บทที่ ๑ ปฐมวัย

ปราชญ์โอมาไคยามได้เคยกล่าวไว้ว่า:

“ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว
ยิ้มเยาะเล่นหัว เต้นยั่วเหมือนฝัน”

กรมพระนราธิปฯ

ข้อนี้เป็นความจริงที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ายังรู้สึกว่าโอมาไคยามเขียนบทนี้ในเวลาที่มีใจปลอดโปร่งเป็นสุข โดยวิจารณญาณอันประเสริฐ สามารถจะแลเห็นความจริง, ความฝัน, ความทุกข์, ความสุขแห่งมนุษยภาพได้โดยถ่องแท้ ละคร! ละครแห่งชีวิต! ละครแห่งโลก!!

ถึงแม้ว่าเวลานี้ข้าพเจ้าจะมีอายุเพียง ๒๘ ปี ละครแห่งชีวิตของข้าพเจ้าก็ได้ปิดม่านสุดท้ายจบไปแล้วเรื่องหนึ่ง ข้อนี้ข้าพเจ้ากล่าวได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นเรื่องละครที่ท่านจะทัศนาด้วยความพิศวงสนเท่ห์และสนุก ความเศร้าสลดและความปลื้มปีติของบทบาทจะทำให้ท่านลืมตน ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นคนวิเศษ ความจริงข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง จะผิดแผกอยู่บ้างก็แต่ที่ข้าพเจ้าได้เคยมีโชคอันหมุนเวียนมาแล้วอย่างประหลาดและพิสดาร โชคหรือแสงประทีปน้อยๆ ซึ่งเราไม่ทราบว่ามาจากทางไหน ดลบันดาลและนำให้ข้าพเจ้าเป็นนักเผชิญภัย, นักเลง, และนักเล่นการพะนันแทบทุกชะนิดในโลก และเร่ร่อนไปเล่นแทบทุกแห่ง แม้จะได้รับผลและความเอื้อเฟื้อแต่เพียงเล็กน้อยก็ดี แต่โชคนั้นเองก็ยังบันดาลให้ข้าพเจ้ามีกำเนิดในตระกูลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในสยาม แต่ถ้าจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเกิดเป็นหงส์เกเรในฝูงหงส์ก็อาจไม่ผิด เพราะข้าพเจ้ามีนิสสัยค่อนข้างจะหย่อน, ขวาง ผิดกว่าใครๆ ในตระกูลนั้น โชคได้บันดาลให้ข้าพเจ้าไปศึกษา ไปทำงาน และไปเที่ยวมาแล้วเกือบทุกประเทศในโลก บันดาลให้รู้จักคนเกือบทุกชาติ, ทุกชั้น, ทุกชะนิด เคยได้ไปอยู่ในประเทศฝรั่งเศสในสมัยเมื่อรัฐบาลล้มแล้วล้มอีก สมัยอัตคัดขาดแคลนและการเงินตกต่ำอย่างน่าพึงสยดสยอง เคยได้อยู่ในประเทศอังกฤษในสมัยกรรมกรกลียุค และในสหรัฐอเมริกาในสมัยลินเบอร์กบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคได้เป็นคนแรก มีโอกาสได้เห็นการต้อนรับอันมหิมาเพื่อนักบินวิเศษผู้นี้ นอกจากนั้นข้าพเจ้ามีโอกาสได้ชมบุญวาสนาของนักบินทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิงที่บรรลุผลสมประสงค์ในเรื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเล แม้รูทส์เอลเดอ นางเจ้าอากาศ ผู้มีเสน่ห์งามและกำลังเป็นดาราภาพยนตร์อยู่ในฮอลลีวูดในเวลานี้ก็มิได้อยู่ในเกณฑ์ยกเว้น นอกจากจะรู้จักตัว ยังได้มีโอกาสสนทนากับเจ้าหล่อนในกรุงวอชิงตันเสียด้วยซ้ำ จริงไหมท่าน ข้าพเจ้าได้เคยเป็นคนเคราะห์ดีมาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นคนมีโชคที่เด็กไทยน้อยคนนักจะพึงประสพ

จะมีอะไรอีกเล่าที่ร้ายยิ่งไปกว่าความไม่เสมอหน้าและความอยุตติธรรม เด็กที่เจริญวัยแล้วพาลเกเรโดยมากต้องเป็นเด็กที่อาภัพมาแต่เยาว์และเป็นคนช่างคิด เฝ้าคิดเฝ้าแค้นถึงความไม่เสมอหน้าต่างๆ ที่ตนได้รับอยู่เนืองนิตย์ จึงเอาความชอกช้ำใจเป็นมัคคุทเทศก์แห่งอุปนิสสัย ดังนั้นตนจึงเป็นคนใจแคบเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกเป็นของขมขื่น ปราศจากความไว้ใจในตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้จะโทษใครเล่า ความไม่เสมอหน้าหรือความอยุตติธรรมเป็นของที่มีอยู่ในโลกตั้งแต่พุทธกัลป์ เป็นภาคสำคัญส่วนหนึ่งของกฎแห่งชีวิตซึ่งเราจะหลีกเลี่ยงเสียมิพ้น.

