เล่มที่ ๒๔

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพเป็นใหญ่
ถึงเวลาเสด็จออกพระโรงชัย ภูวไนยสระสรงคงคา
ทรงเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์ มงกุฎเก็จเพชรรัตน์มีค่า
กุมกริชฤทธิไกรไคลคลา ออกมาพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงตรัสสั่งดะหมังเสนี ถึงกำหนดพิธีสระสนาน
จะได้ดูล่อแพนแลผัดพาน จงตรวจตราเตรียมการให้พร้อมไว้
แล้วตรัสสั่งอุณากรรณปันหยี ครั้งนี้สระสนานเป็นการใหญ่
เจ้าแต่งตัวขี่ช้างระวางใน แห่ให้บิดาดูเป็นขวัญตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณบังคมแล้วก้มหน้า
ปันหยีรับราชบัญชา แล้วแลดูตาอุณากรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกาหลังรังสรรค์
สั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงคัล จรจรัลเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ดะหมังเสนาผู้ใหญ่
ออกมายังศาลาลูกขุนใน ให้หมายไปสั่งกันดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็ลุกมา นั่งใกล้มิสาอุณากรรณ
ยิ้มพลางทางกล่าวอภิปราย เป็นแยบคายเปรียบเปรยเย้ยหยัน
ครั้งนี้เดินสนานการสำคัญ พี่นี้นึกพรั่นเป็นพ้นไป
จะประกวดกับน้องพระบุตรี ดูเยี่ยงมีที่รักบำรุงให้
สารพัดไม่ขัดสนสิ่งใด อิ่มใจอยู่ด้วยมีพี่นาง
ตัวพี่ไม่มีที่มุ่งหมาย ช่วยเบี่ยงบ่ายเพ็ดทูลให้บ้าง
ถึงไม่ได้เหมือนเช่นแต่เป็นกลาง อย่าให้ข่มไปข้างเดียวนัก
เจ้าเป็นที่ชอบหน้าอัชฌาสัย คุ้นเคยข้างในได้รู้จัก
เอ็นดูด้วยช่วยพี่ที่ไร้รัก จะงามพักตร์ก็เพราะเจ้าเมตตา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกะหมันวิยาหยา
ยิ้มพลางทางตอบวาจา กลับว่าดังนี้น่าอัศจรรย์
ถึงเป็นอนุชาก็กาฝาก ไม่เหมือนปากพี่ว่าอย่าเย้ยหยัน
แม้นจงจิตสนิทเสน่ห์กัน เช่นนั้นเห็นทีจะโปรดปราน
จะนิ่งดูอยู่ได้ที่ไหนพี่ ไม่พักมีนายหน้าไปว่าขาน
อย่าร้อนใจคงจะได้ของประทาน แต่ไม่มีงานการยังเนืองไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มแล้วแถลงไข
อนุชาเจ้าว่าฉะนั้นไย เห็นเกินพักตร์พี่ไปอย่าพาที
ว่าพลางสรวลสันต์หรรษา แล้วออกมาจากพระโรงเรืองศรี
อุณากรรณไปดาหาปาตี ปันหยีไปปันจะรากัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากอาชา ตรงไปพลับพลาสะตาหมัน
เอนองค์ลงเหนือแท่นสุวรรณ ทรงธรรม์ตริตรึกนึกใน
คิดจะใคร่ลองใจพระบุตรี ดูทีว่าจะเป็นไฉน
จึงเรียกประสันตาผู้ร่วมใจ เข้าไปช่วยประดิษฐ์คิดเพลงยาว
เสร็จทรงลงกระดาษแล้วตรัสสั่ง พี่ไปยังบาหยันอย่าอื้อฉาว
จงช่วยถวายสารอีกสักคราว คอยฟังให้ได้ข่าวมาวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาเอางานรับสารศรี
ก้มเกล้ากราบงามสามที รีบไปตามมีพระบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมาถึงสถานทวารวัง ก็แวะนั่งที่ทิมคอยท่า
พอเห็นบาหยันเดินมา พยักหน้าแล้วยิ้มพริ้มพราย
ว่าบัดนี้ปันหยีชัยชาญ ใช้เรานักการให้ถือหมาย
มาแจ้งความตามร้อนธุระนาย เจ้าช่วยนำสารถวายพระบุตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันพี่เลี้ยงสาวศรี
ยิ้มพลางทางว่าไปทันที หน้าตาเช่นนี้หรือนักการ
รูปร่างช่างสมถือหมาย ปากคอเราะรายว่าขาน
ไหนเล่าส่งมาเถิดอย่านาน นางรับสารใส่สไบแล้วไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ชุบ

๏ จึงเข้าไปเฝ้าองค์อรไท บาหยันยิ้มละไมอยู่ในหน้า
ถวายสารปันหยีที่ให้มา แล้วแจ้งกิจจาทุกประการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดยอดสงสาร
