- คำนำ อธิบดีกรมศิลปากร
- นิทานเรื่องพระศรีเมือง
- นิทานเรื่องพระศรีเมืองต่อจากบทละคอน
- ตอนที่ ๑ พระศรีเมืองเรียนวิชา
- ตอนที่ ๒ หงส์อาสาหาคู่ให้พระศรีเมือง
- ตอนที่ ๓ พระศรีเมืองเข้าเมืองยโสธร
- ตอนที่ ๔ พระศรีเมืองได้นางสุวรรณเกสร
- ตอนที่ ๕ ท้าวพินทุทัตให้ธิดาเสี่ยงคู่
- ตอนที่ ๖ อภิเษกพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าวโขมพัสตร์ให้ไปรับพระศรีเมือง
- ตอนที่ ๘ พระศรีเมืองชมสวน
- ตอนที่ ๙ พระศรีเมืองทูลลาท้าวพินทุทัต
- ตอนที่ ๑๐ พระศรีเมืองรบกับพระยาจันทร
ตอนที่ ๓ พระศรีเมืองเข้าเมืองยโสธร
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเฟื่องฟุ้งทุกทิศา |
รับพรสมเด็จพระอัยกา | จบใส่เกศาด้วยยินดี |
แล้วบังคมลาบาทบงสุ์ | ทั้งองค์พี่เลี้ยงแลปักษี |
ออกจากพระคันธกุฎี | มาขึ้นพาชีทันใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ หงส์ทองนำหน้าอาชา | ลีลาเข้าในป่าใหญ่ |
ม้าสี่พี่เลี้ยงเคียงกันไป | ที่ในพนมพนาวัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมไพร
๏ พระเสด็จไปในหิมเวศ | ทอดพระเนตรมิ่งไม้ไพรสัณฑ์ |
ม่วงปรางกระถินอินจันทน์ | มูกมันรกฟ้าย่านาง |
เฟืองไฟไทรโศกสักสน | คนทาตาเสือไกรกร่าง |
พรรณพฤกษาสูงยูงยาง | ลำสล้างเสลาเปลาตา |
ที่ทรงผลดิบห่ามทรามสุก | ทุกกิ่งก้านค่าค้อมสาขา |
บ้างหล่นกล่นกลาดดาษดา | ปักษาจับจิกแจจัน |
กระลำพักลักกะจันทน์สักขี | สารภีสุกรมนมสวรรค์ |
พิกุลบุนนาคอำพัน | มะลิวัลย์สาวหยุดยมโดย |
กาหลงชงโคโยทะกา | กระดังงาพะยอมหอมโหย |
เรณูร่อนรายปรายโปรย | โรยรินกลิ่นเกสรขจรมา |
ฝ่ายฝูงแมลงภู่หมู่ผึ้ง | ประอึงอาบละอองบุปผา |
พระพายชายพัดรำเพยพา | รวยรื่นนาสาสุมาลี |
หอมกลิ่นกลั้วกลิ่นสไบบาง | คะนึงนางหวนหามารศรี |
เร่งขับมิ่งม้าพาชี | มาใกล้คีรีอัสสกรรณ ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ จึงหยุดมิ่งม้ามโนมัย | แรมอยู่ที่ในไพรสัณฑ์ |
พระรัญจวนครวญหาไม่ราวัน | ถึงองค์นางกัลยาณี |
โอ้สายสุดรักเจ้าพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้พบนางโฉมศรี |
พี่สู้บุกป่าพนาลี | พ่างเพียงชีวีจะบรรลัย |
ได้ความลำบากยากเย็น | เจ้าจะเห็นอกพี่ก็หาไม่ |
ด้วยความรักจึงหักมาเดินไพร | หวังจะได้เป็นมิตรไมตรี |
ถูกละอองต้องฝนทรมาน | ต้องแดดลมพานหมองศรี |
เมื่อไรจะไปถึงธานี | พบมิ่งมารศรีให้คลายใจ |
พระนิ่งนอนกรก่ายขึ้นพาดพักตร์ | หนักอกดังยกแสนไศล |