แต่ยังมีเด็กจำพวกหนึ่ง เป็นเด็กที่อาภัพมาแต่เยาว์ แต่เมื่อมีโอกาสได้เห็นและรู้จักโลกมามากแล้ว ก็กลับเป็นผู้ที่คอยแต่จะยิ้มเยาะความไม่เสมอหน้า ความอยุตติธรรมและความทุกข์ระทมใจของตนและของผู้อื่น มีวงหน้าอันยิ้มเย้ยสิ่งต่างๆ อยู่เนืองนิตย์ว่าชีวิตเป็นของธรรมดา เป็นของขันและปราศจากหัวใจ เด็กใดเป็นเช่นนี้ก็เพราะได้รับความชอกช้ำระกำใจมาแล้วจนชิน สิ่งต่างๆ ที่ตนได้ไปเห็น ได้ไปอยู่ร่วมรู้จักมาแล้วทั้งพิภพนั่นเอง เป็นยาอันสามารถบำบัดน้ำใจโหดร้ายของตนเสียได้ และย้อมหัวใจให้ชื่นบาน แม้จะเป็นคนไม่มีใจ เด็กนั้นก็อาจเล็งเห็นทุกข์สุขของผู้อื่นและพยายามช่วยเหลือตามควร.

ข้าพเจ้าเคยเป็นเด็กมาแล้วทั้งสองชะนิด เคยเป็นเด็กที่อาภัพจนถึงกับน้ำตาเช็ดหัวเข่า และเป็นเด็กที่สามารถหวัวเราะเยาะโลกได้ทุกเวลา เมื่อท่านอ่านเรื่องราวของข้าพเจ้าจบแล้ว ข้าพเจ้าเองก็ยังเดาไม่ถูกแน่ ว่าท่านจะรู้สึกชังเจ้าของเรื่องสักเพียงไหน.

ในขณะที่ท่านอ่านเรื่องนี้ไป ข้าพเจ้าตั้งใจจะให้ท่านเป็นสุขเพลิดเพลิน จะพาท่านท่องเที่ยวไปในเมืองต่างๆ ในโลกที่ข้าพเจ้าเคยไปมาแล้ว จะแนะนำให้ท่านรู้จักผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จัก, รัก, และนับถือทุกคน แต่เมื่อมารู้สึกว่าจะต้องเขียนเรื่องปฐมวัยแห่งชีวิตของข้าพเจ้าเสียก่อนจึงจะดำเนิรเรื่องไปได้นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าและเสียใจที่สุด ข้าพเจ้าเคยถามตนเองมาเกือบจะนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าทำไมข้าพเจ้าจึงจะต้องเขียนเรื่องปฐมวัยด้วยเล่า แต่เมื่อมานึกเสียว่า ชาลส์ ดิ๊กเกิน ยังเขียนประวัติปฐมวัยอันเศร้าสลดของเดวิดคอร์เปอร์ฟิลด ให้คนทั้งโลกอ่านได้ ก็ทำไมเล่าข้าพเจ้าจึงจะเขียนบ้างไม่ได้ ?

เมื่อนึกไปถึงเรื่องปฐมวัยต่างๆ แห่งชีวิตแล้ว ข้าพเจ้าช่างรู้สึกขันเสียนี่กะไร ได้กล่าวมาแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นคนชอบหวัวเราะ แต่ท่านอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องเศร้า เป็นสิ่งที่พึงเวทนาสงสาร แต่สำหรับข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของเรื่องละครโรงใหญ่ ละครแห่งชีวิตเท่านั้น !

ยายพร้อมเป็นพี่เลี้ยงของข้าพเจ้าในสมัยเมื่อสิบห้าสิบหกปีเศษมานี้ แกเป็นคนๆ เดียวในโลกที่เห็นหรือสามารถจะเห็นได้ว่าข้าพเจ้าเป็นชะนิดใด รู้จักข้าพเจ้าผู้เป็นเด็กที่แกเลี้ยงและรัก สามารถเล็งเห็นความทุกข์สุขซึ่งหมุนเวียนอยู่ในท่ามกลางความเป็นอยู่ของข้าพเจ้าโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น แกยังพยายามทำนายการณ์ภายหน้าของข้าพเจ้าต่อไปเสียอีกด้วย แกเคยร้องไห้เสมอเมื่อแกปรับทุกข์กับคนอื่นถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรในวาระที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว แกร้องไห้ก็เพราะแกรัก แต่อนิจจา แม้ว่ายายพร้อมจะสามารถพยากรณ์สิ่งต่างๆ ได้ถูกต้องก็จริง แกก็ยังทำนายเรื่องอนาคตของข้าพเจ้าผิดถนัด เพราะแกไม่สามารถจะคาดได้ถึงว่าข้าพเจ้า- คนอย่างข้าพเจ้า จะได้มีโอกาสไปศึกษาวิชชาในทวีปยุโรป, อเมริกา, เมืองจีนและญี่ปุ่น และนำเอายาบำบัดโรคอันวิเศษติดตัวมาด้วย โอ ถ้ามีญาณวิถีใดๆ ที่จะนำเอาข่าวนี้ไปยังยายพร้อมได้แล้ว แกจะรู้สึกเป็นสุขสักเพียงไหนหนอ!

