นิราศวัดเจ้าฟ้า

  ๏ เณรหนูพัดหัดประดิษฐคิดอักษร
เปนเรื่องความตามติดท่านบิดร กำจัดจรจากนิเวศเชตุพน
พอออกเรือเมื่อตวันสายัณห์ย่ำ ลอองน้ำค้างย้อยเปนฝอยฝน
ตลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าเมื่อคราวจน ไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา
โอ้ธานีศรีอยุธมนุษย์แน่น นับโกฏิแสนสาวแก่แซ่ภาษา
จะหารักสักคนพอปนยา ไม่เห็นหน้านึกสอื้นฝืนฤทัย
เสียแรงมีพี่ป้าหม่อมน้าสาว ล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส
มายามยืดจืดเปรี้ยวไปเจียวใจ เหลืออาไลยลมปากจะจากจร
ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ แทบพระบาทบุษบงสุ์องค์อัปศร
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร พระด่วนจรสู่สวรรค์ครรไล
ละสมบัติขัติยาทั้งข้าบาท โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล
เปนสูญลับนับปีแต่นี้ไป เหลืออาไลยแล้วที่พระมีคุณ
ถึงจนยากบากมาเปนข้าบาท ไม่ขัดขาดเข้าเกลือช่วยเกื้อหนุน
ทรงศรัทธากล้าหาญในการบุญ โอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม
แม้นตกยากพรากพลัดไปขัดข้อง พัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม
นี่จนใจไปป่าช้าพนาราม สุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง
ขออยู่บวชกรวดน้ำสุรามฤตย์ อวยอุทิศผลผลาอานิสงษ์
สนองคุณภูลสวัสดิ์ขัติยวงศ์ เปนรถทรงสู่สถานวิมานแมน
มีสุรางค์นางขับสำหรับกล่อม ล้วนเนื้อหอมน้อมเกล้าอยู่เฝ้าแหน
เสวยรมย์โสมนัศไม่ขัดแคลน เปนของแทนทานาฝ่าลออง
พระคุณเอ๋ยเคยทำนุบอุปถัมภ์ ได้อิ่มหนำค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง
แม้นทูลลามากระนี้ทั้งพี่น้อง ไหนจะต้องตกยากลำบากกาย
นี่สิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมอก ต้องระหกระเหินไปน่าใจหาย
เห็นที่ปลงทรงสูญยังมูนทราย แสนเสียดายดังจะดิ้นสิ้นชีวัน
ทั้งหนูตาบกราบไหว้ร้องไห้ว่า จะคมลาลับไปในไพรสัณฑ์
เคยเวียนเฝ้าเกล้าจุกให้ทุกวัน สารพรรณพึ่งพาไม่อนาทร
ถึงปากง่ามบอกนามบางกอกน้อย ยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร
เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราวรณ์ ไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน
เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้ว ไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน
เคยดูดีพี่ป้าหน้านวลนวล จะว่างเว้นเห็นล้วนแต่มอมแมม
เคยชมชื่นรื่นรศแป้งสดสอาด จะชมหาดเห็นแต่จอกกับดอกแขม
โอ้ใจจืดมืดเหมือนเมื่อเดือนแรม ไม่เยื้อนแย้มกลีบกลิ่นให้ดิ้นโดย
เสียดายดวงพวงผกามณฑาทิพ เห็นลิบลิบแลชวนให้หวนโหย
เพราะห่วงพุ่มภุมรินไม่บินโบย จะร่วงโรยรศสิ้นกลิ่นผกา
ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่ภักตร์ คนรู้จักแจ้งจิตรทุกทิศา
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา เปนร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม
โอ้คิดไปใจหายเสียดายรัก เหมือนเกรียกจักแจกซีกกระผีกผม
จึงเจ็บอกฟกช้ำระกำตรม เพราะลิ้นลมล่อลวงจะช่วงใช้
ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจาก โอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน
พเอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจ จะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย
ถึงบางพลูพลูใบใส่ตะบะ ถวายพระเพราะกำพร้านิจาเอ๋ย
แม้นมีใครใจบุญที่คุ้นเคย จะได้เชยพลูจีบหมากดิบเจียน
นี่จนใจได้แต่ลมมาชมเล่น เปรียบเหมือนเช่นฉากฉายพอหายเหียน
แม้นเห็นรักจักได้ตามด้วยความเพียร ฉีกทุเรียนหนามหนักดูสักคราว
ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อ ทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว
แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาว สุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ
ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้ม ถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน
โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใด จึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก
เมื่อชาติน่ามาเกิดให้เลิศโลก ประสิทธิโชคชอบฤไทยทั้งไตรจักร
กระจ้อยร่อยกลอยใจวิไลยลักษณ์ ให้สาวรักสาวกอดตลอดไป
ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง เปนชื่ออ้างออกนามตามวิไสย
แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาไลย จะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง
ประดับเรือนเหมือนหนึ่งเพ็ชรสำเร็จแล้ว ถนอมแก้วกลอยใจมิให้หมอง
ไม่เหมือนนึกตรึกตราน้ำตานอง เห็นแต่น้องหนูแนบแอบอุรา
ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทพระพุทธร้าง ว่าท่านวางไว้ให้คิดปฤษณา
แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตา นึกก็น่าหัวเราะจำเภาะเปน
จะคิดมั่งยังคำที่ร่ำบอก จะไปตอกที่ตรงไหนก็ไม่เห็น
ดูลึกซึ้งถึงจะคิดก็มิดเม้น พอยามเย็นยอแสงแฝงพโยม
ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษร กลกลอนกล่าวกล่อมถนอมโฉม
เดชะชักรักลักลอบปลอบประโลม ขอให้โน้มน้อมจิตรสนิทใน
ถึงคลองบางขวางบางศรีทองมองเขม้น ไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส
แม้นทองคำธรรมดาจะพาไป นี่มิใช่ศรีทองเปนคลองบาง
พอลมโบกโศกสวนมาหวนหอม เหมือนโศกตรอมตรึกตรองมาหมองหมาง
ถึงบางแวกแยกคลองเปนสองทาง เหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย ใครเขาขายขวัญฤๅจะซื้อขวัญ
แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทร์ จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง
ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสน ถึงต่างแดนดงดอนศิงขรขวาง
จะตามไปให้ถึงห้องประคองคาง แต่ขัดขวางขวัญความขามระคาย
เห็นสวาดขาดทิ้งกิ่งสนัด เปนรอยตัดต้นสวาดให้ขาดสาย
สวาดิ์พี่นี้ก็ขาดสวาดิ์วาย แสนเสียดายสายสวาดิ์ที่ขาดลอย
เห็นรักน้ำพร่ำออกทั้งดอกผล ไม่มีคนรักรักมาหักสอย
เปนรักเปล่าเศร้าหมองเหมือนน้องน้อย เที่ยวล่องลอยเรือรักจนหนักเรือ
ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋า แผ่นสุธาก็ไม่ไร้ไม้มะเขือ
เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือ ไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ
ถึงปากเกร็ดเตร็จเตร่มาเร่ร่อน เที่ยวสัญจรตามละลอกเหมือนจอกแหน
มาถึงเกร็ดเขตรมอญสลอนแล ลูกอ่อนแออุ้มจูงพะรุงพะรัง
ดูเรือนไหนไม่เว้นเห็นลูกอ่อน ไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง
ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววัง ล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตา
พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวก เห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา
กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา ดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง เปนฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน
ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่หม้าย ขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฏิแสน
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตรแคว้น คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง
โอ้นึกหวังสังเวชประเภทสัตว์ ต้องขาดขัดคู่ครองจึงหมองหมาง
เหมือนอกชายหมายมิตรคิดระคาง มาอ้างว้างอาทวาเอกากาย
ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้าน ล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย
ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลาย ล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง
ถึงบางพูดพูดมากคนปากหมด มีแต่ปดเปนอันมากเขาถากถาง
ที่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคาง เหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชาย
ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่ พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย
ดูจริตติดจะงอนเปนมอญกลาย ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ
แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่ม กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ
ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำ อ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไร
เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อย มากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข
รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไย น่าเจ็บใจจะต้องจำเปนตำรา
ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียน ชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นา นางแม่ค้าขายเต่าสาวทำทึก
ปิดกระหมับจับกระเหม่าเข้ามินหม้อ ดูมอซอสีสันเปนมันหมึก
ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำฦก เมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใครฟัง
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียด ร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์
เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวัง ไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม
ลำภูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อย สว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปลายแขม
อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวม กระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือ
ถึงย่านขวางบางทะแยงเปนแขวงทุ่ง ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน
จารึกไว้ให้เปนทานทุกบ้านช่อง ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสงัด พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง
เปนป่าช้าอาวาศปีศาจคนอง ฉันพี่น้องมิได้คลาศบาทบิดา
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ เย็นยะเยียบเยือกสยองพองเกษา
เสียงผีผิวหวิวโหวยโหยวิญญา ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ เปนเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาว หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน่
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิตร บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด ประฏิพัทธพุทธคุณค่อยอุ่นเศียร
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน จำเริญเรียนรุกขมูลพูลศรัทธา
