เล่มที่ ๔

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายประไหมสุหรีศรีใส
แต่ละห้อยคอยหาพระดนัย นางไม่เป็นสุขสักเวลา
พระครรภ์ได้สิบเดือนโดยกำหนด จะประสูติโอรสเสนหา
ให้เจ็บปวดรวดเร้าทั้งกายา ประหนึ่งว่าโฉมฉายจะวายปราณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กำนัลนางต่างคนอลหม่าน
บ้างเข้าประคององค์นงคราญ หมอผู้หญิงอยู่งานผันแปร
เหล่าพวกข้าหลวงก็ตกใจ บ้างวิ่งไปบอกกล่าวท่านเถ้าแก่
เจ้าขรัวนายออกมานั่งสั่งหุ้มแพร ให้เตรียมแตรพิณพาทย์ฆ้องชัย
แล้วหมายบอกไปเบิกน้ำสุรา สำหรับยาจะได้ดองสักสองไห
เตือนเจ้าพนักงานทหารใน ให้ยกที่ประทมไฟเข้าไปพลาง
เชื้อพระวงศ์ทรงถือเขนยทอง นั่งหนุนพระขนองทั้งสองข้าง
เห็นโฉมฉายประชวรครวญคราง กำนัลนางน้อยน้อยพลอยตีทรวง
บ้างเร่งหาหมอยาหมอนวด เรียกตำรวจเข้ามาผูกผ้าหน่วง
บ้างต้มน้ำทำการทั้งปวง ในเรือนหลวงวิ่งไขว่กันไปมา
ที่นับถือผีสางลางคน ก็บวงบนเอาเบี้ยขึ้นเหน็บฝา
บ้างอวดรู้ดูยามสามตา จะประสูติไม่ช้าเวลานี้
เหล่าพวกเจ้าจอมหม่อมอยู่งาน ก็ลนลานคลานเข้าไปในที่
ชิงกันเอาหน้าพาที ทูลคดีให้ทราบบาทา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระผ่านภพกุเรปันนาถา
ครั้นแจ้งก็รีบลีลา ลงมาที่อยู่เยาวมาลย์
ทรงนั่งบัลลังก์รัตน์รูจี พิศพักตร์มเหสีแล้วสงสาร
จึงกำชับหมอผู้หญิงที่อยู่งาน ดูอาการกัลยายิ่งอาวรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีสมร
เจ็บจวนประชวรพระอุทร บังอรไม่เป็นสมประดี
ครั้นปัจจุสมัยใกล้สว่าง เสียงประโคมดุริยางค์อึงมี่
พอได้ฤกษ์เพลานาที มารศรีประสูติพระธิดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี

๏ เมื่อนั้น องค์มะเดหวีเสนหา
รับราชบุตรีนั้นมา โสรจสรงธาราทันใด
แล้ววางองค์ลงเหนือพระยี่ภู่ ลาดปูโขมพัตถ์ผ่องใส
เอาพานทองรองรับตั้งไว้ ที่ในกระโจมแพรแสสุวรรณ
พระวงศามาเฝ้าพิทักษ์ถนอม แน่นนั่งพรั่งพร้อมรับขวัญ
ท้าวนางพระสนมกำนัล ชวนกันชื่นชมยินดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านกุเรปันกรุงศรี
พิศโฉมพระราชบุตรี ลออองค์อินทรีย์เพียงนางฟ้า
อันนิมิตที่เป็นให้เห็นนั้น ก็เหมือนกันกับบุตรีดาหา
จึงให้นามตามวงศ์เทวา ชื่อระเด่นวิยะดานารี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายมหาอำมาตย์ทั้งสี่
จึงจัดบุตรเสนาบรรดามี แปดร้อยนารีจำเริญวัย
ทั้งเงินทองของขวัญต่างต่าง ตามอย่างพระธิดาประสูติใหม่
ให้เถ้าแก่โขลนจ่าพาเข้าไป ยังในนิเวศน์วังพลัน
ต่างบังคมคัลอัญชลี องค์ศรีปัตหรารังสรรค์
ตำมะหงงยาสาเสนานั้น ทูลถวายของขวัญทันที

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
ยิ่งทรงโสมนัสพันทวี จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดา
ล้วนบุตรเสนีมีศักดิ์ นรลักษณ์รูปทรงวงศา
คนหนึ่งชื่อบาหยันกัลยา ซ่าเหง็ดโสภานารี
หนึ่งชื่อประเสหรันแน่งน้อย ประลาหงันแช่มช้อยโฉมศรี
ตำแหน่งที่พี่เลี้ยงพระบุตรี ตั้งได้แต่สี่พารา
