สรรคที่ ๑๓

ภุชฌงคปยาตฉันท์

๑๒ พระเอวบางศุภางคี พระไภมีสิรีเรือง
บ่เปลื้องปลดกำศรดเปลือง บ่แปรปรวนกำศรวญปลง
๏ สดับถ้อยพณิชทูล มนาดูรบ่เสื่อมทรง
จะเดิรเดียวณะแดนดง ประโยชน์ใดก็ไป่มี
๏ คำนึงในหทัยว่า จะตามหากษัตริย์ศรี
ณะแถบเทศะเจที ผิบุญสบก็พบเธอ
๏ ก็ตามสารถิกจร ณะดงดอนศิขรเฌอ
พระโฉมตรูบ่รู้เผลอ พระเนตรค้นพระนลพลาง
๏ บ่พานพบประสบผัว พระน้องมัวกมลหมาง
ปถินทุ่งสถานทาง สถลถิ่นถวิลหมอง
๏ ดำเนิรมาณะป่าจึง ณะวันหนึ่งก็ถึงหนอง
ทุมลปราศสอาดปอง จะอาบกลืนก็ชื่นฉม
๏ สลาดโดดสโรชดื่น สลิดชื่นสราญชม
ชเลชาตวิลาสรมย์ วิไลยเลิศลออชล
๏ อนันต์บุษบาบาน อเนกก้านตระการผล
กระจายกลิ่นกระถินคน ธะรสเร้าฤดีรมย์
๏ ผกากรรณิการ์กุณท์ พิกุลกรุ่นกระหลบลม
พระพายชายรำพายชม รำเพยชื่นกมลชน
๏ สำเนียงนกสำนวนยวน หทัยชวนชลอมน
ชล่าหล้าถลาบน อำพรเพรียกสำเหนียกกัน
๏ ประชุมเกวียนก็ยับยั้ง ณะฝั่งท่าบ่ช้าพลัน
สอาดกายสบายครัน สราญรื่นสเริงใจ
๏ นิกรนรก็ผ่อนจิต สนิทนิทร์ณะแนวไพร
พนานดรบ่ห่อนใคร จะพรึงพรั่นภยันตราย
๏ ณะเที่ยงคืนก็ช้างป่า จะไตรตราก็เหลือหลาย
จำนงในหทัยหมาย จะดื่มน้ำณะลำชล
๏ กรีป่าประสบกลิ่น กรินบ้านณะแนวพน
ก็ไล่บุกและรุกรน ประหารชีพถีบแทง
๏ กรีบ้านก็พล่านพลุก ทลึ่งลุกถลันแรง
สยองภัยหทัยแสยง ก็เหยียบย่ำกระหน่ำกัน
๏ ตุรงค์ตื่นก็แตกวิ่ง มนุษย์กลิ้งณะกลางสัณฑ์
สำเนียงเรียกสำเหนียกอัน ตรายร้ายสลายชนม์
๏ ประชุมชนก็อลหม่าน กรีพล่านณะไพรพน
กรินป่าก็ฆ่าคน กรินบ้านก็ปราณวาย
๏ ตุรงค์ย่ำมนุษย์ลง มตงค์เหยียบตุรงค์ตาย
เสทื้อนก้องณะท้องทาย สท้านป่าณะราตรี
๏ อนันต์ทรัพยะยับย่อย จะหาน้อยบ่มีดี
อเนกสินก็สิ้นชี วะชนหลายมลายไป
๏ วิเชียรช่วงเฉลาชม เฉลิมรมยะไฉไล
วิทูรช์งามอร่ามไร แอร่มรัตนะรังสี
๏ อนัคฆ์บุษปราครัตน์ อนันต์ปัทมราคมี
วิมลมาลินีนี ลนานาประภาชม
๏ ประไพโชติมรกต ฉวีสดขจีสม
ขจายศรีมณีรมย์ มโนรถจรูญราย
๏ แจร่มรัตนะโคเมท เจริญเนตรวิเศษฉาย
