”

พระเทวีทรงมีพระพักตร์สดใสขึ้น ตรัสด้วยพระเสียงที่อ่อนหวานว่า

“พระอาญามิพ้นเกล้า พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของหม่อมฉัน ขอพระกรุณาได้โปรดปรานีในคราวยาก หมดทั้งเมืองนี้ขอน้อมถวายให้พระองค์ทรงครอบครอง ขอเพียงไว้ชีวิตเจ้าแถนฟ้า อย่าให้พระองค์ต้องตายเลย”

ครั้นนางทูลแล้ว ยอพระกรก้มกราบ ๓ ที แล้วก็เสด็จขึ้นสู่ปรางค์ปราสาท ในพระทัยของนางรู้สึกคลั่งแค้นเมื่อนึกถึงพระสวามี

รางวัลสงคราม

เมื่อพระสุริโยเคลื่อนคล้อยลงลับขอบฟ้า เหล่าสาวสนมนางฟ้าซึ่งมีความงาม ผิวเนื้ออ่อนละมุน จำนวน ๔ พันนางเฝ้าบำเรอราชาคางคก พระองค์ทรงเชยชมนางทุกคน ทั้งราชาผู้ตามเสด็จแปดหมื่นสี่พันพระยา ก็พากันชมเสน่หานางฟ้าอย่างสำราญพระทัย ถึงพวกทหารหาญมากมายหลายแสนหลายล้าน ต่างก็เสพสมเหล่านางฟ้าจนอิ่มใจ แม้พวกครุฑนาคที่ทรงวิทยาคมมีฤทธิ์ ก็พากันเนรมิตตนเป็นคนเสพสมเหล่านางฟ้า

วันเวลาล่วงไปเจ็ดวัน ราชาคางคกจึงให้พระยานาคแก้บ่วงนาคบาศจากคอพระยาแถน แล้วก็มอบพระราชวังคืนแก่พระยาแถน ส่วนพระองค์เสด็จไปประทับที่พลับพลาที่ท้องสนามหลวง เหล่าข้าราชบริพารก็ตามเสด็จแห่แหนหลายล้าน รวมทั้งนางทิพย์และเหล่าสาวน้อยนางฟ้าอีก ๔ พัน พระองค์ประทับบนบัลลังก์แก้วที่พลับพลา เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมระบำรำฟ้อนดังครื้นเครง

กล่าวฝ่ายชาวแถนทั้งหลายต่างก็หลั่งไหลกันมาสู่ขวัญพระยาแถน เหล่าเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพาร ต่างพร้อมใจกันประดับตกแต่งปรางค์หลังใหญ่ และถวายพระพรชัยด้วยความชื่นชมยินดีว่า

“นับแต่บัดนี้ พระองค์หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ขอจงทรงเจริญพระชนม์ยิ่งยืนนานหมื่น ๆ ปี”

ข้าราชบริพารนับแสนนับโกฏิ พร้อมใจกันดื่มเหล้าถวายพระพร พระยาแถนประทับบนบัลลังก์คืนสู่การเสวยราชย์ด้วยความยินดี ทรงมีพระสุรเสียงแจ่มใสว่า

“นึกว่าจะตายเสียแล้ว ตอนที่ชนช้างกับราชาคางคกนั้น เขาก็จับกุมเราได้ พูดจาประหนึ่งว่าจะฆ่าเราจริง ๆ แต่บัดนี้ท่านโปรดไว้ชีวิตและคืนเสวยราชย์ดังเดิม ควรที่เราทั้งหลายช่วยกันจัดส่งน้ำฝนลงไปให้อย่าได้เกียจคร้าน”

เสนาทั้งหลาย กราบทูลว่า

“พระองค์อย่าได้ทรงลำบากพระทัยด้วยเรื่องจัดส่งน้ำฝนเลยพระเจ้าข้า การที่ราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ ทรงโปรดเมตตาไว้ชีวิตในครั้งนี้ ก็ด้วยบุญของพระองค์ยังตามคุ้มครองช่วยให้พ้นความตาย อีกทั้งราชาคางคกก็ทรงทศพิธราชธรรมโดยแท้ จึงทรงมีความเอ็นดู หากพระองค์ไม่คิดจะเลี้ยงไว้ รับสั่งให้ประหารเสีย ก็จะมีใครหาญสู้พระองค์ได้ บุญบารมีของพระองค์ด้วยที่ได้ทรงสร้างสมมาหลายภพชาติ จักทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นต่อไป”

