บทที่ ๑๓ เรื่องละคร

ก่อนที่จะดำเนิรเรื่องต่อไป ข้าพเจ้าจำเป็นต้องพูดให้ท่านเข้าใจเสียก่อนว่า ทำไมข้าพเจ้า - วิสูตร์ ศุภลักษณ์ ณ อยุธยา - จึงได้เข้าเป็นนักหนังสือพิมพ์ เป็นทั้งผู้ส่งข่าว ผู้แทน ผู้เขียนอาร์ติเกิล ผู้ตรวจและแก้ข่าวเมื่อมีที่ว่างหรือไม่สม่ำเสมอในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นวิธีดำเนิรอาชีพอันไม่เคยมีนักเรียนไทยคนใดได้เคยเล่าเรียนมาก่อน ทำไมข้าพเจ้าจึงละการเรียนวิชชากฎหมายเสียโดยเด็ดขาดอันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครแนะนำให้กระทำอย่างยิ่ง? ท่านคงจะนึกไปบ้างกะมังว่าเพราะข้าพเจ้าหลงผู้หญิง หลงมาเรียเกรย์ เพลิดเพลินและชอบชีวิตอันหรูรื่นเริงที่ได้พบมาแล้วณสโมสรที่เฮย์มาร์เก็ต จึงได้มาสมัครเข้าอยู่ในหมู่พวกหนังสือพิมพ์ เรียนวิชชาที่ไม่มีใบสุทธิแสดงให้เห็นคุณวุฒิอะไรทั้งสิ้น ไม่มีดีกรี ข้าพเจ้าจะยอมรับข้อวินิจฉัยของท่านทุกประการ แต่ข้อวินิจฉัยนั้นจะผิดถูกประการใดเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่สู้สนใจนัก.

ข้าพเจ้ามีเงินอยู่สองหมื่นบาท ใช้เป็นค่าโดยสารมาจากเมืองไทย ใช้เมื่ออยู่เมืองเบ็กสฮิลล์เสียบ้าง คงเหลือแต่เพียงหมื่นห้า กฎหมายข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องเรียนให้จบภายในสามปี หมายความว่าจะต้องสอบได้ทุกครั้ง ถ้าตกลงครั้งใดก็ไม่มีเงินพอที่จะเรียนให้จบได้ ตกลงเมื่อกลับไปบ้านก็คงไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีดีกรี ชีวิตของการเรียนกฎหมายในลอนดอนสำหรับคนจนเช่นข้าพเจ้าเป็นชีวิตที่ว้าเหว่ ประสพแต่ความปรามาสอันเกิดจากการอยู่อย่างยากจนค่นแค้น ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนนอกจากจะอยู่แต่ในลอนดอน เรียนไป......เรียนไปเท่านั้น เมื่อสามปีพ้นไปแล้วถ้าสอบได้ทุกภาคของการสอบ ได้ดีกรีก็ดีไป ถ้าฉวยตกบ้างเล่าแม้แต่ครั้งเดียว ก็จะเป็นอวสานแห่งชีวิต ไม่ได้มีโอกาสพบปะรู้จักมักคุ้นประเทศและเมืองอื่นนอกจากประเทศอังกฤษและเมืองลอนดอนเท่านั้น กลับไปเมืองไทยก็คงจะต้องเรียกว่า มือเปล่า พร้อมทั้งกาย วาจา ใจและวิชชา เมื่อมานึกถึงความสามารถของสมองตนที่จะทำงานไปได้เพียงไรแล้ว ข้าพเจ้าจึงรู้สึกท้อ กลัวการภายหน้า ทั้งเมื่อมาเห็นความร่าเริงแห่งชีวิตของพวกที่อยู่ในสโมสรหนังสือพิมพ์ เห็นเลดีมอยรา เห็นมาเรียเกรย์ และเห็นเรื่องราวต่างๆ ของตนที่เขียนปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกชะนิด ทำไมเล่าข้าพเจ้าจึงจะไม่สมัครเป็นพวกหนังสือพิมพ์พร้อมทั้งกาย วาจา และใจ ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทย ไม่มีคุณวุฒิอะไรที่จะแสดงให้เชื่อถือได้ ไม่มีดีกรี แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย วิชชาหนังสือพิมพ์ได้สอนให้ข้าพเจ้าระงับความทะเยอทะยาน สอนให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี จะมีวิชชาชะนิดใดในโลกที่จะให้ความสุขแก่ข้าพเจ้าได้ยิ่งกว่านี้-?