วิสุทธฉานประพาลพราย ประไพเพริศประเสริฐสม
๏ ประสานสีมณีนา มะมุกดาอุรารมณ์
อุไรรัตน์จรัสชม จรูญช่วงเฉลิมใจ
๏ และทรัพย์อื่นก็หมื่นแสน อเนกแน่นอนันต์นัย
สุพิตมาศศุภามัย สุพรรณ์มากมณีเรือง
๏ ก็สูญสิ้นณะถิ่นพน ชิวิตคนก็ป่นเปลือง
กรินย่ำกระหน่ำเนือง อนัคฆ์ทรัพยะยับลง ๚
๑๒ จะกล่าวองค์พระนงลักษณ์ ผธมพักณะพื้นพง
สำเหนียกฉาวณะราวดง ผวาผกตระหนกใจ
๏ พระเนตรทัศนาพลาง พระนางพรั่นอนันต์ภัย
ก็ลอดเล็ดเสด็จไป ดำเนิรฝ่าณะป่าหลวง
๏ กำบังดูณะหมู่ไม้ บ่มีใครจะเห็นปวง
จะลืมเนตรก็เสียวทรวง จะหลับเนตรก็เสียวใจ
๏ พระกายสั่นพระขวัญหนี มิรู้ที่จะทำไฉน
ก็นิ่งอยู่และดูไป บ่จรจากกำบังพน
๏ มตงค์ดงทนงชาญ มตงค์บ้านบ่ทานทน
สำเร็จผลาญสำราญตน กรีป่าก็คลาไคล
๏ ประชุมชนก็ชุมนุม ณะสุมทุมพนาศัย
สำรวจกันสนั่นไป สลดเศร้าบ่เสื่อมคลาย
๏ ก็เจรจาประสาโศก วิโยคญาติวงศ์วาย
สหายเกลอเสมอกาย ประลัยเกลื่อนณะเถื่อนไพร
๏ พณิกหนึ่งก็จึ่งว่า ฉนี้ฃ้าบ่เฃ้าใจ
กำเนิดเหตุวิเภทภัย สลายกายมลายสิน
๏ มิใช่ว่าดำเนิรป่า บ่บูชาพระยักขินท์
กุเวรเดชกระเดื่องดิน ธเนศวรสราญทรง
๏ มณีภัทร์ก็บูชา มิใช่ว่าจะลืมหลง
กำเนิดภัยณะไพรพง เพราะเหตุการณ์สถานใด
๏ บุรุษหนึ่งก็จึ่งว่า หทัยฃ้าก็สงสัย
สตรีเดียวณะแดนไพร และสิงห์สัตว์มิกัดกิน
๏ ก็ใครเล่าสตรีนั้น ดำเนิรดั้นณะแดนดิน
ชรอยรากษสีจิน ตนาหมายทำลายเรา
๏ และหลอกว่าพระบุตรี วิทรรภ์ภีมะพรายเพรา
พธูรัตน์กษัตริย์เสา วะสมบัตินิษัธศรี
๏ มเหษีมณีวงศ์ จะเดิรดงบ่ห่อนมี
ชรอยว่าปิศาจี จำนงแกล้งจำแลงมา
๏ และเราหลายก็ตายใจ มิรู้ภัยะมายา
วิบัติเหตุวิเภทพา ธแหลกล่มละลายพลัน
๏ ปิศาจีก็หนีหน้า ผิรอช้าจะอาสัญ
กำลังเราก็เท่าทัน จะฉีกเนื้อจะเถือหนัง ๚
๑๒ จะกล่าวฝ่ายพระสายสมร สถิตย์ซ่อนสถานบัง
สดับถ้อยพณิชดัง คธาวุธระดมตี
๏ ลอายในหทัยนัก พณิกว่าปิศาจี
ผรุสวาทประมาทมี จำนงมั่นจะฟันแทง
๏ แสยงภัยหทัยพรั่น ก็ลี้ดั้นณะไพรแวง
พนาลีบ่มีแสง ศะศินส่องสยองมัว
๏ ดำเนิรพลางพระนางโศก วิโยคญาตินิราศผัว
