บทที่ ๒๒ ลาจากอเมริกา

ข้าพเจ้าออกเดิรทางแต่ผู้เดียวจากนิวยอร์คมาที่สถานทูตวอชิงตัน และเป็นการเดิรทางโดยลำพังครั้งแรกตั้งแต่ไปรักษาตามาแล้ว ข้าพเจ้าไปเรียนเจ้าคุณทูตฯ ให้ทราบว่าต้องการจะกลับบ้าน เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนต่อไปได้อีกในมหาวิทยาลัยยอร์ชเทาน ข้าพเจ้าก็ได้หยุดมาแล้วตั้งแปดเดือน และอย่างน้อยก็จะต้องพักไปอีกไม่น้อยไปกว่าหกหรือเจ็ดเดือนจึงจะสามารถตั้งต้นทำงานได้อีก เจ้าคุณทูตฯ เป็นผู้ที่มีใจเมตตาสงสารคนอยู่มาก แต่ก็ไม่เคยแสดงให้เห็นออกนอกหน้า ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วถามข้าพเจ้าว่า :

“ทำไมเธอไม่คิดเรียนอย่างอื่น กฎหมาย พาณิชการ หรืออะไรเช่นนั้น? เธอเป็นคนมีหัวดีนะ วิสูตร์ อีกประการหนึ่งเธอก็เชื่อไม่ใช่หรือว่าสำหรับเธออยู่เมืองอเมริกาสนุกกว่าอยู่เมืองไทย?”

ข้าพเจ้าจ้องดูเตาไฟซึ่งลุกเป็นประกายอยู่ตรงหน้า คิดอยู่สักครู่ก็เรียนตอบไปว่า “เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าจะต้องกลับไปเมืองไทย ผมออกจะไม่นึกเช่นนั้นเสียแล้ว ความขมขื่นต่างๆ ที่ผมจะได้รับในเมืองไทยอาจดีสำหรับผมต่อไปก็ได้ เป็นบทเรียน...เป็นสุภาษิตสอนใจ อีกประการหนึ่ง ผมเบื่อการเล่าเรียนเหลือเกิน อายุผม ๒๗ ปีนี้......และรู้สึกแก่เกินที่จะเรียนเสียแล้ว”

“เธอรู้สึกเสียใจบ้างไหม” เจ้าคุณฯ ถามพลางทอดกายลงบนเก้าอี้นวมยาว “ว่าเธอไม่ได้มาเรียนอะไรที่เป็นแก่นสาร ไม่มีดีกรี หรือ ‘ดิสติงชัน’ อะไรให้เขาเห็น วิชชาหนังสือพิมพ์อาจไม่มีประโยชน์สำหรับเมืองไทยเวลานี้เลยก็ได้”

“แต่อาจมีประโยชน์สำหรับผมมากนะครับ เจ้าคุณ” ข้าพเจ้าตอบสวนควันขึ้นโดยเร็ว “เปล่า ในการที่ผมไม่ได้เรียนกฎหมายหรือวิชชาอื่น เป็นความสัตย์ ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจเลย ความจริงผมออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำ. เพราะผมเชื่อว่าไม่มีวิชชาอะไรที่ดีไปกว่าหนังสือพิมพ์ …… สำหรับชีวิตและความเป็นอยู่ของผมต่อไป”

“เธอตกลงใจแน่ละหรือ” ท่านถามเมื่อนิ่งไปแล้วสักครู่ “ว่าเธอต้องการจะกลับบ้าน ไม่ต้องการจะเรียนต่อไป?”

“ตกลงใจแน่แล้วครับ”

“ฉันจะได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต”

“แต่สำหรับการเดิรทางกลับ ผมขออนุญาตกลับกับเซอร์เปอร์ซีเวิลฮัมเฟรย์นะครับ เซอร์เปอร์ซีเวิลรับรองจะพาผมไปส่งถึงสิงคโปร์”

