๒๕. ตำนานพระพุทธบุษยรัตน์

พระพุทธบุษยรัตน์[๑]พระองค์นี้ เปนพระแก้วผลึกอย่างที่ช่างเรียกว่าเพ็ชรน้ำค้าง หรือบุษย์น้ำขาว เนื้อแก้วสนิทแลเปนแท่งขนาดใหญ่ยังไม่เคยมีเหมือน ทรวดทรงพระพุทธปฏิมาทำงามยิ่งกว่าพระแก้วอย่างเดียวกัน แม้ขนาดย่อมๆ ซึ่งได้เคยมีมา วัดขนาดมีประมาณสูงแต่ที่สุดทับเกษตรขึ้นไปจนสุดปลายพระจุฬาธาตุ ๑๒ นิ้ว ๒ กระเบียดอัษฎางค์ น่าตักวัดแต่พระชาณุทั้ง ๒ เก้านิ้ว กับ ๔ กระเบียดอัษฎางค์ ระหว่างพระกรรปุระทั้งสอง ๖ นิ้ว ๔ กระเบียดอัษฎางค์ ระหว่างพระอังสกูฏ ๔ นิ้วกับ ๗ กระเบียดอัษฎางค์ ประมาณพระเศียรแต่ปลายพระหณุขึ้นไปถึงที่สุดพระจุฬาธาตุ ๔ นิ้วกึ่งกับ ๒ กระเบียดอัษฎางค์ กว้างพระภักตร์วัดในระหว่างพระกรรณทั้ง ๒ ข้าง ๒ นิ้วกับ ๗ กระเบียดอัษฎางค์ ก้อนแก้วเดิมจะได้มาแต่ที่ใด ผู้ใดจะเปนผู้สร้าง แลจะสร้างที่ไหนไม่ปรากฎ ตำนานที่สืบรู้ต้นเรื่องได้เพียงว่า พระพุทธปฏิมาแก้วผลึกพระองค์นี้ มีผู้พาหนีภยันตรายไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาส้มป่อยนายอน แขวงเมืองนครจำปาศักดิ ข้างฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีพราน ๒ คน ชื่อพรานทึง พรานเทิง ไปเที่ยวยิงสัตว์ป่า ไปพบพระแก้วนี้อยู่ในถ้ำ ในตอนปลายสมัยเมื่อกรุงเก่าเปนราชธานี พรานทึง พรานเทิงรู้ว่าเปนของวิเศษ แต่สำคัญว่าเปนเทวรูป จึงไปเส้นสรวงบวงบนตามวิไสยพรานมาเนืองๆ ภายหลังพรานทั้ง ๒ นั้นเห็นว่าพระแก้วอยู่ในที่เปลี่ยว เกรงว่าใครมาพบเข้าก็จะลักไปเสีย คิดกันจะเชิญมารักษาไว้เส้นสรวงที่บ้านเรือนตน จึงเอาเชือกผูกพระแก้วแขวนห้อยมากับคันน่าไม้ ในเวลาที่เดินมานั้น แก้วตรงพระกรรณเบื้องขวากระทบคันน่าไม้ลิไปน่อย ๑ พรานทึงพรานเทิงรักษาพระแก้วไว้ที่บ้านต่อมา เวลาไปยิงได้สัตว์ป่าสำคัญว่าได้ด้วยอำนาจที่บนบานพระแก้ว จึงเอาโลหิตแต้มเส้นเปนนิจมา