เสร็จจากพิธีสู่ขวัญบายศรีแล้วพระยาแถนก็เสด็จไปยังท้องสนามหลวง เพื่อเข้าเฝ้าราชาคางคก ริ้วขบวนถือพานทองหลั่งไหลกันไป มีข้าราชบริพารแห่แหนไปนับล้าน ๆ เมื่อไปถึงแล้วพระยาแถนก็นั่งพนมมือ กราบทูลว่า

“ขอพระองค์ทรงประทานโอวาทแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”

ราชาคางคกตรัสสอนพระยาแถน

ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่ห้าวหาญว่า

“ดี ๆ แล้ว พระยาแถนคิดถูกแล้วที่กล่าวเช่นนี้เราจักเตือนท่านผู้เฒ่าให้จดจำไว้เถิด ธรรมดาว่าเป็นแถนนี้ ให้คอยรักษาคนในโลก คอยดูเหตุการณ์ดีร้ายในโลกมนุษย์ หากเห็นเคราะห์ถูกต้องใคร ก็ควรหาทางเตือนให้เขารู้ เขาจะได้หาหมอมาแก้บูชาเอาโชคลาภ เมื่อแก้เคราะห์ตกแล้ว เขาจะได้มีอายุมั่นขวัญยืน

อีกประการหนึ่ง ท่านอย่าได้ห้ามฝูงนาคในมหาสมุทร ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปฟาดหางลอยเล่นยังสระคงคาเถิด นับแต่พวกนาคได้ลงเล่นน้ำ จะทำให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูทุก ๆ ปี และน้ำนั้นจะเป็นน้ำฝนจากฟ้าที่ราดรดพื้นนาในโลกคนให้ชุ่มฉํ่า ฝูงต้นข้าวกล้าจะชูช่อเขียวสดยืนต้นไสว ชาวโลกก็จะพากันยกย่องสรรเสริญ ระลึกถึงคุณของท่านเป็นอันมาก เพราะว่าท่านได้ส่งน้ำฝนลงไปให้โลกได้ชุ่มชื้น ชมพูทวีปนั้นเป็นโลกที่ประเสริฐ เพราะเป็นที่บังเกิดแห่งพระสัพพัญญูเจ้า คนจึงได้พากันก่อสร้างกองการกุศลมากมาย เมื่อเขาเห็นคุณของท่านพระยาแถนที่ช่วยรักษาโลก เขาก็จะพากันหยาดน้ำตั้งใจอุทิศส่วนบุญให้ท่าน เพื่อเป็นการตอบแทนคุณ ตัวท่านก็จะมีอายุยืนยาว ปกครองเมืองแถนอย่างเป็นสุขด้วยบุญที่ชาวโลกอุทิศให้

อนึ่งถึงแม้นท่านจะทรงความรู้วิทยาคมทุกสิ่งก็ดี ก็อย่าได้อวดเก่งว่าตนวิเศษนัก นักปราชญ์ที่ท่านรู้ขนบประเพณีอันถูกต้อง บางครั้งท่านก็ยังนิ่งเสียไม่เที่ยวโอ้อวด เพราะท่านกลัวว่าจะกลายเป็นภัยมาถึงท่านเมื่อภายหลัง ที่คิดว่าเป็นคุณก็จะกลับเป็นโทษ แม้นตัวจะรู้นิ่งไว้ได้จึงจะดี ถึงจะทรงวิทยาอาคมศาสตร์เพทก็ดี ก็ไม่มีใครรู้ใคร ต่างครูก็ต่างกัน ถึงเขาจะทรงอาคมทุกอย่าง บางทีเขาอาจจะกลัวเราก็เป็นได้ ดีก็แต่อ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนกิ้งก่าตัวมอม ๆ ทำตัวเหมือนกลัวเขาเผื่อ ๆ ไว้บ้าง