“ยังงั้นก็ดีซี ทางนี้ไม่ขัดข้องอะไรเลย ฉันจะได้มอบเงินค่าเดิรทางของเธอให้เซอร์เปอร์ซีเวิลไปเสียทีเดียว” เจ้าคุณวิชิตฯ ก็คงเช่นเดียวกับราชทูตไทยอื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่ปกครองดูแลนักเรียนทั้งหลายอันเป็นหน้าที่สำคัญส่วนหนึ่งของการเป็นทูต ท่านได้เห็นการไม่สำเร็จผล ความไม่สามารถที่จะเรียนให้บรรลุผลได้มาแล้วหลายราย บางรายก็เศร้าจนเหลือที่จะพรรณนาได้ถูก แต่เจ้าคุณวิชิตฯ ได้ทำใจให้แข็งกะด้างเป็นเหล็กเสียแล้ว แม้ว่าจะมีเรื่องเศร้าชะนิดใดปรากฏขึ้น ท่านก็ยังคงยิ้มละไมได้เสมอ แต่ข้อที่ท่านจะสงสารนักเรียนผู้เคราะห์ร้ายหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าภายในความรู้สึกอันแท้จริง ท่านก็คงสงสารอยู่บ้าง.

กล่าวคำขอบพระคุณแล้วข้าพเจ้าก็ลาท่านลงไปข้างล่าง ขณะที่เดิรลงบันได ข้าพเจ้าได้ยินเสียงใครเล่นปีอาโนเพลงอันไพเราะบทหนึ่งของเออร์วิงเบอร์ลิน ผู้เล่นเป็นคนมีความสามารถเพราะเสียงดนตรีดังอย่างชัด อ่อนโยนน่าฟังที่สุด.

ยืนอยู่ที่ประตูก่อนจะออกไปจากสถานทูต ข้าพเจ้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจ อยากจะทราบว่าผู้ที่กำลังเล่นปีอาโนนั้นเป็นใคร จึงเดิรย่องเข้าไปในห้องรับแขก พอเห็นก็ตกตะลึง เพราะผู้ที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่นี้คือ จุไร ! หล่อนลุกขึ้นต้อนรับข้าพเจ้า เราจับมือกัน หล่อนถามข้าพเจ้าเป็นเชิงล้อว่า: “เธอลงมาห้ามหรือคะ? ฉันเล่นปีอาโนหนวกหูเกินไปกะมัง”

“เปล่า จุไร” ข้าพเจ้าตอบแล้วยิ้ม “ฉันต้องการจะมาฟังเธอเล่นดนตรีอีกสักครั้งหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าฉันอาจไม่มีโอกาสได้ยินอีกก็ได้”

“เอ๊ะ ทำไม?” หล่อนถามอย่างฉงน.

“ฉันจะกลับบ้าน” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันจะกลับเมืองไทย”

“นัยน์ตาของเธอให้ความลำบากแก่เธอมากหรือคะ บอบบี้” หล่อนถามพลางชะม้อยสายตาดูข้าพเจ้าด้วยแววเนตรอันเต็มไปด้วยความสงสาร “ฉันเสียใจสำหรับเธอเหลือเกิน พวกเราอยู่ทางนี้จะต้องคิดถึงเธอมากเมื่อเธอไปเสียแล้ว”

“ขอบใจมาก จุไร ที่เธอมีความรู้สึกสำหรับฉันเช่นนั้น เธอทำให้ฉันปลื้มใจและเป็นสุขมากทีเดียว” ข้าพเจ้ากล่าว “ไปนั่งกันเถิด”

เราไปนั่งเคียงคู่กันอยู่บนเก้าอี้นวมใต้พระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปรัตยุตบัน.

“แล้วเธอไม่คิดจะกลับเมืองไทยบ้างหรือ?” ข้าพเจ้าถามหล่อนเปรยๆ.

“ฉันคิดว่าเธอเป็นคนเคราะห์ดีมากที่มีโอกาสได้กลับไปเมืองไทย” หล่อนพูดช้า “แม้เธอจะเรียนไม่จบ เธอก็มีความรู้ และได้พบได้เห็นมามาก ฉันอยากมีโอกาสอย่างเธอบ้าง”

“เธอก็อยากกลับเมืองไทยเหมือนกันหรือ?” ข้าพเจ้าถาม “ไหนว่าเธอชอบอยู่เมืองอเมริกาอย่างไรเล่า?”

