- คำนำ
- อธิบายต้นเรื่องรบพม่าครั้งกรุงธนบุรี
- ภาคที่ ๒ เรื่องไทยกับพม่าทำสงครามกัน ครั้งกรุงธนบุรีเปนราชธานี
- สงครามครั้งที่ ๑ คราวตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๑๐
- สงครามครั้งที่ ๒ คราวรบพม่าที่บางกุ้ง ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๑๐
- สงครามครั้งที่ ๓ คราวพม่าตีเมืองสวรรคโลก ปีขาล พ.ศ. ๒๓๑๓
- สงครามครั้งที่ ๔ คราวไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก ปีขาล พ.ศ. ๒๓๑๓
- สงครามครั้งที่ ๕ คราวพม่าตีเมืองพิไชยครั้งที่ ๑ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๑๕
- สงครามครั้งที่ ๖ คราวตีเมืองพิไชยครั้งที่ ๒ ปีมะเสง พ.ศ. ๒๓๑๖
- สงครามครั้งที่ ๗ คราวไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๑๗
- สงครามครั้งที่ ๘ คราวรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๑๗
- สงครามครั้งที่ ๙ คราวอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๑๘
- สงครามครั้งที่ ๑๐ คราวพม่าตีเมืองเชียงใหม่ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙
- อธิบายเรื่องไทยรบกับพม่าในครั้งกรุงเทพ ฯ
- สงครามครั้งที่ ๑ คราวพม่ายกกองทัพใหญ่มาตีเมืองไทย ปีมเสง พ.ศ. ๒๓๒๘
- สงครามครั้งที่ ๒ คราวรบพม่าที่ท่าดินแดง ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๒๙
- สงครามครั้งที่ ๓ คราวพม่าตีเมืองนครลำปางแลเมืองป่าซาง ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐
- สงครามครั้งที่ ๔ คราวไทยตีเมืองทวาย ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐
- สงครามครั้งที่ ๕ คราวไทยตีเมืองพม่า ปีฉลู พ.ศ. ๒๓๓๖
- สงครามครั้งที่ ๖ คราวพม่าตีเมืองเชียงใหม่ ปีมะเสง พ.ศ. ๒๓๔๐
- สงครามครั้งที่ ๗ คราวขับไล่พม่าจากเขตรลานนาไทย ปีจอ พ.ศ. ๒๓๔๕
- สงครามครั้งที่ ๘ คราวพม่าตีเมืองกลาง ปีมะเสง พ.ศ. ๒๓๕๒
- สงครามครั้งที่ ๙ คราวช่วยอังกฤษตีเมืองพม่า ปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗
- สงครามครั้งที่ ๑๐ คราวไทยตีเมืองเชียงตุง ปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕
ตอนที่ ๓ รบพม่าทางแหลมมลายู
ฝ่ายแกงหวุ่นแมงยีอรรคมหาเสนาบดี ซึ่งคุมกองทัพพม่าที่ ๑ มาตีหัวเมืองชายทเลปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตกนั้น ลงมาตั้งประชุมทัพที่เมืองมฤทพร้อมแล้ว ครั้นถึงเดือนอ้าย จึงให้ยีหวุ่นคุมกองทัพเรือจำนวนพล ๓,๐๐๐ ยกลงมาตีเมืองถลาง (คือเกาะเมืองภูเก็จทุกวันนี้) ให้เนมโยคงนรัด ถือพล ๒,๕๐๐ เปนกองน่า ตัวเกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพ ถือพล ๔,๕๐๐ เปนกองทัพบก จำนวนพลรวม ๗,๐๐๐ ยกลงมาทางบกจากเมืองมฤท ตีเมืองกระบุรี เมืองระนอง (ในสมัยนั้นเปนเมืองขึ้นเมืองชุมพรทั้ง ๒ เมือง) ครั้นได้แล้วก็ยกข้ามแหลมมลายูทางปากจั่นเข้ามาตีเมืองชุมพร ผู้รั้งกรมการไม่มีกำลังพอจะต่อสู้ก็อพยพหลบหนีเข้าป่า พม่าเก็บริบทรัพย์สมบัติแล้ว เผาเมืองชุมพรเสีย แล้วยกลงไปตีเมืองไชยาก็ได้โดยอาการอย่างเดียวกัน ฝ่ายเจ้าพระยานครพัฒน์ทราบว่ากองทัพพม่ามาตีได้เมืองชุมพรเมืองไชยา ก็ตระเตรียมต่อสู้รักษาเมืองนครศรีธรรมราช จัดกองทัพกอง ๑ จำนวนพล ๑,๐๐๐ ให้มาตั้งขัดตาทัพที่ท่าข้าม๑ กองทัพน่าพม่ายกไปถึงเห็นกองทัพไทยตั้งอยู่ นายทัพพม่าจึงอุบายเอาไทยที่จับได้ที่เมืองไชยาคุมไปให้ร้องบอกพวกชาวนครศรีธรรมราช ว่าบางกอกก็เสียแล้ว จะมาตั้งอยู่เช่นนั้นจะสู้ได้แล้วหรือ ให้ไปบอกเจ้านายให้มาอ่อนน้อมเสียโดยดี ถ้าขืนต่อสู้จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมือง ถึงทารกก็จะไม่เหลือไว้ พวกกองทัพเมืองนคร ฯ เอาเนื้อความที่พม่าว่าไปแจ้งแก่เจ้าพระยานครพัฒน์ ๆ พิเคราะห์ดูเห็นสมคำพม่า ด้วยได้บอกเข้ามายังกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่แรกได้ข่าวว่าพม่าจะยกมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ รอมาก็ไม่มีกองทัพกรุง ฯ ยกออกไปช่วย แลไม่ได้ข่าวทางในกรุง ฯ ว่าจะร้ายดีอย่างไรหลายเดือน จึงสำคัญว่าเห็นจะเสียกรุงเทพ ฯ แก่พม่าข้าศึกเสียแล้ว เจ้าพระยานคร ฯ เห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้พม่า ก็อพยพหลบหนีข้ามเขาบันทัดไปซุ่มซ่อนอยู่นอกเขาที่เขตรอำเภอฉวาง พม่าก็ได้เมืองนครศรีธรรมราชโดยง่าย พม่าพากันเก็บริบทรัพย์สมบัติแลจับผู้คนที่หลบหนีไม่ทัน ผู้ชายมักพาลหาเหตุฆ่าเสีย เอาแต่เด็กกับผู้หญิงไปเปนชเลยเปนอันมาก แต่ทรัพย์สมบัติที่พม่าได้ไปจากเมืองนครศรีธรรมราชคราวนั้น ปรากฎในพงษาวดารพม่าว่า เรือที่บรรทุกไปแตกล่มในทเลของจมน้ำหมด หาได้ไปถึงเมืองพม่าไม่.
ฝ่ายกองทัพเรือของพม่าที่ยี่หวุ่นยกไปตีเมืองถลาง เมื่อตีเมืองตะกั่วป่าเมืองตะกั่วทุ่งที่อยู่ในระยะทางได้แล้ว จึงข้ามไปตีเมืองถลาง ในสมัยนั้นเมืองถลางตั้งอยู่ฟากเกาะข้างน่านอก (เดี๋ยวนี้เรียกว่าเมืองถลางเก่า) พม่ายกรี้พลขึ้นตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้ เวลานั้นประจวบพระยาถลางถึงอนิจกรรมเมื่อก่อนทัพพม่ามาถึง ยังไม่ได้ทรงตั้งพระยาถลางใหม่ คุณหญิงจันทรภรรยาพระยาถลางคนที่ถึงอนิจกรรมเปนเชื้อแถวเจ้าเมืองถลางมาแต่ก่อนกับนางมุกน้องสาวจึงคิดอ่านกับกรมการทั้งปวง เกณฑไพร่พลตั้งค่ายใหญ่ ๒ ค่าย ป้องกันรักษาเมืองเปนสามารถ แลคุณหญิงจันทรกับนางมุกนั้นองอาจกล้าหาญมิได้ย่อท้อต่อข้าศึก กรมการแลชาวเมืองถลางก็มีใจช่วยกันรบพุ่งต่อสู้ข้าศึกทั้งผู้ชายผู้หญิง พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษ จะตีเอาเมืองถลางไม่ได้ หมดเสบยีงอาหารก็ต้องเลิกทัพกลับไป.
