เล่มที่ ๓๑

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวล่าสำแข็งขัน
กับระตูทั้งห้าบุรีนั้น ซึ่งขอออกอุณากรรณผู้ศักดา
ได้ถวายบรรณาการมากมี ทั้งบุตรีโอรสเสนหา
ครั้นแจ้งกิตติศัพท์ขจรมา ว่ามิสาอุณากรรณนั้นหายไป
แต่เหล่าราชบุตรธิดานั้น ตกอยู่เมืองประมอตันไม่คืนให้
ระตูทั้งปวงก็ขัดใจ จะยกพลไกรไปว่ากัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ต่างเมืองต่างประชุมโยธา ม้ารถคชาแข็งขัน
จัตุรงค์มากมายหลายพัน บรรจบกันแล้วยกยาตรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เชิด

๏ ครั้นถึงด่านเมืองประมอตัน จึงให้ตั้งทัพขันธ์ซ้ายขวา
แล้วแต่งพระราชสารา ให้เสนาจำทูลไปกรุงไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทูตาผู้มีอัชฌาสัย
รับสารบังคมลาคลาไคล ขึ้นม้ารีบไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งแก่ชาวด่าน ตามในราชการสารศรี
ว่าท้าวล่าสำธิบดี ให้เรานี้ถือสารเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนด่านได้ฟังไม่กังขา
เรียกบ่าวแล้วขึ้นอาชา ก็พาทูตาคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดี แก่สี่เสนาผู้ใหญ่
ตามเรื่องทูตามานั้นไซร้ บรรยายไปให้แจ้งทุกประการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสี่เสนีได้ฟังสาร
จึงจัดแจงทุกหมู่พนักงาน ตรวจตราทหารให้พร้อมไว้
ถึงเวลาเฝ้าระตูภูมี หมู่มุขมนตรีน้อยใหญ่
ก็พาทูตาเข้าไป ยังท้องพระโรงชัยทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคมคัล ทูลท้าวประมอตันเรืองศรี
ว่าท้าวเจ้าเมืองหกบุรี ยกโยธีหลายทัพนับประมาณ
มาตั้งยังด่านนครา ใช้ให้เสนาจำทูลสาร
เข้ามาถวายพระภูบาล แล้วคลี่ออกอ่านไปทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ ราชสารพระผู้ผ่านนคเรศ มงกุฎเกศล่าสำกรุงใหญ่
กับระตูทั้งห้าเวียงชัย แจ้งใจว่าองค์อุณากรรณ
หายไปในกลางมรคา จึงยกโยธาทัพขันธ์
มาว่ากล่าวแต่โดยทางธรรม์ ให้ท้าวประมอตันภูวไนย
เร่งส่งองค์โอรสา ทั้งราชธิดาออกมาให้
จะพากันเลิกทัพกลับไป คงเป็นไมตรีกันดังก่อนกาล
ถ้าขัดไว้จะยกพลากร เข้าทำลายนครให้แตกฉาน
จะล้างให้สิ้นพงศ์วงศ์วาน รู้แล้วคิดอ่านให้จงดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระตูประมอตันเรืองศรี
ฟังสารดาลเดือดดังอัคคี จึงมีสีหนาทประภาษพลัน
อันองค์อุณากรรณผู้ศักดา เมื่อเทวาพาไปกระยาหงัน
ให้อักษรไว้เป็นสำคัญ ว่าบรรดาเชลยทั้งนี้
ให้แก่ปันหยีชาญชัย ซึ่งอยู่ในกาหลังบุรีศรี
เมื่อตัวเขาเจ้าของก็ยังมี กูไม่รู้ที่จะส่งไป
อันระตูทั้งหกพารา มีแต่เจรจาหยาบใหญ่
ดังชาวประมอตันเวียงชัย ล้วนสตรีมิใช่ชาติชาย
เร่งออกไปบอกเจ้ามึง ถึงจะปล้นกรุงไกรไม่ได้ง่าย
จะพันตูสู้ศึกไม่กลัวตาย อย่าหมายว่าจะได้ธานี
ตรัสแล้วก็สั่งเสนา ให้กะเกณฑ์โยธาขึ้นหน้าที่
ตำมะหงงจงเร่งเอาความนี้ ไปบอกปันหยีดังสัญญา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีซ้ายขวา
รับสั่งแล้วรีบออกมา ทูตนั้นขึ้นม้ากลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ฝ่ายมหาเสนาเกณฑ์ทหาร ขึ้นรักษาปราการกรุงใหญ่
หอรบป้อมประตูเวียงชัย อาวุธเตรียมไว้ครบครัน
เกณฑ์พลคอยระวังไพรี ทุกหน้าที่เชิงเทินเขตขัณฑ์
สารวัดจัดทหารนับพัน ตรวจกันอลหม่านทั้งธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ตำมะหงงก็แต่งสารศรี
เสร็จแล้วรีบขึ้นพาชี ไปบุรีกาหลังทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ผ่ายทูตผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นถึงที่ประทับพลับพลาชัย ก็ไปเฝ้าระตูภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงบังคมทูลบรรยาย แต่ต้นจนปลายถ้วนถี่
ตามระตูประมอตันพาที โดยคดีอนุสนธิ์แต่ต้นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำกับระตูทั้งห้า
ได้แจ้งแห่งคำทูตา ต่างองค์โกรธาคือไฟ
ดูดู๋ระตูประมอตัน โมโหหุนหันหยาบใหญ่
ฤทธีจะมีสักเพียงไร ดีร้ายจะได้เห็นกัน
ว่าแล้วประกาศหมู่โยธา ทั้งกองหน้ากองหนุนกองขัน
เร่งเข้าหักโหมโรมรัน ตีเอาประมอตันอย่าได้ช้า ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายทหารทุกกองพร้อมหน้า
รับสั่งแล้วขับโยธา เข้าตีด่านนคราทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ อันชาวชนบททั้งหลาย แตกกระจัดพลัดพรายไม่ทานได้
ระตูยกแยกกันเข้าไป ตั้งล้อมเวียงชัยประมอตัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ทุกกองเข้าโจมโถมทะยาน ปีนป่ายปราการเขตขัณฑ์
โยธาดาหนุนเนื่องกัน เสียงปืนครื้นครั่นทั้งพารา
ต่างเอาพะองบันไดพาด องอาจปีนป่ายขึ้นเข่นฆ่า
พลช้างเข้าแย่งทวารา เสียงโห่ลั่นฟ้าธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พวกทหารรักษาหน้าที่
โรมรันประจัญรบราวี แทงฟันไพรีทุกด้านไป
บ้างปล่อยปืนมณฑกนกสับ วางปืนตับระดมปืนใหญ่
บ้างยิงธนูหน้าไม้ พุ่งหอกออกไปอลวน
บ้างทุ่มทิ้งหินผาอึงอัด คั่วกรวดทรายซัดดังห่าฝน
ข้าศึกล้มตายวายชนม์ เสียงพลเสียงปืนประดังกัน