รำพึงพรั่นรำพรรณกลัว ลำพังเกลือกกราลเข็ญ
๏ อำเภออาตม์อนาถโอ้ อเนกโฆระลำเค็ญ
เพราะบาปใดไฉนเปน ฉนี้ปานจะลาญชนม์
๏ ทุศีลใดบ่ได้ทำ ก็ผลกัมมะใดดล
พระผัวพรากวิบากตน วิบัติเต้าพนาดร
๏ ชรอยชาติก่อนฃ้า ประกอบลามกากร
ฉนั้นชาตินี้รอน หทัยลาญก็ปราณวาย
๏ อนิจจาอนาถา จะคิดไปก็ใจหาย
สุดารัตน์กษัตริย์ฉาย เกษตรเชษฐ์เฉลิมวงศ์
๏ มเหษีมหาศักดิ์ มไหสูรย์ประยูรยง
พระผัวหน่ายสลายทรง สลดเศร้าสลักทรวง
๏ มเหศวรมหาสิทธิ์ มหาฤทธิ์ระบือสรวง
นิราศสัตย์ดำรัสลวง ดำรงเล่ห์อุบายใด
๏ ชรอยกรรมกระทำโทษ กระทุ่มทุกข์กระท้อนใจ
เพราะบาปบรรพะทันภัย พิบัติซัดก็พลัดเวียง
๏ รำพรรณ์พลางพระนางทรง สอื้นองคะอ่อนเอียง
หทัยหดสลดเพียง สลบพางจะวางวาย
๏ สอื้นพลางพระนางร่ำ รำพรรณ์ช้ำระกำกาย
แสวงผัวผิตัวตาย ก็ตามแต่จะแปรไป
๏ อนิจจาธิดาภี มะภูมีพลีไกร
อนาถาจะหาใคร จะเห็นทุกข์ก็ห่อนมี
๏ ประหนึ่งใช่พิชัยพงศ์ พิชิตทรงสวัสดี
พระวงศาวลีศรี วิไลยศักดิ์ประจักษ์ไกล
๏ พระผัวมีก็ลี้ร้าง พระญาติห่างบ่เห็นใจ
มหายศก็หมดไป จะนอนนั่งบ่ดังเคย
๏ พระลูกหญิงพระลูกชาย จะดีร้ายมิรู้เลย
ธิดาเยาว์เฉลาเชย แชล่มชื่นเฉลิมรมย์
๏ จะอ้วนพีบ่มีภัย ฤเจ็บไข้หทัยกรม
กุมารเคยเสวยนม กำพร้าแม่จะแลลาญ
๏ อนาถกรรมระกำดล จะคิดทนก็เหลือทาน
ดำเนิรป่าบ่ช้านาน พระผัวร้างณะกลางหน
๏ ประสบพวกพณิชหมาย จะรอดตายมลายชนม์
บ่เข็ดฃามจะตามจน ประจวบหน้าสวามี
๏ กรีป่าก็มาผลาญ พณิชลาญบ่เหลือดี
เลอียดยับจะนับชี วะชนวายก็หลายเจียว
๏ ฉนี้ไซร้ก็ใช่อื่น ชรอยบาปขวาบเขวียว
พณิชรู้เพราะตูเดียว ดำรงกรรมกระทำผล
๏ จะเปนด้วยพระโลกบาล กำเรียงชาญพิชัยพล
ณะคราวเมื่อเสด็จดล วิทรรภ์เพื่อสยุมพร
๏ พิโรธฃ้าเพราะฃ้าเลือก พระนลไนษเธศร
บ่เลือกหนึ่งสุรามร ณะเหล่าเทพสี่องค์
๏ ก็จึงเธอประทานทุกข์ ทลายสุขสลายวงศ์
ดำเนิรมาณะป่าดง ก็ชอกช้ำระกำเกิน
๏ มิสิ้นกรรมก็จำทน จะดั้นด้นอรัญเดิร
จะวอดวายก็ตายเทอญ จะอาไลยทำไมมี
๏ รำพรรณ์พลางพระนางจร ณะดงดอนพนาลี
