ตอนที่ ๓ พระศรีเมืองเข้าเมืองยโสธร

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเฟื่องฟุ้งทุกทิศา
รับพรสมเด็จพระอัยกา จบใส่เกศาด้วยยินดี
แล้วบังคมลาบาทบงสุ์ ทั้งองค์พี่เลี้ยงแลปักษี
ออกจากพระคันธกุฎี มาขึ้นพาชีทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ หงส์ทองนำหน้าอาชา ลีลาเข้าในป่าใหญ่
ม้าสี่พี่เลี้ยงเคียงกันไป ที่ในพนมพนาวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมไพร

๏ พระเสด็จไปในหิมเวศ ทอดพระเนตรมิ่งไม้ไพรสัณฑ์
ม่วงปรางกระถินอินจันทน์ มูกมันรกฟ้าย่านาง
เฟืองไฟไทรโศกสักสน คนทาตาเสือไกรกร่าง
พรรณพฤกษาสูงยูงยาง ลำสล้างเสลาเปลาตา
ที่ทรงผลดิบห่ามทรามสุก ทุกกิ่งก้านค่าค้อมสาขา
บ้างหล่นกล่นกลาดดาษดา ปักษาจับจิกแจจัน
กระลำพักลักกะจันทน์สักขี สารภีสุกรมนมสวรรค์
พิกุลบุนนาคอำพัน มะลิวัลย์สาวหยุดยมโดย
กาหลงชงโคโยทะกา กระดังงาพะยอมหอมโหย
เรณูร่อนรายปรายโปรย โรยรินกลิ่นเกสรขจรมา
ฝ่ายฝูงแมลงภู่หมู่ผึ้ง ประอึงอาบละอองบุปผา
พระพายชายพัดรำเพยพา รวยรื่นนาสาสุมาลี
หอมกลิ่นกลั้วกลิ่นสไบบาง คะนึงนางหวนหามารศรี
เร่งขับมิ่งม้าพาชี มาใกล้คีรีอัสสกรรณ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ จึงหยุดมิ่งม้ามโนมัย แรมอยู่ที่ในไพรสัณฑ์
พระรัญจวนครวญหาไม่ราวัน ถึงองค์นางกัลยาณี
โอ้สายสุดรักเจ้าพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้พบนางโฉมศรี
พี่สู้บุกป่าพนาลี พ่างเพียงชีวีจะบรรลัย
ได้ความลำบากยากเย็น เจ้าจะเห็นอกพี่ก็หาไม่
ด้วยความรักจึงหักมาเดินไพร หวังจะได้เป็นมิตรไมตรี
ถูกละอองต้องฝนทรมาน ต้องแดดลมพานหมองศรี
เมื่อไรจะไปถึงธานี พบมิ่งมารศรีให้คลายใจ
พระนิ่งนอนกรก่ายขึ้นพาดพักตร์ หนักอกดังยกแสนไศล
แต่คะนึงถึงองค์นางทรามวัย ภูวไนยไม่เป็นนิทรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ตระชมไพร

๏ ครั้นรุ่ง พระสุริยาพวยพุ่งเวหา
พระโฉมยงสระสรงพักตรา เสวยผลพฤกษาสำราญใจ
แล้วชวนพี่เลี้ยงกับปักษา เราจะอยู่ช้าก็ไม่ได้
จะพากันรีบรัดลัดไป ว่าแล้วภูวไนยก็ไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ชมดง

๏ เดินทางหว่างเขาลำเนาธาร พระภูบาลไปตามปักษา
ชมชายฝ่ายฝูงสกุณา บ้างร่อนร่าจับไม้รังเรียง
หัสนัยน์ไวยุภักษ์ปักษี ขมิ้นโนรีร้องส่งเสียง
เขาขันขันคูคู่เคียง เค้าโมงเมียงแมกไม้ไปมา
นางนวลนอนแนบคณานาง กะลิงลางเลียบไม้ใบหนา
จากพรากพรากคู่อยู่เอกา คล้าเคล้าเคล้าคล้าคลึงกัน
กุลาโห่จักโกระวาลา กระทาถาหานางกระทาขัน
บังรอกดอกบัวเบญจวรรณ กระทันทิมาบ้าระบุ่นมากมี
ชมพลางทางขับอาชามา ตามพระยาเหมราชปักษี