ยายพร้อมเป็นคนโบราณอย่างเช่นพี่เลี้ยงทั้งหลายในครอบครัวขุนนางสมัยนั้น หน้าตาแกน่าเกลียด แต่ภายในแววตา - และแววตาเท่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าแกเป็นคนสามารถจะสละชีวิตของแกเพื่อข้าพเจ้าได้ไม่ว่าเวลาใด นิสสัยของแกชอบนุ่งผ้าเก่าหยักรั้ง สวมเสื้อกะบอกรัดติ้วไม่ว่าหน้าร้อนหน้าหนาว กินหมากจนปากแดง แดงแล้วดำ ดำแล้วไหม้คล้ายถูกไฟเผา นานๆ ก็สูบบุหรี่ ผ ผี เสียตัวหนึ่งเต็มๆ แกเป็นคนกินเข้ากินกับจุที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา.

ระหว่างที่ข้าพเจ้ามีอายุได้ ๑๑ ขวบ และเป็นเด็กซน, หัวไม้, เจ้าคิดเจ้าแค้น, ยายพร้อมเคยพาข้าพเจ้าไปนั่งเล่นที่แพเจ๊กตี๋หลานเขยของแก อยู่ปากคลองผะดุงฯ บ่อยๆ ข้าพเจ้าเคยจำได้ว่าที่แพนี้มีเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งชื่อบุญเฮียง มาคอยรับใช้และพูดจาฉอเลาะกับข้าพเจ้าเสมอ เด็กหญิงบุญเฮียงเป็นลูกเจ๊กตี๋ อายุเพียง ๑๑-๑๒ และเป็นเด็กช่างพูดน่าเอ็นดู วันหนึ่งระหว่างที่เรานั่งกันอยู่พร้อมหน้าที่หน้าแพอันมีเรือเข้าและเรือแจวพายต่างๆ ผ่านไปในคลองตามเคย เด็กหญิงบุญเฮียงบอกกับข้าพเจ้าว่า

“ดูซีคะ คุณวิสูตร์ เรือเอี้ยมจุ๊นใหญ่บรรทุกเข้าเพียบทุกลำเป็นของคุณทั้งนั้น และไปที่โรงสีคุณด้วย คุณเป็นเศรษฐีใหญ่แล้วยังไม่รู้สึก”

ข้าพเจ้ามิได้ตอบอย่างไร เป็นแต่จ้องดูเรือเอี้ยมจุ๊นเคลื่อนเข้าคลองอยู่เรื่อยๆ แม้ข้าพเจ้าจะเป็นเด็กมากอยู่ก็จริง แต่ก็นับว่าเป็นคนช่างคิดอยู่แล้ว โอ เด็กหญิงบุญเฮียงเป็นแต่เพียงผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักชอบพอคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหล่อนสามารถมองเห็นความปั่นป่วนในดวงใจของข้าพเจ้าเนื่องจากคำพูดอันอ่อนหวานที่กล่าวมานั้นได้แล้ว หล่อนคงจะต้องออกปากขอโทษข้าพเจ้าเป็นแท้.

บางวันเวลาเช้าตรู่ เด็กหญิงบุญเฮียงไปที่บ้านบิดาข้าพเจ้าในคลองผะดุงฯ แล้วเรา เด็กหญิงบุญเฮียง, ยายพร้อมและข้าพเจ้าก็ไปเก็บดอกพิกุลหรือดอกบานบุรีกันที่ข้างรั้วหน้าบ้าน เมื่อเก็บมาเสร็จแล้วเราก็ช่วยกันร้อยแต่งเข้าเป็นพวงใหญ่สวมคอเด็กหญิงบุญเฮียงกลับบ้าน บางวันในตอนบ่าย หล่อนมารับข้าพเจ้าไปหุงเข้าหุงแกงกันตามประสาเด็กที่แพเจ๊กตี๋ เวลานั้นแพน้อยๆ หลังนี้จัดว่าเป็นวิมานแห่งความสุขของข้าพเจ้า จะหาสถานที่ใดวิเศษเหมือนเป็นไม่มี ข้าพเจ้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญตั้งแต่เจ็ดนาฬิกาเช้าและกลับสิบหกนาฬิกาเศษ พอมาถึงบ้าน ยายพร้อมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวให้ข้าพเจ้า แล้วพาไปที่แพเจ๊กตี๋ เป็นอยู่เช่นนี้เป็นนิตย์นิรันดร์ นานๆ บางทีตั้งสัปดาห์ข้าพเจ้าจึงจะได้มีโอกาสพบกับท่านบิดามารดาสักครั้งหนึ่ง แต่ก็ดูไม่เป็นของแปลกอะไรนัก เพราะเด็กเช่นข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ไม่พึงปรารถนาพบปะให้เกิดความจำเป็น เมื่อไม่มีเรื่อง จะพบกันทำไมเล่า บุพพกรรมอันนี้ข้าพเจ้ายอมรับด้วยดวงหน้าอันแช่มชื่นเสมอ เพราะข้าพเจ้ามีเด็กหญิงบุญเฮียงอยู่เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนรัก และมียายพร้อมเป็นเพื่อนตาย.

