ตอนที่ ๑ พระศรีเมืองเรียนวิชา

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงไทโขมพัสตร์นาถา
ได้ผ่านกรุงโขมราฐพารา ลํ้าจักรพัตราสุริย์วงศ์
ยิ่งยศปรากฏนัคเรศ ดังองค์กมเลศครรไลหงส์
มีอัครชายาโฉมยง ทรงนามสุวรรณอำไพ
พระสนมถ้วนหมื่นหกพัน สิบสองพระกำนัลน้อยใหญ่
แต่ละองค์ทรงลักษณ์วิไล แวดล้อมภูวไนยเป็นนิรันดร์
ย่อมเชื้อนางกษัตริย์สุริย์วงศ์ ดังอนงค์นางในสรวงสวรรค์
บำเรอบาทนรนาถทรงธรรม์ เกษมสันต์เบิกบานสำราญองค์
สมสุขด้วยพระมเหสี อันมีลักขณานวลหง
อันปราสาททั้งสามบรรจง เสด็จทรงอยู่ตามฤดูกาล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ แต่ละองค์อลงกตต่างกัน ด้วยเป็นสุวรรณรัชฎามุกดาหาร
สูงเยี่ยมเทียมเมฆชัชวาล ดังชะลอวิมานมาตั้งไว้
มีมุขทุกชั้นบันแถลง ยอดแซงสลับไม่นับได้
มุขเด็จเจ็ดชั้นเป็นหลั่นไป พระโรงในหน้าหลังรจนา
ช่อฟ้าบราลีหางหงส์ ลำยองยงจำรัสพระเวหา
บัลลังก์ตั้งพรหมพักตรา ทุกยอดมหาปราสาทชัย
อันในห้องแลท้องพระโรงรัตน์ ดังแสงสูรย์จำรูญจำรัสแขไข
ด้วยแสงอัจกลับประดับใน สว่างไปทั้งทิวาราตรี
มีพระปรัศว์ทั้งซ้ายขวา รจนาดังวิมานโกสีย์
เรือนทองห้องสนมนารี ล้วนมณีเนาวรัตน์ชัชวาล
ท้องฉนวนล้วนแล้วศิลาทอง ผนังรองเรืองรัตน์มุกดาหาร
กำแพงแก้วแก้วเก็จเจ็ดประการ หน้าพระลานเลียนลาดศิลาลาย ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ ทิมดาบตำรวจในซ้ายขวา โรงเครื่องรจนาหลากหลาย
โรงรถไว้รถพรรณราย เพริศพรายด้วยแก้วแววไว
โรงช้างมีช้างชนะงา แกล้วกล้าชำนาญศึกใหญ่
โรงม้ามีม้าอาชาไนย ฝึกไว้ชำนาญในการรบ
สนามชัยในหน้าจักรวรรดิ ซ้อมหัดทวยหาญเจนจบ
จัตุรงค์องอาจเลิศลบ ทั่วทุกพิภพก็ลือชา
เมืองกว้างร้อยโยชน์มณฑล แถวถนนดาษพื้นแผ่นผา
ตึกกว้านบ้านเรือนเสนา รวดริมรัถยาเรียงรัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย แสนสบายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ด้วยพระองค์ผู้ทรงทศธรรม์ อันตรายสิ่งใดมิได้มี
กษัตริย์ร้อยเอ็ดพารา ย่อมมาประณตบทศรี
ถวายทิพย์สุวรรณมาลี ทุกบุรีมาพึ่งบทมาลย์
พระเสวยโภไคยมไหศูรย์ ไพบูลย์กว่ากษัตริย์มหาศาล
เป็นสุขด้วยสนมบริพาร พระภูมีสำราญทุกราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณอำไพโฉมศรี
ทูลบาทพระราชสามี มิได้นิราศคลาดคลา
ด้วยความจำนงจงรัก ภักดีในความเสนหา
อยู่จำเนียรกาลนานมา องค์อัครชายาก็ทรงครรภ์
นวลละอองผ่องผิวผุดผาด ดังสุวรรณนพมาศเฉิดฉัน
พระพักตร์เปล่งปลั่งดังดวงจันทร์ เมื่อวันเพ็ญหมดเมฆเมฆา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นถ้วนกำหนดทศมาส จะประสูติพระราชโอรสา
ลมกรรมัชวาตก็พัดพา กัลยาให้เจ็บประชวรครรภ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์รังสรรค์
จึงสั่งชาวแม่พระกำนัล ให้เร่งรักษาครรภ์กัลยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เถ้าแก่ชาวแม่ซ้ายขวา
ต่างคนต่างวิ่งเข้ามา ช่วยพยุงกายาทรามวัย
ลางนางบ้างเข้าอยู่งาน อลหม่านผันแปรแก้ไข
บ้างร้องบวงบนเทพไท วุ่นไปถ้วนหน้านารี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณอำไพโฉมศรี
เจ็บครรภ์ปั่นป่วนสมประดี เมื่อเทวีจะประสูติพระกุมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

มโหรี