อันบุตรเสนีทั้งนั้น แบ่งเป็นกำนัลซ้ายขวา
แล้วประทานสิ่งของนานา เงินทองแพรผ้าสารพัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
เนาในพลับพลาพนาวัน สุริยันเยี่ยมยอดบรรพต
จึงเข้าที่ชำระสระสรง ทรงเครื่องประดับองค์อลงกต
แล้วเสด็จขึ้นยังบัลลังก์รถ ให้เคลื่อนทศโยธาคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เดินพลางทางชมรุกขชาติ เดียรดาษดวงดอกออกไสว
หอมประทิ่นเหมือนกลิ่นทรามวัย ภูวไนยถวิลหาปรารภ
สกุณาพาคู่เคียงบิน เหมือนเคียงพักตร์ทักษิณที่พระศพ
โนรีเรียงหน้าบนค่าคบ เหมือนพี่แสร้งแกล้งกระทบอังสานาง
นกขมิ้นบินโผเข้าพงพี เหมือนเจ้าเดินหนีพี่ไปให้ห่าง
สีชมพูเหมือนสีสไบบาง ที่เปลี่ยนมากลางทางแทนองค์
นางนวลเล่นน้ำอยู่ในหนอง เหมือนนวลน้องเมื่อสนานในสระสรง
ชมพลางทางระทดกำสรดทรง ให้รีบรัดจตุรงค์จรลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ แต่แรมรอนนอนป่าสิบห้าวัน ลุถึงกุเรปันกรุงศรี
ให้หยุดรถคชพลพาชี ภูมีเสด็จไปเข้าในวัง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงปราสาทพระบิดา ฝูงกำนัลกัลยาพร้อมพรั่ง
พระหยุดแฝงทวารบานบัง ยับยั้งดูทีกิริยา
เห็นพระบิตุเรศมารดร สโมสรสรวลสันต์หรรษา
จึงเข้าไปในปราสาทรจนา วันทาพระชนกชนนี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ประไหมสุหรี
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลี จึงมีมธุรสพจนา
นี่หากว่าชีวันไม่บรรลัย จึงได้เห็นพักตร์โอรสา
มิเสียแรงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา เสนหาก็ไม่เสียที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
ก้มเกล้าทูลสนองพระเสาวนีย์ อันโทษาลูกนี้ผิดนัก
ได้ทูลลาว่าจะมาเป็นหลายหน สองประหมันนั้นก่นแต่หน่วงหนัก
ต่างองค์อาลัยด้วยใจรัก หาญหักห้ามไว้มิให้มา
ต่อได้แจ้งอาการในสารศรี ว่าชนนีจะคลอดโอรสา
พระจึงอวยให้ลูกไคลคลา รีบเดินทั้งทิวาราตรี
จะว่าไปก็ในลูกผิดเอง เหมือนไม่เกรงเบื้องบาทบทศรี
ถึงประหมันมิให้จรลี แม้นมิฟังใช่ที่จะทำไม
ตกแต่เกรงผู้อื่นนั้นยิ่งกว่า พระบิตุเรศมารดาเป็นใหญ่
ลูกได้พลั้งผิดคิดเบาใจ ขอพระองค์จงได้เมตตา
แล้วทูลถวายของขวัญ สองประหมันประทานขนิษฐา
พระพินิจพิศโฉมวิยะดา เสนหาพ่างเพียงดวงใจ
พลางดูทำนองสองกษัตริย์ เห็นค่อยคลายเคืองขัดอัชฌาสัย
จึงบังคมลาคลาไคล เสด็จไปที่อยู่พระภูมี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวดาหาเรืองศรี
แจ้งว่าพระเชษฐาธิบดี มีราชบุตรีโสภา
จึงให้จัดของขวัญทันใด ตามในสุริย์วงศ์อสัญหยา
ทั้งของตุนาหงันกัลยา ให้อะหนะสียะตราลูกรัก
ตำมะหงงจงนำสารไป กราบทูลภูวไนยให้ประจักษ์
ว่าเรากับขนิษฐาสามิภักดิ์ คิดถึงพระทรงศักดิ์เป็นพ้นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งบังคมไหว้
ออกมาจัดของขวัญทันใด ใส่ในราชรถเรียงรัน
ตำมะหงงเสนีนั้นขี่ม้า รีบยกโยธาผายผัน