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ทวยหาญหกระตูแข็งขัน
หนุนเข้ารบรุกบุกบัน ต่อแย้งแทงฟันประจัญบาน
ต่างต้องอาวุธล้มตาย บ้างหนุนปีนป่ายเข้าต่อต้าน
ชาวเมืองเข่นฆ่าวายปราณ ที่เป็นอยู่หักหาญราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งหกระตูผู้เรืองศรี
เห็นคนตายกลาดปัถพี บ้างลำบากลากหนีเอาออกมา
ต่างองค์โกรธาโกลาหล ขับม้าไล่พลซ้ายขวา
นายทหารก็ต้อนโยธา ดากันเข้าทำลายเวียงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ แต่ให้หักหาญเป็นหลายครั้ง จะได้ดังปรารถนาก็หาไม่
จึงให้ตั้งล้อมเมืองไว้ ได้ทีเมื่อไรจะโรมรัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายตำมะหงงเสนาคนขยัน
รีบมากลางคืนกลางวัน ดัดดั้นโดยทางพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงพารากาหลัง ตรงไปยังที่อยู่ปันหยี
จึงเข้าไปเคียมคัลทันที ถวายสารศรีแล้วโศกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
จึงรับเอาราชสารา คลี่ออกทัศนาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ศุภลักษณสารสุนทร เจ้านครประมอตันบุรีศรี
อำนวยอวยพรสวัสดี มาถึงปันหยีฤทธิรอน
เมื่อเทวาพาอุณากรรณไป ให้ลายหัตถ์ไว้เป็นอักษร
แม้นไพรีย่ำยีพระนคร พ้นที่จะราญรอนพวกภัย
จงให้สารไปถึงปันหยี จะเห็นแก่ไมตรีไม่เสียได้
บัดนี้ศึกประชิดติดเวียงชัย จะให้ส่งโอรสแลบุตรี
ซึ่งเป็นเชลยอุณากรรณ อันสั่งไว้ให้ให้แก่ปันหยี
เชิญมาช่วยสังหารผลาญไพรี อย่าให้สูญไมตรีอุณากรรณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นสารา พระผ่านฟ้าสำรวลสรวลสันต์
จึงถามตำมะหงงด้วยพลัน ซึ่งโศกานั้นด้วยเหตุใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงทูลแจ้งแถลงไข
ข้าคิดขึ้นมาก็อาลัย เมื่ออยู่ในกาหลังพารา
เจ้าข้าเคยมาเล่นด้วยกัน กับพระองค์ทรงธรรม์หรรษา
จะเสด็จแห่งใดไม่คลาดคลา บัดนี้ข้ามาให้เปล่าใจ
เห็นแต่พระองค์ผู้เดียวดาย ก็ใจหายไม่กลั้นน้ำตาได้
ด้วยคิดถึงเจ้าตนเป็นพ้นไป จึงร้องไห้เพราะเหตุดังนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
จึงตอบไปพลันทันที ถึงจะมีความรักคณนา
เมื่อประจักษ์ว่าองค์อุณากรรณ ไปสู่กระยาหงันหรรษา
ชมทิพย์สมบัติอันโอฬาร์ จะโศกาถึงนั้นด้วยอันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงจึงตอบสนองไข
ธรรมดาว่ารักแม้นจากไป เป็นวิสัยในโลกย่อมโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังเสนาพาที ภูมีแย้มสรวลไปมา
อันเหล่าพี่เลี้ยงกิดาหยัน กลั้นยิ้มไม่ได้ก็ก้มหน้า
ปันหยีจึงมีวาจา ว่าแก่ตำมะหงงด้วยพลัน
ท่านจงงดอยู่ท่าก่อน อย่าเพ่อรีบร้อนผายผัน
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล เข้าห้องสุวรรณอันโอฬาร์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งแนบแอบองค์อรไท จึงปราศรัยบอกแก่ขนิษฐา
ตำมะหงงประมอตันนั้นมา จะเชิญดวงยิหวาไปเวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาศรีใส
แค้นขัดปัดกรภูวไนย ค้อนให้แล้วมีวาจา
อันความข้อนี้ได้ขอขาด ไฉนยังประภาษให้อายหน้า
เป็นน่าสมเพชเวทนา ขืนว่าจะแกล้งให้ช้ำใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มแล้วแถลงไข
จริงอยู่พี่ได้รับคำไว้ ใช่จะลืมไปเมื่อไรมี
เจ้าขอแต่คำพี่เย้าหยอก นี่บอกความตามจริงสิโกรธพี่
เดี๋ยวนี้ศึกประชิดติดธานี พระส่งสารศรีให้กัลยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โฉมยงองค์ติหลาอรสา
รับสารมาจากพระภัสดา อ่านทราบกิจจาก็โศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
เห็นพระน้องสะอื้นไห้ไม่ไยดี ยิ้มแล้วภูมีจึงว่าไป
ซึ่งจะกำสรดอยู่ฉะนี้ จะได้อิสตรีมาก็หาไม่
จงเร่งเกณฑ์พหลสกลไกร ยกไปให้ทันท่วงที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสาโฉมศรี
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี ลุกเข้าไปในที่แล้วโศกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีทรงโฉมเสนหา
จึงเสด็จลีลาศยาตรา ตามองค์ขนิษฐาเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงนั่งลงส้วมกอด รับขวัญเยาวยอดพิสมัย
วิตกหมกมุ่นไปทำไม พี่จะรับชิงชัยให้นงเยาว์
แต่ตำมะหงงเสนามาเห็นพี่ ก็โศกีด้วยคิดถึงเจ้า
จงออกไปดับโศกให้บางเบา แต่พอเขาได้เห็นประจักษ์ตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์ติหลาอรสา
ได้ฟังค่อยคลายวายโศกา จึงทูลว่าจะไปนั้นฉันใด
น้องสะเทินเขินจิตพันทวี มิรู้ว่าจะพาทีกระไรได้
อัปยศอดสูเป็นพ้นไป ภูวไนยจงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีจึงตอบนางโฉมศรี
จะหาแต่ตำมะหงงผู้เดียวนี้ ให้เข้ามายังที่ข้างใน
แต่เพียงนี้ผู้ใดจะล่วงรู้ ยังจะคิดอดสูไปถึงไหน
จงอุตส่าห์ฝืนพักตร์หักใจ จะได้หรือมิได้นะเทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ติหลาอรสามารศรี
เห็นชอบตอบพลันทันที ภูมีจงให้ไปหามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีได้ฟังนางว่า
จึงสั่งสาวสรรค์กัลยา ไปหาตำมะหงงมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาที่ข้างหน้าทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา แก่มหาเสนาผู้ใหญ่
ว่าปันหยีให้หาเข้าไป ยังที่ข้างในอย่าได้ช้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงผู้มียศถา
แจ้งคำสาวใช้ก็ไคลคลา เดินด้อมเข้ามาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงซึ่งที่ข้างใน จึงบังคมไหว้ปันหยี
หมอบเฝ้าคอยฟังสั่งคดี มิได้มีเหลียวแลไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
จึงมีสุนทรวาจา ว่าแก่ตำมะหงงเสนาใน
อย่าก้มอยู่จงดูให้ตระหนัก ท่านยังจะรู้จักหรือไฉน
องค์ระเด่นนี้จะเป็นผู้ใด หรือว่ามิใช่อุณากรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงเงยหน้าขึ้นแปรผัน
พิศดูจำได้ทุกสิ่งอัน ว่าองค์อุณากรรณผู้ศักดา
ดีใจคลานไปอภิวาท จับบาทขึ้นทูลเกศา
ครวญคร่ำกำสรดไปมา องค์ติหลาอรสาก็โศกี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ แล้วทูลว่าเมื่อพระหายไป ข้าเที่ยวหาทั่วในพนาศรี
ไม่พบก็โศกแสนทวี จึงให้กรีพลคืนยังพารา
ฝ่ายพระผู้ปิ่นปักนัคเรศ แจ้งเหตุกันแสงเป็นหนักหนา
องค์ประไหมสุหรีศรีโสภา ก็โศกาเพียงจะม้วยวายชนม์
ทั้งกำนัลเสนาก็อาวรณ์ ประชากรโศกเศร้าทุกแห่งหน
ด้วยความรักใคร่ไม่เว้นคน จนศึกมาประชิดติดธานี
บ้างว่าถ้าพระองค์เสด็จอยู่ ศัตรูหรือจะกล้ามากรุงศรี
ซึ่งพระมาเป็นเช่นนี้ เหตุผลนั้นมีประการใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นอรสาสะอื้นไห้
จึงว่าเหตุนี้เป็นความใน สุดที่จะให้แจ้งกิจจา
อันองค์พระชนกชนนี มีคุณใหญ่หลวงหนักหนา
เป็นกรรมจำจากพระบาทา ให้ผ่านฟ้าเศร้าโศกแสนทวี
จงทูลว่าเราถวายบังคมไป แทบใต้ละอองบทศรี
คิดอยู่ทุกทิวาราตรี มิได้ลืมคุณภูวไนย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงจึงทูลสนองไข
ข้าพบพระองค์บัดนี้ไซร้ ดังบรรลัยแล้วเป็นคืนมา
กลับไปถ้าทูลสองกษัตริย์ จะมีความโสมนัสหนักหนา
อันชาวประมอตันนัครา ก็จะผาสุกเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
จึงตรัสแก่ตำมะหงงเสนี อันศึกครั้งนี้อย่าร้อนใจ
จะแต่งทัพไปช่วยรอนราญ สังหารไพรีให้ตักษัย
ตรัสแล้วก็พาเสนาใน ออกไปข้างหน้าทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ นั่งลงแล้วมีบัญชา แก่สังคามาระตาเรืองศรี
บัดนี้อริราชไพรี ยกมาติดตีประมอตัน
คือท้าวล่าสำผู้ศักดา กับระตูทั้งห้าเขตขัณฑ์
จะชิงเอาเชลยอุณากรรณ นอกนั้นพี่ไม่สู้อาลัย
เสียดายแต่ธิดาล่าสำ คมขำนวลละอองผ่องใส
เจ้าจงยกพหลสกลไกร เร่งไปให้ทันท่วงที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ก้มหน้าลงยิ้มด้วยยินดี แล้วยอกรชุลีทูลไป
อันการณรงค์ราวี ข้านี้หาสู้ชำนาญไม่
แต่รับสั่งมาแล้วก็จนใจ จะลองไปต่อสู้ดูสักครา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาทำเฉยเงยหน้า
ทูลปันหยีไปมิได้ช้า แต่ข้าแจ้งเหตุว่าศึกมี
ดีใจจะใคร่อาสา แต่เกรงพระอนุชาเรืองศรี
ซึ่งจะไปสงครามครั้งนี้ เห็นทีจะเอาเหื่อต่างน้ำ
เพราะเหตุว่าเป็นงานหา จำเล่นหน้าจอขึงตะบึงร่ำ
ใช่หนังขอช่วยจะพึมพำ ไม่จำใจเหมือนครั้งมะละกา
อันผู้รู้ความหลังทั้งนั้น ก็สรวลขึ้นด้วยกันพร้อมหน้า
แต่ระเด่นสังคามาระตา เบือนพักตรายิ้มพร้ิมไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีศรีใส
จึงสั่งยะรุเดะทันใด ซึ่งทัพไพรีที่ยกมา
บรรจบกันถึงหกธานี โยธีมากมายหนักหนา
แต่พลจะหรังวิสังกา น้อยกว่าข้าศึกเป็นพ้นไป
อันพลเชลยกับพลเรา จงเกณฑ์เข้าเป็นกองทัพใหญ่
ทั้งอาวุธสำหรับชิงชัย เร่งรัดจัดให้บัดนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยะรุเดะรับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาจากที่เฝ้าพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ เกณฑ์กระบวนถ้วนทั้งกองหน้า ปีกซ้ายปีกขวาแลกองขัน
เกียกกายยุกระบัตรจัดกัน กองหนุนเลือกสรรที่ชำนาญ
กองหลังมีกำลังสามารถ ร้ายกาจใจคอห้าวหาญ
กองร้อยคอยประจญประจัญบาน หนักไหนจะได้ต้านตีประดา
นายไพร่ล้วนเหล่าพวกพหล ทั้งพลปันหยีสุกาหรา
กับพลสังคามาระตา พลเชลยเกณฑ์มาสมทบกัน
พลม้ากล้าหาญชาญพาชี ขับขี่รวดเร็วดังจักรผัน
พร้อมเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ เตรียมกันคอยเสด็จจรลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้รุ่งรัศมี
จึงอำนวยอวยพรสวัสดี แก่องค์ยาหยีมีศักดา
เจ้าไปให้ได้สมคิด ปัจจามิตรพ่ายแพ้ทุกทิศา
แล้วสั่งตำมะหงงเสนา จงนำทัพอนุชาคลาไคล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาศรีใส
ก้มเกล้ารับพรภูวไนย ด้วยใจโสมนัสยินดี
แล้วกราบประณตบทบงสุ์ ลาองค์มิสาระปันหยี
ยุรยาตรนาดกรจรลี มาเข้าที่สรงสหัสวาริน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ลงสรง