อศุภธรรมกรรมฐานประหารเหตุ หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน พระนิพานเพิ่มพูลเพียงสูญหาย
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์ สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง ประพฤติอย่างโยคามหาเถร
ประทับทุกรุกรอบขอบพระเมรุ จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ
ออกจงกรมสมณาษมาโทษ ร่มนิโรธน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
แผ่กุศลจนจบทั้งภพไตร จากพระไทรแสงทองผ่องพะโยม
เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้ง ถึงบ้านกระแชงหุงจังหันฉันผักโหม
ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลม ถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย
พอเสียงฆ้องกองแซ่เขาแห่นาค ผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย
ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวย พากันช่วยเขาแห่ได้แลดู
ถือขันตีทีนั้นก็ขันแตก ทั้งศิลแซกสูดออกกระบอกหู
ฉันนี้เคราะห์เพราะนางห่มสีชมพู พาความรู้แพ้รักประจักษ์จริง
แค้นด้วยใจไนยนานิจาเอ๋ย กระไรเลยแล่นไปอยู่กับผู้หญิง
ท่านบิดาว่ามันติดกว่าปลิดปลิง ถูกจริงจริงจึงจดเปนบทกลอน
ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
แต่ต้องตาพาใจอาไลยวรณ์ สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน
ทั้งหนูกลั่นนั้นคนองจะลองทิ้ง บอกให้หญิงรำรับขยับหัน
ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกัน เขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง
นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อม งามละม่อมมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง
ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลือง ขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย
ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบ เขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย
ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอย พวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเปนวา
ฉันลอบลองสองลูกถูกจำนับ ถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา
ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นา พวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไป
พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก เปนคำโลกสมมุติสุดสงไสย
ถามบิดาว่าผู้เถ้าท่านกล่าวไว้ ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์
หวังจะไว้ให้ประชาเปนค่าจ้าง ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ
พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ ทองก็กลับกลายสิ้นเปนดินแดง
จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก เปนคำโลกสมมุติสุดแถลง
ครั้งพระโกษฐโปรดปรานประทานแปลง ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์
ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านภารา
ได้รู้เรื่องเมืองประทุมค่อยชุ่มชื่น ดูภูมิ์พื้นวัดบ้านขนานน่า
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง
ฝ่ายสาวสาวกล้าวมวยสวยสอาด แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง
ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้ง ทั้งผ้านุ่งนั้นก็อ้อมลงกรอมตีน
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล
นี่หากเห็นเปนเด็กแม้นเจ๊กจีน เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง
ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะ กระโถนกระทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง
เขาวานน้องร้องถามไปตามทาง ว่าบางขวางฤๅไม่ขวางพี่นางมอญ
เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้า จงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสลอน
ไม่ตอบปากบากน่านาวาจร คารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมือง
ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนาม ไม่งอนงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง
เมื่อแลพบหลบภักตร์ลักชำเลือง ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม
มาลับนวลหวนให้เห็นไม้งิ้ว เสียดายผิวภักตร์ผ่องจะหมองโฉม
เพราะเสียรักหนักหน่วงน่าทรวงโทรม ใครจะโลมเลียมรศช่วยชดเจือ
ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจัก ดูน่ารักรศชาติประหลาดเหลือ
แม้นลอยฟ้ามาเดี๋ยวนี้ที่ในเรือ จะฉีกเนื้อนั่งกลืนให้ชื่นใจ
ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรก เห็นนกหกหากินบินไสว
เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทย ทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง
สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่ง แลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตรแขวง
เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดง ฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ
โอ้เช่นนี้มีคู่มาดูด้วย จะชื่นช่วยชมชิมได้อิ่มหนำ
มายามเย็นเห็นแต่ของที่น้องทำ เหลือจะรำฦกโฉมประโลมลาน
ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลว เห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน
ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาล คอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ
ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอ มละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ
ขอส้มสุกจุกจิกทั้งพริกเกลือ จนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ
แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่าน ดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว
ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทร ต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา
เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตย์พุ่ม เพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา
ใคร่น่าจูบรูปร่างเหมือนนางฟ้า ช่วยอุ้มพามาให้เถิดจะเชิดชม
ถนอมแนบแอบอุ้มนุ่มนุ่มนิ่ม ได้แย้มยิ้มจวนจิตรสนิทสนม
นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลม ชมพนมแนวไม้รำไรราย
ดูเย่าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบ เห็นลิบลิบแลไปจิตรไจหาย
เขาปลูกฟักผักถั่วจูงวัวควาย ชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนาม
ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล อย่าเกิดคนติเตียนเปนเสี้ยนหนาม
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง
ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแต่เกาะ แต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง
พระของน้องนี้ก็นั่งมาทั้งองค์ ทั้งพระสงฆ์เกาะพระมาประชุม
ขอคุณพระอนุเคราะห์ทั้งเกาะพระ ให้เปิดปะตรุทองสักสองขุม
คงจะมีพี่ป้ามาชุมนุม ชอ้อนอุ้มแอบอุราเปนอาจินต์
ถึงเกาะเรียงเคียงคลองเปนสองแยก ป่าละแวกวังราชประพาศสินธุ์
ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอิน จึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม
หวังถวิลอินน้องลอองเอี่ยม แสนเสงี่ยมงามพร้อมเหมือนหม่อมห้าม
จะหายศอุส่าห์พยายาม คงจะงามภักตร์พร้อมเหมือนหม่อมอิน
อาไลยน้องตรองตรึกรำฦกถึง หวังจะพึ่งผูกจิตรคิดถวิล
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน ไปที่ถิ่นทำรังประนังนอน
บ้างแนบคู่ชูคอเข้าซ้อแซ้ เสียงจอแจโจนจับสลับสลอน
บ้างคลอเข้าเคล้าเคียงประเอียงอร เอาปากป้อนปีกปกอกประคอง
ที่ไร้คู่อยู่เปลี่ยวเที่ยวเดี่ยวโดด ไม่เต้นโลดแลเหงาเหมือนเศร้าหมอง
ลูกน้อยน้อยคอยแม่ชแง้มอง เหมือนอกน้องตามน้อยกลอยฤไทย
มาตามติดบิดากำพร้าแม่ สุดจะแลเหลียวหาที่อาไศรย
เห็นลูกนกอกน้องนี้หมองใจ ที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย
ถึกเกาะเรียนเรียนรักก็หนักอก แสนวิตกเต็มตรองเจียวน้องเอ๋ย
เมื่อเรียนกนจนจบถึงกบเกย ไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง
แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่าย รักละม้ายมิได้ชมสมประสงค์
ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวง มีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรม
มาถึงวัดพนังเชิงเทิงถนัด ว่าเปนวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม
ผนังก่อย่อมุมเปนซุ้มโคม ลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาไลย
มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่น ร่มระรื่นรุกขาน่าอาไศรย
บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจ ว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย
ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเปนเหตุ ก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย
แม้ภาราผาศุกสนุกสบาย พระภักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์
แต่เจ็ดย่านบ้านนั้นก็นับถือ ร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปูนเถาก๋ง
ด้วยบนบานการได้ดังใจจง ฉลององค์พุทธคุณกรุณัง
แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาป จะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง
ตรงหน้าท่าสาชลเปนวนวัง ดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ
เข้าจอดเรือเหนือน่าศาลาวัด โสมนัศน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
ขึ้นเดินเดียวเที่ยวหาสุมาไลย จำเภาะได้ดอกโศกที่โคกนา
กับดอกรักหักเด็ดได้เจ็ดดอก พอใส่จอกจัดแจงแบ่งบุบผา
ให้กลั่นมั่งทั้งบุนนาคเพื่อนยากมา ท่านบิดาดีใจกะไรเลย
ว่าโศกรักมักร้ายต้องพรายพลัด ถวายวัดเสียถูกแล้วลูกเอ๋ย
แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคย ลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น หอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย
หอมจำปาน่าโบสถ์สาโรชราย ดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน
ดูกุฎีวิหารสอ้านสอาด รุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน
ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียน แล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร
ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้อง เข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าศิงขร
ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจร ท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้