ท่านบิดาของข้าพเจ้าเป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งในกระทรวงมหาดไทย และมักจะมีราชการไปตามจังหวัดต่างๆ มีจันทบุรี (เขาเรียกกันว่าจันตบูรณ์เวลานั้น) เมืองลพบุรี เมืองเพ็ชรบุรี และปักษ์เหนือปักษ์ใต้ร้อยแปด ท่านเคยไปครั้งหนึ่งๆ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ เคยขนเอาครอบครัววงศ์ญาติไปด้วยหมด แต่เหลือข้าพเจ้าไว้ที่บ้านกับยายพร้อมทุกครั้ง พอพวกพี่น้องและพวกคนใช้กลับมา เขาก็ต่างมาเล่าสู่กันฟังถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ไปรู้เห็นมาจนข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อหู เขาพูดกันจนข้าพเจ้าผู้ซึ่งไม่เคยไปไหนเลยหลับตาเห็น เพราะข้าพเจ้าเป็นคนชอบฝัน เขาวังที่เมืองเพ็ชรบุรี เขางูที่ราชบุรี เขาสามร้อยยอดที่ประจวบฯ เหมืองแร่ที่ภูเก็ต ฯลฯ และสามารถพยากรณ์ได้ว่าเขาทำอะไรกันบ้างในที่เหล่านั้น แต่ข้าพเจ้าไม่เคยไปเสียเลยยังรู้สึกเบื่อถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าได้ไปกับเขาด้วยทุกหนทุกแห่ง ทั้งต้องพูดปนเปกันไปด้วยแล้ว โปรดคิดดูข้าพเจ้าน่าจะต้องรู้สึกเบื่อสักเพียงไหน

ตามธรรมดาที่บ้านมักจะมีพ่อค้าข้าราชการต่างๆ ซึ่งเป็นวงศาคณาญาติหรือที่เรียกว่า ‘คนขึ้น’ มาหาท่านบิดาข้าพเจ้าเนืองๆ บางท่านก็เป็นถึงเสนาบดีเจ้ากระทรวงทะบวงการต่างๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักและไม่เคยถูกเรียกเข้าสมาคมด้วย ผิดกับพี่น้องอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าทุกคราว สมาคมของข้าพเจ้าคือเด็กหญิงบุญเฮียง ยายพร้อม เจ๊กตี๋ แม้เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ควรจะพอใจอยู่แล้ว.

พูดถึงพระยาวิเศษศุภลักษณ์ แม้ว่าจะมีเรื่องอะไรขมขื่นอยู่ด้วยเป็นอันมาก ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่บุรุษผู้เป็นบิดาข้าพเจ้าได้ทำไว้แล้วแก่ชาติเสมอ ภายในน้ำใสใจจริง ข้าพเจ้ามีความนับถือบูชาอันสูงสุดสำหรับท่านบรรพบุรุษผู้นี้ ข้าพเจ้าบูชาความฉลาดและความสามารถของท่านที่พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับบ้านเมืองได้ราวกับตาเห็น พระยาวิเศษศุภลักษณ์เป็นนักปราชญ์ของชาวไทยคนหนึ่ง หนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาการต่างๆ ที่ท่านเขียนไว้เกือบห้องสมุดก็เป็นพะยานพอที่จะไม่อนุญาตให้ใครคัดค้านความจริงข้อนี้ได้ จะพูดไปไยเล่า พระยาวิเศษศุภลักษณ์ได้เกิดมาสำหรับชาติไทยและคนไทยโดยแท้.

นอกจากกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระยาวิเศษฯ เป็นส่วนหนึ่งของการก่อร่างสร้างตัวกฎหมายไทย และนอกจากวิชชากฎหมายซึ่งท่านสอบได้ปริญญาที่เมืองนอก เจ้าคุณวิเศษฯ ยังมีความรู้ในเรื่องพาณิชยอย่างพิสดาร ไม่ว่าจะคิดทำอะไรก็มีผลดีเสียจนไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้า วิสูตร์ ศุภลักษณ์ ณ​อยุธยา เป็นเด็กที่รักและนิยมคนเก่ง แม้ข้าพเจ้าผู้เป็นแต่เพียงลูกคนหนึ่ง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับความสุขอันเนื่องจากความสำเร็จผลของท่านมากนักก็จริง ก็ยังคงรู้สึกรัก นับถือท่านบิดาของข้าพเจ้าอยู่เสมอ ไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ จะมาทำลายความมั่นใจอันนี้ของข้าพเจ้าเสียได้ ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าคุณวิเศษศุภลักษณ์เป็นคนเก่งและเก่งจริง.