เหล่าครุฑนาคนี้ ต่างทรงวิทยาอาคมมีฤทธิ์กันทั้งนั้น อย่าได้ท้าทายเขานัก ควรเกรงเขาบ้าง เป็นสัตว์แต่ตัว เชื้อชาติชั้นต่ำเท่านั้น แต่เขาเหล่านี้ล้วนทรงวิทยายุทธ มีฤทธิ์แก่กล้าพอ ๆ กับพระอินทร์ทีเดียว ถึงตัวเราราชาคางคก เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ก็ยังทำตัวน้อยเท่ากิ้งก่า ยามเมื่อออกจากครรภ์พระมารดาก็ออกมาด้วยรูปคางคกทองตัวน้อย เป็นด้วยกรรมที่เคยทำมาของผู้มีปัญญามาก แต่เมื่อใดบุญหนุนส่งก็สามารถประจญจนได้รับชัยชนะทั่วทุกแดนเลยนะท่าน”

ให้แถนปลูกข้าวเม็ดเท่าลูกมะพร้าว

ครั้นตรัสสั่งสอนแถนแล้ว แถนก็ยกมือพนมน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ราชาคางคกจึงตรัสบอกพระยาแถนอีกว่า

“ท่านจงลงไปปลูกข้าวรวงใหญ่ไว้ในนาเถิด”

แถนรับคำราชาคางคกว่า

“พระองค์มีพระประสงค์ข้าวรวงใหญ่ขนาดไหน อนึ่งเม็ดข้าวนั้นจะให้ใหญ่เท่าไร ขอพระองค์กะขนาดตามพระประสงค์ให้ด้วย”

ครั้นพระยาแถนกราบทูลเช่นนั้น พระยาเห็นเลยบอกแทนราชาคางคกว่า

“พันธุ์ข้าวบนแผ่นดินโน้น ให้รวงยาวเท่าหางข้าน้อยนี้ ก็คงพอนะ พระเจ้าข้า”

ราชาคางคกได้ยินก็ทรงกริ้วและบริภาษว่า

“ไอ้เก้งก้าง ใครบอกให้มึงพูดก่อนกู”

อีเห็นหลบด้วยความกลัว พร้อมกับนอนหมอบประนมมือขึ้นเหนือหัว เหมือนมันถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวเมื่อหน้าแล้ง

จากนั้นพระยาเสือจึงทูลว่า

“ให้เท่าหางข้าน้อยนี้ ก็คงพอนะพระเจ้าข้า”

ราชาคางคกก็กริ้วอีกและบริภาษว่า

“ไอ้โค่งโม่ง มึงจะรู้อะไร”

เสือถอยหลบด้วยความกลัว นอนหมอบดูทะมึนเหมือนมันถูกเขาเอาขวานสับหัวตายจนตัวแข็งทื่อ จากนั้นราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ จึงบอกให้พระยาแถนรู้ขนาดว่า

“ก้อนเม็ดข้าวให้เกิดเต็มนา รวงของมันให้ทั้งใหญ่และยาว ให้ยาวประมาณ ๓ วาเรา จึงจะเหมาะสมแก่ธรรมเนียม ให้เม็ดมันใหญ่เท่าลูกมะพร้าว ต้นมันให้เท่าลำตาล ขนาดนี้จึงจะเหมาะสมกับยุคของเราซึ่งมีอายุยืนยาวมาก และอย่าต้องให้คนไปหาบมาใส่ยุ้งเลย เม็ดไหนหล่นจากขั้วแล้วให้มาสู่ยุ้งเองทุก ๆ รวง ยามเมื่อถึงระดูปีเดือนที่ข้าวแก่แล้ว ให้คนทั้งหลายปลูกแต่ยุ้งรอรับเอาเท่านั้น พอหล่นจากขั้วก็ให้เร็วรี่ด่วนมาหายุ้งเหมือนดังมันมีวิญญาณ นะท่านพระยาแถน”

ครั้นราชาคางคก บอกหมายให้แถนรู้ดังนั้น แถนก็ทูลรับพระบัญชาว่า

“ได้เลยพระเจ้าข้า หม่อมฉันจะจัดแจงทุกสิ่งให้พร้อมตามคำบัญชาของพระองค์มิมีลืม”

ทูลแล้วก็ลากลับพระตำหนักโดยมีเหล่าเสนาแห่แหนมาจนถึงห้อง แถนก็ประทับแท่นแก้วเสวยทิพย์สุข โดยมีเหล่าสาวสนมหมื่นนางอยู่เคียงข้าง พร้อมทั้งพระเทวีผู้ทรงสิริโฉมทั้งแปดนาง มาคอยเฝ้าบำเรออยู่มิห่างกาย พัดจามรถูกโบกสะบัดไปมาอยู่ไหว ๆ พร้อมทั้งเสียงขับกล่อมจากเครื่องดนตรีอื้ออึงดังเสียงฟ้า