แย้มยิ้มพริ้มพักตร์พจมาน จึงคลี่สาราอ่านทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ในสารนั้นว่านิจจาเอ๋ย ไฉนเลยจะสมคิดพิสมัย
ถึงมาตรแม้นชีวันจะบรรลัย แต่ขอให้เสร็จสมอารมณ์รัก
แค้นใจไม่เกิดในสุริย์วงศ์ ให้เหมือนองค์อุณากรรณมีศักดิ์
จะได้เป็นคนโปรดนางนงลักษณ์ นี่น้อยหน้านักเป็นชาวไพร
แสนวิตกที่จะต้องเดินสนาน จะตระการงามหน้ามาแต่ไหน
จะแข่งเคียงอุณากรรณฉันใด เขาเป็นน้องอรไทพระธิดา
สารพัดงามครบเครื่องตบแต่ง จะจัดแจงมาแต่ในนั้นหนักหนา
อันปันหยีนี้เป็นชาวอรัญวา ทั้งไร้ที่พึ่งพาก็จำจน
ชาววังจะนั่งสรวลสำรวลเย้ย อกเอ๋ยยิ่งคิดยิ่งขัดสน
เห็นสุดธุระร้อนจะผ่อนปรน นฤมลจงทราบคดีเอย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในสารา กัลยาแย้มสรวลเกษมศรี
น้อยหรือน้ำคำร่ำพาที ลิ้นลมพอดีไปเมื่อไร
ช่างแนมเหน็บเก็บว่าสารพัน พี่บาหยันจะเห็นเป็นไฉน
คิดจะตอบสาราให้สาใจ ทรามวัยเวียนอ่านไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกะหมันวิยาหยา
ครั้นบ่ายชายแสงพระสุริยา เวลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์
จึงชำระสระสรงทรงเครื่อง แล้วเสด็จย่างเยื้องผายผัน
มาทรงอัสดรจรจรัล กิดาหยันตามหลังพรั่งพรู ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ประสันตาตัวดีไม่มีคู่
นั่งอยู่ที่ทิมริมประตู คอยบาหยันอยู่ยังไม่มา
พอเหลือบไปเห็นองค์อุณากรรณ ก็นึกพรั่นกลัวเกลือกจะกังขา
จึงหลบเข้าแฝงเสาศาลา แอบเอียงเมียงหน้าเสียทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้ทรงรัศมี
ครั้นเห็นสุหรันปาตี ก็เข้าใจในทีกิริยา
จึงเสด็จลงจากอาชาไนย ไม่ไปเฝ้าศรีปัตหรา
นึกแหนงจะใคร่แจ้งกิจจา ก็ตรงมาปราสาทพระบุตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงแอบม่านมองเมียง ได้ยินเสียงซุบซิบอยู่ในที่
เห็นสะกะระหนึ่งหรัดเทวี อ่านสารปันหยีที่ให้มา
นิ่งนั่งฟังความอยู่เป็นครู่ ก็รู้แจ้งใจไม่กังขา
จึงทำถามกำนัลกัลยา พระธิดาเสด็จอยู่แห่งใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดศรีใส
ได้ยินเสียงอุณากรรณก็ตกใจ จึงม้วนสารซ่อนไว้ใต้เพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้เฉิดโฉมเฉลา
เข้าไปเฝ้าองค์นางนงเยาว์ ทำเมินยิ้มพริ้มเพราไม่เจรจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดเสนหา
เห็นอุณากรรณยิ้มไปมา ทำทีกิริยาเหมือนจะรู้
ยิ่งประหวั่นพรั่นจิตขวยเขิน ทั้งสะเทินทั้งอายอดสู
จึงเสสั่งพี่เลี้ยงโฉมตรู ยกสลามาสู่อนุชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
เห็นนางสะเทินเขินวิญญาณ์ จึงแสร้งทำเฉยหน้าพาที
บัดนี้น้องจะต้องเดินสนาน เป็นการประกวดกันกับปันหยี
ข้างเขาเป็นคราวเคราะห์ดี ข้างน้องนี้ดูเหมือนจะเคลื่อนคลาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดโฉมฉาย
เห็นอุณากรรณรู้แยบคาย จึงกล่าวเกลี้ยงเบี่ยงบ่ายเอาใจ
แหวนทองต้องการจงบอกพี่ เพชรทับทิมดีดีจะให้ใส่
จวนกำหนดสระสนานเมื่อใด จะให้เขาไปให้อนุชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณแกล้งทำเป็นหรรษา
ก้มเกล้าอัญชลีแล้วลีลา กลับไปดาหาปาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากม้าทรง จึงตรัสสั่งตำมะหงงถ้วนถี่
จงจัดแจงเกณฑ์แห่ให้ดี สระสนานครั้งนี้อย่านอนใจ
เป็นการออกหน้าแต่ละครั้ง เสื้อแสงในคลังจงจ่ายให้
สั่งแล้วลีลาคลาไคล เข้าในห้องรัตน์รูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดโฉมศรี
จึงจัดของต่างต่างอย่างดี เทวีหยิบยกออกมาวาง
พี่เลี้ยงช่วยเลือกธำมรงค์ ทั้งภูษาผ้าทรงเป็นสองอย่าง