วิชชาหนังสือพิมพ์ได้พาข้าพเจ้าเที่ยวไปในประเทศต่างๆ พบและสมาคมกับชนต่างชาติต่างภาษาทุกชะนิด เจ้านาย ไพร่ กระฎุมพี มหาเศรษฐี ยาจก ผู้กล้าหาญ อ้ายโจรใจทมิฬ ผู้เจริญและผู้ทรยศต่อกฎธรรมดาแห่งชีวิตของโลก ได้นั่งเก้าอี้แถวหน้าของโรงละครใหญ่เสมอทุกวัน สืบและเขียนข่าวหนังสือพิมพ์ แม้จะได้มีโอกาสเที่ยวไปในที่ต่างๆ ก็จริง แต่ก็คงเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความลำบาก ข้าพเจ้าไม่ขอแนะนำให้เด็กหนุ่มคนใดดำเนิรอาชีพในทางนี้เป็นอันขาด ความจริงแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่ขมขื่น ทารุณ อยุกติธรรม ผู้ส่งข่าวและผู้เขียนข่าวเป็นผู้เห็นความจริงอันนี้ เขาจะต้องทำใจให้เป็นท่อนเหล็กไม่ยอมอ่อนต่อสภาพแห่งความจริงซึ่งคอยแต่จะพาไปสู่ความพินาศ สำหรับผู้ที่ประสงค์จะมีรายได้ประจำ เวลากินอยู่หลับนอนเป็นระเบียบ มีบ้านที่เป็นสุข หนังสือพิมพ์ไม่ใช่อาชีพที่จะพึงต้องการอย่างยิ่ง.

ดึกดื่นค่ำคืนไม่ว่าเวลาใด ผู้ส่งข่าวจะต้องลุกจากที่นอนทันทีถ้ามีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องท่านผู้ช่วยบรรณาธิการที่ฟลีตสตรีต เที่ยวไปตามหาข่าวที่หนังสือพิมพ์ของตนต้องประสงค์โดยด่วน ได้ข่าวแล้วกลับไปโรงพิมพ์ นั่งเขียน......เขียนไปจนกว่าปากกาจะหลุดจากมือ ระฆังแห่งชีวิตจะดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เขาจะต้องเป็นคนตื่นอยู่เสมอ เส้นประสาทจะต้องดี ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้ตกใจหรือท้อใจได้เป็นอันขาด ในระหว่างที่ทำหน้าที่อยู่ ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้ออยากจะกลับบ้านเสียหลายครั้ง แต่การเผชิญภัยและชีวิตหนังสือพิมพ์คงดึงข้าพเจ้าไว้สำเร็จเสมอเป็นเวลาตั้งปีเศษ.

แม้ว่าจะเหนื่อยยากลำบากใจเพียงไรก็ดี หนังสือพิมพ์ก็ยังคงเป็น ‘เกม’ ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ‘เกม’ สำหรับเด็กหนุ่มที่มีสมองไว นิสสัยชื่นบานตลกคะนอง มีคุณวุฒิที่จะเขียนและใช้คำพูดที่ไพเราะ ละครแห่งชีวิตอาจช่วยตัวได้ ช่วยให้เป็นคน เป็นผู้มีเกียรติยศและความมั่นใจ.

การที่ข้าพเจ้าต้องละออกจากหนังสือพิมพ์อันเป็นชีวิตที่ข้าพเจ้ารักยิ่ง กลับมาเมืองไทย เป็นเรื่องที่เศร้าที่สุด ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอำลาก็เพราะร่างกายไม่สมบูรณ์พอสำหรับชีวิตอันหมุนเวียนเปลี่ยนกลับไม่หยุดหย่อน ก่อนออกจากอังกฤษข้าพเจ้าป่วยหนักต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึงสองเดือนเศษ หายป่วยแล้วไปอยู่อเมริการ่วมสมาคมกับพวกหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์และบอสตันเกสเส็ตต์ ข้าพเจ้าซ้ำป่วยหนักลงอีกหนหนึ่ง นายแพทย์บอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนแอ ห้ามไม่ให้ทำงานอะไรเลยเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี ข้าพเจ้าไม่เชื่อคำแนะนำนั้นเพราะเชื่อไม่ไหว ออกจากอเมริกาก็ได้ไปเขียนข่าวที่ฮาไวญี่ปุ่นและจีน ปักกิ่งเวลานั้นเกิดการ ‘แอนตี้’ ชาวต่างประเทศอย่างแรงจนอังกฤษและญี่ปุ่นต้องร่วมมือกันปราบพวกจีน เกิดสงครามน้อยๆ กันขึ้นรอบเมือง ผู้ส่งข่าวมีหน้าที่ๆ จะต้องเที่ยวไปดูความเป็นไปให้ตลอด บางทีก็ไปตกอยู่ในหมู่ที่ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เชื่อว่าเป็นศัตรู เราหนี วิ่งบ้างเดิรบ้างไปตามถนนต่างๆ ขึ้นบ้าน ขึ้นหอนาฬิกาเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อรอดกลับมาที่โฮเต็ลของตนได้ก็ตั้งต้นเขียนข่าวที่ได้มาซึ่งเราเรียกว่า ‘สกู๊ป’ ทำอยู่เช่นนี้ทุกวันจนเวลาตั้งสองสัปดาห์ข้าพเจ้าจึงป่วยลงอีก ต้องออกจากปักกิ่งไปพักอยู่ที่เนิรสซิงโฮมในเซียงไฮ้ พอหายก็เป็นอันหมดหวังที่จะเป็นพวกหนังสือพิมพ์ต่อไปได้อีก นั่นคืออวสานแห่งเรื่องเผชิญภัยของข้าพเจ้า ละครแห่งชีวิตปิดม่าน.