นับแต่ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่รับสั่งให้ผูกพระยาแถนฟ้าใส่ขื่อคาจองจำไว้นั้น ต่อมาผู้ที่ได้ขึ้นครองราชย์ในโลกเรานี้จึงได้สร้อยพระนามว่า “เจ้าฟ้า”เป็นคู่กันสืบมาจนบัดนี้

ราชาคางคกเสด็จคืนสู่โลกมนุษย์

จากนั้นชาวชมพูต่างพร้อมใจกันทูลราชาคางคกให้รีบเสด็จกลับสู่บ้านเมือง พระองค์จึงรับสั่งตระเตรียมเพื่อเดินทางกลับ

“เอาล่ะ บัดนี้เราก็ได้รับชัยชนะแล้ว และพระยาแถนก็ขอส่งส่วยแก่เรา ท่านทั้งหลายจงรีบพากันเตรียมตัวให้พร้อมเถิด เราจะกลับคืนสู่ชมพูทวีปแล้ว เมื่อเตรียมช้างม้าพร้อมแล้วก็รีบลงได้เลย”

เสียงกลองสะบัดไชยถูกตีดังกึกก้อง เสนาอำมาตย์ไพร่พลต่างเตรียมขบวนออกไปรอข้างหน้า ราชาคางคกเสด็จประทับพระยาช้างพร้อมทั้งนางทิพย์นั่งร่วมอยู่บนหลังช้างกับพระองค์ เหล่าสาวสนมโฉมงามซึ่งเป็นนางฟ้า พระองค์ก็นำลงไปพร้อม ๔ พันนาง ฝูงหมู่แก้ว ๗ ประการมีค่านับแสนโกฏิ ก็ให้ขนใส่ช้างลงไป เหล่าทหารกล้านับอนันต์พวกเขาก็พากันเอานางฟ้าไปเป็นเมียสิ้นทุกคน นางฟ้าทุกคนล้วนงดงามทั้งสิ้น บางคนได้นางฟ้าเป็นเมียสองนางบ้าง สามนางบ้าง สี่นางบ้าง บางคนได้นางฟ้ามากล่อมนอนถึง ๕ คนก็มี พวกเงินทองกองแก้วในเมืองแถนนั้นมีมากมายนัก ต่างพากันขนใส่ช้างทุกตัวตามความพอใจ ต่างก็ยินดีที่ได้สิ่งของต่าง ๆ ของเมืองแถน ลูกแก้วแต่ละลูกล้วนเปล่งประกายงดงาม

ริ้วขบวนกองทัพของราชาคางคก พากันหลั่งไหลลงสู่โลกมนุษย์ดุจสายน้ำ พวกเขาแห่แหนพระองค์เนืองแน่นทั้งด้านขวาด้านซ้าย พลร่มพากันกางสัปทนขาวเดียรดาษ ชาวเมืองแถนพากันมองดูด้วยความตื่นตะลึง เหมือนดังองค์อินทร์เสด็จลงจากสวรรค์ไม่มีผิด แม้นางทิพย์ที่ประทับอยู่เคียงข้างก็งดงามดุจกัน

“นี่ ชาวเราต่างจ้องมองไม่กระพริบตาเลยเชียวหนอ นี่คงเป็นด้วยบุญของพวกเราจึงได้เห็นทั้งสองพระองค์ท่าน”

ราชาคางคกยกพหลพลโยธาลงมาโดยรีบเร่ง คลื่นขบวนหลั่งไหลลงพร้อม ๆ กัน นับเป็นเวลานานได้ถึง ๓ ปีเต็ม ๆ จึงลงมาถึงบ้านเมืองในโลกมนุษย์ ราชาคางคกก็รับสั่งให้เคลื่อนพลเข้าพักภายในเมือง แก้เครื่องช้างไว้ที่ร้านโรงแล้วก็เสด็จขึ้นประทับบนพระแท่นบัลลังก์ นางทิพย์ก็ประทับเคียงข้างไม่ห่างพระกาย สาวสนมนางฟ้าโฉมงามเดียรดาษ ต่างมาเฝ้าห้อมล้อมแกว่งวี หมู่อำมาตย์ข้าราชบริพารเฝ้าแหนอยู่เนืองแน่น ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมอยู่อื้ออึงครื้นเครง