๏ ให้บังเกิดอัศจรรย์หวั่นไหว สะเทือนไปทั่วทศทิศาน
เมฆคลุ้มกลุ้มบดบันดาล อนธการทั่วหล้าสากล
พระสมุทรตีฟองคะนองสาย พระพิรุณโปรยปรายสายฝน
แล้วสว่างพ่างพื้นอัมพน สุริยนส่องแสงแรงเรือง
กระจ่างจับทุกพรรณพฤกษา หย่อมหญ้าปฐพีสีเหลือง
เป็นนิมิตพระฤทธิ์จะรุ่งเรือง จะฟุ้งเฟื่องเลื่องลือเดชา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์วงศา
เห็นพระโอรสกุมารา ทรงโฉมโสภาพึงใจ
ดวงพักตร์ลักขณาปรากฏ ทั่วทั้งทศทิศไม่เปรียบได้
ดังหยาดฟ้ามาจากสุราลัย ทั้งในไตรภพไม่เทียมทัน
ลออองค์ทรงลักษณ์นวยแน่ง กล้องแกล้งดังเทพรังสรรค์
นวลละอองผ่องแผ้วแพรวพรรณ ดังสุวรรณนพมาศมาทาบทา
องค์พระชนกชนนี มีความพิศวาสเป็นหนักหนา
ดังดวงหฤทัยนัยนา แสนสุดเสนหาพ้นไป
ให้จัดพี่เลี้ยงแลพระนม สาวสรรค์พระสนมน้อยใหญ่
ประทานพระโอรสยศไกร ด้วยใจโสมนัสเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ แล้วพระจึงมีบัญชา ตรัสสั่งโหราบดีศรี
ให้หาฤกษ์พานาที พี่จะทำขวัญพระกุมารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น โหรารับสั่งใส่เกศา
จึงคำนวณควณคูณในตำรา พยากรณ์สารัมภีคัมภีร์
ได้นามตามวันพระชันษา ในจักรลัคนาราศี
จึงกราบทูลพลันทันที พรุ่งนี้ฤกษ์ดีมีชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพจบสากลเป็นใหญ่
ได้ฟังสำราญบานใจ ภูวไนยจึงสั่งไปพลัน
แม่ท้าวนางค่อมเถ้าแก่ ชาวแม่พระสนมสาวสรรค์
ให้แต่งบายศรีแก้วแพรวพรรณ พร้อมกันจงทุกพนักงาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระกำนัลก้มเกล้ารับสั่งสาร
มาจัดแจงแต่งเครื่องมิทันนาน ตามพระภูบาลบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานซ้ายขวา
ก็ปูลาดอาสน์ที่อันรจนา เสร็จสรรพในมหาปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นรุ่ง พระอุทัยพวยพุ่งแสงใส
พระองค์ผู้ทรงภพไตร ภูวไนยจึงมีบัญชา
ตรัสสั่งพี่เลี้ยงแลพระนม ทั้งสนมกรมในซ้ายขวา
เชิญเสด็จพระราชกุมารมา ยังปราสาทรัตนาพรายพรรณ
อันพระญาติวงศ์ทั้งหลาย ทั้งสองฝ่ายแลนางสาวสรรค์
มานั่งห้อมล้อมอยู่พร้อมกัน ครั้นได้พิชัยนาที
พระโหราธิบดีก็ลั่นฆ้อง แซ่ซ้องแตรสังข์ขึ้นอึงมี่
จึงเบิกบายศรีแก้วอันรูจี พระภูมีให้เวียนเทียนชัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์เป็นใหญ่
จึงให้นามโอรสยศไกร ตามในนิมิตอัศจรรย์
ทรงนามชื่อว่าพระศรีเมือง บุญเรืองเมืองฟ้านราสรรค์
ประทานทั้งแสนสาวพระกำนัล อันมีวรรณวิไลโสภา
แล้วจัดพี่เลี้ยงทั้งสี่องค์ ในหน่อสุริย์วงศ์พงศา
องค์หนึ่งชื่อพระสุริยา องค์หนึ่งชื่อรัตนาวัน
หนึ่งชื่ออภัยสุริย์วงศ์ หนึ่งชื่อพิษณุพงศ์เฉิดฉัน
มหาดเล็กน้อยน้อยทั้งปวงนั้น เลือกสรรประทานพระโอรส
ล้วนบุตรเสนามนตรี คหบดีเศรษฐีทั้งหมด
รูปทรงส่งศรีมียศ กำหนดนับพันมากมี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองสวัสดิ์รัศมี
จำเริญชันษาได้เจ็ดปี ทรงศรีเสาวภาคย์โสภา
ดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ง ปลั่งเปล่งจำรัสในเวหา
สถิตเหนือแท่นทองรจนา หน้ามุขมหาปราสาทชัย
พร้อมด้วยพี่เลี้ยงมหาดเล็ก เด็กเด็กน้อยน้อยไม่นับได้
พระจึงตริตรึกนึกใน จะไปเล่นในสวนอุทยาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง รุ่งเรืองพรรณรายฉายฉาน