ท่านบิดาของข้าพเจ้าพูดถูก ท่านได้พูดไว้ว่า คนอย่างข้าพเจ้าส่งไปเมืองนอกก็เสียเงินเปล่า ไม่มีผล--

เลดีมอยราแนะนำให้ข้าพเจ้ากลับบ้านไปเขียนเรื่อง ละครแห่งชีวิต ให้คนไทยอ่านเพื่อความรักของข้าพเจ้าซึ่งมีต่อมาเรียเกรย์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะขอเขียนไปจนจบ.

เมื่อเข้าเป็นนักหนังสือพิมพ์ใหม่ๆ ข้าพเจ้าได้ย้ายจากบ้านมิสซิสแฮริสที่ฟูลแฮม มาอยู่บ้านเดียวกับอาร์โนลด์แบริงตันที่เอิลสคอร์ตโรด บ้านเราเป็นส่วนหนึ่งของตึกสามชั้น เราอยู่บนชั้นบนมีห้องนอนเล็กๆ สองห้อง ห้องนั่งเล่น ห้องทำงานและห้องน้ำ เหมาะสำหรับชายโสดอย่างยิ่ง อาร์โนลด์กับข้าพเจ้าเป็นมิตรกันดี เรามักจะไปไหนไปด้วยกัน เวลาว่างเราเชิญพวกเพื่อนหนังสือพิมพ์ด้วยกันไม่ว่าหญิงชายมาเล่นบริดชและเต้นรำเสมอ สนุกสบายอย่างที่สุด.

ลอนดอน- ถ้าท่านจะสนใจในความเป็นอยู่ของลอนดอนจริงๆ แล้ว จะมีการเผชิญภัยทุกชะนิดสำหรับท่านเสมอ เช่นเดียวกับนครหลวงที่มีชื่อเสียงทั้งหลายทั่วโลก ลอนดอนต้องได้รับความอับอาย เพราะอารมณ์อันหุนหันพลันแล่นของชายหญิงบางพวก มีการต่อสู้กับชีวิต การแข่งขัน ความกล้าหาญ ความอธรรมของมนุษยชน ท่านนึกดูหรือเปล่าว่า ถนนและความงามความมีชื่อเสียงของลอนดอนเป็นหน้ากากสวมบังความฝัน ความบ้า ความมั่นใจในสิ่งที่ผิดอยู่มากมาย.

ครั้งหนึ่ง มีข่าวมาว่า สตรีสาวสวยผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงว่าชอบซุกซนถูกฆ่าตายในบ้านอันหรูของหล่อนที่ตำบล เมย์แฟร์ ผู้ร้ายมิได้ขะโมยอะไรไปเลย เป็นแต่หนีไปเฉยๆ ตำรวจรักษาการณ์เห็นก็วิ่งไล่ไปตามถนนต่างๆ เวลานั้นดึกมาก ชายผู้นั้นหนีตำรวจมาได้สักครู่ ก็จับรถ ‘แท๊กซี่’ ได้คันหนึ่ง ใช้ปืนขู่คนขับให้พาตนไปที่ถนนแห่งหนึ่งทางตำบลอิสต์เอ็นด์อันเป็นที่อยู่ของพวก ‘ไพร่ราบ’ ซึ่งกฎหมายต้องการตัว ตำรวจผู้นั้นมิได้ย่อท้อ จับรถเช่าอีกคันหนึ่งขับไล่ตามไปเหมือนกัน พอไปทันรถผู้ร้าย คนขับรถก็บอกว่าคนร้ายได้หนีไปเสียแล้ว ตำรวจเที่ยวตามหาอยู่หลายชั่วโมงไม่พบ ข่าวนี้มีอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉะบับในวันรุ่งขึ้น อาร์โนลด์และข้าพเจ้าถูกท่านผู้ช่วยบรรณาธิการส่งไปสืบว่า การสืบจับผู้ร้ายของตำรวจที่อิสต์เอ็นด์นั้นไปกันถึงไหนแล้ว และถ้าเราสามารถจะรู้ได้ว่าผู้ร้ายคือใคร อยู่ที่ไหนด้วย ก็จะให้รางวัลอย่างงาม.

เพื่อจะสืบให้รู้เรื่องนี้ เรา-อาร์โนลด์และข้าพเจ้า-จึงต้องไปเที่ยวดูเหตุการณ์ที่ ‘ตำบลพวกไพร่ราบ’ เสมอ เป็นเวลาตั้งสี่วันตำรวจทั้งลอนดอนยังคงไม่สามารถหาร่องรอยของคนร้ายได้ ส่วนเราได้สืบรู้เรื่องระแคะระคายอะไรบางอย่างอยู่บ้าง หน้าสถานีตำรวจกลางที่ถนนโบว์สตรีต มีประกาศให้รางวัลเป็นจำนวนพันปอนด์แก่ตำรวจผู้สามารถจะมาแจ้งแก่ท่านอธิบดีได้ว่า ผู้ร้ายฆ่าสตรีมีชื่อนั้นคือใครอยู่ที่ไหน อีกสองสามวันต่อมาสำหรับการสืบของพวกตำรวจลับ ข่าวนั้นก็ยังเงียบอยู่ ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ปากไว ก็พากันพิมพ์ตัวโตๆ ว่า เมื่อไรจะจับอ้ายวายร้ายได้! ตั้งพันปอนด์แล้วยังไม่พออีกหรือ?