จะพูดถึงความรักกันแล้ว ตามที่ข้าพเจ้าจำได้และท่านต้องเข้าใจว่าข้าพเจ้าจำอะไรได้แต่เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกว่าความรักระหว่างสามีภรรยาคู่ใดจะวิเศษยิ่งไปกว่าความรักระหว่างท่านบิดามารดาของข้าพเจ้า เป็นความรักที่ถาวรราบรื่นราวกับอุทยานแห่งความสงบสุข เมื่อใครจะเดิรเข้าไปในอุทยานสวรรค์นั้นแล้ว ก็จะต้องเดิรจูงมือกันเข้าไปเป็นคู่ๆ หากเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าครั้งไรก็จะเห็นแต่รัศมีแห่งดวงจันทร์อันงามทอแสงอยู่ในท่ามกลางความรักและความบรมสุขของตนทุกครั้ง สำหรับความบรรลุล่วงในกิจการสำคัญต่างๆ ที่ท่านบิดาข้าพเจ้าตั้งใจกระทำนั้น ความรักของคุณแม่ข้าพเจ้าซึ่งมีต่อท่านบิดาเป็นเครื่องย้อมน้ำใจท่านให้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ทุกประการ และนำความมีชัยมาสู่ตระกูลศุภลักษณ์ตลอดชั่วกัลปาวสาน.

สมัยเมื่อมารดาข้าพเจ้าเป็นสาว ท่านเป็นสตรีที่สวยที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย เป็นที่นิยมต้องตาบุรุษตระกูลสูงทั้งปวง ท่านมีวงพักตร์เป็นรูปไข่ ผิวขาวละออ มีดวงเนตรอันดำคม และวาจาอันอ่อนหวานยั่วยวนซึ่งธรรมชาติอำนวยให้ มีผู้มาสู่ขอท่านอยู่เนืองนิตย์ แต่ในที่สุดท่านได้ตกลงใจเลือกบิดาข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมชีพ และจะไม่มีใครในโลกมากล่าวได้ว่าท่านเลือกผิด เมื่อได้มาอยู่กินกับท่านบิดาข้าพเจ้าแล้ว ก็เริ่มต้นเป็นคนปฏิบัติหน้าที่ของภรรยาที่ดีสุดทั้งหลาย เป็นภรรยาและทั้งเพื่อน เมื่อยามท่านบิดาเจ็บไข้ได้ทุกข์ ท่านไม่เคยรู้สึกว่ามียาอะไรวิเศษยิ่งไปกว่าการรักษาพยาบาล และคำพูดอันอ่อนโยนของคุณหญิงยุพินผู้ภรรยาของท่านนั้นเลย.

เออ พูดมาถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพเจ้าขอเล่าถึงประวัติการตอนหนึ่งซึ่งออกจะขันพอใช้ ท่านคงจะแปลกใจมากกะมังที่จะทราบว่าข้าพเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กมีอายุสิบสองสิบสามขวบเท่านั้น เป็นหมอนวดและหมอเหยียบที่วิเศษที่สุดสำหรับท่านบิดามารดาข้าพเจ้า ไม่เคยมีลูกคนใดหรือคนใช้คนใดนวดเหยียบท่านทั้งสองนี้ดียิ่งไปกว่าข้าพเจ้า ดังนั้นครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเลยต้องรับหน้าที่เป็นนวดและเหยียบท่านทั้งสองแทบไม่เว้นแต่ละวัน เวลากลางคืนหลังจากรับประทานอาหาร พวกพี่ๆ น้องๆ ต่างก็ไปเล่นหวัวกันตามเพลง แต่ข้าพเจ้าต้องไปเหยียบท่านบิดา ย่ำไปย่ำมาอยู่เสมอ แม้กลางวันวันอาทิตย์ก็มิได้ว่างเว้น ด้วยความเป็นเด็ก ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจ บางทีถึงกับน้ำตาตก เพราะข้าพเจ้าต้องรับใช้อยู่เนืองนิตย์ แต่แม้ไม่เคยมีโอกาสได้รับของให้ต่างๆ เช่นพี่น้องอื่นๆ แต่การชมเชยเพียงเล็กน้อยก็ยังหาได้ยากเสียแล้ว ข้าพเจ้าทำให้ท่านบิดามารดาสบายเพราะว่ามีน้ำหนักตัวไม่เบาไม่หนักนัก และสามารถบีบเคล้นหรือกดส้นเท้าลงบนส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายที่มีอาการเมื่อยขบให้บรรเทาไปได้ แต่ผลดีที่จะได้เช่นนั้นก็ต่อเมื่อใช้เวลาตั้งชั่วโมงครึ่งหรือสอง ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อและบางทีถึงกับขี้เกียจ แต่ก็ต้องทำไปโดยปราศจากสินน้ำใจใดๆ ทำไป...ทำไป เพราะข้าพเจ้าเกิดมาเป็นคนอาภัพ นานๆ ข้าพเจ้าเคยถามยายพร้อมเสียครั้งหนึ่งว่าตนได้ทำอะไรไว้แต่ชาติก่อนจึงต้องมาได้รับความเลี้ยงดูอันปราศจากความยุตติธรรมและเสมอหน้าในชาตินี้ จะมีวิธีใดบ้างไหมที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนนิสสัยให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของท่านบิดามารดา.