ร้อนแรมมาหลายราตรี ถึงมหานทีทันใด ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ พระหยุดอัสดรรอรั้ง อยู่ยังริมฝั่งนํ้าไหล
จึงถามปักษาปรีชาไว ว่าแม่นํ้าใหญ่มหึมา
ขัดขวางทางที่เราจะไป จะคิดอ่านฉันใดนะปักษา
ซึ่งเราจะข้ามคงคา นาวาจะไปก็ไม่มี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หงส์ทองทูลสนองบทศรี
อันจะข้ามมหานที ที่นี่ขัดสนจนใจ
ด้วยทางไกลไม่มีผู้คน จะเดินหนขึ้นล่องเหนือใต้
ให้ทำแพแต่พอข้ามไป ข้าเห็นจะได้พระภูมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองรุ่งรัศมี
จึงให้พี่เลี้ยงผู้ภักดี ผูกแพที่จะข้ามนํ้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จ พระเสด็จลงยังแพใหญ่
ทั้งสี่พี่เลี้ยงสกุณาอาชาไนย ข้ามไปในท้องชลธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

จำปาทองเทศ

๏ พระชมพรรณฝูงปลาคลาคล้าย แหวกว่ายตามกันมารี่รี่
ทั้งเหราราหูอินทรี มากมีงูเงือกอลวน
หมู่ฉลามตามกันเป็นคู่คู่ โลมาผุดพู่สับสน
ทั้งฝูงปลาม้าหน้าคน วาฬเวียนว่ายพ่นวารี
ฉนากตีวงทะลวงเล่น กระโห้เร้นริมฝั่งแฝงหนี
พิมพ์ทองท่องท้องชลธี ตะเพียนตีวนว่ายไปมา
นวลจันทร์จันทร์เม็ดเมียงม่าย ช่อนชายชายคู่เคียงหา
ทำหมางคางเบือนกดกา มังกราไล่แก้วแคล้วคล้าย
ยี่สกสูบสนปนเป้า สวายเคล้าชแวงเวียนว่าย
ไหลหลากหลาดหลดกรดกราย พระชายชมสุขเกษมเปรมปรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงพระยากุมภีล์ตัวกล้า
มีกายใหญ่หลวงมหึมา คณนาได้ห้าเส้นปลาย
ได้ประสาทพรองค์พระศุลี เป็นเจ้ากุมภีล์ทั้งหลาย
ออกจากถํ้าทองพรรณราย พาบริวารว่ายเที่ยวมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ แลเห็นพระศรีเมืองเรืองชัย ทั้งอาชาไนยแลปักษา
กับพี่เลี้ยงทั้งสี่ขี่แพมา เดือดดาลโกรธาตละไฟ
กุมภีล์ตีน้ำโผงผาง โบกหางวางวู่เข้ามาใกล้
ว่าเหวยมนุษย์นี้ชื่อไร เหตุใดมาทำอหังการ์
ไม่รู้หรือว่าเราเจ้าชลธาร จึงขี่แพล่วงด่านผ่านหน้า
จะสังหารให้ม้วยชีวา ทั้งม้าทั้งคนป่นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส
จึงตอบกุมภีล์ไปทันใด ว่าเหวยอย่าได้อหังการ์
ตัวมึงเป็นสัตว์เดียรัจฉาน อาศัยชลธารในใต้หล้า
อันมหาสมุทรคงคา ใช่ว่าจะเป็นของผู้ใด
เป็นที่ไปมาแก่พาณิช ทั่วทิศานุทิศน้อยใหญ่
ว่าเป็นเจ้าเฝ้าฝั่งชลาลัย คือใครมอบให้กุมภีล์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภาโกรธใจดังไฟจี้
จึงตอบไปพลันทันที เรานี้เป็นใหญ่ในคงคา
ด้วยองค์พระสยมภูวนาถ ประสาทพรไว้ให้รักษา
ถ้าว่าผู้ใดจะไปมา จงสังหารชีวาให้บรรลัย
ตัวท่านอุกอาจราชศักดิ์ ไม่รู้จักว่าจะตายหรือไฉน