ฝ่ายกองทัพกรมพระราชวังบวร ฯ ที่ยกลงไปจากข้างเหนือทั้งทัพบกทัพเรือ ล้วนแต่คนสังกัดฝ่ายพระราชวังบวร ฯ รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ไปถึงเมืองชุมพรพร้อมกันในปลายเดือน ๔ ปีมะเสง จึงดำรัสสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนาพระยาจ่าแสนยากรยกกองทัพบกลงไปตั้งที่เมืองไชยา เพราะในเวลานั้นกองทัพพม่าลงไปรวมกันอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ด้วยเกงหวุ่นแมงยีประสงค์จะไปตีเมืองพัทลุงแลเมืองสงขลาต่อลงไป ที่เมืองพัทลุงพระยาแก้วโกรพผู้ว่าราชการเมืองแลกรมการรู้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชเสียแก่ข้าศึก ก็หลบหนีเอาตัวรอด ครั้งนั้นมีพระภิกษุองค์ ๑ เปนอธิการอยู่ในวัดเมืองพัทลุง ชื่อพระมหาช่วย พวกชาวเมืองนับถือว่าเปนผู้มีวิชาอาคม พระมหาช่วยชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ข้าศึกรักษาเมือง ทำตะกรุดแลผ้าประเจียดมงคลแจกจ่ายเปนอันมาก กรมการแลพวกนายบ้านจึงพาราษฎรมาสมัคเปนศิษย์หาพระมหาช่วยมากขึ้นทุกที จนรวบรวมกันได้สัก ๑,๐๐๐ เศษ หาเครื่องสาตราวุธได้ครบมือกันแล้ว ก็เชิญพระมหาช่วยผู้อาจารย์ขึ้นคานหามยกเปนกระบวนทัพมาจากเมืองพัทลุง แล้วเลือกหาที่ไชยภูมิตั้งค่ายสกัดอยู่ในทางที่พม่าจะยกลงไปจากเมืองนครศรีธรรมราช ฝ่ายพม่ายังไม่ทันจะยกลงไปเมืองพัทลุง ได้ข่าวว่ากองทัพกรุงเทพ ฯ ยกลงไปจากทางข้างเหนือ เกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพพม่าจึงให้เนมโยคงนะรัดนายทัพน่า คุมพลยกกลับขึ้นมาตีกองทัพกรุง ฯ เกงหวุ่นแมงยียกตามมาข้างหลัง กองทัพพม่ามาปะทะทัพไทยที่ตั้งอยู่ณเมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่าย ไทยก็ยกเข้าล้อมพม่าไว้ พม่าขุดสนามเพลาะพอบังตัวต่อสู้รบกันอยู่จนเวลาค่ำ เผอิญค่ำวันนั้นฝนตกห่าใหญ่ยิงปืนไม่ได้ด้วยกันทั้ง ๒ ข้าง พม่าจึงหักออกจากที่ล้อมได้แล้วพากันหนีไป กองทัพไทยก็ไล่ติดตามไปแต่ในเวลากลางคืน ฆ่าตองพยุงโบนายทัพพม่าตายคน ๑ แลฆ่าฟันพวกพม่ารี้พลล้มตายอิกเปนอันมาก พม่าแตกหนีกระจัดพลัดพรายคุมกันไม่ติด ไทยจับเปนได้ก็มาก ส่วนกองทัพเกงหวุ่นแมงยียกหนุนมาจากเมืองนครศรีธรรมราช รู้ว่ากองทัพน่าแตกยับเยินแล้วก็มิได้คิดจะต่อสู้ รีบยกหนีข้ามแหลมมลายูไปทางเมืองกระบี่ แล้วกลับไปยังเมืองพม่า เปนเสร็จการรบพม่าคราวยกทัพใหญ่มา ๕ ทางเพียงนี้.