ทั้งรูปชั่วตัวดำทั้งต่ำศักดิ์ ถวายรักไว้กับศีลพระชินสีห์
ต่อเมื่อไรใครรักมาภักดี จะอารีรักตอบด้วยขอบคุณ
แต่หนูกลั่นนั้นว่าจะหาสาว ที่เล็บยาวโง้งโง้งเหมือนโก่งกระสุน
ทั้งเนื้อหอมกล่อมเกลี้ยงเพียงพิกุล กอดให้อุ่นอ่อนก็ว่าไม่น่าฟัง
ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระ สาธุสะสูงกว่าฝาผนัง
แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวัง สำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ
ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัดถ์ โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์
ศิโรราบกราบก้มบังคมคิด รำพึงพิศถานในใจจินดา
ขอเดชะพระกุศลที่ปรนนิบัติ ที่หนูพัดพิศวาศพระศาสนา
มาเคารพพบพุทธปฏิมา เปนมหาอัศจรรย์ในสันดาน
ขอผลาอานิสงส์จงสำเร็จ สรรเพ็ชญ์พ้นหลงในสงสาร
แม้นยังไปไม่ถึงที่พระนิฤพาน ขอสำราญราคีอย่าบีฑา
จะพากเพียรเรียนวิไสยแต่ไตรเพท ให้วิเศษแสนเอกทั้งเลขผา
แม้นรักใครให้คนนั้นกรุณา ชนมายืนเท่าเขาพระเมรุ
ขอรู้ทำคำแปลแก้วิมุติ เหมือนพระพุทธโฆษามหาเถร
มีกำลังดังมาฆสามเณร รู้จัดเจนแจ้งจบทั้งภพไตร
อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่ง ให้ทราบซึ่งสุจริตพิศมัย
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาไลย น้ำพระไทยทูลเกล้าให้ยาวยืน
แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่อง เข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น
ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชื้น หอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ
โอ้ยามนี้มิได้พบน้ำอบสด มาเชยรศบุบผาน้ำตาไหล
ยิ่งเสียวทรวงง่วงเหงาเศร้าฤไทย มาเหงื่อไคลคล่ำตัวต้องมัวมอม
นิจาเอ๋ยเคยบำรุงผ้านุ่งห่ม เคยอบรมร่ำกลิ่นไม่สิ้นหอม
เหมือนหายยศหมดรักมาปลักปลอม จนซูบผอมผิวคล้ำระกำใจ
จึงมาหายาอายุวัฒนะ ตามได้ปะลายแทงแถลงไข
เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกล ถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้ง
พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่าน เปนประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง
ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเปนซุ้มเซิง ขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์
เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้าง ใครจะสร้างสูงเกินจำเริญศรี
ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต
ผู้หญิงย่านบ้านเราชาวบางกอก เขาอมกลอกกลืนพระเสียอโข
แต่พระเจ้าเสาชิงช้าที่ท่าโพธิ์ ก็เต็มโตชาววังเขายังกลืน
ฉันกลัวบาปกราบพระอย่าปะพบ ไม่ขอคบคนโขมดที่โหดหืน
พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น เงาทมื่นมืดพยับอับพโยม
พยุฝนอนธการสท้านทุ่ง เปนฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม
น้ำค้างชะประเปรยเชยชโลม ท่านจุดโคมขึ้นอารามต้องตามไป
เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึก เห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส
ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้ จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ
หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่ง คนึงนิ่งนึกรำพรรณสรรเสริญ
สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญ จนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญา
ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบ เย็นยะเยียบน้ำค่างพร่างพฤกษา
เห็นแวววับลับลงตรงไนยนา ปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง
ครั้นคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุด ต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง
ประกายพฤกษ์ดึกเด่นขึ้นเห็นดวง ดังโคมช่วงโชติกว่าบรรดาดาว
จักรจั่นแจ้วแว่วหวีดจังหรีดหริ่ง ปี่แก้วตริ่งตรับเสียงสำเนียงหนาว
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว พระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์
พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสน
เหมือนอบน้ำร่ำผ้าประสาโซ สอื้นโอ้อารมณ์ระทมทวี
หวังจะปะพระปรอทที่ปลอดปร่ง ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไผล่หนี
เชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี อาบวารีทิพรศหมดมลทิน
ที่ธุระปรอทเปนปลอดเปล่า ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิล
ท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน ว่ายากินรูปงามอร่ามเรือง
แม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่อเหลือง
ตวันออกบอกแจ้งเปนแขวงเมือง ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันท์จวง
กับหนูกลั่นจันมากบุนนากหนุ่ม สักสิบทุ่มเดินมุ่งออกทุ่งหลวง
มาตาลายปลายคลองถึงหนองพลวง แต่ล้วนสวงสาหร่ายเห็นควายนอน
นึกว่าผีตีฆ้องป่องป่องโห่ มันผลุดโผล่พลุ่งโครมถีบโถมถอน
เถาสาหร่ายควายกลุ้มตลุมบอน ว่าผีหลอนหลบพัลวันเวียน
พอเสียงร้องมองดูจึงรู้แจ้ง เดินแสวงหาวัดฉวัดเฉวียน
พอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริง
กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิง
เหมือนโกรธขึ้งหึงษ์หวงด้วยช่วงชิง ชุมจริงจริงจิกโจดกระโดดโจน
จนต้นไม้ใบงอกออกไม่รอด ดูกรองกรอดเกรียนกร่องกรองกรอยโกร๋น
ลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คน
บ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสน
จิกสบัดจัดแจงสอดแซงซน เปรียบเหมือนคนช่างสดึงรู้ตรึงกรอง
โอ้ว่าอกนกยังมีรังอยู่ ได้เคียงคู่คํ่าเช้าไม่เศร้าหมอง
แม้นร่วมเรือนเหมือนหนึ่งนกกกกระคอง แต่สักห้องหนึ่งก็เห็นจะเย็นใจ
จนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไข
เห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้ มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทง
ท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง ตั้งแต่รุ่งมาจนแดดก็แผดแสง
ได้พักเพนเอนนอนพอผ่อนแรง ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคล
แต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่ เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไมไหว
เหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูง
พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด ถึงตาลโดดดินพูนเปนมูลสูง
เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง เปนฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย
ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเขาเคียงคู่ คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย
กระหวัดวาดยาตรเยื้องชำเลืองกราย เหมือนละม้ายหม่อมลครเมื่อฟ้อนรำ
โอ้เคยเห็นเล่นงานสำราญรื่น ได้แช่มชื่นเชยชมที่คมขำ
มาห่างแหแลลับจับระบำ เห็นแต่รำแพนนกน่าอกตรม
ออกตรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม
เห็นเชิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร
พิกุลออกดอกหอมพยอมย้อย นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน
ในเขตรแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา
รศเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา ภุมราร่อนร้องลอองนวล
โอ้บุบผาสารภีสาหรีรื่น เปนที่ชื่นเชยถนอมด้วยหอมหวน
เห็นมาลาอาไลยใจรัญจวน เหมือนจะชวนเชษฐาน้ำตากระเด็น
โอ้ยามนี้ที่ตรงนึกรำฦกถึง มาเหมือนหนึ่งใจจิตรที่คิดเห็น
จะคลอเคียงเรียงตามเมื่อยามเย็น เที่ยวเลียบเล่นแลเพลินจำเริญตา
โบสถ์วิหารฐานบัตร์ยังมีมั่ง เชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา
สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมา พระศิลาแลดูเปนบูราณ
อุโบสถหมดหลังคาฝาผนัง พระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร
ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนาน แต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง
มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขด เดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง
จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนอง ทรงจำลองลายหัดถ์เปนปฏิมา
รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาป ให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา
พอฤๅษีสี่องค์เหาะตรงมา ถวายยาอายุวัฒนะ
เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสาร ซ้ำให้ทานแท่งยาอุสาหะ
ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระ ใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน
ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่า นามนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน
วัดเจ้าฟ้าอากาศนารถนรินทร์ ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง
เปนตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือ ดูหนังสือเสาะหาอุส่าห์แสวง
มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรง ด้วยดินแขงเขาประมูลด้วยปูนเพ็ชร
ถึงสิ่วขวานผลาญพะเนินไม่เยินยู่ เห็นเหลือรู้ที่จะทำให้สำเร็จ
แต่จะต้องลองตำรากาละเม็ด เผื่อจะเสร็จสมถวิลได้กินยา
พอเย็นรอนดอนสูงดูทุ่งกว้าง วิเวกวางเวงจิตรทุกทิศา
ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจไนยนา เห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง
ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่ว ไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตรแขวง
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง ยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง
โอ้แลดูสุริยงจะลงลับ มิใคร่จะดับดวงได้อาไลยหลัง
สลดแสงแฝงรถเข้าบดบัง เหมือนจะสั่งโลกาให้อาไลย
แต่คนเราชาววังทั้งทวีป มาเร็วรีบร้างมิตรพิศมัย
ไม่รอรั้งสั่งสวาดิ์ปลาดใจ โอ้อาไลยแลลับวับวิญญา
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวก เปนหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา
แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนา นึกระอาออกนามเมื่อยามโซ
ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อย ช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข
พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโก แต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน
พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้น ครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน
ชั่งฝาดเฝื่อนเหมือนจะตายต้องคายคืน ทั้งขมขื่นแค้นคอไม่ขอกิน
ท่านบิดรสอนสั่งให้ตั้งจิตร โปรดประสิทธิ์สิกขารักษาศิล
เข้าร่มพระมหาโพธิ์บนโขดดิน ระรื่นกลิ่นกลางคืนค่อยชื่นใจ
เหมือนกลิ่นกลั่นจันท์เจือในเนื้อหอม แนบถนอมสนิทจิตรพิศมัย
เสมอหมอนอ่อนอุ่นละมุนลไม มาจำไกลกลอยสวาดิ์อนาถนอน
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น ทุกค่ำคืนขาดประทิ่นกลิ่นอับศร
หอมพิกุลฉุนใจอาไลยวอน พิกุลร่อนร่วงหล่นลงบนทรวง
ยิ่งเสียวเสียวเฉียวฉุนพิกุลหอม เคยถนอมเสน่ห์หมายไม่หายหวง
โอ้ดอกแก้วแววฟ้าสุดาดวง มิหล่นร่วงลงมาเลยใคร่เชยชิม
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้าง ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง
เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่ว เสียงแจ้วแจ้วจักรจั่นสนั่นเสียง
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว
จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว หนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว
แม้นงิ้วงามนามงิ้วเล็บนิ้วยาว จะอุ่นราวนวมแนบนั่งแอบอิง
ทั้งสี่นายหมายว่ากินยาแล้ว จะผ่องแผ้วพากันเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
เดชะยาน่ารักประจักษ์จริง ขอให้วิ่งตามฉาวทั้งด้าวแดน
นากนั้นว่าอายุอยู่ร้อยหมื่น จะได้ชื่นชมสาวสักราวแสน
ไม่รู้หมดรศชาติไม่ขาดแคลน ฉันอายแทนที่ครวญถึงนวลนาง
ทั้งหนูกลั่นนั้นว่าเมื่อล่องเรือกลับ จะแวะรับนางสิบสองไม่หมองหมาง
แม่เอวอ่อนมอญรำล้วนสำอาง จะขวางขวางไปอย่างไรคงได้ดู
สมเพชเพื่อนเหมือนหนึ่งบ้าประสาหนุ่ม แต่ล้วนลุ่มหลงเหลือจนเบื่อหู
จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชู เที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี
ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุ ขาวสอาดอรหัตจำรัสศรี
อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดี อัญชลีแล้วก็นั่งระวังไภย
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว ใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว
บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไร ด้วยแสงไฟรางรางสว่างตา
จนดึกดื่นรื่นรมลมสงัด ดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา
เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูระพา กฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร
สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจ ธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว
เข้าสานทรายปรายปราบกำราบไป ปักเทียนไชยฉัตเฉลิมแล้วเจิมจันทน์
จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบ ล้อมเปนขอบเขตรเหมือนหนึ่งเขื่อนขันธ์
มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์ แก้อาถรรพ์ถอนฤทธิ์ที่ปิดบัง
แล้วโรยรินดินดำคว่ำหอยโข่ง จะเปิดโป่งปูนเพ็ชรเปนเคล็ดขลัง
พอปักธงลงดินได้ยินดัง สำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน
ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืด พยุหืดฮือมาเปนห่าฝน
ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์ เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน
เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่ง สเทื้อนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร
กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลาน สาดเข้าสานกรากกรากไม่อยากฟัง
ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิฦกลั่น อินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง
สติสิ้นวิญญาละล้าละลัง สู่ภวังค์วุบวับเหมือนหลับไป
เปนวิบัติอัศจรรย์มหันต์เหตุ ให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิไสย
ทั้งพระพลอยม่อยหลับระงับไป แสงอุไทยรุ่งขึ้นจึงฟื้นกาย
เที่ยวหาย่ามตามหาทั้งผ้าห่ม มันตามลมลอยไปข้างไหนหาย
ไม่พบเห็นเปนน่าระอาอาย จนเบี่ยงบ่ายบิดาจะคลาไคล
ท่านห่มดองครองผ้าอุกาพระ คาระวะวันทาอัชฌาไศรย
ถวายวัดตัดตำราไม่อาไลย ขออไภยพุทธรัตน์ปฏิมา
เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้าย จึงตามลายลัดแลงแสวงหา
จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมา มีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู
ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุด เปนแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู
ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชู ไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย
มาเห็นฤทธิ์กฤษณาอานุภาพ ก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย
ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย ให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน
ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์ ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน
พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา
จงพ้นทุกข์ศุโขอโหสิ ไปจุติตามชาติปราถนา
ทั้งเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกนา ฉันขอลาแล้วเจ้าคะหม่อมตะโก