สิ้นทั้งสกุณาอาชาไนย ที่ไหนจะครันเขี้ยวกุมภีล์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระศรีเมืองเรืองศรี
จึงตอบความไปตามคดี ท่านนี้เอาเท็จมาเจรจา
อันคงคามหาสมุทรไท เป็นที่อาศัยในแหล่งหล้า
สิ้นทั้งมนุษย์ครุฑา หมู่คณานิกรในแดนดิน
อันองค์พระสยมภูวญาณ เป็นประธานแก่โลกทั้งสิ้น
หรือจะให้พรไว้เป็นไพริน แก่กุมภิลดังนี้ก็ผิดไป
ท่านอย่าโอหังอหังการ์ กูจะฟังวาจาก็หาไม่
กุมภีล์มีเดชสักเพียงไร กูจะฆ่าเสียให้มรณา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภีล์มีเดชแกล้วกล้า
พิโรธโกรธใจเป็นโกลา ตาแดงดังแสงอัคคีกัลป์
ขบเขี้ยวเกรี้ยวกราดอยู่ครั่นครึก พิลึกดังเสียงฟ้าลั่น
ฟาดนํ้าคำรามอยู่เป็นควัน ระลอกลั่นโบกหางวางมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอาคางทับกับแพกดลง ด้วยกำลังทะนงแกล้วกล้า
แว้งวัดฟัดฟาดเป็นโกลา อ้าปากคำรามราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์รัศมี
ครั้นเห็นกุมภามายายี จะกดขี่แพล่มจมไป
จึงร่ายพระเวทมนตรา ผูกปากกุมภาไม่อ้าได้
พระโฉมยงทรงพระขรรค์ชัย ภูวไนยฟาดฟันด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภาระทดถอยหนี
พระขรรค์ต้องกายเป็นหลายที กุมภีล์เจ็บปวดเป็นพ้นไป
โลหิตไหลโซมกายา จะอาจอ้าปากออกก็ไม่ได้
ยิ่งบันดาลโกรธพิโรธใจ หรือโบกนํ้าไล่เข้ามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองเดชทุกทิศา
ครั้นเห็นพระยากุมภา กระชั้นชิดเข้ามาจะราวี
จึงร่ายมนต์จังงังบังตา ระลึกถึงพระมหาฤๅษี
เสกนํ้าซ้ำสาดไปสามที กุมภีล์รีรออยู่แต่ไกล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภาประพรั่นหวั่นไหว
ตัวแข็งกระด้างดั่งขอนไม้ จึงคิดในใจไปมา
แต่กูอยู่มาในสาชล ได้ผจญศัตรูมาหนักหนา
ผู้ใดมิได้จะบีฑา ให้พ่ายแพ้เดชาเหมือนครั้งนี้
ตัวกูมาได้ทุรยศ อัปยศเขาว่าทุกราศี
ชะรอยว่ามนุษย์กับพาชี น่าจะมีฤทธีมหึมา
คิดแล้วจึงร้องขอโทษ จงโปรดประทานชีวิตข้า
อย่าให้มอดม้วยชีวา ข้ามิได้ไพรีสืบไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์ไม่เปรียบได้
ครั้นเห็นกุมภาปราชัย มีพระทัยใสสุขเปรมปรีดิ์
จึงร่ายเวทผูกกายคลายแก้ ซึ่งกุมภีล์ลอยแน่อยู่กับที่
ให้เคลื่อนคลายจากกายอินทรีย์ ด้วยคิดปรานีแก่กุมภา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภีล์ดีใจเป็นหนักหนา
รอดจากชีวิตจักมรณา จึงร้องทูลมาในทันใด
ผ่านเอยผ่านฟ้า โปรดข้าให้พ้นตักษัย
พระคุณล้ำล้นพ้นไป ขอเป็นข้าใต้พระบาทา
แม้พระจะมีกิจกังวล อนุสนธิ์สิ่งใดไปภายหน้า
ไว้เป็นธุระของกุมภา ข้าจะขออาสาพระภูวไนย
อันพระนามวงศ์ทรงศักดิ์ ผ่านภพอาณาจักรกรุงไหน