๏ ชำระสระสรงสุธารส มะลิสดเฟื่องฟุ้งจรุงกลิ่น
ทรงสุคนธ์ปนทองหอมประทิน ภูษาทรงข้าวบิณฑ์พื้นแดง
สอดใส่ฉลองพระองค์ตาด เจียระบาดดอกรักปักทองแล่ง
ปั้นเหน่งเพชรแต่ละเม็ดเท่าเล็ดแตง ส่องแสงแวววามอร่ามเรือง
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น สังวาลวรรณทองกรประดับเนื่อง
ธำมรงค์ล้วนจินดาค่าเมือง ทรงมงกุฎบุษย์เหลืองประดับลาย
กรรเจียกแก้วแวววับประดับสี ห้อยอุบะมณีเฉิดฉาย
ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชอันเพริศพราย นาดกรกรีดกรายมาเกยชัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ เสด็จขึ้นเกยศิลาหน้าพระลาน เสนากราบกรานอยู่ไสว
สั่งให้เคลื่อนโยธาคลาไคล เสด็จทรงมโนมัยตัวดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๏ ม้าเอยม้าศึก เหี้ยมฮึกดังไกรสรสีห์
เยื้องอกยกย่างจรลี ท่วงทีชำนาญการณรงค์
พู่ห้อยบังเหียนรจนา เบาะอานพานหน้างามระหง
ม้าพี่เลี้ยงเดินเคียงม้าทรง กลดสุวรรณบรรจงโอฬาร
กองหน้าม้านำพลไกร ม้าถือธงชัยธงฉาน
ปีกป้องกองหนุนจะรอนราญ ม้าทหารกองหลวงเตือนกัน
ม้าแซงขับแซงรายเรียง แซ่เสียงฆ้องกลองบันลือลั่น
ผงคลีบดบังสุริยัน รีบเร่งพลขันธ์คลาไคล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ แรมร้อนรีบมาหลายวัน ถึงเขตประมอตันกรุงใหญ่
เห็นธงทัพระตูเป็นทิวไป จึงให้หยุดพลโยธี
แล้วสั่งนายทหารทั้งหลาย ให้ตั้งค่ายเป็นปทุมชัยศรี
ยั้งไว้ดูเชิงไพรี ชอบทีจะให้ไปเจรจา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายทัพนายกองพร้อมหน้า
รับสั่งแล้วเกณฑ์โยธา ตั้งค่ายดาษดากันไป
เป็นปทุมพยุหชัยชาญ มีด้านลงสู่แม่น้ำไหล
ก็แล้วเสร็จพลันทันใด ให้เล่นร่าเริงบันเทิงพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายประหรัดกะติกาคนขยัน
เห็นทัพหน้ามาตั้งนี่นัน ก็ขึ้นกัณฐัศว์ขับควบกลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากพาชีชาญ เข้าไปกราบกรานบังคมไหว้
ทูลท้าวล่าสำชาญชัย ว่ามีทัพใหญ่ยกมา
จะเป็นทัพผู้ใดมิได้แจ้ง ดูธงทิวดาษแดงไปทั้งป่า
ตั้งค่ายเป็นพยุห์ปทุมา พระผ่านฟ้าจงทราบบทมาลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำชาญชัยใจหาญ
ได้ฟังก็ดำริตริการ ภูบาลให้เตรียมพลไกร
แล้วสั่งม้าใช้คนขยัน จงแยกกันไปแจ้งแถลงไข
แก่ห้าระตูภูวไนย กำหนดให้รู้ทั่วพร้อมกัน
ข้างด้านในเมืองจงประหยัด แล้วจัดทหารอันแข็งขัน
จะออกโจมตีทัพกระหนาบนั้น แต่รุ่งสุริย์ฉันให้ทันที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ม้าใช้รับสั่งใส่เกศี
ห้านายถวายอัญชลี ขึ้นพาชีแยกกันไคลคลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ต่างถึงลงม้าทันใด เข้าไปทูลระตูทั้งห้า
ตามในพระราชบัญชา องค์ท้าวล่าสำชาญชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ห้ากษัตริย์สุริย์วงศ์เป็นใหญ่
ครั้นแจ้งแห่งคำม้าใช้ ก็กำชับไพร่พลโยธา
แล้วจัดทหารชาญณรงค์ ล้วนกำลังอาจองแกล้วกล้า
เตรียมไว้ทุกกองดังบัญชา แต่ในเวลาราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำผู้รุ่งรัศมี
ทั้งห้ากษัตริย์ธิบดี ครั้นรุ่งรังสีรวีวร
ต่างชำระสระสรงคงคา ทรงเครื่องยุทธนาชาญสมร
จับสาตราอาวุธฤทธิรอน บทจรมาขึ้นมโนมัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างเคลื่อนโยธาทวยหาญ เสียงพลโห่สะท้านสะเทื้อนไหว
เสียงช้างเสียงม้าดาไป เอิกเกริกทั้งในพสุธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด

๏ ครั้นใกล้ต่างมีสีหนาท ประกาศนิกรซ้ายขวา
เร่งเข้าโจมตีอย่าได้ช้า จับเอาโจรป่ามาบัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายทหารรับสั่งใส่เกศี
ทั้งห้าทัพต่างขับโยธี เข้าโถมโจมตีอลวน
ต่างพุ่งอาวุธเป็นโกลา ยิงปืนดังฟ้าคะนองฝน
บ้างเลี้ยวไล่รุกบุกประจญ แทงฟันอลวนไม่กลัวตาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พวกทหารทัพกระหนาบทั้งหลาย
ต่อยุทธ์อุตลุดทั้งไพร่นาย บ้างขับพลนิกายเนื่องมา
รับรองป้องกันประจัญบาน ต้านทานหนุนหนักหักกล้า
พลระตูตายกลาดดาษดา เสนาช่วยกันประจัญตี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายระตูประมอตันเรืองศรี
ได้ยินเสียงปืนรบราวี เสียงโยธีโห่ร้องก้องโกลา
ก็หมายว่าทัพมิสาระปันหยี กรีพลมาช่วยเข่นฆ่า
ยินดีด้วยสมจินดา จึงมีบัญชาไปทันใด
เร่งเร็วเสนาระดมกัน เกณฑ์หมู่พลขันธ์น้อยใหญ่
จัดให้หลายทัพฉับไว ออกไปรบกระหนาบบัดนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยาสารับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จัดได้เสนีสี่คน รู้กลรณรงค์แข็งขัน
เกณฑ์หมู่ทวยหาญชาญฉกรรจ์ เลือกสรรแต่ชำนาญการราวี
จัดเป็นสี่กองโดยขนาด องอาจสู้ศึกไม่นึกหนี
แต่ละกองกำหนดโยธี ห้าหมื่นทั้งสี่เสนา
อันตัวยาสาเป็นกองขัน หนักไหนช่วยกันเข่นฆ่า
จัดแล้วก็ยกโยธา ออกมาทุกทวารเวียงชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กราวเชิด