ต่อมาในสมัยเมื่อกรุงธนบุรีเปนราชธานี[๒] เจ้าไชยกุมารเปนเจ้านครจำปาศักดิ ได้ทราบความจากพ่อค้าที่ไปเที่ยวซื้อหนังซื้อเขาสัตวป่าตามบ้านพราน ว่าพรานทึงพรานเทิงมีพระแก้วเปนของวิเศษอยู่องค์ ๑ เจ้าไชยกุมารจึงให้ไปว่ากล่าวแก่พรานทึงพรานเทิงได้พระแก้วผลึกมา เห็นว่าเปนพระพุทธปฏิมาอันวิเศษจริง จึงให้สร้างวิหารประดิษฐานไว้เปนที่สักการบูชาในเมืองนครจำปาศักดิ ข่าวที่เจ้านครจำปาศักดิมีพระแก้วผลึกวิเศษองค์นี้ ไม่ได้ทราบเข้ามาถึงกรุงธนบุรี แม้เมื่อกองทัพไทยยกไปถึงเมืองนครจำปาศักดิ เมื่อครั้งตีกรุงศรีสัตนาคนหุต คราวได้พระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกฏ ก็มิได้ทราบความเรื่องพระแก้วผลึกพระองค์นี้ ด้วยพวกเมืองนครจำปาศักดิพากันซ่อนเร้นปิดบังเสีย เจ้าไชยกุมารพิราไลย เจ้าน่าได้เปนเจ้านครจำปาศักดิ ตรงสมัยในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ย้ายเมืองนครจำปาศักดิมาตั้งฝั่งตวันตกแม่น้ำโขง ก็สร้างวิหารเปนที่ประดิษฐานพระแก้วผลึกในเมืองใหม่ แต่ความก็ไม่ทราบเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ตลอดรัชกาลที่ ๑ จนเจ้าน่าพิราไลยในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ข้าหลวงออกไปปลงศพเจ้าน่าเมื่อปีมแมตรีศกจุลศักราช ๑๑๗๓ พ.ศ. ๒๓๕๔ ข้าหลวงไปเห็นพระแก้วผลึกองค์นี้เข้า จึงบอกแก่พวกท้าวพระยาเมืองนครจำปาศักดิว่า พระแก้วผลึกนี้เปนของวิเศษ ไม่ควรจะเอาไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ ซึ่งอยู่ชายเขตรแดนพระราชอาณาจักร แลเคยมีเหตุโจรผู้ร้ายเข้าปล้นเมือง ถ้ามีเหตุเช่นนั้นอิกของวิเศษอาจจะเปนอันตรายหายสูยไปเสีย พวกท้าวพระยาเมืองนครจำปาศักดิเห็นชอบด้วย จึงมีใบบอกเข้ามาให้กราบบังคมทูลฯ ถวายพระพุทธปฏิมาแก้วผลึกนั้น จึงโปรดให้ข้าหลวงออกไปรับแห่พระแก้วผลึก แลมีการสมโภชตามหัวเมืองรายทางตลอดมาจนถึงกรุงเทพฯ