จะไปแห่งหนตำบลใด ภูวไนยจงแจ้งกิจจา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองภพจบทิศา
จึงว่าดูก่อนกุมภา ซึ่งยอมเป็นข้าเราขอบใจ
อันนามกรของเรานี้ ชื่อพระศรีเมืองเป็นใหญ่
ครองกรุงโขมราฐเรืองชัย จะไปยังเมืองยโสธร
สืบเสาะหาองค์อัคเรศ อันจงเจตน์ร่วมรักเรียมสมร
จึงอุตส่าห์ฝ่าพงดงดอน สัญจรมานี้จงแจ้งใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุมภีล์ได้แจ้งแถลงไข
จึงทูลว่าพระองค์ทรงชัย อันจะข้ามไปในพระคงคา
ไปด้วยแพพ่วงเห็นหน่วงหนัก จะประดักประเดิดเป็นหนักหนา
พระองค์จงทรงอาชา ขึ้นขี่หลังข้ากุมภีล์
ทั้งสี่พี่เลี้ยงพระโฉมยง กับพระยาราชหงส์ปักษี
จะช่วยข้ามให้พ้นชลธี ว่าแล้วกุมภีล์ก็พาไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นข้ามถึงฝั่งนที พระภูมียินดีจะมีไหน
ทั้งพระพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ก็คลาไคลขึ้นจากคงคา
จึงตรัสโอภาปราศรัย เราขอบใจกุมภีล์หนักหนา
ตัวเราจะขออำลา ท่านจงอยู่รักษาชลธี
อันศัตรูหมู่ภัยปัจจามิตร ใครคิดร้ายให้พ่ายหน่ายหนี
อย่ารู้มีโรคายายี ว่าแล้วภูมีก็คลาไคล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เดินทางหว่างเขามรกต เลี้ยวลดตามเทินเนินไศล
กับพี่เลี้ยงเคียงม้าคลาไคล ชมเขาลำเนาในบรรพตา
บ้างเป็นโตรกตรอกซอกชั้น ลดลั่นวุ้งเวิ้งเพิงผา
พระลงจากมโนมัยไคลคลา กับสี่เชษฐาดำเนินไป
ชมพรรณกรวดแก้วแพรวพราย เรียงรายตามเนินเขาใหญ่
ที่แดงดังแสงอโณทัย สุกใสสีเลื่อมหลากลาย
บ้างเป็นสีมอโหมดม่วง โมรารุ้งร่วงเรืองฉาย
ต้องแสงสุริยันพรรณราย แพรวแพรวพรายพรายจำรูญเรือง
(ลางแห่งคล้ายแสงแก้วมณี)[1] ที่เขียวเขียวสีสลับเหลือง
บ้างสีทองรองรับแสงประเทือง ที่สีเรืองเรืองรองรจนา
เก็บได้ใส่ชายภูษาทรง ว่าแก่สี่องค์พระเชษฐา
ตัวเราเป็นชาวอรัญวา สิ่งของจะทะยาก็ไม่มี
พี่เจ้าเก็บไปประสาจน ตามวิสัยเราคนพนาศรี
ว่าพลางทางเสด็จจรลี ขึ้นพาชีรีบไคลคลา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ พระสัญจรร้อนแรมมาในไพร ตามแถวแนวไม้ใบหนา
เป็นหลายราตรีทิวา ล่วงมาร้อยเอ็ดพระบุรี
พอสายัณห์ตะวันลงรอนรอน ทินกรจะใกล้สิ้นรัศมี
รีบรัดลัดดงพงพี มาถึงบุรียโสธร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึงหยุดมิ่งม้าอาชาไว้ มิได้เข้าในบุรีก่อน
ยับยั้งรั้งรอแรมร้อน อยู่นอกพระนครธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสนธยา จึงปรึกษาพี่เลี้ยงทั้งสี่
เรามาถึงราชธานี จะทำฉันใดดีนะพี่อา
จะประสบพบองค์นงลักษณ์ ให้ตระหนักดังความปรารถนา
ทำไฉนจะให้แจ้งกิจจา ว่าน้องมาบรรลุถึงธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงพระพี่เลี้ยงทั้งสี่
