บทที่ ๙

มาเรียโกรธข้าพเจ้ามาก

“บอบบี้ ลุกขึ้นนั่งให้ดีๆ อย่าเอาหัวของเธอมาไว้บนตักฉันซี” หล่อนพูดอย่างโกรธ “ฉันจะต้องพูดให้เธอเข้าใจเสียที”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งเป็นปกติ รู้สึกสลดใจที่ได้เห็นกิริยาอันเปลี่ยนแปลงของหล่อน ตั้งแต่รู้จักหล่อนมาเป็นเวลาเกือบสองปี ข้าพเจ้าพึ่งได้เห็นมาเรียโกรธอย่างรุนแรงครั้งนี้เป็นครั้งแรก

“เธอพูดถึงเรื่องผิวเหลืองและผิวขาว เรื่องนกยังรู้จักรักรัง” หล่อนกล่าวเสียงสั่นด้วยความแค้น “เรื่องบ้าๆ บอๆ ซึ่งเธอไม่ได้หมายความจะพูดเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธออยาจะพูดแต่ไม่กล้าก็คือ เธอไม่รักฉันพอที่จะ... จะอยู่กับฉัน... เป็นเพื่อนฉันไปจนกว่าเราจะรักกันได้ เธอต้องการจะ... จูบ... จะกอดฉันเล่นสนุกๆ กระมังเพื่อจะผ่านเวลาอันไม่มีค่าไปคราวหนึ่งๆ”

“มาเรีย ยอดรัก” ข้าพเจ้าพูดเบาๆ จ้องดูหล่อนในเชิงวิงวอนให้เข้าใจ “ฉันอาจรักเธอมากเกินที่จะต้องการให้เธอแต่งงานกับฉันก็ได้ ถ้าเราแต่งงาน เราก็จะต้องกลับไปอยู่เมืองไทยด้วยกันวันหนึ่งอย่างแน่นอน”

“ทำไมเธอจึงจะต้องกลับไปเมืองไทย” หล่อนพูดตัดบท “ไม่มีใครเขาต้องการเธอที่นั่น นกที่ฉลาดมันไม่รักรังที่ไม่มีประโยชน์แก่มันดอก เธอเคยเล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องชีวิตของเธอในเมืองไทย เธอเคยเล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องคุณพ่อของเธอในเมืองไทย เธอเคยเล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องคุณพ่อของเธอได้ทำให้เธอชอกช้ำใจอย่างสาหัส ชีวิตเช่นนั้นฉันเรียกว่านรก เธอไปเมืองไทย เธอจะต้องเป็นคนไม่มีที่พึ่ง คนอนาถา... a social outcast…”

“ถ้าจะถือเอาสิ่งที่เธอพูดมาเป็นเหตุผลในการที่ฉันจะไม่กลับเมืองไทย เธอจงมั่นใจเสียเถิด มาเรีย ว่าฉันจะไม่กลับไปเมืองไทยเป็นอันขาดในชาตินี้ อยู่ในเมืองสวรรค์ใครจะอยากไปในเมืองนรก ถ้าไม่จำเป็น”

“เธอคงจะต้องการบอกฉันว่า เธอต้องกลับเมืองไทยเพราะเธอรักชาติ รักเมืองไทย ถ้าไม่มีเธอ เมืองไทยคงจะดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ หรืออะไรแปลกๆ อย่างนั้นซี?”

“เปล่า มาเรีย” ข้าพเจ้าตอบด้วยน้ำเสียงอันปกติ “อย่าว่าฉันขื้ขลาดนะ ฉันรู้ดีว่าฉันไมใช่เป็นคนแข็งแรงพอสำหรับชีวิตหนังสือพิมพ์ กินนอนไม่เป็นเวลา วิ่งเต้นไม่หยุดหย่อน ฉันรู้ดีว่า วันหนึ่งฉันจะต้องล้มเจ็บลงอย่างแน่นอน เจ็บอย่างไม่มีวันที่จะหายจนแข็งแรงพอที่จะทำงานในหน้าที่หนังสือพิมพ์ได้อีก และนั่นแหละจะเป็นปลายทางแห่งความสุขของฉัน เธอพยายามเข้าใจนะ มาเรีย”

หล่อนมิได้พูดค้านประการใด

“ฉันต้องการงานที่เบากว่านี้” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “ฉันนึกไม่ออกว่าคนเช่นฉัน.. คนไทย...ผิวเหลืองจะหางานชนิดนั้นที่ไหนในเมืองอังกฤษหรือทวีปยุโรปทำได้ ฉันเสียใจเหลือเกินที่ได้ทำให้เธอโกรธมากในเรื่องที่พูดมาแล้ว แต่เราจะต้องสู้กับความจริงของชีวิตวันหนึ่งไม่ใช่หรือ? ก่อนที่จะผจญกับความจริงเช่นนั้น ผู้ที่ไม่โง่ย่อมจะต้องเตรียมตัวไว้ก่อน”

“บอบบี้ ยอดรัก” มาเรียพูดอย่างเห็นใจ พลางเขยิบตัวลงมานั่งติดกับข้าพเจ้า เธอเขียนเรื่องอ่านเล่นได้ไม่ใช่หรือ?”