ลงจากปรางค์รัตน์ชัชวาล พระพี่เลี้ยงกุมารก็ตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ มาถึงเข้าในสวนขวัญ ชวนกันเก็บพรรณบุปผา
พิกุลบุนนาคมะลิลา ยี่สุ่นจำปาสารภี
นางแย้มสาวหยุดพุทธชาด เบญจมาศหลายอย่างต่างสี
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นจำปี มะลุลีสุกรมนมแมว
กาหลงชงโคโยทะกา กระดังงาเทียนเทศเกศแก้ว
เก็บพลางชมพลางคลาดแคล้ว แล้วมายังสระปทุมมาลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พระเที่ยวชมโกมุทบุษบัน สารพันมีในสระสนาน
เผล็ดดอกออกฝักแย้มบาน รับแสงสุริย์ฉานอรชร
ภุมรินบินเคล้าเสาวคนธ์ อาบละอองโกมลเกสร
เรณูโรยร่วงในสาคร กลิ่นขจรตลบอบไป
ชมพลางสัพยอกหยอกกัน เกษมสันต์บันเทิงผ่องใส
มหาดเล็กเด็กเด็กทั้งนั้นไป สำราญบานใจปรีดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระยาเหมราชปักษา
สถิตอยู่ยังรุกขฉายา ในดงกฤษณาพนาลัย
แว่นแคว้นแดนป่าหิมพานต์ มีฝูงบริวารไม่นับได้
เคยไปเที่ยวชมดอกไม้ ในไพรพฤกษาพนาลี
ครั้นพระสุริยาเรืองรอง จึงพระยาหงส์ทองปักษี
พาบุตรบริวารสกุณี มาเล่นสวนศรีอุทยาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ แผละ

๏ มาถึงจึงลงในสวนขวัญ ชวนกันปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
ลอยล่องท่องเล่นในชลธาร ชมดวงกุสุมาลย์มาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เก็บดอกไม้

๏ ครั้นเห็นพระศรีเมืองเรืองฤทธิ์ ปักษีมีจิตเสนหา
งามล้ำจักรพรรดิกษัตรา ดังเทเวศร์หยาดฟ้าลงมาดิน
ทรงโฉมประโลมใจในไตรโลก ล้ำโอฆในสงสารสิ้น
ชมพลางทางพาบุตรบิน โผผินมายังพระกุมาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ จับลงตรงพักตร์พระโฉมยง พระยาหงส์จึงร้องทูลสาร
ว่าพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน มาประพาสสำราญในสวนนี้
ข้าเห็นก็เป็นอัศจรรย์ ดังเทวัญลงมาแต่ราศี
ให้มีจิตคิดรักภักดี พ้นที่จะอุปมาไป
ตัวข้าเป็นชาติสกุณา อยู่ในหิมวาป่าใหญ่
ไม่มีสิ่งของที่ต้องใจ อันจะได้ถวายพระภูมี
เห็นแต่ดรุณโปดก อันเกิดแต่อกปักษี
ขอถวายแก่องค์พระพันปี ไว้ใต้ธุลีพระบาทา
พระจงรับเอาเลี้ยงไว้ เป็นข้าช่วงใช้ภายหน้า
สิ่งใดจงได้เมตตา โปรดเกล้าปักษาสืบไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเฟื่องฟ้าสุธาไหว
ฟังพระยาปักษีก็ดีใจ จึงปราศรัยไปด้วยพระวาจา
ตัวท่านนี้มาแต่แดนใด ดูงามประไพเป็นหนักหนา
อันบุตรท่านปานดวงชีวา มาให้กับข้าก็ขอบใจ
ทั้งนี้เป็นบุญเราสองรา สร้างด้วยกันมาเป็นใหญ่
จึงเป็นมิตรจักร่วมชีวิตไป สิ่งใดมิได้สงกา
พระยาหงส์จงอย่าอาลัย ถึงลูกรักสายใจปักษา
จะรักใคร่ในราชสกุณา ร่วมชีพชีวาเดียวกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น หงส์ทองได้ฟังเกษมสันต์
มอบบุตรถวายแก่จอมธรรม์ สองปีกอภิวันท์บังคมลา
ค่อยอยู่เถิดข้าจะลาไป ยังดงแดนไม้กฤษณา
ว่าแล้วโบยบินขึ้นเมฆา พาฝูงบริวารร่อนไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองรุ่งดังสุริย์ใส
ครั้นหงส์ทองล่องฟ้าคลาไคล ภูวไนยจึงมีบัญชา
ตรัสชวนพี่เลี้ยงทั้งสี่องค์ กับสุวรรณหงส์ราชปักษา
ออกจากสวนสวรรค์มาลา ไปเฝ้าพระบิดายังวังใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประนมก้มเกศ ทูลพระบิตุเรศเป็นใหญ่