แต่คะนึงถึงองค์นางทรามวัย | ภูวไนยไม่เป็นนิทรา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ตระชมไพร
๏ ครั้นรุ่ง | พระสุริยาพวยพุ่งเวหา |
พระโฉมยงสระสรงพักตรา | เสวยผลพฤกษาสำราญใจ |
แล้วชวนพี่เลี้ยงกับปักษา | เราจะอยู่ช้าก็ไม่ได้ |
จะพากันรีบรัดลัดไป | ว่าแล้วภูวไนยก็ไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ชมดง
๏ เดินทางหว่างเขาลำเนาธาร | พระภูบาลไปตามปักษา |
ชมชายฝ่ายฝูงสกุณา | บ้างร่อนร่าจับไม้รังเรียง |
หัสนัยน์ไวยุภักษ์ปักษี | ขมิ้นโนรีร้องส่งเสียง |
เขาขันขันคูคู่เคียง | เค้าโมงเมียงแมกไม้ไปมา |
นางนวลนอนแนบคณานาง | กะลิงลางเลียบไม้ใบหนา |
จากพรากพรากคู่อยู่เอกา | คล้าเคล้าเคล้าคล้าคลึงกัน |
กุลาโห่จักโกระวาลา | กระทาถาหานางกระทาขัน |
บังรอกดอกบัวเบญจวรรณ | กระทันทิมาบ้าระบุ่นมากมี |
ชมพลางทางขับอาชามา | ตามพระยาเหมราชปักษี |
ร้อนแรมมาหลายราตรี | ถึงมหานทีทันใด ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ พระหยุดอัสดรรอรั้ง | อยู่ยังริมฝั่งนํ้าไหล |
จึงถามปักษาปรีชาไว | ว่าแม่นํ้าใหญ่มหึมา |
ขัดขวางทางที่เราจะไป | จะคิดอ่านฉันใดนะปักษา |
ซึ่งเราจะข้ามคงคา | นาวาจะไปก็ไม่มี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หงส์ทองทูลสนองบทศรี |
อันจะข้ามมหานที | ที่นี่ขัดสนจนใจ |
ด้วยทางไกลไม่มีผู้คน | จะเดินหนขึ้นล่องเหนือใต้ |
ให้ทำแพแต่พอข้ามไป | ข้าเห็นจะได้พระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองรุ่งรัศมี |
จึงให้พี่เลี้ยงผู้ภักดี | ผูกแพที่จะข้ามนํ้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จ | พระเสด็จลงยังแพใหญ่ |
ทั้งสี่พี่เลี้ยงสกุณาอาชาไนย | ข้ามไปในท้องชลธี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
จำปาทองเทศ
๏ พระชมพรรณฝูงปลาคลาคล้าย | แหวกว่ายตามกันมารี่รี่ |
ทั้งเหราราหูอินทรี | มากมีงูเงือกอลวน |
หมู่ฉลามตามกันเป็นคู่คู่ | โลมาผุดพู่สับสน |
ทั้งฝูงปลาม้าหน้าคน | วาฬเวียนว่ายพ่นวารี |
ฉนากตีวงทะลวงเล่น | กระโห้เร้นริมฝั่งแฝงหนี |
พิมพ์ทองท่องท้องชลธี | ตะเพียนตีวนว่ายไปมา |
นวลจันทร์จันทร์เม็ดเมียงม่าย | ช่อนชายชายคู่เคียงหา |
ทำหมางคางเบือนกดกา | มังกราไล่แก้วแคล้วคล้าย |
ยี่สกสูบสนปนเป้า | สวายเคล้าชแวงเวียนว่าย |
ไหลหลากหลาดหลดกรดกราย | พระชายชมสุขเกษมเปรมปรา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงพระยากุมภีล์ตัวกล้า |
มีกายใหญ่หลวงมหึมา | คณนาได้ห้าเส้นปลาย |