“โอ ฉันไม่รู้นี่ บอบบี้” หล่อนตอบ “อยู่ที่นี่นานๆ ทำให้รู้สึกเบื่อเหมือนกัน ...... บางทีฉันพบคนดีๆ บ่อยๆ ที่มาจากเมืองไทย เธอทำให้ฉันคิดถึงเมืองไทยมาก ทำให้เชื่อว่าที่นั่นคงจะมีคนดีเช่นเธออีกหลายคน”

“ฉันเป็นคนที่เคราะห์ร้ายที่สุดคนหนึ่ง จุไร” ข้าพเจ้าชี้แจง “เคราะห์ร้ายตั้งแต่เกิด และเชื่อว่าคงจะเป็นเช่นนั้นจนตาย การที่เธอเข้าใจว่าฉันเป็นคนเคราะห์ดี ก็เพราะเธอไม่ทราบเรื่องของฉันเลยนี่ ...... จริงไหม? ฉันไม่อยากจะเล่าให้เธอฟัง เพราะมันยืดยาวและเศร้า ทำให้เบื่อ” หยุดอยู่สักครู่ ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “ฉันเรียนไม่สำเร็จ ไม่ได้วิชชาอะไรกลับไป ถึงเมืองไทยจะลำบาก หางานทำก็คงยากแสนเข็ญ”

“ฉันมีความเชื่อมั่นอยู่ว่าถ้าเราเป็นคนมีวิชชาและขยัน แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรไปแสดง ก็ไม่มีใครจะกดเราไว้อยู่ เธอขยัน และเธอมีความรู้ เธอจะไปได้ไกล”

“ฉันอยากให้คนในเมืองไทยทุกคนคิดเหมือนเธอ ฉันจะได้มีโอกาสบ้าง”

“เธอหงอยมากหรือ บอบบี้?” หล่อนถาม

“เป็นบ้างนิดหน่อย จุไร” ข้าพเจ้าตอบ “นี่ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยไปเที่ยวไหนกันเลย ฉันขอเชิญเธอไปกินเข้าและดูละครกับฉันคืนนี้ได้ไหม?”

“ละครเห็นจะแพงไปนักกะมัง บอบบี้?” หล่อนท้วง “ฉันชอบ ‘หนัง’ ถูกดีด้วย”

“ฉันดูหนังไม่ได้ จุไร” ข้าพเจ้าตอบ “นัยน์ตาฉันยังไม่หายดีพอ ไปดูละครกันนะ ฉันมีเงินพอ”

“ได้ซี บอบบี้ คืนนี้มารับฉันเวลา ๗ น.” หล่อนกล่าว “เราไปเที่ยวกันให้สนุกทีเดียว เธอจะต้องจัดโปรแกรมไว้ให้ดี”

ข้าพเจ้าพักอยู่ในวอชิงตันหนึ่งสัปดาห์ เที่ยวอยู่กับจุไรแทบทุกวันจนถึงวันที่พอลลี-บุตรสาวเซอร์เปอร์ซีเวิล-มารับข้าพเจ้าไปพักอยู่ที่บ้านในนิวยอร์ค.

ข้าพเจ้าเที่ยวอยู่ตาม ‘สเตต’ ต่างๆ ในอเมริกาอีกเป็นเวลาหลายเดือน นักบินลินเบอร์กข้ามมหาสมุทรแอตแลติค ได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่หลวงในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ กลับไปที่ซานฟรานซิสโกก็เช่นเดียวกัน ฮอลลีวูดเฮกันทั้งฝูงมารับนักบินที่ขี้อายผู้หญิง สงบเสงี่ยม แต่ก็เป็นนักบินคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคและบินไปคนเดียว ลินเบอร์กเข้าไปในกรุงนิวยอร์ค ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ชมการต้อนรับอย่างมโหฬาร นอกจากลินเบอร์กก็มี เชมเบอร์เลน นายพันเอก เบอร์ด นางสาวรู๊ธ เอลเดอร์ และผู้ที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคในคราวประกาศชิงรางวัลของ ‘โดลย์’-พ่อค้าสับปะรด เศรษฐีในฮาไว.

ในที่สุดก็ถึงวันที่เราจะต้องออกเดิรทางไปญี่ปุ่น เซอร์เปอร์ซีเวิลกะโปรแกรมไว้เหมาะมาก มาเรียเกรย์ก็มากับเราด้วยในเรือลำเดียวกัน ท่านผู้ช่วยบรรณาธิการส่งให้หล่อนไปดูเหตุการณ์ในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นเรือ ‘ชินโญมารู’ จึงเต็มไปด้วยพวกเราเกือบทั้งสิ้น นอกจากเลดีเปอร์ซีเวิล เพราะต้องรับหน้าที่ดูแลห้างใหญ่ในบอสตัน.

เมื่อออกจากท่าเมืองนิวยอร์คไม่มีคนไทยไปส่งข้าพเจ้าเลยสักคนเดียว จุไรก็ติดเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย สำหรับหล่อน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหล่อนเป็นน้องสาวและเป็นผู้หญิงไทยคนแรกในเมืองนอกที่ข้าพเจ้าเคยเที่ยวด้วย และเป็นคนสุดท้าย.