เมื่อเสร็จการปราบปรามพม่าทางหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตกแล้ว กรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ทรงพระราชดำริห์ว่ากองทัพก็มีพร้อมกันอยู่ที่นั่นแล้ว เปนโอกาศที่จะปราบปรามหัวเมืองมลายูประเทศราชที่ตั้งแขงเมืองมาแต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุทธยา ให้กลับมาเปนข้าขอบขันธสีมาอย่างเดิมได้ จึงมีรับสั่งให้ข้าหลวงถือหนังสือไปถึงพระยาปัตตานีแลพระยาไทรบุรี ให้แต่งทูตนำต้นไม้ทองเงินเข้ามาถวายเหมือนแต่ก่อน พระยาปัตตานีขัดแขงเสียหามาอ่อนน้อมไม่ กรมพระราชวังบวรฯ จึงดำรัสสั่งให้พระยากลาโหมกับพระยาจ่าแสนยากรยกทัพน่าลงไปตีเมืองปัตตานี แล้วเสด็จยกทัพหลวงตามลงไปยังเมืองสงขลา กองทัพไทยยกลงไปตีได้เมืองปัตตานี ได้ปืนใหญ่อันเปนศรีเมืองซึ่งเรียกว่าพระยาตานี กับครอบครัวแลทรัพย์สมบัติมาในครั้งนั้นเปนอันมาก พระยาไทรได้ทราบว่าไทยตีได้เมืองปัตตานีก็มีความเกรงกลัว รีบแต่งทูตให้คุมต้นไม้ทองเงินเข้ามาถวาย ยอมเปนข้าขอบขันธสีมาเหมือนแต่ก่อน ฝ่ายพระยาตรังกานูแลพระยากลันตันซึ่งขึ้นอยู่แก่เมืองตรังกานู เขตรแดนอยู่ต่อเมืองปัตตานีลงไปข้างใต้ ทั้ง ๒ เมืองนี้แต่ก่อนหาเคยได้ขึ้นแก่ไทยไม่ ครั้นทราบว่าไทยตีได้เมืองปัตตานี เกรงจะเลยลงไปตีถึงเมืองกลันตันตรังกานูด้วย ก็แต่งทูตให้คุมต้นไม้ทองเงินขึ้นมาถวายกรมพระราชวังบวรฯ ขอสามิภักดิ์เปนข้าขอบขันธสีมากรุงเทพฯ ด้วยทั้ง ๒ เมือง
เมื่อเสร็จราชการทางเมืองมลายูแล้ว กรมพระราชวังบวร ฯ จึงโปรดให้เจ้าพระยานครพัฒน์แลพระยาพัทลุงกรมการคงตำแหน่งอยู่ตามเดิม ด้วยทรงพระราชดำริห์ว่าศึกเหลือกำลัง แลไม่ได้ข่าวคราวจากกรุงเทพ ฯ ที่ทิ้งเมืองจะเอาเปนความผิดหาควรไม่ ส่วนผู้ที่มีความชอบในการสงครามครั้งนั้นก็ทูลเสนอความชอบ คือคุณหญิงจันทรภรรยาพระยาถลาง นางมุกน้องสาวซึ่งเปนหัวน่ารักษาเมืองถลางไว้ได้นั้น ทรงตั้งคุณหญิงจันทรเปนท้าวเทพสัตรี ตั้งนางมุกเปนท้าวศรีสุนทร ส่วนพระมหาช่วยที่เมืองพัทลุงนั้นสมัคลาสิกขาบทออกรับราชการ ก็ทรงตั้งเปนพระยาทุกขราษฎร์ตำแหน่งในกรมการเมืองพัทลุง แล้วกรมพระราชวังบวร ฯ ก็เสด็จกลับคืนพระนคร เปนสิ้นเรื่องสงครามครั้งที่ ๑ ที่รบพม่าในครั้งกรุงเทพ ฯ เพียงนี้.
-
๑. ตรงที่สพานรถไฟข้ามแม่น้ำตปีทุกวันนี้. ↩