ได้ฟังบัญชาพระภูมี คิดแล้วจึงทูลคดีไป
ซึ่งพระปรึกษามาทั้งนี้ ยากที่จะคิดแก้ไข
ด้วยเป็นคนมาต่างเวียงชัย จะรู้จักใครก็ไม่มี
แม้มีที่สำนักอาศัย ได้เคยมาเคยไปอยู่ที่นี่
จะเข้าออกบอกความนางเทวี เห็นทีจะได้ดังจินดา
อันจะนิ่งอยู่นี่ก็มิได้ จำเราจะไปเสาะหา
รุ่งเช้าจงเข้าไปพารา หวังว่าจะได้ดูแยบคาย
จะแปลงแต่งตัวให้เป็นพราหมณ์ สะพายย่ามเอาของไปเที่ยวขาย
น่าที่ดีร้ายหญิงชาย จะแพร่งพรายเล่าลือกันไป
แม้รู้ถึงองค์นางนงราม จะรำลึกตรึกความขึ้นได้
ด้วยเห็นประหลาดจะหลากใจ ขอพระภูวไนยจงเมตตา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองได้ฟังพี่เลี้ยงว่า
ชื่นชมโสมนัสในวิญญาณ์ พี่ว่านี้ชอบท่วงที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงพระอุทัย ภูวไนยกับพี่เลี้ยงทั้งสี่
ให้ปล่อยมิ่งม้าพาชี มิให้ใครทันสงกา
จึงสั่งปักษีอันร่วมใจ ซ่อนอยู่อย่าให้ใครกังขา
แล้วเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ ห่อพระภูษาซ่อนไว้
แต่งองค์ทรงเพศเป็นพราหมณ์ งามดังชาวโรมวิไสย
กับพี่เลี้ยงผู้มีปรีชาไว ก็ตามกันเข้าในพระบุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เดินมาในท้องถนนหลวง รอบทุกกระทรวงกรุงศรี
เตร่ตร่ายร่ายดูชาวธานี ทำมิให้รู้แยบคาย
เอาย่ามสอดไหล่สะพายแก้ว แล้วพี่เลี้ยงผลัดกันร้องขาย
ทำเดินระทวยขวยอาย จะดูใครก็ใช้แต่หางตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชาวบ้านร้านเรือนถ้วนหน้า
เห็นเจ้าพราหมณ์เดินตามกันมา ตั้งตาแลดูทุกคนไป
ต่างคนต่างคิดสงกา ว่าพราหมณ์นี้มาแต่เมืองไหน
พราหมณ์น้อยแช่มช้อยเป็นพ้นไป กิริยาก็ละไมละมุนนัก
ทั้งจริตก็เสงี่ยมเสี่ยมสาย เสียดายทำไมจะรู้จัก
ลางคนภิปรายทายทัก บ้างพยักหน้าเรียกให้เข้าไป
บ้างมาชมโฉมเจ้าพราหมณ์ ว่างามไม่มีที่เปรียบได้
ดวงพักตร์ลักษณาจำเริญใจ ได้เห็นเป็นน่าใคร่เอ็นดู
ต่างคนต่างคิดพิศวง บ้างหลงแลลืมตะลึงอยู่
ชายหญิงวิ่งมาพรั่งพรู จะตามดูเจ้าพราหมณ์ให้อิ่มใจ
ทั้งสาวแก่แม่ม่ายร้ายทาน เอาหมากใส่พานมายื่นให้
บ้างให้ส้มสูกลูกไม้ ขืนหยิบใส่ย่ามเจ้าพราหมณ์มา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายว่าเจ้าพราหมณี ทำทีดังถือสิกขา
ถึงดูมิให้รู้กิริยา เอาพัดป้องหน้าแล้วเดินไป
สบที่ที่ชอบอัธยา แลมาก็ย้ายคิ้วให้
พระเป็นผาสุกสนุกใจ เที่ยวไปทุกตลาดตำบล
ชมข้าวของขายเป็นหลายพรรณ เรียงรันไปตามแถวถนน
ตึกกว้านบ้านเรือนประชาชน แน่นแน้มณฑลพระบุรี
ชมพลางทางพากันเดินมา กับข้าพี่เลี้ยงทั้งสี่
สะกิดกันดูสาวชาวธานี จนพระสุริย์ศรีสายัณห์
จึงรีบลีลาคลาคลาด กับพี่เลี้ยงราชผายผัน
