๑๕. ราชทูตไทยไปเมืองจีน

ครั้นถึงวันเสาร์เดือน ๘ อุตราสาธ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีระกาสัปตศก ศักราช ๑๑๘๗[๑] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าตั้งแต่เถลิงถวัลยราชสมบัติ ยังหาได้แต่งทูตออกกไปจิ้มก้องเชิญหองกรุงปักกิ่งไม่ จึ่งให้แต่งทูตานุทูตเชิญพระราชสาสน์เครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียม[๒] ออกไปเชิญหองใจความว่า พระราชสาสน์สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุธยาราชาภิเศกใหม่ มีพระราชรำพึงถึงทางพระราชไมตรี สมเด็จพระเจ้าเตากวางผู้ใหญ่ ซึ่งมีมาแต่ในกาลก่อน จึ่งแต่งให้พระสวัสดิ์สุนทรอภัย ราชทูต หลวงบวรเสนหา อุปทูต หลวงพจนพิมล ตรีทูต ขุนพินิจวาจา ปั้นสื่อ ขุนพจนาพิจิตร ท่องสื่อใหญ่ จำทูลพระสุพรรณบัตรพระราชสาสน์คำหับเครื่องมงคลราชบรรณาการตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ออกมาจิ้มก้องเชิญหองสมเด็จพระเจ้าเตากวาง ตามขนบธรรมเนียมราชประเพณีสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินราชาธิราชเจ้าสืบมา ถ้าราชทูต อุปทูต ตรีทูต ข้าหลวงมีชื่อมาถึงแล้ว ขอให้ได้เฝ้ากราบถวายบังคมโดยทางพระราชไมตรี แล้วขอให้ทูตานุทูตได้กลับเข้าไปณกรุงเทพมหานครศรีอยุธยาโดยสะดวก ได้ประทับดวงตราโลโตออกมา จะผิดชอบเหลือเกินประการใดขอให้ทรงพระเมตตาด้วย

ในปีนั้นกรมหมื่นนราเทเวศร์ ในกรมพระราชวังหลังประชวรพระโรค มาถึงณวันพุธเดือน ๙ ขึ้น ๑๐ ค่ำ[๓] สิ้นพระชนม์ พระชนม์ได้ ๕๕ พรรษา มีหม่อมเจ้าชาย ๕๙ หม่อมเจ้าหญิง ๔๑ รวม ๑๐๐ องค์



[๑] วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๘

[๒] น่าประหลาดที่ท่านผู้แต่งเขียนเป็นทำนองว่าเราเป็นเมืองขึ้นของจีน แต่ความจริงเป็นการเจริญราชไมตรีอย่างเดียวกับที่มีพระราชสาสน์ไปทางญวน ตามที่เราได้อ่านมาแล้ว

[๓] อังคารที่ ๒๓ สิงหาคม

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