ถึงแก่งอมหอมกลิ่นยังกินฝาด แต่คราวขาดคิดรักเสียอักโข
ทั้งพิกุลฉุนกลิ่นจงภิญโญ เสียดายโอ้อางขนางจะห่างไกล
ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อย ไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว
จนจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไร สังเกตไม้หมายทางมากลางคืน
ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝก อุส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน
มาตามลายหมายจะลุอายุยืน ผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจัง
เจ้าหนูกลั่นนั้นว่าเคราะห์เสียเพราะหอม เหมือนทิ้งหม่อมเสียทีเดียวเดินเหลียวหลัง
จะรีบไปให้ถึงเรือเหลือกำลัง ครั้นหยุดนั่งหนาวใจจำไคลคลา
จนรุ่งรางทางเฟือนไม่เหมือนเก่า ต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา
จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอา อายตามาตาแก้วที่แจวเรือ
เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะ เครื่องอัษฐที่เอาไปช่างไม่เหลือ
พอมืดมนธ์ฝนคลุ้มลงครุมเครือ ให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง
จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง ไม่มีของขบฉันจังหันหุง
ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง ท่านบำรุงรักพระไม่ละเมิน
ทั้งเพนเช้าคาวหวานสำราญรื่น ต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ
ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญ อายุเกินกัปกัลป์พุทธันดร
ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฎ เกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน
ท่านอารีมีใจอาไลยวอน ถึงจากจรใจจิตรยังคิดคุณ
มาทีไรได้นิมนต์ปรนนิบัติ สารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน
ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญ สนองคุณเจ้าพระยารักษากรุง
เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่อง เห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง
ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้ง บำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง
ที่แพรายหลายนางสำอางโฉม งามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง
ขมิ้นเอ๋ยเคยใช้แต่ในเมือง มาฟุ้งเฟื่องฝ่ายเหนือทั้งเรือแพ
พวกโพงพางนางแม่ค้าขายปลาเต่า จับกระเหม่ามิได้เหลือชั้นเรือแห
จะล่องลับกลับไปอาไลยแล มาถึงแพเสียงนกแก้วแจ้วเจรจา
เจ้าของขาวสาวสอนชอ้อนพลอด แวะมาจอดแพนี้ก่อนพี่จ๋า
น่ารับขวัญฉันนี่ร้องว่าน้องลา ก็เลยว่าสาวกอดฉอดฉอดไป
โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างฤๅอย่างพลอด นางสาวสาวเขาจะกอดให้ที่ไหน
แต่น้องมีพี่ป้าที่อาไลย ท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง
นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอด หนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง
ไม่เรียกเปนเช่นนกแก้วแล้วจริงจริง จะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดียว
ได้เด็ดรักหักใจมาในน้ำ ถึงพบลำสาวแส้ไม่แลเหลียว
ปลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียว มาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงยุธยา
จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญ ไปเที่ยวเล่นลายแทงแสวงหา
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา ได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้
ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสตร ด้วยอายโอษฐมิได้อ้างถึงนางไหน
ที่เขามีที่จากฝากอาไลย ได้ร่ำไรเรื่องหญิงจึงพริ้งเพราะ
นี่กล่าวแกล้งแต่งเล่นเพราะเปนหม้าย เที่ยวเร่ขายคอนเรือมะเขือเปราะ
คิดคนึงถึงตัวน่าหัวเราะ เกือบกระเทาะน่าแว่นแสนเสียดาย
นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วง จะโรยร่วงรกเรี้ยวแห้งเหี่ยวหาย
ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกาย อย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ฦกซึ้ง
เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรช ถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง
แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงษ์ ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม
เช่นกระต่ายกายสิทธิ์นั้นผิดเพื่อน ขึ้นแต้มเดือนได้จนชิดสนิทสนม
เสนหาอาไลยใจนิยม จะใคร่ชมเช่นกระต่ายไม่วายตรอม
แต่เกรงเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มแจ้ง สุดจะแฝงฝากเงาเฝ้าถนอม
ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอม ขอให้น้อมโน้มสวาดิ์อย่าคลาศคลา
ไม่เคลื่อนคลายหน่ายแหนงจะแฝงเฝ้า ให้เหมือนเงาตามติดขนิษฐา
ทุกค่ำคืนชื่นชุ่มพุ่มผกา มิให้แก้วแววตาอนาทร
มณฑาทิพกลีบบานตระการกลิ่น ภุมรินฤๅจะร้างห่างเกษร
จงทราบความตามใจอาไลยวอน เดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ
จะคอยฟังดังคอยสอยสวาดิ์ แม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ
ถ้าครั้งนี้มิได้เยื้อนยังเอื้อนอำ จะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเรา เอย

จบนิราศวัดเจ้าฟ้าแต่เท่านี้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