ได้ประสาทพรองค์พระศุลี | เป็นเจ้ากุมภีล์ทั้งหลาย |
ออกจากถํ้าทองพรรณราย | พาบริวารว่ายเที่ยวมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ แลเห็นพระศรีเมืองเรืองชัย | ทั้งอาชาไนยแลปักษา |
กับพี่เลี้ยงทั้งสี่ขี่แพมา | เดือดดาลโกรธาตละไฟ |
กุมภีล์ตีน้ำโผงผาง | โบกหางวางวู่เข้ามาใกล้ |
ว่าเหวยมนุษย์นี้ชื่อไร | เหตุใดมาทำอหังการ์ |
ไม่รู้หรือว่าเราเจ้าชลธาร | จึงขี่แพล่วงด่านผ่านหน้า |
จะสังหารให้ม้วยชีวา | ทั้งม้าทั้งคนป่นไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส |
จึงตอบกุมภีล์ไปทันใด | ว่าเหวยอย่าได้อหังการ์ |
ตัวมึงเป็นสัตว์เดียรัจฉาน | อาศัยชลธารในใต้หล้า |
อันมหาสมุทรคงคา | ใช่ว่าจะเป็นของผู้ใด |
เป็นที่ไปมาแก่พาณิช | ทั่วทิศานุทิศน้อยใหญ่ |
ว่าเป็นเจ้าเฝ้าฝั่งชลาลัย | คือใครมอบให้กุมภีล์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภาโกรธใจดังไฟจี้ |
จึงตอบไปพลันทันที | เรานี้เป็นใหญ่ในคงคา |
ด้วยองค์พระสยมภูวนาถ | ประสาทพรไว้ให้รักษา |
ถ้าว่าผู้ใดจะไปมา | จงสังหารชีวาให้บรรลัย |
ตัวท่านอุกอาจราชศักดิ์ | ไม่รู้จักว่าจะตายหรือไฉน |
สิ้นทั้งสกุณาอาชาไนย | ที่ไหนจะครันเขี้ยวกุมภีล์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระศรีเมืองเรืองศรี |
จึงตอบความไปตามคดี | ท่านนี้เอาเท็จมาเจรจา |
อันคงคามหาสมุทรไท | เป็นที่อาศัยในแหล่งหล้า |
สิ้นทั้งมนุษย์ครุฑา | หมู่คณานิกรในแดนดิน |
อันองค์พระสยมภูวญาณ | เป็นประธานแก่โลกทั้งสิ้น |
หรือจะให้พรไว้เป็นไพริน | แก่กุมภิลดังนี้ก็ผิดไป |
ท่านอย่าโอหังอหังการ์ | กูจะฟังวาจาก็หาไม่ |
กุมภีล์มีเดชสักเพียงไร | กูจะฆ่าเสียให้มรณา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภีล์มีเดชแกล้วกล้า |
พิโรธโกรธใจเป็นโกลา | ตาแดงดังแสงอัคคีกัลป์ |
ขบเขี้ยวเกรี้ยวกราดอยู่ครั่นครึก | พิลึกดังเสียงฟ้าลั่น |
ฟาดนํ้าคำรามอยู่เป็นควัน | ระลอกลั่นโบกหางวางมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เอาคางทับกับแพกดลง | ด้วยกำลังทะนงแกล้วกล้า |
แว้งวัดฟัดฟาดเป็นโกลา | อ้าปากคำรามราวี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองฤทธิ์รัศมี |
ครั้นเห็นกุมภามายายี | จะกดขี่แพล่มจมไป |
จึงร่ายพระเวทมนตรา | ผูกปากกุมภาไม่อ้าได้ |
พระโฉมยงทรงพระขรรค์ชัย | ภูวไนยฟาดฟันด้วยฤทธี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภาระทดถอยหนี |
พระขรรค์ต้องกายเป็นหลายที | กุมภีล์เจ็บปวดเป็นพ้นไป |