นอนทางค้างแรมมาหลายวัน ตรงไปกุเรปันธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ พอพบเสนาเมืองกาหลัง อีกทั้งสิงหัดส่าหรี
สามนายก็พากันจรลี เข้าในบุรีกุเรปัน
ไปหายาสาตำมะหงง จึงส่งบรรณาการของขวัญ
เวลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ก็พากันเข้าสู่พระโรงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างประนมก้มเกล้าเคารพ พระปิ่นภพกุเรปันเป็นใหญ่
ตำมะหงงมหาเสนาใน ทูลไปให้แจ้งกิจจา
บัดนี้พระอนุชาทั้งสาม มีความโสมนัสเป็นหนักหนา
ให้เสนีนำบรรณาการมา ทำขวัญพระนัดดายาใจ
แต่ศรีปัตหราดาหานั้น ตุนาหงันพระบุตรีศรีใส
ให้สียะตราโอรสยศไกร ตามในสุริย์วงศ์เทวา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

 

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านกุเรปันนาถา
จึงมีพระราชบัญชา ปราศรัยเสนาทั้งสามคน
ซึ่งมาท่าทางทุรัศสถาน เทศกาลเป็นหน้าฟ้าฝน
กันดารโดยมรคาอารญ ไพร่พลยังพร้อมมูลกัน
อันพระอนุชาทั้งสามองค์ ยังดำรงไอศูรย์เกษมสันต์
อยู่เย็นเป็นสุขทุกนิรันดร์ หรือโรคันอันตรายสิ่งใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สามเสนาทูลสนองไข
เดชะพระเดชปกเกศไป มรคามาได้สะดวกดาย
อันสามสมเด็จพระอนุชา กับพระญาติวงศาทั้งหลาย
มิได้มีไภยันอันตราย กราบถวายบังคมด้วยภักดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นภพกุเรปันกรุงศรี
จึงผันพักตรามาพาที กับประไหมสุหรีนงเยาว์
อันระเด่นบุษบาดาหานั้น ได้ไปตุนาหงันให้อิเหนา
บัดนี้วิยะดาลูกเรา ฝ่ายเขามาขอให้สียะตรา
ถ้อยทีมีใจจำนง มิให้เสียสุริย์วงศ์อสัญหยา
จะโอนอ่อนผ่อนตามอนุชา กัลยาจะเห็นประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีใส
เคารพอภิวันท์แล้วทูลไป ตามแต่ภูวไนยจะโปรดปราน
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมา สียะตราหนึ่งหรัดก็เป็นหลาน
น้องมิได้แข็งขัดทัดทาน ให้เคืองบทมาลย์พระผ่านฟ้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผ่านภพกุเรปันหรรษา
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนา จงบอกแก่อนุชาทั้งสามเมือง
ว่าเราอำนวยอวยชัย ทุกข์โศกโรคภัยจงปลดเปลื้อง
อย่ารู้มีอันตรายระคายเคือง ให้รุ่งเรืองเดชากฤษฎาการ
ซึ่งพระอนุชาดาหานั้น ให้มาตุนาหงันว่าขาน
ก็ชอบตามระบอบโบราณ มิให้เสียวงศ์วานเทวา
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร จากอาสน์สุวรรณเลขา
ชวนประไหมสุหรีลีลา ไปปราสาทวิยะดานารี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาทั้งสามกรุงศรี
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็จรลี ออกไปจากที่พระโรงคัล
ต่างคนต่างขึ้นอาชา รีบเร่งโยธาผายผัน
มาจากกรุงไกรกุเรปัน แยกกันไปยังพารา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
แต่จากเยาวมาลย์ช้านานมา ไม่วายถวิลหาอาลัย
ยามเข้าไสยาในราตรี ยิ่งทวีทุกข์ทนหม่นไหม้
บรรทมชมเชยแต่สไบ แทนองค์อรไททุกเวลา
โอ้ว่ายาหยีของพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้เห็นหน้า