ร่าย

๏ พอได้ยินเสียงปืนครื้นครั่น ต่างยกดากันเข้าลุยไล่
บ้างยิงปืนยาหน้าไม้ ปืนไฟใหญ่น้อยระดมกัน
พลหอกพลดาบพลง้าว โห่เกรียววิ่งกราวเข้าห้ำหั่น
พลม้าดาแซงเข้าแทงฟัน พวกระตูพากันบรรลัยลาญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายทัพหกระตูที่ต่อต้าน
กำลังรบรันประจัญบาน เห็นทัพมาอีกด้านก็ตกใจ
แยกย้ายโยธาโกลาหล ให้กลับหน้ามาประจญทางด้านใหม่
ที่รบทัพกาหลังกรุงไกร ก็ราญรอนอ่อนไปในทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ได้ยินเอิกเกริกทางธานี ภูมีดำริตริการ
ชะรอยว่าทัพเมืองประมอตัน ยกออกโรมรันหักหาญ
จึงขับอาชาชัยชาญ เร่งพลอลหม่านเข้าชิงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกทหารกาหลังทั้งนายไพร่
เห็นการศึกเป็นทีก็ดีใจ ต่างจู่โจมโถมไล่ไพรี
พวกม้าไล่ตลบทบแทง พวกเดินแข่งเข้ารุกทุกหน้าที่
พลระตูย่นย่อรอรี ได้ทีตีตะบึงไม่รารั้ง ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น หกระตูเห็นพลย่นถอยหลัง
ต่างขับพาชีมีกำลัง ไล่หลังฟันคนกล่นเกลื่อนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พลระตูคิดขยาดหวาดไหว
กลัวนายจะฟันให้บรรลัย ก็จำใจกลับหน้ามาโรมรัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทัพทั้งสองนครแข็งขัน
ได้ทีตีกระหนาบบุกบัน ไล่พิฆาตฟาดฟันวุ่นวาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ อันพลระตูทั้งนั้น ก็ล้มตายก่ายกันมากหลาย
บ้างตื่นแตกกระจัดพลัดพราย ไพร่นายไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวล่าสำขุ่นข้องหมองศรี
กับระตูทั้งห้าธานี เห็นท่วงทีจะถึงอัปรา
ด้วยรี้พลกระจัดพลัดพราย ล้มตายก็มากเป็นหนักหนา
ข้าศึกโอบอ้อมล้อมเข้ามา จึงปรึกษากันในทันใด
แม้นเราจะรบอยู่ฉะนี้ น่าที่จะพากันตักษัย
จำจะเอาชีวิตให้รอดไว้ ต้องขอออกท้าวไทประมอตัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นปรึกษาพร้อมกันทันใด ก็ให้ลดธงชัยทุกทัพขันธ์
ยกธงขาวขึ้นเป็นสำคัญ แล้วพากันเข้าไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา แก่เสนาประมอตันบุรีศรี
จงช่วยกราบทูลพระภูมี ว่าเรานี้องอาจอหังการ์
พากันกรีพลมาชิงชัย โทษทัณฑ์นั้นใหญ่หลวงนักหนา
จะขอเป็นเมืองขึ้นพระผ่านฟ้า ไปกว่าจะม้วยบรรลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยาสาเสนาผู้ใหญ่
เห็นระตูยอมแพ้แก่ทรงชัย ดีใจก็พาเข้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงถวายอภิวาท ทูลพระบาทผู้ผ่านกรุงศรี
ตามซึ่งได้รบราวี ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ
บัดนี้ระตูทั้งหกองค์ ยกธงขอออกไม่ต่อต้าน
จึงนำมาเฝ้าบทมาลย์ พระภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันนาถา
ได้ฟังยินดีปรีดา ดังได้ผ่านฟ้าดุษฎี
จึงมีบัญชาอันสุนทร ดูก่อนหกกษัตริย์เรืองศรี
ธรรมดาโอรสแลบุตรี ประเพณีย่อมรักทั้งแดนไตร
แต่เจ้าของเขายังมีอยู่ เราไม่รู้ที่จะคืนให้
แม้นปันหยีมารับเมื่อไร จะส่งไปตามคำอุณากรรณ
ซึ่งท่านมาราวีตีเมือง เราก็สิ้นแค้นเคืองไม่เดียดฉันท์
ว่าแล้วเรียกเชลยทั้งนั้น ให้มาบังคมคัลพระบิดา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เหล่าระเด่นบุตรีโอรสา
ต่างออกมาตามพระบัญชา กราบบาทพระบิดาแล้วโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ทั้งหกกษัตริย์หมองศรี
ต่างกอดลูกรักไว้ทันที ภูมีร่ำไรไปมา
อนิจจาเป็นกรรมวิบาก ตั้งแต่จากช้านานพึ่งเห็นหน้า
รอดตายจึงได้พบลูกยา ว่าพลางวันทาทูลไป
ซึ่งพระองค์โปรดเกศทั้งนี้ พระคุณหาที่สุดไม่
ขอเอาพระเดชภูวไนย ปกไปกว่าจะม้วยชีวี
แม้นจะส่งลูกรักของข้า ไปให้มิสาระปันหยี
พระองค์ผู้ดำรงธรณี จงมีมิตรภาพกรุณา
โปรดช่วยโอวาทฝากฝัง ถ้าผิดพลั้งจงโปรดเกศา
ล้วนไกลบิตุเรศมารดา ไม่มีที่พึ่งพาผู้ใด ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันเป็นใหญ่
จึงมีบัญชาตอบไป อย่าได้วิตกด้วยข้อนี้
แล้วอำนวยอวยชัยหกกษัตริย์ จงถาวรพิพัฒน์เกษมศรี
อย่ามีอันตรายราคี ครองบุรีสุขเกษมเปรมปรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งหกระตูก็หรรษา
รับพรยอกรบังคมลา สั่งธิดาโอรสแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงที่ประชุมโยธี ต่างขึ้นรถมณีศรีใส
บ้างขึ้นม้าพาพวกพลไกร ต่างแยกกันไปยังธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
เห็นทัพอริราชไพรี เลิกพลโยธีกลับไป
จึงสั่งตำมะหงงผู้ถือสาร บัดนี้ก็เสร็จการศึกใหญ่
จงเข้าไปทูลภูวไนย ให้แจ้งพระหฤทัยว่าเรามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา
พาพวกพลไกรไคลคลา เข้าในนคราทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเข้าพระโรงชัย บังคมไหว้ประณตบทศรี
ทูลองค์พระผู้ทรงธรณี ว่าปันหยีฤทธิไกรชัยชาญ
ใช้ให้จะหรังวิสังกา ยกพลโยธาทวยหาญ
มาช่วยหักโหมโรมราญ ไพรีแตกฉานทุกทัพชัย
แล้วทูลว่าข้าพบอุณากรรณ อัศจรรย์หาเป็นบุรุษไม่
เพศชายนั้นกลายกลับไป เป็นสตรีวิไลลักขณา
อยู่กับมิสาระปันหยี ดูท่วงทีสนิทเสนหา
เป็นฉันสามีภริยา พระผ่านฟ้าจงทราบบาทบงสุ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวประมอตันฟังตำมะหงง
ยินดีดังได้เห็นองค์ แต่พะวงสงกาเป็นพ้นไป
แล้วตรัสซักถามตามคดี เหตุผลนั้นมีเป็นไฉน
จึงกลับกลายไปได้ดังนี้ไซร้ รู้บ้างหรือไม่นะเสนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา
จึงทูลสนองพระบัญชา เมื่อข้าเห็นปันหยีชาญชัย
ให้คิดถึงองค์อุณากรรณ ก็ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาได้
ปันหยีถามว่าร้องไห้ไย จึงบอกไปโดยจริงทุกสิ่งอัน
เธอห้ามว่าอย่าไห้โทมนัส เขาไปชมสมบัติเมืองสวรรค์
ว่าแล้วก็พาสารานั้น เข้าในห้องสุวรรณทันที
บัดเดี๋ยวหนึ่งจึงให้สาวใช้ มาหาข้าเข้าไปถึงในที่
จึงเห็นอุณากรรณเป็นนารี ข้าโศกีพระองค์ก็ร่ำไร
ข้าได้ทูลถามความทั้งนี้ ตรัสว่าสุดที่จะบอกได้
ด้วยเหตุว่าเป็นความใน สั่งแต่ให้มากราบพระบาทา
อันปันหยีนั้นนั่งเคียงอยู่ พิเคราะห์ดูยิ้มละไมแต่ในหน้า
แล้วไปสั่งจะหรังวิสังกา ให้กรีพลมาช่วยราวี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันเกษมศรี
ได้ฟังคำตำมะหงงเสนี ภูมีสุขเกษมเปรมปรา
จึงสั่งมหาเสนาใน เร่งจัดพลไกรซ้ายขวา
ไปรับจะหรังวิสังกา เข้ามาธานีฉับไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งบังคมภูวไนย ก็รีบออกไปด้วยพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จัดหมู่โยธาพลากร อัสดรริ้วรายหลายหลั่น
เครื่องแห่ฆ้องกลองครบครัน เสร็จแล้วพากันไคลคลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา
ทูลองค์จะหรังวิสังกา พระผ่านฟ้าให้มารับเข้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ได้ฟังตำมะหงงก็ยินดี เสด็จเข้าที่สรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ สรงสหัสธาราวาริน ทรงสุคนธ์ปนกลิ่นหอมหวาน
กิดาหยันนั้นถวายอยู่งาน ทรงภูษาเครือก้านกระหนกพัน
ห้อยหน้าผ้าทิพย์ขลิบตาด เจียระบาดคาดปั้นเหน่งสายกระสัน
ฉลององค์ปักทองกรองสุวรรณ ทับทรวงดวงกุดั่นชมพูนุท
ทรงสังวาลบานพับประดับเพชร ทองกรข้างละเจ็ดประดับบุษย์
ธำมรงค์ลงยาเรือนครุฑ โพกตาดผาดผุดด้วยแสงทอง
ห้อยอุบะบุปผาจำปาสด เหน็บกริชคมกรดไม่มีสอง
ถือเช็ดหน้าสีทับทิมริมกรอง เสด็จออกจากห้องพลับพลาพลัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ เหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชี พร้อมหมู่เสนีกิดาหยัน
ให้เคลื่อนพลากรจรจรัล เสนาประมอตันนำหน้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