ในระหว่างเวลาเจ็ดวันที่เราเที่ยววิ่งหาข่าวหรือ ‘สกู๊ป’ ให้หนังสือพิมพ์เรื่องการฆาตกรรมรายนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกและชอบดูความเป็นไปของ ‘พวกไพร่ราบ’ ในตำบลอิสต์เอ็นด์ของลอนดอน ซึ่งอาร์โนลด์และข้าพเจ้าจำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนเสมอ ข้าพเจ้าพบพวกรัสเซียนที่หนีจากคุกในไซบีเรียสมัยพระเจ้าซาร์ ยังคงมีรอยตรึงตราของโซ่และเครื่องพันธนาการต่างๆ มีรอยแส้และอื่นๆ ตามลำแขนและขา เห็นพวกรัสเซียนที่ถูกพวกบอลเชวิคจองจำเช่นเดียวกันในสมัยกบฏใหญ่เมื่อแปดปีมานี้ ข้าพเจ้าได้เห็นพวกจีน แขกนิโกร ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณอันเต็มไปด้วยความสะพึงกลัว เวลาเช้ามีพวกผู้หญิงหลายชาติหลายภาษานั่งซักเสื้อผ้าซึ่งเกือบจะมองไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่ตามถนน ความยากจนค่นแค้นของไวต์แช็ปเปิลหรืออิสต์เอ็นต์ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสังเวชใจไม่น้อย.

เนื่องจากการสืบหาผู้ร้ายรายนี้ ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่า บรรดาห้างร้านใหญ่โตโดยมากทางเมยแฟร์และเวสต์เอ็นด์มักจะส่งเครื่องเย็บปักถักร้อยต่างๆ ของพวกมหาเศรษฐีไปให้พวกที่อิสต์เอ็นด์ทำทั้งสิ้น ทำกันอย่างสกปรก ซักกันอย่างเอาพอได้ ดังนั้นจึงเป็นที่ควรพยากรณ์ได้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นเมื่อกลับไปถึงเจ้าของก็คงมีเชื้อโรคติดไปด้วยไม่น้อย ที่อิสต์เอ็นด์มีโรงงานมวนบุหรี่ ใช้คนหลายพันทั้งหญิงและชาย พวกนี้มวนกันได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ.

พอตกกลางคืน เราออกจากอิสต์เอ็นด์ตรงไปโซโหซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีโรงอาหาร ‘คอนติเนนเติล’ ตั้งอยู่เป็นแถว และได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีอาหารดีที่สุดในลอนดอน มีราคาแตกต่างกันตามกะเป๋าของพวกที่มาอุดหนุน โซโหเหมาะสำหรับเศรษฐีและเหมาะสำหรับท่านด้วยเหมือนกัน ออกจากร้านอาหาร ‘เปตีริชด์’ เดิรระหว่างถนนวอร์เดอร์และถนนคอมป์ตันเก่า เรามักจะเห็นพวกเด็กหญิงฝรั่งเศสนั่งทำดอกไม้สีชะนิดต่างๆ สำหรับละคร ‘แบลเลต์’ และ ‘แพนโตไมมส์’ ทำเครื่องเย็บปักถักร้อยต่างๆ สำหรับโรงละครในลอนดอน.

จากโซโห เราไปตรอก ‘เลเทอร์เลนย์’ที่โฮบอล์นซึ่งเป็นบริเวณที่มีชาวอิตาเลียนอาศัยอยู่มาก ตำบลนี้ดูคล้ายเมืองเนเปิลส์น้อยๆ มีสีสันวัณมีกลิ่นและมีความสกปรกคล้ายคลึงกัน ทางเบื้องหลังของข้างถนนมีลานบ้าน มีสตรีสาวอิตาเลียนนั่งซักผ้ากันอยู่เป็นหมู่ พวกเหล่านี้ล้วนเป็นคนสวยโดยมาก พอเห็นก็ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงมาดอนนาของ เรเฟิล สตรีเหล่านี้ร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะในระหว่างที่ซักผ้าอยู่ และบางทีก็มีเด็กเล็กมาล้อมฟังอยู่รอบชามอ่างซักผ้าด้วย.

ออกจากตรอกนี้ไปสักครู่ ก็ถึงร้านขายขนมปังเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมีขอทานนำเอารถออร์แกนมาไขเป็นเพลงให้เราฟังทุกวัน พอเราเดิรไปถึงก็มีเด็กอนาถาสองสามคนวิ่งถือหมวกมาขอทานและพอได้เงินไปแล้วก็กล่าวคำขอบใจวิ่งกลับไปยืนกับผู้ใหญ่ที่กำลังยืนไขหีบเสียงอยู่.