ยังมิทันสู่สมภิรมยา เวราสิ่งใดให้ไกลกัน
แม้ช้าอีกสักห้าราตรี เห็นทีจะได้ดังใฝ่ฝัน
พระรำลึกตรึกตราจาบัลย์ แสนวิโยคโศกศัลย์ไม่เคลื่อนคลาย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ซึ่งทรงกำสรดรสรัก อุตส่าห์หักฤทัยเสียให้หาย
แสร้งทำสุขเกษมเปรมปราย มิให้คนทั้งหลายสงกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยง พระแต่งองค์ทรงเครื่องโอ่อ่า
เสด็จทรงมโนมัยไคลคลา ขึ้นเฝ้าพระบิดาด้วยพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงลงจากอัสดร บทจรย่างเยื้องผายผัน
เข้าไปถวายอภิวันท์ พระผู้ผ่านไอศวรรย์เวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นภพลบโลกเป็นใหญ่
แสนสวาทสองราชดนัย พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา
อันองค์อิเหนาเยาวเรศ รักดังดวงเนตรเบื้องขวา
อันอะหนะระเด่นวิยะดา เพียงดวงนัยนาเบื้องซ้าย
พลางพินิจพิศพักตร์พระโอรส เห็นกำสรดสร้อยเศร้าไม่เหือดหาย
เหตุที่ทุกข์ใจไม่สบาย เพราะมุ่งหมายจินตะหราวาตี
จำจะให้ไปนัดอนุชา กำหนดการวิวาห์ภิเษกศรี
เหมือนเอาเสี้ยนบ่งหนามเห็นงามดี คิดแล้วจึงมีพระบัญชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ตรัสสั่งดะหมังเสนาใน พรุ่งนี้จงไปเมืองดาหา
ทูลแถลงแจ้งแก่พระอนุชา จะแต่งการวิวาห์เดือนหกนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังรับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาจากที่พระโรงคัล
จึงบอกบ่าวไพร่ให้พร้อมเพรียง ลูกเมียหาเสบียงขมีขมัน
ครั้นรุ่งก็รีบจรจรัล ขึ้นม้าพากันคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ แรมร้อนนอนทางกลางอรัญ สิบห้าวันถึงดาหากรุงใหญ่
พอเวลาเฝ้าก็เข้าไป ยังท้องพระโรงชัยฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึงถวายอภิวาทบาทบงสุ์ พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน
ทูลว่าพระเชษฐากุเรปัน มีบัญชาใช้ให้มา
กำหนดนัดการสยุมพร ให้ตกแต่งพระนครไว้ท่า
เดือนหกจะยกยาตรา มาแต่งการวิวาห์พระบุตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวดาหาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงตรัสแก่ดะหมังเสนี ว่าเรานี้ถวายบังคมไป
งดสักสามเดือนจึงยกมา จะตกแต่งพาราเสียใหม่
ท่านจงไปทูลพระภูวไนย ให้ทราบใต้ละอองบาทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ดะหมังกุเรปันหรรษา
รับสั่งแล้วบังคมลา มาขึ้นม้ารีบกลับไปฉับไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปเฝ้า พระปิ่นเกล้ากุเรปันเป็นใหญ่
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป ให้ทราบใต้บาทาฝ่าละออง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพลบโลกไม่มีสอง
ได้ฟังก็ดำริตริตรอง ซึ่งพระน้องกำหนดนัดผัดไป
จำเป็นจะหย่อนผ่อนผัน จะทำเหมือนนึกนั้นเห็นไม่ได้
คิดแล้วเสด็จคลาไคล เข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