วันนี้ลูกยาออกไป เที่ยวเล่นในสวนมาลา
ยังมีพระยาสุวรรณหงส์ มาแต่ดงไม้กฤษณา
พาบุตรสุดสวาทนั้นมา ให้แก่ลูกยาด้วยยินดี
บัดนี้พระยาวิหคหงส์ กลับไปดงไม้ไพรศรี
ทูลแล้วถวายสกุณี ชี้ให้ชมราชหงส์ทอง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพจบสกลไม่มีสอง
ครั้นเห็นเหมราชเรืองรอง ขนงามดังกรองด้วยจินดา
สร้อยศอเลื่อมลายพรายพริ้ง ปีกหางอย่างยิ่งเลขา
แล้วตรัสแก่ราชบุตรา บุญของลูกยายิ่งนัก
ได้หงส์มาไว้เป็นข้าเฝ้า ขวัญเข้าพ่อยิ่งบรมจักร
แต่ปักษียังมีใจรัก จะเป็นที่พำนักในโลกา
จึงสั่งให้ช่างบรรจง กรงประดับมณีมีค่า
แล้วด้วยสุวรรณอันรจนา ใส่พระยาปักษาอันร่วมใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองรัศมีสีใส
พระอุ้มหงส์ทรงชมภิรมย์ใจ เช้าเย็นไม่เว้นสักเวลา
ถ้อยทีถ้อยมีความรัก ปักษีมีใจหรรษา
แล้วพระจึงมีวาจา ดูราพระยาสกุณี
จากดงมาอยู่ในกรงทอง วันนี้น้องรักจะปล่อยพี่
ให้ไปเล่นในพนาลี สุริย์ศรีบ่ายแล้วจงกลับมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุวรรณเหมราชปักษา
ประคองป้องปีกบังคมลา บินตรงไปป่าหิมพานต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงห้องหิมวาลัย ลงในมุจลินท์สระสนาน
เที่ยวท่องล่องเล่นชลธาร ชมบุษบาบานอรชร
มาลีคลี่กลีบออกไสว ก็ซอนไซ้จิกกินเกสร
ครั้นบ่ายชายแสงทินกร คาบมณฑาร่อนมาบุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถวายสุมณฑา แก่พระกุมาราเรืองศรี
ข้าน้อยไปเล่นพนาลี วันนี้เป็นสุขสำราญ
เห็นดวงดอกไม้ในมุจลินท์ กลิ่นเกลี้ยงรื่นรสหอมหวาน
จึงเก็บเอาดวงมณฑาธาร มาถวายบทมาลย์พระภูมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองรุ่งรัศมี
รับเอาดวงทิพย์มาลี อันมีวรรณวิจิตรรจนา
ขอบใจพระยาปักษี ภักดีต่อน้องเป็นหนักหนา
ว่าพลางทางชมมาลา พระผ่านฟ้าสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์เรืองศรี
เสด็จในปรางค์มาศอันรูจี ด้วยพระมเหสีโสภา
มีพระทัยไตรตรึกรำพึง ถึงพระศรีเมืองโอรสา
จึงมีพระราชบัญชา แก่องค์อัครชายาทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เจ้าพี่ ศรีศุภลักษณ์ยอดพิสมัย
เราสองครองราชโภไคย ก็ได้เป็นช้านานมา
บัดนี้ก็ชราภาพแล้ว แต่ลูกแก้วผู้ยอดเสนหา
ทรงลักษณ์ลํ้าจักรพัตรา พระชันษาก็ค่อยจำเริญวัย
ควรจะมอบเวนมไหศวรรย์ ให้ครอบครองเขตขัณฑ์เป็นใหญ่
สนององค์สืบวงศ์กษัตริย์ไป ในพิชัยโขมราฐพารา
อันราชบุตรีท้าวสุริย์วงศ์ องค์พระอนุชาฝ่ายหน้า
ทรงนามชื่อว่าบุษบา เฉิดโฉมโสภาพึงใจ
ฝ่ายพระศรีเมืองลูกรัก ทั่วทั้งไตรจักรไม่เปรียบได้
สององค์ทรงลักษณ์อันวิไล จะดูไหนคล้ายคลึงละกลกัน
พี่คิดจะเสกทั้งสององค์ อันเป็นเชื้อสุริย์วงศ์รังสรรค์
ครอบครองสิบสองพระกำนัล ขวัญเข้าจะเห็นประการใด ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณอำไพศรีใส
ได้ฟังบัญชาพระภูวไนย อรไทบังคมแล้วทูลมา
อันพระองค์ตรัสมาทั้งนี้ ต้องด้วยประเพณีหนักหนา
ทั้งนี้สุดแต่ผ่านฟ้า ข้าน้อยก็พลอยยินดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่ง พระสุริยาพวยพุ่งรังสี
พระเข้าที่สรงสหัสนัที ทรงสุคนธมาลีอ่าองค์
ทรงเครื่องประดับสรรพเสร็จ พระเสด็จย่างเยื้องดูระหง
จากปราสาทสุวรรณบรรจง ตรงออกยังท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เสด็จนั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