จากนั้นพระชนกและพระชนนี มารับเสด็จทรงชื่นชมบารมีของพระโอรส

“มาถึงแล้วหรือ สายใจของแม่ พ่อแม่ทั้งสองเฒ่าอยู่ทางนี้เฝ้ารอคอยการกลับมาของเจ้านานเหลือเกิน นึกว่าพระยาแถนเขาชนะจับเจ้าไปประหารชีวิตเสียแล้ว บัดนี้เจ้ากลับมาถึงบ้านได้เห็นหน้าแม่ก็ดีใจแล้วละลูก”

ราชาคางคกจึงทูลพระชนกพระชนนีว่า

“เป็นเพราะบุญของท่านทั้งสองช่วยตามปกป้อง จึงทำให้ลูกได้รับชัยชนะ พระยาแถนยอมอ่อนน้อม พระเจ้าข้า ลูกก็จับแถนฟ้ามัดใส่ขื่อคา แถนจึงยอมอ่อนน้อมเพราะกลัวตาย ยอมเห็นเมืองขึ้นถวายส่วย ลูกจึงเมตตาไว้ชีวิตและปล่อยเขาไปโดยให้แก้บ่วงบาศออกจากคอ แถนก็ยอมทำตามคำสั่งเพราะกลัวบุญบารมีของลูก ยอมจัดส่งน้ำฝนลงมาให้เพื่อให้ผืนนาได้ชุ่มฉํ่าเป็นการเลี้ยงชาวโลก นับแต่นี้พระมารดาไม่ต้องกังวลพระทัยอะไรอีกแล้ว พระเจ้าข้า พวกเราจะมีแต่ความสุขพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง รักษาศีลให้ทานไปตามอัธยาศัยนะพระเจ้าข้า เสด็จพ่อ”

ทั้งพระชนกและพระชนนี ต่างอิ่มเอมพระทัยจึงตรัสกับลูกว่า

“ดีแล้วลูกรักของพ่อ พ่อแม่ทั้งสองเฒ่านี้ จะได้อยู่เห็นสุขด้วยบุญบารมีของเจ้าคุ้มครอง ต่อแต่นี้เจ้าจงเสวยราชสมบัติ เป็นราชาที่มีพระชนมายุยืนยาวจวบจนแก่เฒ่า มั่นคงอยู่ตลอดชั่วอายุขัยแสนปี มีแต่ความสุขเสมอพระอินทร์ผู้เห็นใหญ่ นะลูก”

ครั้นพระองค์ตรัสถวายพรแล้ว พระโอรสตรัสตอบว่า

“ดี ดีแล้ว พระเจ้าข้า ถึงพระองค์ทั้งสอง ก็จงมีพระชนมายุยืนยาวตลอดอายุขัยแสนปีเถิด พระเจ้าข้า” พระบิดาและพระมารดา ตรัสให้กำลังใจพระโอรสแล้ว เห็นได้เวลาสมควรจึงเสด็จกลับพระตำหนัก

ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล

เมื่อถึงเดือน ๕ ซึ่งเริ่มต้นปีใหม่ ฟ้าก็ร้องครื้น ๆ ดังทั่วสารทิศ ไม่ช้าฝนก็เทลงมาไม่ขาดสายกลายเป็นน้ำเจิ่งนองไปทั่ว แถนจึงนำเอาข้าวจากบนฟ้าลงมาปลูกให้เต็มทุ่งกว้าง ทั่วทุกท้องนาสะพรั่งไปด้วยต้นข้าวแตกเป็นกกเป็นกอใหญ่สูงเขียวขจี กกของมันใหญ่เท่าต้นมะพร้าว ยอดสูงถึงปลายต้นตาล ชาวชมพูได้เห็นก็พูดกันว่า

“พวกเราคงต้องใช้ขวานใช้มีดฟันกกมันให้โค่นลงเสียก่อน เราจึงจะกินข้าวของแถนได้”