ในบริเวณนี้เราเห็นชายแต่งตัวชุดขาวผู้หนึ่งกำลังใช้ดิน ‘ปลาสเตอร์’ ปั้นรูปผู้มีชื่อเสียงในพงศาวดารง่วนอยู่ มีรูปนโปเลียน เนลสัน พระนางเจ้าวิกตอเรีย นายพลเอก กอร์ดอน พระนางเจ้าวินัสและเมอคิวรี ตั้งอยู่เป็นแถว เป็นตุ๊กตาตัวสูงขนาดหนึ่งศอกซึ่งมีผู้นำไปขายที่ตำบลลัดเกตฮิลล์ทุกวัน ในขณะที่ชมนายช่างปั้นผู้นี้อยู่ รู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่เบาๆ สองทีแล้วพูดด้วยเสียงอันไพเราะว่า “แฮลโหล บอบบี้!”

ข้าพเจ้าเหลียวดู พบมาเรียเกรย์ยืนยิ้มอยู่.

“แฮลโหล มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันไม่นึกเลยว่าเธออยู่ลอนดอนเวลานี้”

“ฉันพึ่งกลับมาจากกรุงโรมสองสามวันนี้เอง” หล่อนตอบ “นี่เธอมาเดิรทำอะไรกันอยู่ที่นี่?”

“หา ‘สกู๊ป’ เรื่องมิสซิส_ถูกฆ่าตาย” ข้าพเจ้าตอบ.

“มาเรีย อะไรมาเดิรอยู่ตามแถวนี้?” อาร์โนลด์ร้องขึ้น.

“นี่ อาร์โนลด์” มาเรียกล่าว “เธอบอกข่าวเรื่องคนร้ายฆ่ามิสซิส_ไปที่เอ็ดดี้หรือ? เขาเสนอข่าวนั้นไปที่กรมตำรวจ ตำรวจตกลงจะทำการล้อมจับวันนี้ เวลา ๒๑ น. ที่บ้านถนนโกรฟสตรีต”

“เอ๊ นี่ก็จวนแล้ว เราไปกันหรือยัง?” อาร์โนลด์หารือ.

“อะไร เธอไม่รู้มาก่อนดอกหรือ?” หล่อนถาม.

“ไม่รู้ นี่เราจะกลับไปโรงพิมพ์กันอยู่แล้ว” ข้าพเจ้าตอบ.

“เธอมากับเราไหม มาเรีย?” อาร์โนลด์ถาม.

“แน่ละซี” หล่อนตอบรับ.

ทันใดนั้นเราก็รีบเดิรไปขึ้นรถ ‘บัส’ ที่โฮบอล์น สักครู่ก็ถึงไวต์แชปเปิล ในระหว่างที่เราเดิรหาทางไปถนนโกรฟสตรีต ถูกพวกตำรวจถามไม่หยุดหย่อนว่า “ใคร หนังสือพิมพ์หรือ?”

“ถูกแล้ว” เราตอบ.

“อะไร?”

“ไทมส์!”

“ไปได้ รีบเดิรเข้าหน่อย”

โกรฟสตรีตเป็นถนนที่แคบ แต่มีเวิ้งอยู่หลายแห่งซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตากผ้าของพวก ‘ไพร่ราบ’ เวลาที่เราไปถึงยังคงเงียบอยู่ ตำรวจยังมิได้กระทำอะไรทั้งสิ้น เราเดิรไปตามถนนนั้นจนถึงบ้านน้อยๆ ที่ต้องการอันเป็นที่มั่วสุมของพวกเหล่าร้ายในลอนดอน เดิรเที่ยวตรวจดูอยู่สักครู่ก็เห็นมีรถยนตร์คันใหญ่คันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน อ้ายพวกเหล่าร้ายสองสามคนลงจากรถ มายืนออกันอยู่ที่ประตูปรึกษากันซุบซิบ สักครู่อ้ายหัวหน้าไขกุญแจประตูพาลูกน้องเข้าไป บ้านนี้เป็นสถานที่ที่มองดูลึกลับที่สุด มืด ประตูหน้าต่างปิดหมด ความเงียบสงัดและแสงจันทร์ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยช่วยให้เราคิดไปว่าคงจะเกิดสงครามน้อยๆ กันเป็นแน่ ในไม่ช้า เรายืนแอบอยู่ตามซุ้มไม้รอดูเหตุการณ์ต่อไป.

สักครู่เห็นตำรวจสองคนเดิรไปที่ประตู เคาะเบาๆ สองสามครั้ง

“ต้องการอะไร?” เป็นเสียงถาม.

“ต้องการตัว ‘ไบรน’ และ ‘เมอร์ดอร์ฟ’” ตำรวจตอบ.