โลหิตไหลโซมกายา | จะอาจอ้าปากออกก็ไม่ได้ |
ยิ่งบันดาลโกรธพิโรธใจ | หรือโบกนํ้าไล่เข้ามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองเดชทุกทิศา |
ครั้นเห็นพระยากุมภา | กระชั้นชิดเข้ามาจะราวี |
จึงร่ายมนต์จังงังบังตา | ระลึกถึงพระมหาฤๅษี |
เสกนํ้าซ้ำสาดไปสามที | กุมภีล์รีรออยู่แต่ไกล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภาประพรั่นหวั่นไหว |
ตัวแข็งกระด้างดั่งขอนไม้ | จึงคิดในใจไปมา |
แต่กูอยู่มาในสาชล | ได้ผจญศัตรูมาหนักหนา |
ผู้ใดมิได้จะบีฑา | ให้พ่ายแพ้เดชาเหมือนครั้งนี้ |
ตัวกูมาได้ทุรยศ | อัปยศเขาว่าทุกราศี |
ชะรอยว่ามนุษย์กับพาชี | น่าจะมีฤทธีมหึมา |
คิดแล้วจึงร้องขอโทษ | จงโปรดประทานชีวิตข้า |
อย่าให้มอดม้วยชีวา | ข้ามิได้ไพรีสืบไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระทรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์ไม่เปรียบได้ |
ครั้นเห็นกุมภาปราชัย | มีพระทัยใสสุขเปรมปรีดิ์ |
จึงร่ายเวทผูกกายคลายแก้ | ซึ่งกุมภีล์ลอยแน่อยู่กับที่ |
ให้เคลื่อนคลายจากกายอินทรีย์ | ด้วยคิดปรานีแก่กุมภา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภีล์ดีใจเป็นหนักหนา |
รอดจากชีวิตจักมรณา | จึงร้องทูลมาในทันใด |
ผ่านเอยผ่านฟ้า | โปรดข้าให้พ้นตักษัย |
พระคุณล้ำล้นพ้นไป | ขอเป็นข้าใต้พระบาทา |
แม้พระจะมีกิจกังวล | อนุสนธิ์สิ่งใดไปภายหน้า |
ไว้เป็นธุระของกุมภา | ข้าจะขออาสาพระภูวไนย |
อันพระนามวงศ์ทรงศักดิ์ | ผ่านภพอาณาจักรกรุงไหน |
จะไปแห่งหนตำบลใด | ภูวไนยจงแจ้งกิจจา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเรืองภพจบทิศา |
จึงว่าดูก่อนกุมภา | ซึ่งยอมเป็นข้าเราขอบใจ |
อันนามกรของเรานี้ | ชื่อพระศรีเมืองเป็นใหญ่ |
ครองกรุงโขมราฐเรืองชัย | จะไปยังเมืองยโสธร |
สืบเสาะหาองค์อัคเรศ | อันจงเจตน์ร่วมรักเรียมสมร |
จึงอุตส่าห์ฝ่าพงดงดอน | สัญจรมานี้จงแจ้งใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กุมภีล์ได้แจ้งแถลงไข |
จึงทูลว่าพระองค์ทรงชัย | อันจะข้ามไปในพระคงคา |
ไปด้วยแพพ่วงเห็นหน่วงหนัก | จะประดักประเดิดเป็นหนักหนา |
พระองค์จงทรงอาชา | ขึ้นขี่หลังข้ากุมภีล์ |
ทั้งสี่พี่เลี้ยงพระโฉมยง | กับพระยาราชหงส์ปักษี |
จะช่วยข้ามให้พ้นชลธี | ว่าแล้วกุมภีล์ก็พาไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นข้ามถึงฝั่งนที | พระภูมียินดีจะมีไหน |
ทั้งพระพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ | ก็คลาไคลขึ้นจากคงคา |