โทน

๏ ม้าเอยม้าเทศ สูงสามศอกเศษศรีใส
ขนขาวราวกับนุ่นละมุนละไม อกใหญ่หางยาวเท้ารัด
เป็นม้าทวนควรขี่ดีทายาด ร้ายกาจโผนผกชกกัด
เบาะอานพานหน้ากะทัดรัด ห้อยพู่ดูหยัดเยียรยง
ม้าพี่เลี้ยงเคียงม้าพระโฉมฉาย ม้าแห่ริ้วรายงามระหง
กิดาหยันตามม้ารักษาองค์ เทียวธงแห่แหนแน่นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ ครั้นถึงชานชาลาหน้านิเวศน์ ก็ลงจากม้าเทศศรีใส
ตำมะหงงนำหน้าคลาไคล ขึ้นไปยังพระโรงรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ ระตูผู้ดำรงกรุงศรี
ด้วยใจจงรักภักดี อยู่ที่ท่ามกลางเสนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันก็หรรษา
พิศพักตร์จะหรังวิสังกา แล้วบัญชาปราศรัยด้วยไมตรี
ซึ่งข้าศึกมาทำหักหาญ เรามีสารไปแจ้งแก่ปันหยี
ให้เจ้ายกมาช่วยทันที ไพรีแพ้ฤทธิ์ไม่ต้านทาน
ขอบคุณของเจ้าหนักหนา แกล้วกล้าสามารถอาจหาญ
หักโหมโรมรันประจัญบาน รี้พลก็ชำนาญการชิงชัย
อันองค์มิสาระปันหยี ยังค่อยอยู่ดีหรือไฉน
ขอเชิญเจ้าเล่าแถลงให้แจ้งใจ เรานี้รักจักใคร่เป็นไมตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ได้ฟังบัญชาพระภูมี อัญชลีแล้วทูลสนองไป
อันปันหยีผู้มีฤทธิรอน จะทุกขาอาวรณ์ก็หาไม่
เป็นสุขเกษมศานต์สำราญใจ โรคาสิ่งใดไม่พ้องพาน
แต่ได้แจ้งแห่งราชสารา ก็เร่งจัดโยธาทวยหาญ
ให้ข้ารีบมาช่วยรอนราญ จงทราบบาทบทมาลย์พระภูมี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านประมอตันกรุงศรี
ได้ฟังแจ้งใจในคดี มีพระทัยสุขเกษมเปรมปรา
จึงเรียกเอามงกุฎสังวาลทรง ธำมรงค์มณีมีค่า
มาประทานจะหรังวิสังกา ส่วนมิสาระปันหยีก็ฝากไป
อันพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน เสื้อผ้าแพรพรรณก็จัดให้
แต่บรรดาซึ่งมาในทัพชัย ตามหลั่นน้อยใหญ่ทั้งไพร่นาย
แล้วตรัสแก่จะหรังวิสังกา เจ้าจงพาเหล่าเชลยทั้งหลาย
ไปให้อุณากรรณผู้เพริศพราย ต่อภายหลังเราจึงจะตามไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาศรีใส
ก้มเกล้ารับสั่งภูวไนย ด้วยใจประดิพัทธ์ยินดี
พลางชายชำเลืองนัยนา ดูระเด่นกุสุมาโฉมศรี
เนตรประสบพบเนตรนางเทวี ยิ่งมีเสนหาอาวรณ์
ให้คิดกระหยิ่มอิ่มใจ ดังจะไปอุ้มองค์ดวงสมร
แล้วบังคมลาพระภูธร บทจรมาทรงอาชา
บรรดานางเชลยทั้งนั้น ก็มาขึ้นสุวรรณรถา
พร้อมเหล่าสาวสรรค์กัลยา สองกุมารทรงม้าตามกัน
จึงให้เคลื่อนโยธาหน้าหลัง ออกจากทวารวังรังสรรค์
ล่วงด่านผ่านเขตประมอตัน จรจรัลมาโดยพนาลัย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว

ชมดง

๏ เดินทางตามหว่างเนินพนม รุกขชาติรื่นร่มพระสุริย์ใส
เห็นบุหงาแบ่งบานตระการใจ ภูวไนยครุ่นคิดจิตจง
พลางชมดอกดวงพวงผกา แก้วกุหลาบสร้อยฟ้ามหาหงส์
สาวหยุดพุดจีบปีบประยงค์ กาหลงชงโคมะลิวัลย์
จำปาสารภียี่สุ่น พิกุลบุนนาคนมสวรรค์
เห็นวิหคนกเปล้าเคล้าคลึงกัน พระหวั่นหวั่นฤทัยไปมา
อนิจจาปักษายังมีคู่ แต่ตัวกูไร้เพื่อนเสนหา
คิดไว้ยังไม่สมจินดา เป็นเวราสิ่งใดดังนี้
แสนรักกลัดกลุ้มรุมรึง ถวิลถึงกุสุมาโฉมศรี
ยิ่งสะท้อนถอนใจพันทวี พลางเร่งโยธีคลาไคล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ พอพระสุริยาอัสดง ลดลงลับเหลี่ยมเนินไศล
ให้หยุดพหลพลไกร ประทับแรมที่ในพนาวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ ครั้นล่วงปัจฉิมยามเวลา จันทราจำรัสฉายฉัน
สกุณาขันขานประสานกัน จักจั่นเรไรเครงครวญ
น้ำค้างตกต้องมาลา ลมพาคันธรสหอมหวน
ให้วังเวงหฤทัยรัญจวน คะนึงถึงนิ่มนวลยุพาพาล
อนิจจากุสุมาโฉมเฉลา พี่พาเจ้ามาในไพรสาณฑ์
ทำไฉนจะได้เยาวมาลย์ มาแนบนอนให้สำราญฤดี
ถึงใกล้เหมือนไกลกันหนักหนา แก้วตาไม่เห็นอกพี่
แสนสุดกระสันพันทวี หากเกรงองค์ปันหยีพี่ยา
หาไม่จะไปสมสนิท ให้ดวงจิตแจ้งเล่ห์เสนหา
แต่คร่ำครวญถึงระเด่นกุสุมา จนม่อยนิทราหลับไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

ร่าย

๏ ครั้นแสงสุริย์ฉายอรุณเรือง ก็สระสรงทรงเครื่องผ่องใส
กุมกริชฤทธาคลาไคล มาขึ้นมโนมัยด้วยพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงให้เดินพยุหทวยหาญ ข้ามธารผ่านพนมพนาสัณฑ์
ร้อนแรมหลายคืนหลายวัน จรจรัลโดยทางพนาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงกาหลังให้ยั้งหยุด ผู้คนอุตลุดอึงมี่
พระเสด็จลงจากพาชี จรลีเข้าเฝ้าพระผ่านฟ้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงกราบประณตบทบงสุ์ ทูลองค์ปันหยีสุกาหรา
บรรยายแต่ต้นจนปลายมา ซึ่งเข่นฆ่ามีชัยแก่ไพรี
แล้วทูลว่ามงกุฎสังวาลวรรณ องค์ท้าวประมอตันเรืองศรี
ให้ข้ามาถวายพระภูมี ด้วยจงรักภักดีเป็นพ้นไป
แต่เหล่าเชลยทั้งนี้ ถวายองค์พระบุตรีศรีใส
บรรดาโยธาในทัพชัย ก็ได้บำเหน็จนานา
อันระตูกับหมู่ประชากร ทั้งนครเกษมสันต์หรรษา
ตรัสว่าจะเสด็จตามมา จงทราบบาทาพระภูมี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
ได้ฟังอนุชาก็ยินดี ยิ้มพลางทางมีพจมาน
เจ้าทำสงครามมาล้าเลื่อย เหน็ดเหนื่อยควรพักตำหนักสถาน
อันระเด่นกุสุมายุพาพาล ถึงไม่ตระการใจพระอนุชา
จะให้อื่นที่ชื่นอารมณ์ชู ก็เล็งดูยังไม่มีที่จะหา
จงรับไว้เป็นบำเหน็จน้องยา พอปฏิบัติวัตถาให้คลายใจ
แล้วตรัสสั่งพี่เลี้ยงผู้ภักดี อันเชลยนอกนี้เรายกให้
แก่องค์ย่าหรันนั้นไซร้ จงนำไปให้ทันในวันนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ซ่อนยิ้มแล้วลาพระภูมี มายังที่อยู่ในทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงรับสั่งบังคมไหว้
จึงนำนางเชลยทั้งนั้นไซร้ ไปตามบัญชาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
จึงเสด็จนาดกรจรจรัล เข้าห้องสุวรรณรจนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงนั่งแนบแอบองค์ พระชงฆ์ทับเพลาขนิษฐา
ยิ้มพลางทางแจ้งกิจจา ซึ่งสังคามาระตาไปชิงชัย
ได้รบโรมรันประจัญบาน ไพรีไม่ต้านต่อได้
ระตูประมอตันนั้นดีใจ ฝากเชลยมาให้อุณากรรณ
พี่เห็นว่าเจ้าหาต้องการไม่ จึงให้อนุชาย่าหรัน
แต่นางจินตะหรากุสุมานั้น พี่รางวัลสังคามาระตา
เจ้าอย่าอาลัยเลยโฉมศรี จงฟังคำพี่ดีกว่า
อันท้าวประมอตันจะตามมา กัลยาจะคิดอ่านประการใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นอรสาศรีใส
ได้ฟังวาจาก็อายใจ ค้อนให้แล้วตอบวาที
อันพระบิดาได้การุญ มีพระคุณดังเกิดเกศี
แต่อัปยศอดสูแสนทวี ไม่รู้ที่จะดูพระพักตรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีตอบองค์ขนิษฐา
อย่าปรารมภ์ตรมใจกัลยา ต่อมาถึงจึงค่อยคิดกัน
ว่าพลางแอบอิงพิงพาด สุดสวาทภิรมย์หฤหรรษ์
แสนสนิทเสนหาลาวัณย์ เกษมสันต์ยั่วยวนยินดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ครั้นย่ำสนธยาราตรี ก็จรลีเข้ายังตำหนักใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชาตรี

๏ นั่งลงเคียงนางกุสุมา แล้วมีวาจาปราศรัย
ดูก่อนแก้วตายาใจ จะแจ้งในความทุกข์แต่หลังมา
เมื่อเจ้าอยู่ด้วยอุณากรรณ พี่นี้ผูกพันเสนหา
อาลัยในองค์วนิดา ไม่เว้นสักเวลานาที
จนเจ้าตกไปประมอตัน ยิ่งรัญจวนใจถึงโฉมศรี
เป็นบุญให้เกิดไพรี พี่จึงได้ยกไปชิงชัย
สู้เอาชีวิตเข้าแลกรัก หาญหักไม่กลัวตักษัย
ครั้นเสร็จศึกได้เห็นอรไท ค่อยคลายใจที่ทุกข์ทรมาน
พี่อุตส่าห์กลั้นความเสนหา ตลอดมาในทางไพรสาณฑ์
บัดนี้ปันหยีชัยชาญ ประทานองค์นงคราญให้พี่ยา
จะค่อยถนอมนวลสงวนรัก สงวนศักดิ์มิให้เคืองขนิษฐา
ว่าพลางลูบหลังกัลยา แก้วตาอย่าสลัดตัดอาลัย ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาศรีใส
หวาดหวั่นครั่นคร้ามเป็นพ้นไป ทรามวัยจึงตอบวาจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระเอยพระองค์ พระจงโปรดเกล้าเกศา
ข้านี้ทุกข์นักหนักอุรา ด้วยตัวเป็นข้าอุณากรรณ
ซึ่งองค์ปันหยีประทานให้ จะรับใช้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แต่ที่จะสนิทติดพัน ข้อนั้นขัดสนพ้นปัญญา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โลม