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”

“ไม่อยู่ก็เปิดซี เราต้องการจะค้น”

ประตูเปิดออกช้าๆ ตำรวจทั้งสองเดิรเข้าไปในบ้านอย่างไม่สะทกสะท้าน สามสี่นาฑีต่อมาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีตำรวจอีกหลายสิบคนวิ่งฮือกันเข้าไปในบ้าน บ้างถือปืนกลปืนสั้นทุกชนิด ยิงกันอยู่สนั่นหวั่นไหว สักครู่ปืนสงบลง เราเห็นตำรวจสองสามคนเดินออกมาหาที่จะโทรศัพท์อย่างรีบร้อน เป็นอันรู้แน่ได้ว่าตำรวจเป็นฝ่ายชะนะ เราสามคนเดิรขึ้นไปดูเหตุการณ์ตามช่องทางที่จะเข้าไปในห้องที่มีคนอยู่เต็มเวลานั้น เราพบตำรวจสามคนถูกยิงตายอยู่ มีพวกผู้ร้ายหลายคนทุพพลภาพอย่างน่าทุเรศ เสียงกัดฟันทนพิษบาดแผล เสียงร้องครวญครางทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดพิลึก พอถึงห้องปรากฏว่า ‘ไบรน’ และ ‘เมอร์ดอร์ฟ’ ถูกจับเป็น ที่หน้าของคนทั้งสองมีเลือดเปื้อนอยู่ทั่ว ‘ไบรน’ เป็นคนที่มีอายุราวสี่สิบ หน้าตาน่ากลัวไว้หนวดเครา ‘เมอร์ดอร์ฟ’ เป็นเด็กหนุ่มมีอายุไม่เกินยี่สิบห้า หน้าตาสะอาดค่อนข้างสวย พอคนทั้งสองถูกตำรวจสวมกุญแจมือจูงเดิรมาถึงหน้าบ้าน ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งโผเข้าไปกอดคอ ‘เมอร์ดอร์ฟ’ จูบสองสามที พลางก็ร้องไห้พร่ำรำพันเพราะความรักและเสียดาย ตำรวจต้องพยายามปลีกหล่อนจากชายที่รักเสียนานจึงได้พาเมอร์ดอร์ฟมาขึ้นรถที่เตรียมไว้ข้างนอกได้.

เมื่อตำรวจและผู้ร้ายไปกันหมดแล้ว เราทั้งสามไปปลอบเด็กหญิงผู้นั้นปรากฏว่าหล่อนชื่อ แนนซีสมิท เป็นคนมวนบุหรี่ในโรงงานแห่งหนึ่งในบริเวณนั้น.

“ฉันรักเขา” หล่อนกล่าวพลางร้องไห้พลาง “ฉันรักเมอร์ดอร์ฟ”

“ทำไมเมอร์ดอร์ฟจึงได้ไปฆ่ามิสซิส_เสียเล่า มิสสมิท” มาเรียถาม

“เมื่อปีเศษมานี้ ดิฉันกับเมอร์ดอร์ฟทำงานด้วยกันอยู่ที่เมืองคอร์นวอลล์” แนนซีสมิทเล่า “เราอยู่ด้วยกันเป็นสุขจนมิสซิส_ไปถึง หล่อนยั่วยวนเมอร์ดอร์ฟและหลอกพาเอาเมอร์ดอร์ฟของดิฉันมาอยู่เสียที่นี่…ที่ลอนดอน อยู่ได้สักสองสามเดือนมิสซิส_ก็เบื่อ ทิ้งให้เขาได้รับความชอกช้ำใจอย่างที่สุด วันหนึ่งดิฉันได้รับจดหมายจากเมอร์ดอร์ฟขอให้ดิฉันลงมาอยู่ลอนดอนด้วย พอดิฉันมาถึง ก็พบเขาเข้าเป็นพวกขะโมยเสียแล้ว ลอนดอนได้เปลี่ยนนิสสัยอันดีของเมอร์ดอร์ฟเสียสิ้น มิสซิส_เป็นผู้ทำลายความสุขของเราทั้งสอง”

“วันหนึ่ง จะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ” แนนซีบรรยายต่อไป “เมอร์ดอร์ฟบอกกับดิฉันว่าจะไปธุระสักครู่ พอกลับมาดิฉันเห็นตำรวจวิ่งตามหลังติดมาด้วย เขาขอให้ดิฉันช่วย ดิฉันจึงพาเข้าไปซ่อนไว้ในห้องนอน และซักถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมอร์ดอร์ฟบอกว่าเขาได้ฆ่าหล่อนเสียแล้ว...ฆ่ามิสซิส - เพราะหล่อนเป็นผู้ทำลายความสุขของเรา”

“คุณนายขา” หล่อนวิงวอนถามมาเรีย “เขาจะประหารชีวิตเมอร์ดอร์ฟของดิฉันเทียวหรือ?”

เราปลอบโยนหล่อนสักครู่.