เมื่อถึงหน้าเดือน ๑๒ มาถึง ข้าวก็แก่เม็ดมันใหญ่เท่าลูกมะพร้าว รวงเท่ากระพ้อมขนาดใหญ่ ราชาคางคกจึงรับสั่งให้ประชาชนสร้างยุ้งฉางทุกครัวเรือน ข้าวนั้นครั้นหล่นจากขั้วแล้วก็ลอยละลิ่วมาอยู่จนเต็มยุ้งฉางมากมายล้นเหลือ ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยบุญญาธิการของราชาคางคกนั่นเอง ฝูงไพร่ฟ้าประชาชนทุกหนแห่งต่างแซ่ซ้องสาธุการ

ในยุคนั้น ผู้คนมีชีวิตอยู่ได้แสนปีเป็นอายุขัย ทุกคนมีแต่ความสุขด้วยได้พึ่งบุญบารมีของราชาคางคกตลอดมา

เมื่อพระชนกและพระชนนีของพระองค์มีพระชนม์ได้แสนปีก็เสด็จสวรรคต ทั้งสองพระองค์สวรรคตแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ ทรงบันเทิงอยู่ด้วยความสุขในเมืองฟ้า ถึงราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่และพระเทวีผู้เป็นนางทิพย์ ต่างก็ดำรงอยู่จนถึงแสนปีจึงสวรรคต ทั้งสองพระองค์สวรรคตลงพร้อม ๆ กันแล้วก็ไปบังเกิดในเมืองสวรรค์ ต่างบันเทิงสุขอยู่ในเมืองฟ้า เมื่อหมดบุญราชาคางคกแล้ว ของทิพย์ทั้งหลายก็อันตรธานหายไปสิ้นไม่มีเหลือ

พันธุข้าวพระยาแถนหายไปจากโลก

เมื่อกาลเวลาล่วงไปนานเข้าๆ ก็มีอันแปรเปลี่ยน คนก็เกิดความเกียจคร้านพากันสร้างยุ้งไม่ทันพอข้าวแก่ ออกสีทองเต็มท้องนาแล้ว คนจึงค่อยพากันหยิบมีดหยิบขวานไปฟันต้นไม้มาทำเสายุ้ง ข้าวก็หล่นจากขั้วมาอยู่เต็มบ้านเรือน คนก็หาที่จะอยู่จะนอนไม่ได้ จากนั้นพวกขี้เกียจอับปัญญาไร้วาสนา ก็พากันโกรธฉุนเฉียว พากันสับพากันฟันกองข้าว แถนมองลงมาเห็นคนถ่อยเหล่านั้นเข้า ก็นึกเคียดเหล่าคนชั่วคนบาปหนา แถนจึงไม่ลงปลูกข้าวเม็ดใหญ่ในเมืองคนอีก ข้าวจึงอันตรธานหายไปเสีย ไม่ปรากฏให้เห็นในบัดนี้ พันธุ์ข้าวเม็ดใหญ่เท่าลูกมะพร้าว อันตรธานหายไปสิ้นเพราะคนชั่วช้าอัปรีย์จัญไรโดยแท้ เมื่อก่อนสมัยโบราณก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยโบราณจะหวงแหนเก็บไว้ในยุ้งข้าว เพื่อเป็นขวัญข้าวสืบ ๆ ต่อกันมา

ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดเล่น ๆ แกล้งขีดแกล้งเขียนนะท่านทั้งหลาย มันเป็นนิทานจากธรรมของพระพุทธเจ้า ราชาคางคกขึ้นไปถึงฟ้าคราวนั้น เลื่องลือสืบต่อ ๆ กันมา เครือเขาเถาวัลย์ของเขากาดในครั้งนั้น เลยเกิดเกาะเกี่ยวพันกันขึ้นเป็นทางไปถึงเมืองแถนได้ เพราะภูเขาที่ราชาคางคกให้ทำเป็นทางขึ้นนั้น กลายเป็นดินฝังรากลึกลงไป เกิดเถาวัลย์ขนาดใหญ่เกี่ยวพันกันขึ้นไปสูงลิบ ๆ ต่อมาเหล่ามหาราชาในโลกมนุษย์ทุก ๆ องค์ ต่างก็ใช้ทางนั้นขึ้นไปยังเมืองฟ้าแล้วต่างก็เรียนเอามนต์วิเศษทุกสิ่งทุกอย่างจากพวกแถน เมื่อเรียนจบได้ศิลปศาสตร์แห่งมนต์วิเศษแล้ว ก็ลงมาอาศัยเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์แล้วก็สั่งสอนมนต์วิเศษสืบต่อ ๆ กันมา แม้เจ้าสังคีบแห่งมนต์วิเศษแล้ว ก็ลงมาอาศัยเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพาน แล้วก็สั่งสอนมนต์วิเศษสืบต่อ ๆ กันมา แม้เจ้าสังคีบและเจ้าสิมพลีจัน ต่างก็ทรงศิลปศาสตร์อาคมขลังของประถมครู เพราะพระฤาษีเจ้าซึ่งเป็นบิดาของคนทั้งสอง ได้วิชามาจากพระยาแถนผู้เป็นประถมครูแล้วจึงถ่ายทอดสืบ ๆ ต่อกันมา แม้พระกึดและพระพานผู้ทรงวิทยาคมก็เช่นกัน พระฤาษีท่านสอนความรู้ให้ทุกคน แม้พระยากาบินผู้เลื่องลือด้วยวิทยาอาคมก็เหมือนกัน ต่างได้รับความรู้มาจากพระฤาษีสิ้นทุกคน