“เป็นกรรมของคุณเท่านั้น” ยายพร้อมตอบ “อีฉันไม่เห็นมีทางที่จะแก้ไขอย่างไร แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณวิสูตร์ เมื่อคุณทำดี แม้ไม่มีใครเห็น เทพยเจ้าคงเห็นวันหนึ่ง”

เทพยเจ้า โอ! ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ายังเป็นเด็กอยู่ ข้าพเจ้าก็ยังอดหวัวเราะไม่ได้ ข้าพเจ้ารับความชอกช้ำใจมาเสียจนชินพอที่จะหวัวเราะเยาะความเป็นอยู่อันน่าทุเรศของตนได้อย่างปราศจากความรู้สึกตะขิดตะขวง.

เทพยเจ้าจะมีบ้างไหมในโลกนี้ ข้าพเจ้าถามตนเอง ในสมัยนั้นข้าพเจ้าเป็นเด็กที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาผิดกว่าเด็กทั้งหลายโดยมาก ข้าพเจ้าชอบไปวัดกับคุณยาย ชอบฟังพระสวดชอบฟังเทศน์ และมีความเชื่อถืออย่างเด็กๆ ว่าพระพุทธองค์คงจัดสรรเทพยเจ้าไว้บ้างเพื่อดูแลทุกข์สุขของเรา แต่พอมาได้ยินยายพร้อมพูดถึงเทพยเจ้ากับมีความรู้สึกในฐานะที่ตนมีอยู่ในระหว่างครอบครัว ตั้งแต่วันนั้นมาข้าพเจ้าก็มิได้ไปวัดอีกเลย ความเชื่อ ความเลื่อมใสต่างๆ ก็ค่อยจางไปทีละน้อย เทพยเจ้ามีแน่ละหรือ !

พอมีงานออกร้านประจำปีขึ้นที่ไหน จะเป็นงานวัดเบ็ญจม์ฯ หรือภูเขาทอง หรืออะไรก็ตาม เวลาเย็นก็มีคนใช้คนใดคนหนึ่งลงมาเรียกพวกลูกๆ ให้ขึ้นไปรับเงินแจกสำหรับไปเที่ยวงาน พวกเราก็เดิรขึ้นไปกันเป็นแนว พบท่านบิดานอนอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้หวายตามเคย ท่านเรียกลูกเข้าไปทุกคน แต่เหลือข้าพเจ้าไว้ทีหลังทุกครั้ง และบางทีก็ไม่เรียกเอาเสียเลย ข้าพเจ้าเดิรเข้าไปหาท่านดื้อๆ เพื่อจะได้รับเงินแจกบ้าง.

“ตาวิสูตร์” ท่านกล่าว “แกไปเอาที่แม่ พ่อไม่มีเงินเหลือแล้ว”

ข้าพเจ้าเดิรหวนกลับออกมา มองดูพวกพี่น้องซึ่งกำลังเดิรกลับไปเล่นหวัวกันตามเคย โอพระเป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์ วันนั้นตลอดคืน ข้าพเจ้าหาวิธีที่จะลืมสิ่งต่างๆ ที่ขมขื่นกลืนยากโดยสุดความสามารถ แต่ก็หาเป็นผลสำเร็จไม่.

ฤทธิ์ที่อยากไปวัดเบ็ญจม์ฯ ข้าพเจ้าเดิรไปหามารดาที่ห้องท่าน ตั้งใจจะบอกท่านให้ทราบถึงความจำเป็น ข้าพเจ้าเห็นท่านอยู่ในห้องน้ำกำลังอาบน้ำน้องเล็กอยู่ จะเป็นด้วยอะไรก็ตาม แทนที่จะออกปากขอเงินอย่างใจนึก ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีดุ้นอะไรดุ้นหนึ่ง มาขวางแน่นอยู่ในคอเลยไม่กล้า ไม่อยากที่จะขอเอาเสียทีเดียว คืนนั้นพวกพี่น้องต่างก็แต่งตัวกันอย่างซู่ซ่า แต่พอได้เห็นข้าพเจ้านอนเฉยอยู่บนเตียง ก็พากันประหลาดใจและมาถามว่าทำไมจึงไม่ไป ข้าพเจ้าตอบว่าไม่สบาย ปวดหัว สิบนาฑีต่อมาพวกพี่ๆ น้องๆ อันคึกคะนองเหล่านั้นก็ขึ้นรถใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน ขับแน่วไปงาน เสียงหวัวเราะเสียงฮา ดังขึ้นมาก้องอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งระหว่างที่รถเคลื่อนจากที่ไป ความสุข!

สักครู่ ยายพร้อมได้หอบร่างอันทุเรศของแกเข้ามาหาข้าพเจ้า มือขวาถือกะโถนใบใหญ่ มือซ้ายถือผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง พอเห็นข้าพเจ้านอนร้องไห้อยู่บนเตียงแกก็เข้าใจทันที แกวางกะโถนและผ้าขี้ริ้วไว้ข้างเตียงแล้วก้มลงเอามือลูบหลังข้าพเจ้า.

“คุณไม่ได้เงินแจกหรือคะ?” แกถาม.

“จ้ะ! ยายพร้อม” ข้าพเจ้าตอบ.