แจ้งว่าบิตุรงค์ทรงธรรม์ ใช้ให้ดะหมังนั้นไปนัดการ
จัดแจ้งที่จะแต่งสยุมพร พระเร่งร้อนฤทัยดังไฟผลาญ
แต่โศกาครวญคร่ำรำคาญ จะคิดอ่านผ่อนผันฉันใดดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อย่าเลยจะทูลลาไปเล่นไพร แต่พอได้ออกจากกรุงศรี
แล้วจะไปหมันหยาธานี ให้สมที่จินดาอาวรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ คิดแล้วอ่าองค์ทรงเครื่อง ย่างเยื้องจากแท่นบรรจถรณ์
มาทรงกัณฐัศว์อัสดร บทจรเข้ายังวังใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี พระชนกชนนีเป็นใหญ่
เห็นท่วงทีชอบช่องจึงทูลไป ว่าลูกไม่สบายมาหลายวัน
ขอพระองค์จงโปรดปรานี พรุ่งนี้จะลาไปไพรสัณฑ์
เที่ยวไล่มฤคาในอารัญ เจ็ดวันจะกลับมาเวียงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพสบสมัย
ฟังโอรสลาไปเล่นไพร ภูวไนยไม่พะวงสงกา
จึงตริตรึกปรึกษามเหสี อิเหนานี้คะนึงถึงจินตะหรา
เศร้าหมองไม่หายหลายเดือนมา จะต้องวิญญาณ์ให้คลายใจ
ว่าพลางทางมีพจนารถ อนุญาตโดยดังอัชฌาสัย
ลูกรักจักลาไปเล่นไพร ก็ตามใจแต่อย่าอยู่ช้า
แล้วดำรัสตรัสสั่งตำมะหงง ท่านจงไปด้วยโอรสา
เป็นผู้ใหญ่ต่างใจต่างตา อย่าให้พระลูกยาอยู่นาน
กำชับให้กลับในเจ็ดวัน ถึงกรุงกุเรปันราชฐาน
สั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงธาร ภูบาลเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีศรีใส
ชื่นชมสมจิตที่คิดไว้ ก็คลาไคลไปปราสาทวิยะดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พอประสบพบองค์มะเดหวี สถิตที่ห้องทองขนิษฐา
พระลดองค์ลงถวายวันทา ทำทีกิริยาเปรมปรีดิ์
แล้วโอบอุ้มประคองพระน้องรัก มาใส่ตักเชยชมมารศรี
ชันษายังไม่ถึงกึ่งปี อนิจจาพี่นี้จะจากไป
พลางสะท้อนถอนจิตจาบัลย์ สุดที่จะกลั้นกันแสงได้
ชลเนตรคลอเนตรภูวไนย ผินไปทรงซับเสียฉับพลัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีมีศักดิ์เฉิดฉัน
เห็นอิเหนาลูกยาจาบัลย์ จึงตรัสถามไปพลันทันใด
เจ้าอุ้มน้องเชยชมภิรมย์รัก เป็นไรนั่นผันพักตร์ไปร้องไห้
เห็นผิดทีเที่ยวป่าพนาลัย เหมือนจะไปอยู่ช้าสักห้าปี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
เสแสร้งแกล้งทูลพระชนนี เมื่อกี้ผงปลิวเข้าตา
ก้มกรีดชลนัยน์จะให้หาย ยังระคายเคืองเนตรเป็นหนักหนา
อย่ากินแหนงแคลงใจพระมารดา ใช่ว่าจะโศกศัลย์ด้วยอันใด
ซึ่งลูกจะลาไปอารัญ เจ็ดวันก็จะกลับกรุงใหญ่
ว่าพลางวางองค์พระน้องไว้ บังคมไหว้มะเดหวีแล้วลีลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงประเสบันทันที นั่งเหนือแท่นมณีที่ข้างหน้า
จึงสั่งสี่พี่เลี้ยงให้ตรวจตรา โยธาสำหรับทัพชัย
จงจัดคนนำทางที่สันทัด ดั้นดัดมรคาป่าใหญ่
พอย่ำยามสามจะยกไป อย่านอนใจให้ทันเวลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตารู้นัยแต่ไม่ว่า
ทำนับนิ้วจับยามสามตา เฉยหน้าทูลองค์พระทรงธรรม์
เสด็จในยามนี้เถิดดีจริง จะเกิดลาภสักสิ่งเป็นแม่นมั่น