เมื่อมีงานสมโภชที่ในกรุงเทพฯ เสร็จแล้ว จึงโปรดให้เชิญพระพุทธปฏิมาแก้วผลึกนั้นไปไว้ที่โรงที่ประชุมช่างข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ให้ช่างจัดเนื้อแก้วผนึกที่เหมือนกับเนื้อแก้วในพระองค์พระพุทธรูป มาเจียนจรในเปนรูปปลายพระกรรณที่ลิอยู่นั้นต่อติดให้บริบูรณ์แล้ว ให้ขัดเกลาชักเงาชำระพระพุทธปฏิมาแก้วผลึกให้เกลี้ยงเกลามีเงาขึ้นสนิทเสมอกัน แล้วทรงพระราชดำริห์พระราชทานอย่างให้ช่างปั้นฐาน มีน่ากระดานชั้นสิงห์บัวหงาย แลน่ากระดานบนลวดทับหลัง ย่อเก็จเปนหลั่น แลมีน่ากระดานท้องไม้ชั้นรองรับบัวกลุ่มหุ้มรับทับเกษตรแก้วต่อองค์พระปฏิมา โดยทรวดทรงสัณฐานที่พึงพอพระราชหฤไทยแล้ว ให้หล่อด้วยทองสัมริด แต่งให้เกลี้ยงเกลาสนิทแล้วหุ้มด้วยทองคำ ทำให้เกลี้ยงกวดขึ้นเงางาม ด้วยชอบพระราชหฤไทยว่าเนื้อแก้วเกลี้ยงใสบริสุทธิ ติดต่อกับเครื่องทองอันเกลี้ยงนั้นงามยิ่งนัก แต่ยอดพระรัศมีพระศกยังไม่มีต้องอย่างแบบแผนพระพุทธรูป จึงมีรับสั่งให้ช่างแผ่ทองคำหุ้มส่วนพระเศียรที่มีพระศกแล้วดุนเปนเม็ดพระศกเต็มตามที่ แล้วต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดีมีเพ็ชรประดับใจกลางน่าหลังแลกลีบต้นพระรัศมี เมื่อเครื่องทองพระศกพระรัศมีเสร็จแล้วถวายสวมลง พื้นทองแลช่องดุนพระศกก็มาปรากฎข้างพระภักตร์เปนรวงผึ้งไป พระพักตร์ก็เห็นพรรณเหลืองคล้ำไม่ผ่องใสเหมือนสีพระองค์ จึงมีรับสั่งให้ประชุมนายช่างที่มีสติปัญญาปฤกษากันคิดแก้ไข จึงปฤกษาตกลงกันเอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิแผ่หุ้มเสียชั้นหนึ่งก่อน ขัดเงินข้างในให้เกลี้ยงชักเงางามแล้ว จึงสวมพระศกทองคำลงชั้นนอกแผ่นเงิน ก็เห็นพระภักตร์ใสสอาดขาวนวลดีเสมอกับพระองค์ แล้วมีรับสั่งให้ทำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อยพอจะสอดลงในช่องบนพระจุฬาธาตุ เปนที่บรรจุพระบรมธาตุไว้ให้สมควรเปนอุดมปูชนียวัตถุ แลให้ทำตัวทองน้อยเท่ากับช่องพระเนตร แล้วลงยาราชาวดีขาวดำตามที่พระเนตรขาวดำ แล้วฝังให้แนบพระเนตรให้งามดีขึ้น เพราะแต่ก่อนนั้นช่องพระเนตรเปนแต่ขุม แล้วแลแต้มหมึกแลฝุ่นเปนขาวดำเท่านั้น ไม่มีผิวเปนมันมั่นคงเหมือนผิวยาราชาวดี แลมีรับสั่งให้ช่างทองทำฉัตรทองคำ ๕ ชั้น ๆ ต้นเท่าส่วนพระอังษา ลงยาราชาวดีประดับพลอยมีใบโพธิ์แก้วห้อยเปนเครื่องประดับ ปลายคันฉัตรปักลงกับฐานข้างเบื้องพระปฤษฎางค์พระพุทธปฏิมา แลให้ทำสันถัตห้อยน่าฐานพระพุทธปฏิมาด้วยทองคำจำหลักลายลงยาราชาวดีประดับเพ็ชรแลพลอย ครั้นการสำเร็จจึงให้เชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระสุราไลยพิมาน ซึ่งประดิษฐานอยู่บ้างบุรพทิศพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เปนที่ทรงสักการบูชาวันละสองเวลาเช้าค่ำมิได้ขาด

ต่อมาโปรดให้ตกแต่งหอพระสุราไลยพิมานด้วยเครื่องแก้ว ล้วนแต่ของอย่างดีที่มีเข้ามาจากต่างประเทศ ยังปรากฎอยู่จนทุกวันนี้



[๑] หนังสือตำนานพระพุทธบุษยรัตน์ ข้าพเจ้าได้พบ ๒ ฉบับ เปนพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉบับ ๑ ทรงเริ่มต้นขึ้นไว้แต่ไม่จบ อิกฉบับ ๑ ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ์) พร้อมด้วยเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษ์ เจ้าเมืองอุบลราชธานี แลเจ้าราชวงษ์เมืองนครจำปาศักดิคนเก่าเรียบเรียงขึ้น เมื่อณวันพุฒเดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๑ ปีรกาตรีศก จุลศักราช ๑๒๒๓ พ.ศ. ๒๔๐๔

[๒] ความที่กล่าวมา กล่าวตามพระราชนิพนธ์ ต่อนี้ไปจะกล่าวตามตำนานฉบับหลัง แต่ข้าพเจ้าสงไสยว่าจะได้มีใครแทรกแซงเพิ่มเติมเสียบ้างแล้ว จึงจะคัดแต่เนื้อความลงไว้ในหนังสือนี้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