ประสบวิปปะเวที บ่ปองร้ายพระสายสมร
๏ ก็ตามพราหมณ์ดำเนิรไพร สอื้นไห้อุราวรณ์
ระโหยหวนระทวยถอน เทวศเศร้ากำศรดศรี
๏ ณะวันหนึ่งก็ถึงเมือง จรูญเรืองสวัสดี
กำไรรัฐะเจที นิกรคั่งกำลังชาญ
๏ พระโฉมเฉลาก็เฃ้าใน นครไศละปราการ
ตระหง่านฟ้าสง่าปาน จะเปรียบชั้นสวรรค์บน
๏ ประชาราษฎร์ประหลาดจิต ตลึงพิศพระนางฉงน
สตรีนี้พิกลคน จะเปนบ้าฤว่าไร
๏ จะนุ่งผ้าก็ครึ่งผืน จะเดิรยืนก็แปลกใจ
ประชาชนก็กล่นไป ดำเนิรหลามและตามดู
๏ พระนางก้มพระพักตรเดิร พระเนตรเมินเขม้นผลู
ประจวบน่านิเวศน์ภู บดีสีหะราชา
๏ ณะกาลนั้นพระพันปี บรมราชมารดา
ประทับทอดพระทัศนา ถนนนอกพระมณเฑียร
๏ พระนางเยี่ยมพระบัญชร นิกรนรคณาเกียรณ์
ประชุมอยู่และดูเจียน จะแน่นน่าพระลานหลวง
๏ สตรีหนึ่งทำนองแปลก ดำเนิรแหวกประชาปวง
มิใช่ชาวนครทรวง ก็สั่นรัวเพราะกลัวคน
๏ พระนางราชะชนนี คนึงมีกมลฉงน
สตรีเที่ยวณะแถวถนน และชนหลามก็ตามดู
๏ ดำรัสเรียกพระธาตรี นรีนี้พบูตรู
จะพิศรูปก็ราวภู บดีพงศ์บ่สงกา
๏ ไฉนท่องถนนเดียว หทัยเหี่ยวอนาถา
จะนุ่งห่มบ่สมกา ยะโคลนฝุ่นก็ขุ่นมัว
๏ จะเรียกมาณะวังใน จำนงใคร่จะถามตัว
ดำเนิรท่องทำนองกลัว บุรุษกรายก็หน่ายไกล
๏ จะว่าไพร่ก็ใช่ที จะผู้ดีก็แปลกใจ
ประสงค์มาจะหาใคร ถนนน่าพระมณเฑียร
๏ พระธาตรีสดับอัตถ์ ประนมหัตถะเหนือเศียร
ดำเนิรดลถนนเตียน ก็โบกไล่ประชาชน
๏ และแหวกมาพระไภมี เสด็จหนีประชุมคน
บ่เนิ่นช้าก็มาดล พระตำหนักพระชนนี
๏ พระนางราชมารดา ก็ปราไสยพระไภมี
คนึงดูจะผู้ดี ชรอยซามณะยามจน ๚

พระราชมารดาตรัสว่า

๑๒ นรีเอยเฉลยเล่า ไฉนเต้าลำพังตน
ดำเนิรมาประชาชน ก็ห้อมล้อมและตอมดู
๏ จะพิศรูปก็เลิศลักษณ์ จะพิศพักตรก็เชิดชู
สเอวบางสอางตรู สุรีเลอเสมอกัน
๏ ผินุ่งห่มบ่สมกาย และฝุ่นทรายทำลายวรรณ
บ่ชื่นแช่มแจร่มจันทร์ เฉลารูปก็ซูบผอม
๏ ก็ยังเห็นประจักษ์ได้ มิใช่ไพร่ณะไพรพนอม
ฉวีคล้ำจะดำมอม บ่ปกปิดพิศิษฎ์พรรณ
๏ ประหนึ่งเมฆและหมอกมิด บ่ปิดวิทยุตอัน
วะวาบแวบณะแถบสวรรค์ ก็เห็นชัดถนัดตา