จึงตรัสโอภาปราศรัย | เราขอบใจกุมภีล์หนักหนา |
ตัวเราจะขออำลา | ท่านจงอยู่รักษาชลธี |
อันศัตรูหมู่ภัยปัจจามิตร | ใครคิดร้ายให้พ่ายหน่ายหนี |
อย่ารู้มีโรคายายี | ว่าแล้วภูมีก็คลาไคล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เดินทางหว่างเขามรกต | เลี้ยวลดตามเทินเนินไศล |
กับพี่เลี้ยงเคียงม้าคลาไคล | ชมเขาลำเนาในบรรพตา |
บ้างเป็นโตรกตรอกซอกชั้น | ลดลั่นวุ้งเวิ้งเพิงผา |
พระลงจากมโนมัยไคลคลา | กับสี่เชษฐาดำเนินไป |
ชมพรรณกรวดแก้วแพรวพราย | เรียงรายตามเนินเขาใหญ่ |
ที่แดงดังแสงอโณทัย | สุกใสสีเลื่อมหลากลาย |
บ้างเป็นสีมอโหมดม่วง | โมรารุ้งร่วงเรืองฉาย |
ต้องแสงสุริยันพรรณราย | แพรวแพรวพรายพรายจำรูญเรือง |
(ลางแห่งคล้ายแสงแก้วมณี)[1] | ที่เขียวเขียวสีสลับเหลือง |
บ้างสีทองรองรับแสงประเทือง | ที่สีเรืองเรืองรองรจนา |
เก็บได้ใส่ชายภูษาทรง | ว่าแก่สี่องค์พระเชษฐา |
ตัวเราเป็นชาวอรัญวา | สิ่งของจะทะยาก็ไม่มี |
พี่เจ้าเก็บไปประสาจน | ตามวิสัยเราคนพนาศรี |
ว่าพลางทางเสด็จจรลี | ขึ้นพาชีรีบไคลคลา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ พระสัญจรร้อนแรมมาในไพร | ตามแถวแนวไม้ใบหนา |
เป็นหลายราตรีทิวา | ล่วงมาร้อยเอ็ดพระบุรี |
พอสายัณห์ตะวันลงรอนรอน | ทินกรจะใกล้สิ้นรัศมี |
รีบรัดลัดดงพงพี | มาถึงบุรียโสธร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงหยุดมิ่งม้าอาชาไว้ | มิได้เข้าในบุรีก่อน |
ยับยั้งรั้งรอแรมร้อน | อยู่นอกพระนครธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสนธยา | จึงปรึกษาพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
เรามาถึงราชธานี | จะทำฉันใดดีนะพี่อา |
จะประสบพบองค์นงลักษณ์ | ให้ตระหนักดังความปรารถนา |
ทำไฉนจะให้แจ้งกิจจา | ว่าน้องมาบรรลุถึงธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | คิดแล้วจึงทูลคดีไป |
ซึ่งพระปรึกษามาทั้งนี้ | ยากที่จะคิดแก้ไข |
ด้วยเป็นคนมาต่างเวียงชัย | จะรู้จักใครก็ไม่มี |
แม้มีที่สำนักอาศัย | ได้เคยมาเคยไปอยู่ที่นี่ |
จะเข้าออกบอกความนางเทวี | เห็นทีจะได้ดังจินดา |
อันจะนิ่งอยู่นี่ก็มิได้ | จำเราจะไปเสาะหา |
รุ่งเช้าจงเข้าไปพารา | หวังว่าจะได้ดูแยบคาย |
จะแปลงแต่งตัวให้เป็นพราหมณ์ | สะพายย่ามเอาของไปเที่ยวขาย |
น่าที่ดีร้ายหญิงชาย | จะแพร่งพรายเล่าลือกันไป |
แม้รู้ถึงองค์นางนงราม | จะรำลึกตรึกความขึ้นได้ |