ออกจากประตูเมืองพลัน ใครจะทันสงกาก็ไม่มี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นมาถึงที่อาศัย กับพี่เลี้ยงภูวไนยทั้งสี่
จึงเปลื้องเครื่องแต่งเป็นพราหมณ์ชี มิให้ใครรู้ว่าภูธร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หงส์ทองจึงทูลพระทรงศร
อันจะเข้าอาศัยในพระนคร กิตติศัพท์จะขจรแจ้งไป
ปากผู้คำคนหญิงชาย รู้ระคายจะคิดสงสัย
ขอเชิญเสด็จพระภูวไนย ไปอาศัยยังสวนอุทยาน
มีพรรณมิ่งไม้นานา ทั้งตำหนักพลับพลาสนุกสนาน
อันนางโฉมยงนงคราญ เยาวมาลย์มาประพาสเป็นอัตรา
น่าที่ดีร้ายจะได้พบ สมสบดังความปรารถนา
จะซ่อนเร้นมิให้ใครเห็นม้า ว่าแล้วก็พาเสด็จไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นมาถึงสวนอุทยาน มิ่งไม้ตระการงามไสว
พาสี่พี่เลี้ยงคลาไคล เข้าในสวนสรรพมาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยายตารักษาสวนศรี
ชื่อยายมาลาตามาลี ผัวเมียจมูกบี้ทั้งสองคน
ถือจอบหอบโครงมาแสะหญ้า ปากร้องขับกาโกลาหล
แลไปเห็นพระเสด็จดล กับพี่เลี้ยงสี่คนตามมา
จึงคิดว่าเจ้าบ่าวน้อย แช่มช้อยน่ารักเป็นหนักหนา
ทรงโฉมประโลมลานตา เดินเข้ามานี้ด้วยอันใด
ร้องถามไปพลันมิทันช้า บ่าวน้อยนี้มาแต่ไหน
เข้ามาในสวนดอกไม้ ตำรวจในเขาเห็นมิเป็นการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเลื่องลบได้ฟังสาร
บอกตายายพลันมิทันนาน ข้านี้อยู่บ้านเมืองไกล
ตกไร้ได้ยากเป็นหนักหนา สัญจรซอนมาในป่าใหญ่
ปิ้มว่าชีวิตจะบรรลัย เป็นบุญได้มาพบยายตา
เดิมข้ามาเที่ยวเล่นไพร ล่าไล่เนื้อในกลางป่า
ดั้นดัดลัดพงหลงมา แต่ปักษากับพี่เลี้ยงสี่คน
อันท่าทางจะกลับไปบุรี สุดที่ไม่รู้แห่งหน
บุกป่าฝ่ามาในอรญ จึงลุถึงตำบลสวนนี้
หลานรักมิได้ตระหนักใจ ว่าห้ามแหนอย่างไรไม่รู้ที่
เบาใจไม่รู้ว่าร้ายดี จงได้ปรานีให้อภัย
ตัวข้าเป็นคนอนาถา จะขอพึ่งยายตาอยู่อาศัย
เอ็นดูเหมือนชูชีวิตไว้ จะช่วยรดต้นไม้ทุกเวลา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองเฒ่าสงสารเป็นหนักหนา
พระเป็นจักรพรรดิกษัตรา พลัดบ้านเมืองมาดังนี้
ได้ความลำบากยากไร้ จะอาศัยอยู่ด้วยในสวนศรี
ข้าเป็นเอ็นดูพระภูมี ครั้นจะมิให้อยู่ก็จนใจ
แต่สวนนี้เป็นที่ห้ามแหน แม้นรู้ก็จะเป็นโทษใหญ่
ด้วยองค์พระธิดาทรามวัย ไปมาประพาสไม่ขาดวัน
จงอยู่แต่กระท่อมด้อมเร้น เมื่อเสด็จมาเล่นในสวนขวัญ
พระสนมนารีนี่นัน ครั้นเห็นจะเป็นอันตราย
จะกริ้วโกรธลงโทษยายตา สองแก้วจะพากันฉิบหาย
ซ่อนเร้นอย่าให้เห็นแยบคาย ว่าแล้วตายายก็พามา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ


[๑] ต้นฉบับขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