อนุชาก้มเกล้าอภิวันท์ เสนาพร้อมกันอัญชลี
พระจึงมีมธุรสพจนารถ แก่องค์อุปราชเรืองศรี
ว่านางบุษบานารี ซึ่งเป็นบุตรีอนุชา
ทรามชมสมควรจะมีคู่ พี่นี้คิดอยู่หนักหนา
จะให้ครองกันกับนัดดา ตามวงศ์กษัตราสืบไป
จะมอบสมบัติพัสถาน พระสนมบริวารทั้งปวงให้
ตัวเรานับวันจะบรรลัย เจ้าจะเห็นกระไรอนุชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสุริย์วงศ์พงศา
ก้มเกล้าทูลสนองพระวาจา ซึ่งตรัสมาทั้งนี้ควรนัก
อันองค์พระราชนัดดา ควรครองไพร่ฟ้าอาณาจักร
จะเสกกับบุษบานงลักษณ์ ตามแต่ทรงศักดิ์คิดโปรดปราน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์เกษมศานต์
จึงมีพระราชโองการ ให้หาโหราจารย์นั้นเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น ตำรวจรับสั่งใส่เกศา
ก้มเกล้ากราบงามสามลา ฉวยหวายวิ่งมาฉับไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงตะโกนเรียกหา ว่าพระโหราผู้ใหญ่
มีพระบัญชาให้หาไป ยังพระโรงชัยเร็วพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพระโหรเฒ่าคนขยัน
จับกระดานหารคูณสูรย์จันทร์ นั่งอยู่ด้วยกันกับยายเมีย
ได้ยินตำรวจเรียกหา ค้นตำรางันงกปลกเปลี้ย
ลุกล้มปะฝาขาเพลีย คว้าได้ถุงเบี้ยว่าตำรา
เร่งให้ยายเฒ่าตะบันหมาก ใส่ปากเคี้ยวพ่นบ่นบ้า
สมปักนุ่งรุงรังออกมา ตำรวจก็พาเอาตัวไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ถึงวังเข้ายังพระโรงธาร หิ้วหอบหมอบคลานมิใคร่ไหว
บังคมก้มกราบท้าวไท ตกใจไม่รู้ว่าร้ายดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านโขมราฐกรุงศรี
เห็นขุนโหราธิบดี จึงมีพระราชโองการ
เราจะเสกโอรสยศยง ให้ดำรงกรุงไกรไพศาล
จงหาฤกษ์จะได้กำหนดการ ให้ได้ศุภวารโชคชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น โหรเฒ่าผู้รู้ตำราไสย
รับสั่งบังคมภูวไนย ขับไล่ใส่สอบทุกคัมภีร์
พระอาทิตย์สถิตขึ้นอยู่เมษ พระเกตุเข้าร่วมราศี
พระจันทร์จรกุมลัคน์พระภูมี พระพฤหัสบดีอยู่มังกร
ต้องทั้งโยคยามนามเมือง จะฟุ้งเฟื่องเรืองฤทธิ์ด้วยแสงศร
ควรแล้วก้มเกล้าประนมกร ทูลพระภูธรในทันใด
จันทระชันษาพระโอรส ยิ่งในโสฬสเป็นใหญ่
จะระบือลือลบภพไตร แต่จะให้ทำการวิวาห์
ปีนี้ไม่มีฤกษ์ใหญ่ ขอให้งดการไว้ปีหน้า
ได้เมื่อพระรามตามสีดา ได้นางกลับมากรุงไกร
พระจะได้มเหสีเป็นสี่องค์ มั่นคงเป็นอุดมโชคใหญ่
ถ้าไม่เหมือนทำนายทายไว้ ขอให้มีโทษแก่โหรา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวโขมพัสตร์พงศา
ฟังขุนโหรทายทำนายมา ปรีดาพระทัยไพบูลย์
จึงตรัสแก่พระอนุชา ว่าฤกษ์พาปีนี้เศษสูญ
โชคชัยยังไม่พร้อมมูล โหรเฒ่าเขาทูลทัดไว้
จำเราจะงดการก่อน จะเสกสองบังอรต่อปีใหม่
แล้วพระองค์ผู้ทรงภพไตร ท้าวให้บำเหน็จโหรา
สิ่งของทองเงินเป็นรางวัล สารพัดแพรพรรณเสื้อผ้า
ครั้นเสร็จเสด็จยาตรา ขึ้นสู่มหาปราสาทชัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเฟื่องฟ้าดินไหว
เสด็จยังแท่นรัตนามัย พระทัยถวิลจินดา
จะใคร่ไปเรียนศิลป์ชัย ให้เรืองฤทธิไกรแกล้วกล้า
คิดแล้วจึงมีบัญชา แก่พระยาหงส์ทองผู้ร่วมใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ พี่เจ้า น้องนี้ร้อนเร่าเป็นข้อใหญ่