๏ แสนเอยแสนคม คารมแหลมหลักหนักหนา
ว่าไยเช่นนั้นกัลยา ไม่พอที่จะมาทุกข์ร้อน
พี่ก็แจ้งใจในความหลัง แต่ครั้งเห็นเจ้าเมื่อคราวก่อน
ว่ามิสาอุณากรรณกับบังอร เป็นเพื่อนนอนพูดเล่นเจรจา
แต่เขาหมายไปสวรรค์พันผูก อันเมียลูกมิได้ปรารถนา
หาไม่ไหนจะทิ้งกัลยา ไปสวรรค์ชั้นฟ้าแต่เดียวดาย
เพราะเห็นเขาไม่หวงห่วงไย พี่จึงได้ผูกพันมั่นหมาย
พยายามตามอยู่ไม่รู้วาย จนได้โฉมฉายมาครั้งนี้
ว่าพลางพระทางสัพยอก เย้าหยอกเล้าโลมนางโฉมศรี
คว้าไขว่ด้วยใจเปรมปรีดิ์ อนิจจาผันหนีพี่ยาไย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ น้อยเอยน้อยจิต สุดคิดปิ้มเลือดตาไหล
ยิ่งห้ามก็ยิ่งลามลวนไป ไม่เกรงใจเพราะเป็นเชลยมา
ถึงองค์อุณากรรณไม่ห่วงใย ก็กลการอะไรมาค่อนว่า
ใครแถลงจึงแจ้งกิจจา ว่าเป็นเพื่อนนิทราอุณากรรณ
ธรรมดาเป็นข้าของท่าน การงานก็ใช้ทุกสิ่งสรรพ์
ถ้าพระองค์ทรงใช้ให้เหมือนกัน ข้าก็ไม่บิดผันรังเกียจใจ
นี่ลามลวนกวนเกินไปหนักหนา ไม่เป็นแต่สนทนาปราศรัย
จะผันผ่อนหย่อนตามก็ขามใจ นานไปจะไม่พ้นอัประมาณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โลม

๏ สุดเอยสุดสวาท แสนฉลาดตอบโต้ด้วยโวหาร
จะรักเจ้าตราบเท่าบรรลัยลาญ ไม่ทอดทิ้งเยาวมาลย์ให้ได้อาย
ถึงเจ้าเกี่ยงเลี่ยงแก้ประการใด พี่ก็ไม่ละวางนางโฉมฉาย
จะประคองน้องแอบไว้แนบกาย กว่าจะสมอารมณ์หมายของพี่นี้
ว่าพลางกอดเกี้ยวเกลียวกลม แสนภิรมย์รับขวัญมารศรี
ชมแก้มแนมดวงสุมาลี ฤดียียวนไปมา
ภุมเรศคลึงเคล้าเกสร แซกซอนฟอนฟั้นบุปผา
เบิกบานทานแสงสุริยา เมฆาชอุ่มอนธการ
เมขลาล่อแก้วแววไว รามสูรเลี้ยวไล่ขว้างขวาน
เสียงสนั่นพสุธาบาดาล ทั้งสองแสนสำราญบานใจ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โลม

ช้า

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาศรีใส
ได้ร่วมรสรักภูวไนย อรไทเคียงข้างไม่ห่างองค์
หมอบชม้อยคอยให้ใช้ชิด แสนสนิทพิสมัยใหลหลง
ดังสุธาทิพรสหลั่งลง ซึมซาบอาบองค์กัลยา
ลืมคะนึงถึงมิสาอุณากรรณ ลืมเล่นด้วยกำนัลซ้ายขวา
ลืมทั้งบิตุเรศมารดา สุดแสนเสนหาพันทวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ได้สู่สมชมรสฤดี ด้วยยาหยีกุสุมาลาวัณย์
แสนสวาทคลึงเคล้าเย้ายวน ชิดชวนชื่นชมภิรมย์ขวัญ
ปรองดองสองถนอมน้ำใจกัน แสนกระสันบันเทิงระเริงใจ
เกษมสุขทุกทิวาราตรี จะไปเฝ้าปันหยีก็หาไม่
ต่อหลายวันครั้นรุ่งอโณทัย คิดจะไปเฝ้าองค์พระภูมี
จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองจำรัสรัศมี
ถือเช็ดหน้ากรายกรจรลี พี่เลี้ยงกิดาหยันก็ตามมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ องค์มิสาระปันหยีสุกาหรา
ด้วยใจภักดีปรีดา คอยฟังบัญชาภูวไนย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาปากคันไม่กลั้นได้
ทำยิ้มในหน้าแล้วว่าไป เอออะไรนิ่งกันเสียดังนี้
พระอนุชายกไปรอนราญ ผลาญชาวล่าสำกรุงศรี
ปิศาจร้ายกาจราวี ให้ภูมีประชวรกลับมา
ทั้งอาเพศผีซ้ำด้ามพลอย ดูเป็นริ้วดังรอยนขา
แล้วซูบซีดไปทั้งกายา หมออื่นจะรักษาเห็นไม่คลาย
จำจะต้องหาแพทย์เมืองล่าสำ มาแก้ผีกระทำจึงจะหาย
ละไว้จะกำเริบวุ่นวาย ยิ่งจะร้ายแข็งขันขึ้นกว่านี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเรืองศรี
ได้ฟังประสันตาพาที ภูมียิ้มละไมไปมา
จึงเอาพลูรอยกัดซัดไป กลการอะไรจึงค่อนว่า
ถึงจะต้องปิศาจมายา โรคาจะกำเริบก็ทำไม
พี่ช่างมีหน้าว่าเล่น จะเห็นอกผู้อื่นก็หาไม่
อันธรรมดาป่วยดังนี้ไซร้ คือใครจะไม่ผอมก็ว่ามา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ยิ้มพลางทางมีวาจา อันปากประสันตานั้นสามานย์
ไม่คิดสอดส่ายดูปลายต้น สัปดนว่าไปโดยโวหาร
ให้ความมาปะทะระราน กระนี้จะว่าขานประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาจึงทูลสนองไข
รับสั่งจะจำไว้สอนใจ จะนิ่งเป็นใบ้สักสามวัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีสำรวลสรวลสันต์
แล้วเสด็จกรายกรจรจรัล เข้าห้องสุวรรณรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ[๑]



[๑] ตั้งแต่พ้นบทที่ทรงพระราชนิพนธ์มา ถึงเล่ม ๓๐ เล่ม ๓๑ ตรวจดูความอยู่ข้างฟั่นเฝือทุกฉบับ การชำระลำบากยิ่งนัก ความที่พิมพ์ในเล่ม ๓๐ เล่ม ๓๑ ฉบับนี้คงผิดกับฉบับอื่น ๆ จึงบอกไว้ให้ทราบ

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