“พุทโธ่ เท่านั้นก็ต้องร้องไห้ด้วย มาไปกับพร้อม อีฉันมีเงินอยู่หกบาท อีฉันจะพาคุณไป แต่เราไม่เข้าไปที่ในบริเวณ เพราะค่าเข้าประตูแพงนัก เราไปที่สำเพ็งดีกว่า ไปแทงตกเบ็ด ไปรถเจ๊กประเดี๋ยวก็ถึง”

ข้าพเจ้ารู้ว่ายายพร้อมพยายามที่จะกล่อมน้ำใจข้าพเจ้า และพยายามที่จะหวัวเราะ แต่ในระหว่างที่แกพูด ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาแกไหลลงอาบแก้มอันเหี่ยวทั้งสองของแก ข้าพเจ้าโผกายเข้ากอดยายพร้อมด้วยความรักอันสูงสุด เวลานั้นข้าพเจ้าไม่เห็นใครอีกแล้ว นอกจากยายพร้อม - ยายพร้อม!

คืนนั้นเป็นอันว่าเรา - ยายพร้อมกับข้าพเจ้าตกลงจะขึ้นรถเจ๊กไปงานวัดฯ ยายพร้อมจัดแจงให้ข้าพเจ้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แล้วก็บรรทุกข้าพเจ้าขึ้นรถให้เจ๊กลากไป เราลงที่หน้าประตูสำเพ็งแล้วเดิรเข้าชมร้านต่างๆ ยายพร้อมเป็นคนมีนิสสัยชอบการพะนันเช่นเดียวกับคนใช้ทั้งหลายในสมัยนั้นและสมัยนี้ ชั้นแรกแกพาข้าพเจ้าไปเล่นตกเบ็ด จะเป็นด้วยโชคอะไรไม่ทราบ ถ้าแกปล่อยให้ข้าพเจ้าตกทีไรเป็นต้องได้ของมาทุกครั้ง ข้าพเจ้าปล่อยให้แกถือของที่ตกเบ็ดได้จนเต็มมือแล้วก็พากันไปที่ร้านลูกเต๋า “ซี้-โง้ว-ลัก” ทีแรกข้าพเจ้ายืนดู แกทอดสองครั้งแต่กินเรียบ ต่อมาแกบอกให้ข้าพเจ้าทอดลูกเต๋าให้ ก็อีกนั่นแหละ ข้าพเจ้าทอดให้ยายพร้อมสองสามครั้ง เจ้ามือกินสตางค์ได้ครั้งเดียว ยายพร้อมมีเงินหกบาทเมื่อออกจากบ้าน แต่ตอนออกจากร้านลูกเต๋าแกมีกว่ายี่สิบ.

“ยายพร้อม” ข้าพเจ้าบอก “ไปเล่นการพะนันอย่างอื่นกันเถิด”

แกพาข้าพเจ้าเข้าร้านไพ่ป๊อก “ยี่-สิบ-เอ็ด” อธิบายเรื่องให้ข้าพเจ้าแต่พอเข้าใจ แล้วก็ปล่อยให้ถือไพ่และเรียกไพ่จากเจ้ามือ ส่วนตัวแกเองคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ คืนนั้นตลอดคืนเทพยเจ้าแห่งโชคคงทรงอยู่กับข้าพเจ้าเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเล่นอะไรดูรวยทุกอย่าง ตอนนั่งรถเจ๊กกลับบ้าน ยายพร้อมเอาเงินออกมานับมีตั้ง ๔๐ บาทเศษ.

“เออ คุณวิสูตร์” ยายพร้อมกล่าวชมเชย “แม้ว่าคุณจะเป็นคนอาภัพเพียงไร ก็ยังมีโชคในเชิงการพะนัน ถ้าเล่นไปเห็นจะเป็นเศรษฐีแน่”

ข้าพเจ้าไม่ตอบ เป็นแต่นั่งคิดถึงโชคที่ข้าพเจ้ามีในเรื่องการพะนันเท่านั้น ตั้งแต่วันนั้นมาพอข้าพเจ้าหลับตาครั้งไร ก็เห็นแต่ลูกเต๋า ไพ่ป๊อก น้ำเต้า ตกเบ็ด อบายมุขแห่งชีพ อนิจจา!

ถัดจากคืนนั้นมา คืนที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ข้าพเจ้าอ้อนวอนให้คนเลี้ยงที่รักของข้าพเจ้าพาไปเล่นการพะนันที่งานสำเพ็งทุกคืน ตลอดเวลานั้นโชคยังคงอยู่กับข้าพเจ้าอย่างน่าพิศวง ข้าพเจ้าไม่ต้องการออกปากขอเงินท่านบิดามารดาเลย ยายพร้อมกับข้าพเจ้าหาได้ในเชิงเล่นการพะนันคืนหนึ่งตั้ง ๒๐ บาท ข้าพเจ้าไม่ต้องการขึ้นรถยนตร์ไปงานวัดกับพี่น้องทั้งหลาย สมัครนั่งรถลากไปกับยายพร้อมมากกว่า และการที่ข้าพเจ้าจะไปไหนไปกับใครและไปทำไมนั้น ไม่เป็นของแปลกสำหรับคนอื่น.