๏ ก็นางนามกรใด ตระกูลไหนวนิดา
มิเกรงชายจะกรายกา ยะทับถมและข่มเหง
๏ ประไพเพราเฉลาอง คเดียวยงบ่ยำเยง
อเนกภัยมิได้เกรง ดำเนิรด้นสถลทาง ๚

นางทัมยันตีทูลตอบว่า

๑๒ นรินทร์ราชมารดา พระกัลยาณิสำอาง
แสดงคุณกรุณรคาง พระบาทบงสุ์เพราะสงสาร
๏ ก็ฃ้านี้สิมีกรรม ระทมช้ำอุรานาน
ธำรงทุกขะทุกวาร บ่ว่างเว้นลำเค็ญถวิล
๏ ดำเนิรป่าก็หามูล ผลาหารตระการกิน
ลำพังกามะวาสิน มิวายเศร้าสลดใจ
๏ เพราะพลัดผัวและตัวเดียว จะท่องเที่ยวณะแถวไพร
จำนงตามบ่ฃามใน กมลหมายบ่หน่ายแหนง
๏ จะทูลเรื่องณะเบื้องหลัง บ่ปิดบังยุบลแถลง
วิบากกรรมจะสำแดง ถวายความณะยามจน
๏ สกุลหนึ่งอุดมลักษณ์ อุดลศักดิ์อุดมพล
กำลังลือระบือรณ ระบินฤทธิกำไร
๏ และฃ้าไซร้ก็ได้สู่ สำนักอยู่พำนักใน
สกุลนั้นสราญใจ ตำแหน่งเสวิกาจน
๏ มินานช้าสวามี กำเนิดมีวิบัติตน
เพราะหลงเล่นสกากล พนันทรัพยะยับเยิน
๏ บ่อยู่ได้ก็ไปป่า และตัวฃ้าก็ตามเดิร
จะเปนเพื่อนณะเถื่อนเขิน ศิขรทุกขะทำงน
๏ สพักพัสตระหนึ่งผืน บ่มีอื่นจะติดตน
ดำเนิรป่าประสาจน ลำบากบุกพนาลี
๏ ณวันหนึ่งวิบัติกรรม วิบากเกิดณะพงพี
เพราะผืนผ้าสวามี สพักกายก็หายไป
๏ ประจวบกรรมก็จำจร ทิคัมพรพนาลัย
ลำเค็ญเคืองบ่เปลืองใน กมลหม่นวิกลกลืน
๏ และฃ้าไซร้บ่ได้ห่าง มิเว้นว่างวิบากฝืน
จะนับคืนก็หลายคืน บ่พักผ่อนก็อ่อนแรง
๏ ละห้อยเปลี้ยละเหี่ยใจ ก็หลับไหลณะไพรแวง
สนิทนิทร์บ่คิดแคลง จะเริศร้างรคางรคาย
๏ บ่ห่อนช้าก็ฃ้าฟื้น ผวาตื่นหทัยหาย
มิเห็นผัวระรัวกาย ระริกอกสทกถอน
๏ ธตัดผ้าและฃ้าไซร้ มเมอจิตสนิทนอน
บ่รู้ตัวและผัวจร จรัลลับบ่กลับคืน
๏ จะร่ำเรียกจะเพรียกพร้อง จะร่ายร้องระบมกลืน
บ่สมหวังผิยังยืน ชีวิตอยู่จะสู้ตาม
๏ ดำเนิรดงพนาดร ภยังกรก็เหลือหลาม
จะเตร่เตร็จบ่เข็ดฃาม จำนงหาสวามี
๏ เพราะเธอกอปคุณากร มนาทรหทัยดี
ผิแหนงหน่ายสลายหนี สลัดภารยาตน
๏ ก็เหตุบาปบ่มกรรม กมลช้ำระกำกล
ณะคราวทุกข์ก็จำทน ผิทั่วทิศจะติดตาม ๚
๑๒ พระมารดาสดับคำ แสดงเค้าลำเนาความ