ด้วยพระบิตุรงค์ทรงชัย จะเสกให้ครอบครองพารา
อันศิลปศาสตร์สิ่งใด น้องยังมิได้ศึกษา
สำหรับจารีตกษัตรา วิทยาสิ่งใดก็ไม่มี
น้องคิดจะไปร่ำเรียน เพียรในสำนักพระฤๅษี
พี่ไปเล่นป่าพนาลี ยังพบพระมุนีอยู่แห่งใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระยาหงส์ทองอันผ่องใส
ได้ฟังพระกุมารชาญชัย จึงกราบทูลไปมิได้ช้า
โปรดเอยโปรดเกศ พระภูเบศร์ปีนปกปักษา ฯ
เมื่อข้าไปเที่ยวพนาวา เห็นบรรณศาลาพระอาจารย์
อันอาศรมพระนักสิทธิ์ สถิตอยู่ฝ่ายทิศอิสาณ
ซึ่งจะศึกษาวิชาการ จะพาพระภูบาลเสด็จไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองได้แจ้งแถลงไข
มีความชื่นชมภิรมย์ใจ ดังได้ชั้นฟ้าดุษฎี
จึงว่าพี่รู้ตำบล หนทางอาศรมพระฤๅษี
จงนำน้องไปยังพระมุนี พี่ผู้ภักดีได้เมตตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ว่าแล้วจึงองค์พระศรีเมือง ย่างเยื้องจากอาสน์อันเลขา
ขึ้นเฝ้าทั้งสองกษัตรา ยังในมหาปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี พระชนกชนนีเป็นใหญ่
ทูลทั้งสององค์ทรงภพไตร พระปิ่นเกล้าจงได้ปรานี
ลูกรักจักขอบังคมลา ไปเที่ยวเสาะหาพระฤๅษี
ร่ำเรียนวิชาพระมุนี ที่ในอรัญวาลัย
แม้เรียนศิลป์ชัยได้สำเร็จ เสร็จแล้วจะกลับมากรุงใหญ่
ทูลบาททั้งสองสืบไป พระองค์จงได้เมตตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสององค์ทรงภพนาถา
ได้ฟังโอรสทูลลา จะไปเรียนวิชาให้เชี่ยวชาญ
พระทรงโศกสลดระทดใจ ด้วยอาลัยลูกรักสงสาร
สวมสอดกอดองค์พระกุมาร เจ้าเปรียบปานดวงเนตรดวงใจ
อุตส่าห์ถนอมกล่อมเกลี้ยง เลี้ยงเจ้าแต่น้อยมาจนใหญ่
พร่ำพิทักษ์รักษาสายใจ แดดลมมิให้ต้องพาน
เจ้าจะไปป่าพนาลี ลำบากองค์อินทรีย์ในไพรสาณฑ์
ทั้งสิงสัตว์จัตุบาทอันสาธารณ์ ร้ายกาจสามานย์บีฑา
จะกินแต่ผลไม้อันเฝื่อนฝาด ลาดใบไม้นอนในกลางป่า
เคยเป็นสุขอยู่ในพระพารา จะทนทุกข์ทรมาฉันใด
จะดำเนินเดินป่าพนาสัณฑ์ ตรำฝนทนแดดกระไรได้
ลูกรักเจ้าจักไปไย จงอยู่แต่ในพระบุรี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี
ได้ฟังพระชนกชนนี ภูมีกราบทูลวิงวอน
สองพระองค์จงทรงพระเมตตา ให้ลูกยาไปเรียนธนูศร
ไม่ช้าจะมาพระนคร พระบิตุเรศมารดรได้ปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระชนกชนนีทั้งสองศรี
ฟังพระโอรสาพาที สุดที่จะขัดทัดทาน
จึงว่าพระศรีเมืองลูกรัก ดวงจักษุยอดสงสาร
ซึ่งจะไปเรียนวิชาการ ให้เชี่ยวชาญชำนาญในศิลป์ชัย
ครั้นว่าจะห้ามปรามเจ้า ขวัญเข้าจักเคืองอัชฌาสัย
เป็นจารีตกษัตริย์แต่ก่อนไซร้ เจ้าจะไปก็ตามประเพณี
แต่ลูกรักจักเดินในดงดาน แดนพาลมฤคเสือสีห์
จงระมัดระวังองค์จงดี อย่ามีจิตประมาทลืมตน
อย่าลุ่มหลงด้วยกลมารยา คือรูปรสวาจาเป็นต้น
ตัวเจ้าจะไปในอารญ ศรีสวัสดิ์มงคลทุกเวลา
จะร่ำเรียนวิชาสิ่งใด ให้ได้ดังใจปรารถนา
แล้วรีบกลับคืนพารา แก้วตาเจ้าไปจงดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองผู้เรืองรัศมี
รับพรพระชนกชนนี ใส่ศีโรตม์แล้วบังคมลา
ยุรยาตรดังราชไกรสร บทจรจากสุวรรณคูหา
เสด็จลีลาศคลาดคลา มายังปรางค์รัตน์มณี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึงบอกสี่พี่เลี้ยงผู้ปรีชา ทั้งพระยาหงส์ราชปักษี
น้องลาพระชนกชนนี บัดนี้อนุญาตดังใจ
ความน้องยินดีผ่องแผ้ว ดังใครเอาแก้วมายื่นให้