ถ้ามิได้สมจิตที่คิดนั้น ขอถวายชีวันประสันตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
ยิ้มพลางทางเขม้นนัยนา แล้วตรัสว่าช่างทำนายทายเดา
นี่ใครใช้ให้เจ้าเป็นหมอดู อวดรู้พูดโป้งไปเปล่าเปล่า
จะได้ลาภมิได้ก็ทำเนา มิใช่การอย่าเอามาพาที
ไม่สบายวิญญาณ์จะคลาไคล ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจของพี่
รำคาญวานอย่าเฝ้าเซ้าซี้ จงไปจัดโยธีให้พร้อมไว้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยะรุเดะผู้มีอัชฌาสัย
แย้มยิ้มในหน้าแล้วว่าไป เจ้าพูดไยอย่างนั้นประสันตา
ถึงได้ลาภอย่างไรก็ไม่ชื่น ไม่เหมือนคืนเขตขัณฑ์หมันหยา
ว่าพลางทางถวายบังคมลา ออกมาหน้าจักรวรรดิจัดพล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๏ ตั้งกองท้องสนามตามอย่าง ขุนช้างผูกช้างระวางต้น
แต่ละตัวห้าวหาญชาญชน ชนะศึกฝึกฝนมาหลายคราว
ขุนม้าผูกม้าพาชี แซมสีเหลืองกะเลียวเขียวขาว
เลือกล้วนตัวดีมีฝีเท้า ประดับเครื่องกุดั่นดาวนากทอง
ขุนรถเร่งเทียมรถา อาชาฉุดชักเคล่าคล่อง
สารถีขี่ขับตามทำนอง เหน็บกริชฝักทองถือธนู
ขุนพลจัดพลพร้อมพรั่ง คับคั่งโยธีทั้งสี่หมู่
กรมวังนั่งคอยไขประตู เตรียมท่าพระโฉมตรูจะยาตรา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
ครั้นล่วงปฐมยามเวลา เสด็จมาเข้าที่พระบรรทม ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ เอนองค์ลงรำพึงคะนึงใน ดังได้โฉมตรูมาสู่สม
ยินดีปรีดาในอารมณ์ พลางชมสไบบางต่างเทวี
หอมตลบอบซาบนาสา เหมือนกลิ่นจินตะหรามารศรี
นึ่งนึกตรึกไตรในราตรี ภูมีไม่สนิทนิทรา
แต่เฝ้าเปรมปริ่มกระหยิ่มใจ เหมือนพรุ่งนี้จะได้ไปเห็นหน้า
พระกรรณตรับนับทุ่มนาฬิกา นั่งคอยเวลาจะคลาไคล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นประโคมฆ้องย่ำสามยามเศษ ภูวเรศยินดีจะมีไหน
เสด็จออกจากห้องทองทันใด คลาไคลไปสรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นเกลี้ยง สถิตนั่งเหนือเตียงสรงสนาน
ทรงสุคนธ์ปนทองรองพาน กลิ่นสุมาลย์ตลบอบองค์
สอดใส่สนับเพลาพื้นตาด ปักรูปสีหราชเหมหงส์
ภูษายกแย่งครุฑภุชงค์ ฉลององค์อินทรธนูงามงอน
เจียระบาดตาดสุวรรณพรรณราย คาดปั้นเหน่งเพชรพรายสายสร้อยอ่อน
ทับทรวงดวงกุดั่นดอกซ้อน ทองกรแก้วมณีเจียระไน
ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองระยับ มงกุฎเก็จเพชรประดับดอกไม้ไหว
เหน็บกริชเทวาแล้วคลาไคล มาทรงมโนมัยในเที่ยงคืน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

โทน

๏ ม้าเอยม้าต้น สามารถอาจผจญไม่เต้นตื่น
พ่วงพีมีกำลังยั่งยืน ตัวรู้อยู่ปืนได้ทดลอง
ผูกเครื่องกุดั่นดาวจำหลัก สายถือเทศถักเป็นลายสอง
ห้อยหูพู่จามรีกรอง ใบโพธทองถมยาประดับเพชร
พานหน้าผนังข้างอย่างนอก ดวงดอกเนาวรัตน์ตรัสเตร็จ
พระทรงแส้สุวรรณกัลเม็ด เสนาตามเสด็จแน่นนันต์
ม้าพี่เลี้ยงเคียงม้าที่นั่งทรง ตำมะหงงนั้นนำพลขันธ์
เดินทางสว่างแจ้งด้วยแสงจันทร์ เร่งกันให้รีบจรลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