สอื้นไห้พิไรยาม พิลาปร่ำระกำเกย
๏ พระนางทรงพระเม็ตตา ดำรัสว่าปิยาเอย
ดำรงเขทเพราะเหตุเคย ประกอบกรรมกระลัมภร
๏ อนาถาจะหาที่ พำนักลี้ภยังกร
ก็ยากแสนผิแม้นจร ลำพังตัวจะมัวหมาง
๏ ก็จงอยู่สวัสดี ณะวังนี้บ่มีรคาง
บำรุงตัวและผัวนาง มินานช้าจะมาดล ๚
๑๒ พระไภมีทำนูลตอบ พระองค์กอบกรุณกมล
และฃ้าไซร้ถวายตน พำนักพึ่งพระบารมี
๏ ผิแม้นทรงพระเม็ตตา และสัญญาจะเลี้ยงดี
มิใช้ล้างพระบทศรี มิกินเหลือนรีใด
๏ บุรุษใดหทัยอาจ จำนงมาดเสน่ห์ใน
ทนงหาญทยานใจ มิให้คลาดพระราชทัณฑ์
๏ ผิแม้นเอิบกำเริบอีก ก็ให้ฉีกชีวิตมัน
มิไว้ชนม์เพราะผลอัน ทนงจิตบ่คิดกลัว
๏ ประดาชายมิหมายใกล้ มิมุ่งใคร่จะพันพัว
สงวนศักดิ์พิทักษ์ตัว ทุมลใดมิให้พาน
๏ ผิพบพราหมณ์ดำเนิรผลู ก็จึงตูจะกล่างฃาน
กมลม่งจำนงมาน จะสืบผัวบ่กลัวพราหมณ์
๏ บุรุษอื่นจะหมื่นพัน ก็ฃ้ามั่นถนอมนาม
มิเจรจาพยายาม สงวนพรตกำหนดใจ
๏ พระนางทรงพระเมตตา และสัญญาบ่ผิดไป
ก็จึงตูจะอยู่ใน นิเวศน์ด้วยพระมารดา
๏ บ่โปรดปรานประทานคำ ก็ฃ้าจำจะทูลลา
ดำเนิรดงดำรงกา ยซัดเซพเนจร ๚
๑๒ พระมารดาสดับคำ พิลาปร่ำพิไรวอน
ดำเนิรป่าอนาทร ลำพังองค์ก็สงสาร
๏ ดำรัสว่าสุดาเอย สุวัตตาศุภาจาร
ถนอมพรตและพจมาน ก็ชื่นชอบระบอบบรรพ์
๏ ประสงค์ไฉนจะให้นาง บ่อางขนางนะสาวสวรรค์
พำนักเถิดประเสริฐสันต์ อุดมสุขสวัสดี
๏ ดำรัสพลางพระนางเรียก พระนางราชกุมารี
วิไลยรามพระนามศรี สุนันทาภิลาวัณย์
๏ สุนันทาแนะมานี่ นรีนี้สคราญครัน
จะรุ่นราวก็คราวกัน วิมลรูปลออทรง
๏ เฉลียวเชาวน์ก็เกลาเกลี้ยง บำรุงเลี้ยงนะโฉมยง
สขีชิดสนิทองค์ ธิดาศรีบ่มีภัย ๚
๑๒ สุนันทาสุดารัตน์ มนัสภัททะผ่องไส
สเริงมานสราญใจ พระพักตรแช่มแจร่มจันทร์
๏ ดำรัสเรียกพระไภมี และจรลีบ่ช้าพลัน
เสด็จสู่ตำหนักอัน อุไรรัตนะรองเรือง
๏ พระไภมีก็มีสุข ประทังทุกขะขุ่นเคือง
จำนงนิตย์บ่ปลิดเปลือง คนึงหาพระสามี ๚

จบสรรคที่ ๑๓ ในนิทานเรื่องพระนล

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