ทั้งห้าเราจะพากันไป ยังในสำนักพระสิทธา
ว่าแล้วจึงใส่เครื่องประดับ สำหรับพระยาปักษา
ล้วนแล้วด้วยแก้วรจนา ดังพระยาหงส์ทรงพรหมินทร์
แล้วสั่งพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ให้ผูกอาชาชัยเฉิดฉิน
มาเตรียมยังเกยแก้วมณีนิล รุ่งแสงทินกรเราจะไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งแล้วพากันคลาไคล รีบไปยังโรงอาชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึงผูกพระที่นั่งอาชาชาญ ครบเครื่องเบาะอานผ่านหน้า
มาเตรียมยังเกยแก้วรจนา ทั้งม้าพระพี่เลี้ยงพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ครั้นรุ่ง พระสุริยาพวยพุ่งแสงฉัน
พระตื่นจากแท่นแก้วแพรวพรรณ ผายผันมาสรงคงคาลัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ ทรงสุคนธ์ปนทองผ่องใส
รวยรินกลิ่นอบตลบไป สอดใส่สนับเพลารจนา
ทรงโกไสยพัสตร์พื้นตอง ทองแล่งแย่งลายเลขา
สอดใส่สะอิ้งองค์อลงการ์ รจนาชายไหวชายแครง
ใส่ฉลองพระองค์ทรงประพาส ตองตาดเครื่องระยับจับแสง
ทรงสังวาลวรรณกุดั่นแดง ก้านแย่งรักร้อยจำหลักลาย
ตาบประดับทับทรวงดวงเด็ด เก็จกิ่งพริ้งเพริศเฉิดฉาย
พาหุรัดทองกรพรรณราย ธำมรงค์เพชรพรายรุ้งเรือง
แล้วทรงพระมหามงกุฎ ผาดผุดรัศมีเปล่งเปลื้อง
กรรเจียกแก้วแววฟ้าค่าเมือง แสงประเทืองจับจรจำรัสตา
ทรงพระขรรค์แก้วมณีนิล ดังองค์อินทร์จากไตรตรึงษา
หงส์ทองนำเสด็จยาตรา พระสนมตามมานี่นัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๏ บัดนั้น สนมกรมในสาวสวรรค์
พระพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้น ครั้นมาถึงเกยทันใด
ต่างคนต่างวิ่งเข้ากอดบาท มิอาจจะกลั้นโศกได้
บ้างตีอกฟกช้ำร่ำไร ร้องไห้กลิ้งเกลือกไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองโฉมเสนหา
เห็นพี่เลี้ยงพระนมตามมา กอดพระบาทาร่ำไร
จึ่งมีมธุรสพจนารถ ปลอบพี่เลี้ยงราชน้อยใหญ่
พี่อย่าโศกาอาลัย ใช่ว่าไปแล้วไม่กลับมา
จงดับความทุกขาอาวรณ์ จะเร่าร้อนไปไยหนักหนา
น้องไปก็ไม่อยู่ช้า จะกลับคืนมาพระเวียงชัย
ทั้งหลายค่อยอยู่จงดี อย่าโศกแสนโศกีหม่นไหม้
ว่าแล้วก็ขึ้นอาชาไนย ออกจากพิชัยธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โทน

๏ ม้าทรง อาจองดังพระยาราชสีห์
เชื้อชาติสินธพพาชี มีกำลังดังพระพายพัด
ผันผกยกหูชูหาง ย่างย้ายรายเรียงย่อหยัด
ประดับเครื่องเรืองรองเนาวรัตน์ อานคร่ำจำรัสรูจี
พู่พรายสายถือบังเหียน ตาบหน้าวิเชียรแสงศรี
ง่องง้ำแคบคับประดับดี สายเหาจามรีจงกล
ช้องหางรัดอกปกผนัง ผ่านหน้าติดกระจังสร้อยสน
โกลนทองรองบาทยุคล อำพนด้วยเครื่องเรืองรอง
งามองค์งามทรงพาชี งามสี่พี่เลี้ยงไม่มีสอง
งามม้างามพระยาหงส์ทอง ผันผยองนำเสด็จจรลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เข้าในหิมวาป่าชัฏ เลี้ยวลัดตามราชปักษี
เดินไพรมาหลายราตรี ถึงที่จงกรมพระนักธรรม์
จึงลงจากมิ่งม้าพาชี ชวนสี่พี่เลี้ยงผายผัน
หงส์ทองนำเสด็จจรจรัล เข้าไปอภิวันท์พระมุนี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาฤๅษี
ครั้นเห็นองค์พระทรงสวัสดี กับสี่พี่เลี้ยงสกุณา
เข้ามาถวายอัญชลี พระมุนียินดีเป็นหนักหนา
จึงวินิจพิศพักตร์ลักขณา เห็นพระกุมาราวิลาวัณย์
งามลํ้าจักรพรรดิในใต้หล้า ลํ้าเทพเทวาในสรวงสวรรค์