เมื่อหมดงานวัดฯ แล้ว ข้าพเจ้าจึงรู้สึกหงอยไม่มีอะไรที่จะทำให้ไม่คิดถึงความไม่เสมอหน้าซึ่งข้าพเจ้ารับมาตั้งแต่เด็ก เมื่อไม่มีงานวัดฯ ไม่มีการพะนันที่จะทำให้เพลิดเพลิน ข้าพเจ้าก็กลับมารู้สึกความไม่เสมอหน้ามากขึ้น รู้สึกมากคิดมากขึ้นทุกทีจนออกกลุ้ม เพื่อจะทำลายความคับแค้นใจอันนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งต้นพยายามสืบเสาะหาที่เล่นการพะนันไม่ว่าจะมีโอกาสเมื่อไร ก็เมื่อข้าพเจ้ามีโชคในการพะนันแล้ว จะมานั่งอับทุกข์อยู่ทำไมเล่า?

มีเด็กในบ้านสองสามคนบอกข้าพเจ้าว่าที่โรงสี พวกกุลีจีนและไทยลอบเล่นไพ่ยี่สิบเอ็ดกันเสมอ ข้าพเจ้าดีใจเลี่ยงไปเล่นแทบไม่เว้นแต่ละวัน โชคยังคงอยู่กับข้าพเจ้าตามเคยแทบทุกครั้ง ทีแรกเล่นก็เพียงแต่เงินน้อยๆ เพราะข้าพเจ้าไม่มีเงินมาก แต่พอต่อๆ มา ข้าพเจ้าได้มากและรวมๆ ไว้ได้กองกลางและเดิมพันก็มากทับทวีคูณเข้าทุกที จนในที่สุดตั้งตนเป็นเจ้ามือ หัวเรือใหญ่ร้อยแปด บางทีก็เกิดตีกันในบ่อน ตำรวจเข้ามาจับกุม แต่ข้าพเจ้าวิ่งเล็ดลอดหนีมาได้ทุกครั้ง มันเป็นการผจญภัยอันชั่วช้าแต่สนุกอันหนึ่ง ท่านเอ๋ย เงินที่ได้มาจากการพะนันข้าพเจ้าไม่เคยให้ยายพร้อมเลย วันหนึ่งข้าพเจ้ากำเงินห้าสิบบาทไปที่แพเจ๊กตี๋ ขอให้ภรรยาแกไปสำเพ็งเพื่อหาซื้อกางเกงแพรสวยๆ และสั่งให้แกพาเด็กหญิงบุญเฮียงไปด้วย ข้าพเจ้าซื้อผ้าซิ่นไหมให้หลายผืน ยายพร้อมตกตะลึงในเมื่อเรากลับไปพบแกเข้าที่แพ พร้อมด้วยกางเกงแพรสองสามตัวและซิ่นไหม.

“ฉันไปเล่น ‘ยี่อิด’ ได้เงินมายายพร้อม” ข้าพเจ้าบอกแก

“เอ๊ะ” แกถามอย่างตกตะลึง “ไปเล่นที่ไหน?”

“ที่โรงสี” ข้าพเจ้าตอบเรื่อยๆ

“ตายจริง” แกพูดอย่างหวาดๆ “ทีหลังอย่าไปอีกนะคะ ถ้าคุณพ่อทราบเข้าละตายทีเดียว”

จริง! สองสามวันต่อมาคุณพ่อก็ทราบเรื่องไปเล่นการพะนันที่โรงสี ให้คนไปเที่ยวสืบดู ถ้าจับได้ครั้งไร ท่านก็ดุและคาดโทษอย่างเอาจริงเอาจังจนข้าพเจ้ารู้สึกหวาดว่าจะถูกไม้ แต่ท่านบิดามารดาข้าพเจ้าไม่เคยเฆี่ยนลูก การลงโทษในเรื่อง ‘เล่น’ นี้ บางคราวก็ถูกให้นั่งเอาหน้าติดฝาอยู่ในราว ๒ หรือ ๓ ชั่วโมงครั้งหนึ่ง หรือบางทีก็ถูกขังอยู่ในห้องมืดในบ้าน.

แต่ ข้าพเจ้าเกิดมาไม่เคยได้รับความรัก ความเสมอหน้าจากใคร นอกจากยายพร้อม ดังนั้นการทำโทษต่างๆ ก็หาเป็นประโยชน์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเข็ดหลาบได้ไม่ ข้าพเจ้ารู้สึกด้านต่อการดุ และคุ้นต่อการลงโทษทุกอย่าง ฉะนั้นจึงยังคงเล่นการพะนันทุกชะนิดอยู่เช่นเคย เล่นที่งานต่างๆ และที่โรงสี!

นี่คือเรื่องปฐมวัยตอนหนึ่งของข้าพเจ้า แม้ว่าจะเศร้าสักเพียงไรก็คงเป็นเรื่องที่จริง ความจริงมักจะเศร้าเสมอ แต่ถึงจะเศร้าดังนี้ ท่านก็ต้องเข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเรื่องปฐมวัยด้วยน้ำตา.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