โอ้ร่าย

๏ เข้าในอรัญวาป่าใหญ่ ภูวไนยคะนึงถึงโฉมศรี
โอ้ว่าจินตะหราวาตี ปานฉะนี้ดวงใจจะไสยา
หรือจะตื่นนิทราเพลาดึก รำลึกถึงพี่มั่งกระมังหนา
หอมหวนอวลรสสุมาลา พระพายพากลิ่นตลบอบอาย
น้ำค้างตกต้องใบพฤกษา จับแสงจันทราจำรัสฉาย
หิ่งห้อยย้อยระยับจับไม้ราย พรายพรายแพร้วแพร้วที่แถวทาง
เสียงบุหรงร้องก้องพนาวัน สุริย์ฉันจวนแจ้งแสงสว่าง
พอพ้นด่านกุเรปันชั้นกลาง หนทางรื่นราบดังปราบไว้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ พระคิดดูรู้ระยะมรคา เห็นยังไกลหมันหยากรุงใหญ่
จะอุบายขับควบอาชาไนย รีบไปให้เปลืองหนทางจร
คิดแล้วจึงมีบัญชาสั่ง ให้รอรั้งมโนมัยไว้ก่อน
พอรุ่งรางสร่างแสงทินกร จึงให้ควบอัสดรดูกำลัง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้ววางม้าทรงลงแส้ ทั้งทวยหาญม้าแห่หน้าหลัง
ต่างควบอาชาดาประดัง คับคั่งเคียงแข่งแซงไป
บ้างมุ่นหกผกโผนลำพอง แตกคลองพากระเจิงเข้าเชิงไผ่
แต่กระชากลากฉุดจนอ่อนใจ แก้ไขสิ้นคิดถึงปิดตา
พวกขี้ขลาดอวดดีขี่เบาะบาง สะบัดย่างวางตามเป็นสามขา
รัดอกขาดพลาดพลัดลงมา ปากคอคิ้วตาระยำยับ
บ้างควบปรึงตะบึงไปไม่รอรั้ง จนตาลายสิ้นกำลังลมจับ
เหงื่อออกอาบหน้าเอาผ้าซับ แล้วรีบขับควบตามเสด็จไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ลุล่วงมรคามาถึง ที่หนึ่งธารท่าชลาไหล
เวลาเที่ยงแดดร้อนอ่อนใจ จึงสั่งให้พักพลโยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนหมื่นพันทนายซ้ายขวา
ต่างเปลื้องเครื่องอานอาชา พานหน้าซองหางออกวางไว้
คนเลี้ยงเคียงม้าจูงประจำ มาลงน้ำกินหญ้าในป่าใหญ่
บรรดาคนเดินเท้านั้นไซร้ ก็ตามไปถึงพลันทันที
บ้างหุงโภชนาอาหาร สับสนอลหม่านอึงมี่
บ้างถากเสาเกลาไม้มากมี ทำที่ประทับพลับพลาพลัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
พระเสด็จย่างเยื้องจรจรัล ขึ้นสู่สุวรรณพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงตรัสเรียกระเด่นดาหยน กับพี่เลี้ยงสี่คนเข้ามาใกล้
พระเสแสร้งแกล้งกล่าวเป็นกลใน หวังมิให้ตำมะหงงสงกา
เราจะไปประพาสพนาลี ครั้งนี้มิให้อึงออกหน้า
จะแปลงปลอมเป็นชาวอรัญวา เที่ยวป่าให้สนุกทุกตำบล
เกลือกจะมีอะไรที่ไหนบ้าง ชาวบ้านบึงบางกลางไพรสณฑ์
ถ้าพอพบสบโชคชอบกล จะให้พี่คนละคนที่ดีดี
จงกำชับโยธาทุกหมวดกอง ให้เรียกน้องว่ามิสาระปันหยี
แล้วเปลี่ยนนามพหลมนตรี เป็นชื่อชาวพนาลีจงทุกคน
ตรัสพลางทางเตือนประสันตา เร่งไปผูกอาชาม้าต้น
แต่พอบ่ายแสงสุริยน จะยกพลรีบไปในไพรวัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นดาหยนคนขยัน
เข้าใจในทีพระทรงธรรม์ กับพี่เลี้ยงพากันออกมา
เร่งให้ผูกอาชาม้าที่นั่ง แล้วสั่งโยธีถ้วนหน้า
จงทำเป็นชาวพนาวา ดัดลิ้นพูดจาพาที
อันพระสุริย์วงศ์ทรงเดช แปลงเพศเป็นชาวพนาศรี
ทรงนามมิสาหรังปะรังตี ปันหยีกัศมาหรังฤทธิรณ
ระเด่นดาหยนพระวงศา ผลัดชื่อกุดาระมาหงน
พวกพี่เลี้ยงเสนาสามนต์ ต่างคนหารือให้ชื่อกัน