“ดิฉันจะวิงวอนพระผู้เป็นเจ้าเพื่อไม่ให้เมอร์ดอร์ฟถูกประหารชีวิต” หล่อนกล่าวพลางก็สะอื้นอย่างน่าสงสาร “เพียงแต่จะถูกติดคุกสักสิบปี ดิฉันก็จะพอใจ ดิฉันจะรออยู่เสมอจนวันตาย ดิฉันรักเมอร์ดอร์ฟ”

ดูซีท่าน คนร้ายใจทมิฬเช่นเมอร์ดอร์ฟ ดังปรากฏตามรายงานของตำรวจ ยังมีโอกาสได้รับความรักอันเลิศเช่นความรักของแนนซีสมิท หล่อนรักมันโดยไม่พะวงว่ามันเป็นใคร หล่อนมีแต่ความเชื่อมั่น ในหมู่ ‘ไพร่ราบ’ ยังมีคนดีเช่นแนนซี หล่อนไม่มีความรู้สึกที่จะไปทำการลักขะโมยที่ไหน หล่อนไม่มีความอิจฉาในความมั่งคั่งสมบูรณ์ของผู้อื่น หล่อนต้องการแต่เมอร์ดอร์ฟของหล่อนเท่านั้น แต่เมอร์ดอร์ฟมีค่าไม่คู่ควรกับความดีงามของหล่อน ดังนั้นศาลจึงตัดสินประหารชีวิตเมอร์ดอร์ฟให้ตายตกไปตามกัน.

อุทาหรณ์ของการสืบข่าวที่ได้เล่ามาแล้วเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งในวงชีวิตของพวกหนังสือพิมพ์เท่านั้น เรื่องที่จะแสดงให้โลกเห็นถึงสภาพแห่งมนุษยธรรมเป็นวงการที่กว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ความสุขความทุกข์คือความมั่งคั่งความอนาถา แม้ผู้ที่มั่งคั่งอาจเป็นทุกข์ และคนอนาถาอาจเป็นสุข แต่นี่คือสภาพแห่งมนุษยธรรม ดังนั้นวงการจึงดำเนิรไปในหมู่คนทุกชะนิด ทุกชาติ ทุกภาษา...หน้าที่ของพวกหนังสือพิมพ์.

ระหว่างหกเดือนซึ่งทำงานและอยู่ร่วมกับอารโนลด์ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปะปนไปกับพวกยาจก เศรษฐี คหบดี ไปในงานเลี้ยงใหญ่ทั้งหลายในประเทศอังกฤษ เข้าโรงมหรสพเป็นพวกติชม ดูเรื่องละครในโรงละครแห่งชีวิต.

หลังฉากละครคือโรงพิมพ์ สำนักงานหนังสือพิมพ์ และโรงงานซึ่งสร้างขึ้นทั้งสองฟากถนนตอนหนึ่งของถนนฟลีตสตรีต ข้าพเจ้ายังคงจำติดตาอยู่เสมอว่ารูปร่างของบริเวณนี้เป็นอย่างไร กิจการซึ่งได้ดำเนิรไม่หยุดหย่อนอยู่ภายในบริเวณนั้นตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงคือชะนวนแห่งความไมตรีจิตต์ ความพร้อมเพรียง แม้ว่าพวกเราจะเจ็บไข้ได้ทุกข์ประการใด หนังสือพิมพ์ของเราก็จะต้องดำเนิรไปตามธรรมดาเสมอ จะหยุดชะงักลงไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าหนังสือพิมพ์เกิดอุปสรรคศูนย์หายลงวันใดก็คือความอับอายขายหน้าของพวกเราซึ่งจะกระจายออกให้โลกเห็นว่าเราทั้งหมดเป็นผู้ไม่สามารถ ไร้เกียรติยศ สำหรับประเทศในทวีปยุโรปและสหปาลีรัฐอเมริกา กำลังหนังสือพิมพ์ก็คือ กำลังของประเทศ พวกหนังสือพิมพ์ได้เคยถูกเลือกขึ้นเป็นเสนาบดี เป็นประธานาธิบดี เป็นผู้ถือบังเหียนแห่งความเป็นอยู่ของประเทศมาแล้วเกือบจะนับไม่ถ้วน.

จำได้ว่าครั้งแรกที่เข้าทำงาน ข้าพเจ้าได้โต๊ะทำการในหมู่พวกพิมพ์ดีดซึ่งทำหน้าที่ดังอยู่เสมอ เปลี่ยนคนกันอยู่เรื่อย มองไปทางหน้าต่างก็มีคนกำลังป้อนกระดาษในแทนพิมพ์นับจำนวนตั้งร้อย มีเสียงสนั่นไปเหมือนกัน ดึกดื่นค่ำคืนไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เมื่อได้กลับจากไปสืบข่าวมาแล้ว ต้องวิ่งเข้าไปทำงานที่โต๊ะซึ่งแวดล้อมไปด้วยเสียงเหล่านี้ ทีแรกก็ทำไม่ได้ ไม่รู้จะตั้งใจทำได้อย่างไร รู้สึกระอาใจอย่างที่สุด แต่เมื่ออยู่ไปนานๆ ก็เคย บางทีกำลังนั่งเขียนง่วนอยู่ สวมกะบังหน้าเพื่อมิให้แสงไฟทำให้เคืองตา มีเสียงโทรศัพท์มาจากท่านผู้ช่วยบรรณาธิการคนหนึ่งเร่งมาว่า “บอบบี้ ‘สกู๊ป’ ของเธอเมื่อไรจะได้เล่า?”