ด้วยเห็นประหลาดจะหลากใจ | ขอพระภูวไนยจงเมตตา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองได้ฟังพี่เลี้ยงว่า |
ชื่นชมโสมนัสในวิญญาณ์ | พี่ว่านี้ชอบท่วงที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงพระอุทัย | ภูวไนยกับพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
ให้ปล่อยมิ่งม้าพาชี | มิให้ใครทันสงกา |
จึงสั่งปักษีอันร่วมใจ | ซ่อนอยู่อย่าให้ใครกังขา |
แล้วเปลื้องเครื่องทรงอลงการ์ | ห่อพระภูษาซ่อนไว้ |
แต่งองค์ทรงเพศเป็นพราหมณ์ | งามดังชาวโรมวิไสย |
กับพี่เลี้ยงผู้มีปรีชาไว | ก็ตามกันเข้าในพระบุรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เดินมาในท้องถนนหลวง | รอบทุกกระทรวงกรุงศรี |
เตร่ตร่ายร่ายดูชาวธานี | ทำมิให้รู้แยบคาย |
เอาย่ามสอดไหล่สะพายแก้ว | แล้วพี่เลี้ยงผลัดกันร้องขาย |
ทำเดินระทวยขวยอาย | จะดูใครก็ใช้แต่หางตา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ชาวบ้านร้านเรือนถ้วนหน้า |
เห็นเจ้าพราหมณ์เดินตามกันมา | ตั้งตาแลดูทุกคนไป |
ต่างคนต่างคิดสงกา | ว่าพราหมณ์นี้มาแต่เมืองไหน |
พราหมณ์น้อยแช่มช้อยเป็นพ้นไป | กิริยาก็ละไมละมุนนัก |
ทั้งจริตก็เสงี่ยมเสี่ยมสาย | เสียดายทำไมจะรู้จัก |
ลางคนภิปรายทายทัก | บ้างพยักหน้าเรียกให้เข้าไป |
บ้างมาชมโฉมเจ้าพราหมณ์ | ว่างามไม่มีที่เปรียบได้ |
ดวงพักตร์ลักษณาจำเริญใจ | ได้เห็นเป็นน่าใคร่เอ็นดู |
ต่างคนต่างคิดพิศวง | บ้างหลงแลลืมตะลึงอยู่ |
ชายหญิงวิ่งมาพรั่งพรู | จะตามดูเจ้าพราหมณ์ให้อิ่มใจ |
ทั้งสาวแก่แม่ม่ายร้ายทาน | เอาหมากใส่พานมายื่นให้ |
บ้างให้ส้มสูกลูกไม้ | ขืนหยิบใส่ย่ามเจ้าพราหมณ์มา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่าเจ้าพราหมณี | ทำทีดังถือสิกขา |
ถึงดูมิให้รู้กิริยา | เอาพัดป้องหน้าแล้วเดินไป |
สบที่ที่ชอบอัธยา | แลมาก็ย้ายคิ้วให้ |
พระเป็นผาสุกสนุกใจ | เที่ยวไปทุกตลาดตำบล |
ชมข้าวของขายเป็นหลายพรรณ | เรียงรันไปตามแถวถนน |
ตึกกว้านบ้านเรือนประชาชน | แน่นแน้มณฑลพระบุรี |
ชมพลางทางพากันเดินมา | กับข้าพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
สะกิดกันดูสาวชาวธานี | จนพระสุริย์ศรีสายัณห์ |
จึงรีบลีลาคลาคลาด | กับพี่เลี้ยงราชผายผัน |
ออกจากประตูเมืองพลัน | ใครจะทันสงกาก็ไม่มี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นมาถึงที่อาศัย | กับพี่เลี้ยงภูวไนยทั้งสี่ |
จึงเปลื้องเครื่องแต่งเป็นพราหมณ์ชี | มิให้ใครรู้ว่าภูธร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | หงส์ทองจึงทูลพระทรงศร |