ตำมะหงงชื่อสุหรันดากา ปูนตาชื่อตาระมาหงัน
ยะรุเดะพี่เลี้ยงพระทรงธรรม์ ชื่อมาหงันเอ็งหรูกูดา
อันกะระตาหลาพี่เลี้ยงนี้ ชื่อสุดาส่าหรีกันตะหรา
ประสันตาชื่อกุดาระมายา เสนาเปลี่ยนชื่อทุกคนไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นเสร็จก็พากันมาเฝ้า ก้มเกล้ากราบทูลแถลงไข
อันชื่อซึ่งแปลงเป็นชาวไพร ทั้งนายไพร่พร้อมกันดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริยวงศ์เทวัญอสัญหยา
ชื่นชมสมจิตจินดา จึงปรึกษาพี่เลี้ยงอันร่วมใจ
จะไปโดยมรคานี้ช้านัก แล้วผู้คนจะรู้จักจำได้
จะลอบสั่งพรานป่าให้พาไป ยังเขาใหญ่ชื่อว่าปะราปี
ตรัสพลางทางเปลื้องเครื่องทรง แปลงองค์เป็นชาวพนาศรี
ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชฤทธี มาทรงพาชีฉับพลัน
พร้อมหมู่มาตยาสามนต์ ทวยหาญพหลพลขันธ์
พรานไพรนำหน้าจรจรัล เลี้ยวลัดดัดดั้นดงมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงภูผาปะราปี สมถวิลยินดีเป็นหนักหนา
ด้วยเกือบใกล้หมันหยาพารา ดังได้เห็นหน้านางบังอร
จึงสั่งตำมะหงงเสนี จะหยุดยั้งโยธีอยู่นี่ก่อน
จงกะเกณฑ์พหลพลนิกร ให้ทำที่ประทับร้อนแรมไพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร บังคมลาคลาไคลออกไปพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงกะเกณฑ์กันดังบัญชา วัดที่ตั้งพลับพลาพนาสัณฑ์
เอาเชือกชักหลักกรุยเป็นสำคัญ แบ่งปันปักฉลากให้ตามกรม ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เจ้าหมู่ไพร่หลวงแลเลกสม
รีบเร่งทำงานการระดม บ้างถากที่ทุบถมลุ่มดอน
พวกไปเอาตัวไม้ใส่สาลี่ อึงมี่ลากฉุดไม่หยุดหย่อน
บ้างเจาะเสาเข้าฝาเกลากลอน ถากฟันบั่นรอนเป็นโกลา
ปลูกสุวรรณพลับพลาอ่าโถง เก้าห้องท้องพระโรงหลังหน้า
ที่เสวยที่สรงคงคา โรงรถคชาพาชี
ระเนียดรอบขอบคันมั่นคง ทิมกระท่อมล้อมวงประจำที่
ขัดเรือกทำฉนวนลงนที ปลูกพลับพลาวารีไว้ริมธาร
สนามทวนทุบปราบราบรื่น ตั้งป้อมหัดปืนตรงหน้าฉาน
สารวัดรัดเร่งทำการ ก็แล้วทุกพนักงานพร้อมกัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
จึงเสด็จย่างเยื้องจรจรัล ขึ้นสุวรรณพลับพลาพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์ สำราญราชหฤทัยเกษมศรี
สรวลสันต์หรรษาพาที กับเสนีพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงกราบทูลแถลงไข
แต่เสด็จมาประพาสพนาลัย ก็นับได้ถึงเจ็ดวันมา
อันพระมารดาบิตุเรศ ปานนี้จะเทวษถวิลหา
จะยับยั้งอยู่ไยให้เนิ่นช้า เชิญเสด็จลีลาไปธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
เคืองขัดตรัสตอบไปทันที อะไรนี่มีแต่จะจัณฑาล
ถึงจะถ้วนเจ็ดวันดังสัญญา ท่านจะไปพาราก็ช่างท่าน
ข้าจะอยู่เที่ยวเล่นให้นานนาน รำคาญวานอย่าว่าให้ขัดใจ
ตรัสพลางทางเสด็จเข้าในห้อง ให้ชักปิดม่านทองสองไข
ไสยาสน์เหนืออาสน์อำไพ ภูวไนยสนิทนิทรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

 

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