ต่อมาราชาต่างๆในโลกเรานี้ เขาก็มีวิทยาอาคมเสมอเหมือนกัน จึงบังเกิดความเก่งกล้าก้าวร้าว อวดวิเศษแก่กัน ไม่มีใครยำเกรงใคร ต่างเก่งกล้าท้าทายทำสงครามกันไปทั่ว พระยาแถนเหลียวลงมาดูเห็นคนอาธรรม์ฝูงบาปเหล่านั้น พระยาแถนก็นึกเคียดพวกบาปหนาเหล่านั้น จึงยิงธนูวิเศษทำลายภูเขากาดซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เมืองฟ้าเสีย ภูเขากาดนั้นก็พังทลายลงแตกกระจัดกระจายไปทั่วโลก เกิดเป็นภูผาดารดาษไปทั่วโลกจนบัดนี้ ภูเขาเหล่านั้นล้วนมาจากภูเขากาดซึ่งพังทลายลงในครั้งนั้น

อันนี้เป็นต้นเหตุนิทานทางภูเขากาดนะท่านทั้งหลาย มันเคยเป็นทางขึ้นสู่ฟ้าของราชาคางคกมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ และนี้คือเรื่องราวของหนังสือคันคากซึ่งนักปราชญ์เจ้าแต่บรรพกาลได้แต่งขึ้นจากพระธรรมที่ประเสริฐสุด มีอยู่ในปัญญาสชาดกโน้น ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเทศนาไว้

ท้ายเรื่องนี้ เราจะนำเอาบุคคลในอดีตนิทานมาเทียบให้ท่านทั้งหลายได้เห็น ใครมีปัญญาก็จดจำเอาไว้ พระมหาราชาเอกราชในครั้งนั้นก็คือพระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเป็นพระพุทธบิดาในครั้งนี้ พระนางเอกราชในครั้งนั้น ก็คือพระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็นพระพุทธมารดาในครั้งนี้ นางทิพย์จากอุตตรกุรุทวีปในครั้งนั้น ได้แก่เจ้าหญิงยโสธราเทวี ในครั้งนี้ ราชาคางคกผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น ได้แก่พระโคตะมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งนี้ ส่วนเหล่าเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารโยธาหาญแสนโกฏิในครั้งนั้น ก็คือพุทธบริษัททั้งสี่สืบมาในบัดนี้

เป็นอันสิ้นสุดเรื่องราวเท่านี้นะสาวเจ้าทั้งหลายเอ๋ย คัดลอกเสร็จเมื่อเวลาเย็น เดือน ๘ แรม ๑๒ ค่ำ วันอังคารปี... ท่านกันหาเป็นผู้เขียน ขอให้ได้อานิสงส์ผลบุญมาก ๆ ด้วยเถิด เจ้าข้า ฯ

จบบริบูรณ์



[๑] ต้นฉบับว่า “ยื่นมือเหียนก้อย”

[๒] หมีใหญ่ หมียักษ์

[๓] อีเห็นอกด่าง

[๔] ฤกษ์บนเป็นราชาฤกษ์

[๕] ต้นฉบับเขียนว่า “สีฮง”

[๖] ต้นฉบับเขียนว่า “อาฮง”

[๗] ต้นฉบับว่า “เหมือย”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