อันจะเข้าอาศัยในพระนคร | กิตติศัพท์จะขจรแจ้งไป |
ปากผู้คำคนหญิงชาย | รู้ระคายจะคิดสงสัย |
ขอเชิญเสด็จพระภูวไนย | ไปอาศัยยังสวนอุทยาน |
มีพรรณมิ่งไม้นานา | ทั้งตำหนักพลับพลาสนุกสนาน |
อันนางโฉมยงนงคราญ | เยาวมาลย์มาประพาสเป็นอัตรา |
น่าที่ดีร้ายจะได้พบ | สมสบดังความปรารถนา |
จะซ่อนเร้นมิให้ใครเห็นม้า | ว่าแล้วก็พาเสด็จไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นมาถึงสวนอุทยาน | มิ่งไม้ตระการงามไสว |
พาสี่พี่เลี้ยงคลาไคล | เข้าในสวนสรรพมาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายตารักษาสวนศรี |
ชื่อยายมาลาตามาลี | ผัวเมียจมูกบี้ทั้งสองคน |
ถือจอบหอบโครงมาแสะหญ้า | ปากร้องขับกาโกลาหล |
แลไปเห็นพระเสด็จดล | กับพี่เลี้ยงสี่คนตามมา |
จึงคิดว่าเจ้าบ่าวน้อย | แช่มช้อยน่ารักเป็นหนักหนา |
ทรงโฉมประโลมลานตา | เดินเข้ามานี้ด้วยอันใด |
ร้องถามไปพลันมิทันช้า | บ่าวน้อยนี้มาแต่ไหน |
เข้ามาในสวนดอกไม้ | ตำรวจในเขาเห็นมิเป็นการ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระศรีเมืองเลื่องลบได้ฟังสาร |
บอกตายายพลันมิทันนาน | ข้านี้อยู่บ้านเมืองไกล |
ตกไร้ได้ยากเป็นหนักหนา | สัญจรซอนมาในป่าใหญ่ |
ปิ้มว่าชีวิตจะบรรลัย | เป็นบุญได้มาพบยายตา |
เดิมข้ามาเที่ยวเล่นไพร | ล่าไล่เนื้อในกลางป่า |
ดั้นดัดลัดพงหลงมา | แต่ปักษากับพี่เลี้ยงสี่คน |
อันท่าทางจะกลับไปบุรี | สุดที่ไม่รู้แห่งหน |
บุกป่าฝ่ามาในอรญ | จึงลุถึงตำบลสวนนี้ |
หลานรักมิได้ตระหนักใจ | ว่าห้ามแหนอย่างไรไม่รู้ที่ |
เบาใจไม่รู้ว่าร้ายดี | จงได้ปรานีให้อภัย |
ตัวข้าเป็นคนอนาถา | จะขอพึ่งยายตาอยู่อาศัย |
เอ็นดูเหมือนชูชีวิตไว้ | จะช่วยรดต้นไม้ทุกเวลา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สองเฒ่าสงสารเป็นหนักหนา |
พระเป็นจักรพรรดิกษัตรา | พลัดบ้านเมืองมาดังนี้ |
ได้ความลำบากยากไร้ | จะอาศัยอยู่ด้วยในสวนศรี |
ข้าเป็นเอ็นดูพระภูมี | ครั้นจะมิให้อยู่ก็จนใจ |
แต่สวนนี้เป็นที่ห้ามแหน | แม้นรู้ก็จะเป็นโทษใหญ่ |
ด้วยองค์พระธิดาทรามวัย | ไปมาประพาสไม่ขาดวัน |
จงอยู่แต่กระท่อมด้อมเร้น | เมื่อเสด็จมาเล่นในสวนขวัญ |
พระสนมนารีนี่นัน | ครั้นเห็นจะเป็นอันตราย |
จะกริ้วโกรธลงโทษยายตา | สองแก้วจะพากันฉิบหาย |
ซ่อนเร้นอย่าให้เห็นแยบคาย | ว่าแล้วตายายก็พามา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
[๑] ต้นฉบับขาด