พระนักสิทธ์เร่งคิดอัศจรรย์ จึงมีบัญชาถามไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ดูรา พระนัดดาผู้มีอัชฌาสัย
เจ้าอยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองใด นามกรชื่อไรกุมารา
อุตสาหะบุกป่าดาดง ฝ่าพงระนามหนามหนา
มาถึงอาศรมศาลา จะมีความปรารถนาสิ่งใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองรุ่งสุริย์ใส
วันทาแล้วแจ้งกิจจาไป ข้าอยู่ในโขมราฐพารา
ชื่อว่าศรีเมืองเรืองสวัสดิ์ หน่อท้าวโขมพัสตร์นาถา
ทูลลาบิตุเรศมารดา จะมาร่ำเรียนวิชาการ
บุญข้ามาพบพระนักสิทธ์ อันสถิตอยู่ในไพรสาณฑ์
จะขอปรนนิบัติบทมาลย์ พระอาจารย์จงได้ปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาฤๅษี
ฟังพระกุมาราพาที มีความเอ็นดูเป็นพ้นไป
จึงว่าดูกรพระนัดดา อุตส่าห์บุกมาในป่าใหญ่
ได้ความลำบากยากใจ ไกลทั้งบิตุเรศมารดา
รํ่าเรียนวิชาสิ่งใด จะบอกให้ดังใจปรารถนา
ไว้เป็นธุระอัยกา นัดดาอย่าปรารมภ์ใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองรัศมีศรีใส
ได้ฟังพระอาจารย์ชาญชัย มีพระทัยชื่นชมยินดี
จึงก้มเกล้าถวายอภิวาท กราบลงกับบาทพระฤๅษี
อยู่ด้วยพระมหามุนี ในคันธกุฎีพนาวา
เช้าค่ำกระทำปรนนิบัติ นวดฟั้นหัตถบาทซ้ายขวา
ทั้งนํ้าใช้นํ้าฉันก็นำมา ปรนนิบัติรักษาทุกราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นเช้าจึงเข้าไปป่า กับปักษาพี่เลี้ยงทั้งสี่
เก็บผลพฤกษาบรรดามี ที่ในอรัญวาลัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ เก็บได้ ผลไม้มีพรรณน้อยใหญ่
มังคุดพุทราลำไย ไข่เน่าร้อยลิ้นอินจันทน์
ลิ้นจี่พะวาหว้าพลอง ตาดต้องปรางปริงทุกสิ่งสรรพ์
เก็บห่อภูษาได้ครามครัน ก็กลับมาพระบรรณศาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงถวายนมัสการ องค์พระอาจารย์ฌานกล้า
แล้วถวายผลไม้นานา แก่พระอัยกาธิบดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาฤๅษี
ชื่นชมโสมนัสยินดี มีความรักใคร่เป็นพ้นไป
ในองค์พระกุมารหลานรัก ดังดวงจักษุก็เปรียบได้
อันศิลปศาสตร์สิ่งใด ก็สอนให้เล่าเรียนทุกเวลา
บอกทั้งคาถาพระยามนต์ เล่ห์กลเสร็จสิ้นให้ศึกษา
ก็ชำนิชำนาญในวิชา พระดาบสบอกให้ทุกประการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ วันหนึ่ง จึงพระมหาฤๅษีสาร
คิดถวิลจินตนาในญาณ ว่าพระกุมารชาญชัย
อันพระเวทคาถาบาลี ถ้วนถี่สารพันได้บอกให้
ยังแต่ธนูศิลป์ชัย มิได้มอบให้สำหรับกัน
จำกูจะอาหุดี ชุบธนูศรศรีให้หลานขวัญ
คิดแล้วจึงองค์พระนักธรรม์ ก็ผายผันออกหน้าพระกุฎี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึงกองเพลิงเถกิงกาลา เรืองโรจน์โชติฟ้าราศี
สำรวมอาตม์เข้าสมาธิพิธี พระมุนีอ่านพระเวทชาญชัย
ด้วยเดชะพระเวทชัปนา พระสุธาอากาศก็หวาดไหว
ให้มืดคลุ้มชอุ่มอับไป ทั้งในทศทิศาการ
บังเกิดเป็นธนูศรศรี ขึ้นกลางอัคคีแสงฉาน
จึงหยิบเอามามิทันนาน ให้แก่พระกุมารทันใด
แล้วอวยพระพรชัยศรี ไพรีอย่ารอต่อได้
ให้เรืองฤทธิ์สิทธิเดโชชัย โรคาอย่าได้มายายี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระศรีเมืองเรืองฟ้าราศี
เคารพจบบาทพระมุนี ภูมีรับศิลป์ชัยมา
รับทั้งพระพรใส่เกล้า จบเท้าใส่เกศเกศา
มีความยินดีปรีดา พ้นที่จะคณนาไป ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