เรือวิ่งอยู่หกวันเราก็ถึงเกาะฮาไว เรือหยุดที่นั่นแปดชั่วโมง เราเที่ยวกันอย่างขนานใหญ่ ออกจากฮาไว ตัดตรงไปยังเมืองโยโกฮามาแห่งประเทศญี่ปุ่น สิบวันเรือ ‘ชินโญมารู’ ลอยเด่นอยู่ในวิเวกแห่งความสงบ เรากินกับเข้าจีน ฝรั่ง และญี่ปุ่นกันอย่างสบาย รู้จักชาวญี่ปุ่นและจีนหลายคน ต่างก็เชื้อเชิญให้เราไปพักที่บ้านเขาในเมืองญี่ปุ่น.

สำหรับมาเรียและข้าพเจ้า วันและเวลาที่เราจะต้องจากกัน…ตลอดชีวิต เดิรใกล้เข้ามาทุกที ทุกๆ นาฑีดูเหมือนจะทอนหัวใจข้าพเจ้าให้แตกออกเป็นชิ้นๆ ฉะนั้น และไม่มีนาฑีใดที่จะทำให้เราเสื่อมรักซึ่งเรามีต่อกันได้แม้แต่น้อย ทุกๆ ขณะจิตต์ทำให้เราหวลนึกไปถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้เป็นมาแล้ว ความสุข-เมืองสวรรค์ซึ่งเราได้อยู่ด้วยกัน ร่วมรักกัน ร่วมใจ ในเรือไม่มีใครเห็นเราห่างกันได้ มาเรียเข้าใจฐานะอันแท้จริงของข้าพเจ้าได้ดี และเข้าใจดีว่าทำไมข้าพเจ้าจึงแต่งงานกับหล่อนไม่ได้ โอ! พระผู้เป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์ ขอจงบันดาลให้มาเรียของข้าพเจ้าเป็นสุข--เป็นสุขที่สุดเสมอในยามที่หล่อนจากข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าจะขอรับบาปทุกอย่างที่เราได้เคยทำกันมาแล้ว ถ้าหล่อนสามารถจะทำบาปได้ มาเรีย! มาเรีย!! มาเรียคู่ทุกข์ คู่ยาก! จะมีใครอีกไหมหนอในพิภพนี้ที่จะรักมาเรียเช่นเดียวกับข้าพเจ้ารักหล่อน.

เรือถึงโยโกฮามา พวกเราไปพักกันอยู่ที่โฮเต็ลแกรนด์ ซึ่งเป็นภัตตาคารแห่งเดียวที่ทำขึ้นใหม่ทีหลังจากแผ่นดินไหว.

พักอยู่โยโกฮามาสองวัน เที่ยวดูวัตถุโบราณตามร้านต่างๆ จนทั่วแล้ว เราก็เดิรทางไปกรุงโตเกียวซึ่งเป็นระยะทางจากเมืองโยโกฮามาเพียงครึ่งชั่วโมงโดยรถไฟด่วน นครหลวงของญี่ปุ่นอยู่ใกล้ทะเลมาก แม้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะได้ผ่านพ้นมาแล้วหลายปี ญี่ปุ่นก็ยังคงมีเท่าแห่งความพินาศหักพังปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดทางจากโยโกฮามาถึงโตเกียว ถนนหนทางตลอดจนตึกรามใหญ่น้อยซึ่งเคยหรูงามมาแต่ก่อนยังคงอยู่ในฐานะที่โทรมเป็นที่หน้าเสียดาย เขาพูดกันว่าในประเทศญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหวคิดเฉลี่ยสัปดาห์ละครั้งไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นจริง เพราะในระหว่างที่ข้าพเจ้าพักอยู่ในภัตตาคารอิมพีเรียลได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครั้งหนึ่งเวลาราว ๕ ก.ท. แต่น้อย ทำให้ไฟฟ้าระย้าในห้องนอนแกว่ง ไฟฟ้าดับ และท่อน้ำชำรุดไม่มีน้ำจะล้างหน้าอยู่ราวหกชั่วโมง.

ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจที่ชาวญี่ปุ่นซึ่งเดิรอยู่ตามถนนไม่มีวันที่จะหลีกรถยนตร์เสียเลย เดิรกันอยู่ช้าๆ เป็นแพเต็มไปหมด แม้รถเราจะบีบแตรสักเพียงไหนก็หาประโยชน์ได้น้อยเต็มที เป็นอันว่ารถยนตร์ต้องรอให้คนเดิรพ้นไปเสียก่อนจึงจะวิ่งต่อไปได้ เซอร์เปอร์ซีเวิลอธิบายให้ฟังว่าการที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความพินาศแห่งแผ่นดินไหวซึ่งได้เกิดขึ้นหลายครั้งซับซ้อนกันไม่หยุดหย่อนทำให้คนเหล่านี้เฉย ไม่พรั่นต่ออันตรายอะไรเสียเลย.

อยู่ที่เมืองนอกข้าพเจ้าได้เคยมีโอกาสรู้จักชาวญี่ปุ่นหลายคนซึ่งล้วนเป็นคนมี ‘เนอร์ฟ’ เป็นเหล็ก ไม่มีเหตุร้ายแรงปัจจุบันใดๆ จะมาทำให้พวกเหล่านี้ตกใจได้เป็นอันขาด ในระหว่างที่อยู่เมืองอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเมืองใดเมืองหนึ่งซึ่งไม่ใช่บ้านเมืองของตน พอมีโทรเลขส่งข่าวมาว่า ณ เมืองที่ตนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว บ้านพังทะลายหมด ภรรยาตาย ชาวญี่ปุ่นสหายข้าพเจ้าคนหนึ่งยื่นโทรเลขให้ข้าพเจ้าอย่างไม่มีกิริยาตื่นเต้น.

“เรา-พวกญี่ปุ่น-รู้สึกชินกับสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว” สหายข้าพเจ้าอธิบาย “เราไม่รู้ว่าโชคหรือเคราะห์กรรมของเราจะเป็นไปได้สักเพียงไหน ฉันจะกลับไปญี่ปุ่น หาบ้านใหม่ หาเมีย และหาเงิน ตั้งต้นใหม่อีกพักหนึ่ง พวกเราทำอย่างนั้นกันมาเสมอ”

ข้าพเจ้าเคยอยากจะรู้อยู่เสมอว่าอะไรทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เจริญและมีอำนาจที่สุดในเบื้องบุรพทิศ กำลังทหารและความสามารถในเชิงการเมืองเป็นที่เกรงขามของประเทศอื่นซึ่งมีอำนาจ ไม่มีใครกล้ามาเกี่ยวข้องพูดจาให้เป็นที่ขวางหู ไม่มีชาติใดจะมาข่มเหงทำความอยุกติธรรมให้ได้ พอไปถึงญี่ปุ่นข้าพเจ้าก็สามารถจะตอบปัญหาเหล่านี้ได้ทันที.

ฐานะ ความเป็นอยู่และนิสสัยของชาวอังกฤษในทวีปยุโรปเป็นอย่างไร ฐานะความเป็นอยู่และนิสสัยของชาวญี่ปุ่นในบุรพทิศก็เป็นอย่างนั้น ญี่ปุ่นเป็นประเทศอังกฤษแห่งบุรพทิศ แม้จะต้องหาอาหารมารับประทานจากที่อื่น ญี่ปุ่นและอังกฤษก็ยังมีเหล็กและถ่านหินซึ่งเป็นรากแห่งความก้าวหน้าของชาติ อยู่บนเกาะโดดเดี่ยวโดยลำพังมาเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี ย่อมปลูกนิสสัยให้ชนพวกนี้เป็นคนอดทนเพราะคอยแต่จะต้องรบราป้องกันบ้านอันน้อยของตนให้พ้นจากอำนาจข้าศึกเสมอ พูดสำหรับชาติต่อชาติ ภายในนิสสัยใจจริง ไม่มีชาติใดชอบชาติญี่ปุ่นและอังกฤษ และชาติทั้งสองนี้ก็ไม่ชอบชาติใดอื่นเหมือนกัน ญี่ปุ่นและอังกฤษเป็นชาวเกาะ รักตัวและเห็นแก่ตัวเองมากเกินที่จะรักคนอื่นได้ ข้อนี้เป็นความจริงอย่างไม่มีปัญหา.

ข้าพเจ้าเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่นกับเซอร์เปอร์ซีเวิลและพอลลีอยู่ราวสามสัปดาห์จึงได้กลับมาพบมาเรียเกรย์ที่ภัตตาคารอิมพีเรียลในกรุงโตเกียว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