“ประเดี๋ยวครับ รออีกห้านาฑี” ข้าพเจ้าตอบ.

“อะไร ตั้งห้าเทียวหรือ?” เสียงย้อนถามมาอีก “เอาแต่เพียงสองนาฑีเป็นไร ดึกมากแล้วนะ บอบบี้ กันอยากตรวจ ‘สกู๊ป’ ของเธอแล้วจะไปนอน”

เสร็จธุระกลับบ้าน ตรงเข้านอน หลับเหมือนท่อนไม้ในชั่วเวลาสิบนาฑีเป็นอย่างช้า การหลับชะนิดนี้เป็นนิจนิรันดร์ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอยู่จนทุกวันนี้ว่าความตายคือปรินิพพาน คือความบรมสุข ไม่ต้องนึกถึงทุกข์ในอนาคต ความตายนี่ก็ไม่ร้ายแรงอะไรนัก เป็นแต่เพียงการปราศจากความจริงความรู้สึก ตราบใดที่เรายังมีความรู้สึกอยู่เราก็จะหนีวัฏฏสงสารมิพ้น ความสุขคือส่วนหนึ่งของความทุกข์ และความทุกข์ก็ดุจกัน.

รุ่งเช้า เก้าหรือสิบนาฬิกาก็ตื่นจากความสุข แลเห็นโลกซึ่งข้าพเจ้าคือส่วนหนึ่งของเครื่องจักรประจำวันหมุนไปเรื่อยๆ ตามเคย โลกหมุนไปอย่างปราศจากความเมตตาสงสาร อะไรหนอจะทารุณยิ่งไปกว่าชีวิต ทำเราให้เป็นเครื่องจักรและให้เรามีความรู้สึกอยู่ด้วย.

ในระหว่างตื่นนอน ล้างหน้าสีฟันทำความสะอาดอยู่ในห้อง อาร์โนลด์มักจะเข้ามาหา มือถือถ้วยน้ำชาฝรั่งซึ่งชงไว้พร้อมเข้ามาด้วย.

“ยังไง เพื่อนรัก” เขาถาม “ยังคงสบายอยู่หรือ?”

ยิ่งอยู่นานวันข้าพเจ้าก็ยิ่งมีแต่จะรักและนิยมอาร์โนลด์มากขึ้นเสมอ ความใฝ่ใจของเขาในความเป็นอยู่ของข้าพเจ้า ความชอบพอด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ ความเชื่อถือในเกียรติยศของเพื่อน เป็นลักษณะอันดีแห่งนิสสัยของอาร์โนลด์ซึ่งข้าพเจ้าจะลืมเสียไม่ได้ สำหรับผู้ที่รู้จักแต่เผินๆ อาร์โนลด์เป็นคนแปลก เงียบ รู้จักยาก ไม่น่าจะสนใจนัก แต่สำหรับผู้ที่ใกล้ชิด เขาเป็นชาวอังกฤษที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้จักมา.

สำหรับมาเรียและข้าพเจ้า เรามีโอกาสได้พบกันเสมอที่สโมสรหนังสือพิมพ์ ที่บ้านเราและตามภัตตาคารต่างๆ ถ้าหล่อนไม่ติดธุระไปเสียที่เมืองอื่น ความรัก ความฝัน วิมานบนอากาศของเราที่ได้เคยสร้างกันไว้ที่ชายหาดเมืองเบ็กสฮิลล์นั้นเปลี่ยนจากสภาพเดิมเสียแล้วสิ้น นี่ไม่ได้หมายความว่ามาเรียเลิกรักข้าพเจ้า ในระหว่างเวลาที่ได้เที่ยวไปในที่ต่างๆ ในยุโรปในตำแหน่งผู้แทนหนังสือพิมพ์ไทมส์ สิ่งที่หล่อนได้เคยเห็นมาแล้วทำให้มาเรียเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หล่อนไม่ใช่เป็นคนสูสี แม้จะรักใครก็สามารถเก็บไว้ภายในทรวงอกได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่นว่ามาเรียยังคงรักข้าพเจ้าอยู่มาก แต่หล่อนไม่ใช่เป็นผู้ที่จะเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว หล่อนต้องการให้ข้าพเจ้าฟรี เป็นสุขสนุกสบายในเมื่อท่องเที่ยวไปในเมืองต่างๆ ทั่วโลกในตำแหน่งผู้แทนหนังสือพิมพ์ไทมส์.

เรายังรักกันอยู่มาก ท่านเอ๋ย แต่ความรักของเราเป็นของที่แปลก เฉื่อยชาและเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง เรายังคงไปเที่ยวด้วยกันเสมอตามสวนหลวง และสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีคู่รักเดิรจูงมือกันเป็นคู่ๆ แต่เราก็ต้องแยกจากกันบ่อยๆ มาเรียไปฝรั่งเศส เยอรมันนี ออสเตรีย ฯลฯ ฝ่ายข้าพเจ้าก็ยังคงอยู่ลอนดอน เราเป็นของหนังสือพิมพ์ และชีวิตของหนังสือพิมพ์คือชีวิตที่จำใจจำพรากไปเช่นนี้.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