“นั่นก็ไมใช่เป็นสิ่งที่แน่นอน” ข้าพเจ้าตอบ “การเขียนเรื่องอ่านเล่นกับเขียนข่าวหนังสือพิมพ์นั้นผิดกันมาก และการเขียนเรื่องอ่านเล่นมีคนทำกันมากมาย เป็นการแข่งขันที่จะเอาชนะได้ยากที่สุดในทวีปยุโรป ความคิดของฉันอาจดีสำหรับหนังสือพิมพ์ แต่สำหรับเรื่องอ่านเล่นอาจไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้ เธอจำสิ่งที่เอ็ดดี้บอกเราที่สโมสรวันนั้นได้ไหม แกบอกว่าแกได้เคยพยายามเขียนเรื่องอ่านเล่นมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยขายได้มากกว่าสิบปอนด์ ถ้าแกต้องออกจากหนังสือพิมพ์แกจะไปไถนา เอ็ดดี้เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง แกยังพูดยังงั้น”

“ฉันจะพยายามเข้าใจ บอบบี้” หล่อนพูดเบา ๆ

เธอยกโทษให้ฉันนะ มาเรีย” ข้าพเจ้าพูด “ที่ได้พูดให้เธอโกรธอย่างมากมาย”

“เธอต่างหากเล่าที่จะต้องเป็นฝ่ายยกโทษให้ฉัน” หล่อนตอบ แล้วเราก็ซบศีรษะเข้าชิดกัน...ชิดกันอยู่เรื่อยเป็นเวลานานเท่าใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ ดวงศศิธรยังคงส่องแสงอยู่สว่างทางบ้าน “บลูพีเตอร์” เราได้ยินเสียงใครไขหีบเสียงเพลงวอลตซ์ชื่อ “Sometimes”

ห้องนอนซึ่งท่านเจ้าของบ้านได้จัดไว้ให้เป็นของข้าพเจ้าหรือบอบบี้ อยู่ทางปีกซ้ายฟากตะวันตกของบ้าน “บลูพีเตอร์” คืนนั้น ถ้าจะคิดเป็นภาษาไทยก็คงจะเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ ท้องฟ้าปราศจากเมฆหรือมลทินใดๆ พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างมาในห้องข้าพเจ้าราวกับกลางวัน ด้วยอำนาจแสงจันทร์นี้ มองดูออกไปที่หน้าต่างด้านหนึ่ง ข้าพเจ้าสามารถจะแลเห็นสวนหลังริชมอนด์พาร์กอยู่ในระยะอันไกล แม้เวลานั้นจะตกเกินเที่ยงคืนไปแล้วก็ยังคงมีเด็กหนุ่มหญิงสาว ชายแก่หญิงแก่เดินเคลียคลอกันเป็นคู่ๆ ชายแก่หญิงแก่จริงนะท่าน เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานความรักให้แก่คนแก่พวกนี้ เช่นเดียวกับประทานให้แก่ชายหนุ่ม หญิงสาว คนแก่พวกนี้อาจได้รับความชอกชํ้ามาแล้ว เพราะความรักหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังไม่เข็ด และไม่มีวันที่จะเข็ด ยังคงรัก...และจะรักอยู่เรื่อยไป ชีวิตเป็นของแปลก!

ใกล้เตียงนอน มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ทำเป็นแบบฝรั่งเศสคล้ายประตูเปิดออกไปยังเฉลียงเล็กอันหนึ่ง ข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างนั้นเบาๆ และเดินออกไปที่เฉลียง มองไปชมสวนดอกไม้ของมิสเตอร์สตีลส์อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นพระองค์เจ้าวรประพันธ์และไอรีนกำลังเดินกอดแขนกันอยู่ เป็นการเห็นได้ชัดว่าเมื่อลาพวกเราไปแล้ว แทนที่จะไปนอน คนทั้งสองกลับลงไปที่สวนดอกไม้อีก อา! พระองค์เจ้าวรประพันธ์ กระหม่อม ท่านทรงทราบหรือเปล่าว่า ความรักที่แท้จริงคือความสละหรือความอุทิศ? ท่านทราบความจริงของชีวิตแล้วหรือยัง?

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