ที่จะให้อุณากรรณนั้นปานกลาง ไม่เหมือนข้างปันหยีที่จงใจ
จึงตรัสสั่งบาหยันด้วยมารยา ของนี้พี่ว่าของพี่ให้
อย่าว่าน้องรู้เห็นเป็นใจ รำคาญวานเอาไปอย่าอยู่ช้า ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงบังคมคัลหรรษา
รับของที่จะให้ปันหยีมา ซ่อนใส่ห่อผ้าแล้วคลาไคล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นมาถึงพี่เลี้ยงปันหยี จึงพาทีกล่าวแกล้งแถลงไข
ที่ในสารว่าขานอะไรไป อรไทเคืองขัดอัธยา
ว่าแล้วหยิบผ้ากับธำมรงค์ ยิ้มพลางวางลงให้ตรงหน้า
ของนี้มิใช่ประทานมา ของข้าให้ดอกจงบอกนาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาชื่นชมสมหมาย
รับของมาพลางทางยิ้มพราย แยบคายบาหยันนี้ครันไป
จึงว่าผ้าทรงธำมรงค์นี้ ดูทีทำนองใช่ของไพร่
ถึงเราเป็นชาวป่าพนาลัย พอรู้เท่าเข้าใจอย่าเจรจา
วันนี้เย็นแล้วจะลาไป ถ้ากระไรพรุ่งนี้จะมาหา
บาหยันค้อนให้แล้วไคลคลา ประสันตาก็กลับไปฉับพลัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงตำหนักที่ข้างหน้า แจ้งว่าเสด็จอยู่สะตาหมัน
จึงรีบมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ยิ้มแล้วอภิวันท์ไปแต่ไกล
กิดาหยันรู้ทีมีอัชฌา ต่างขยายออกมาไม่อยู่ใกล้
ประสันตาพี่เลี้ยงเมียงเข้าไป ถวายของอรไทที่ให้มา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
เห็นเสื้อทรงธำมรงค์รจนา พระปรีดาด้วยสมอารมณ์ปอง
จึงหยิบธำมรงค์บรรจงใส่ หฤทัยคิดคะนึงถึงเจ้าของ
แต่เปลี่ยนวงทรงนิ้วพระหัตถ์ลอง เปรมปริ่มยิ้มย่องไปมา
แล้วคลี่ฉลององค์ออกดูพลัน กลิ่นสุคันธรสรื่นนาสา
หวังถวิลว่ากลิ่นกัลยา ดังได้เห็นหน้าเยาวมาลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ แล้วสั่งอนุชาผู้ภักดี พรุ่งนี้จะขี่ช้างเดินสระสนาน
ประสันตาตัวดีให้เป็นควาญ วิชาช้างชำนาญพานแยบคาย
อันพลเราที่จะเข้ากระบวนนั้น กำชับกันทุกคนให้ขวนขวาย
นุ่งห่มเสื้อแสงแต่งกาย อย่าให้อายสาวสาวชาวพารา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ชีพ่อหมอเฒ่าถ้วนหน้า
จึงทอดเชือกสำหรับรำพัดชา กรมช้างซ้ายขวาประชุมกัน
แล้วน้อมศิโรตม์ราบกราบกราน โอมอ่านดุษฎีคำฉันท์
บรรดาที่เข้ามณฑลนั้น พร้อมกันโปรยข้าวตอกดอกไม้
แล้วให้รำพัดชาทำท่าทาง กระหยับย่างเยื้องกรายส่ายไหล่
ประโคมพิณพาทย์กลองฆ้องชัย เสียงสนั่นหวั่นไหวเป็นโกลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ สาธุการ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีซ้ายขวา
พนักงานของใครก็ไตรตรา วิ่งไขว่ไปมาทั้งไพร่นาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ กรมช้างผูกคชสารศรี บรรดามีในโรงทั้งหลาย
ช้างเขนช้างที่นั่งพังพลาย มากมายขึ้นระวางช้างสำคัญ
บ้างผูกเครื่องกุดั่นดาวจำหลัก ที่กิริยาหนักผูกเครื่องมั่น
สังหารคชสีห์มีน้ำมัน จัดสรรคนดีขึ้นขี่คอ
ใส่เสื้อสีทับทิมริมกรอง โพกผ้าขลิบทองทั้งควาญหมอ
มาลัยใส่มือแล้วสวมคอ ถือขอเกราะกรายเป็นท่วงที
แล้วเลือกสรรช้างระวางใน ให้เสนาผู้ใหญ่ทั้งสี่
ช้างเดินสะพัดพังหลังดี จัดให้ปันหยีอุณากรรณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ กรมม้าก็ผูกม้าต้น หมอกหม่นขนแซมสลับคั่น
กะเลียวเหลืองสำลีสีจันทร์ ประดับเครื่องสุวรรณชัชวาล
ม้าแซงนอกในซ้ายขวา ม้าอาสาเกราะทองทวยหาญ
พร้อมพรั่งตั้งกระบวนหน้าพระลาน อลหม่านมี่อึงคะนึงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองน้อยใหญ่
ต่างพวกต่างพากันคลาไคล มายืนนั่งตั้งใจจะคอยดู
บ้างชิงที่วิวาททะเลาะกัน เสียงสนั่นอึงคะนึงหนวกหู
ผู้ดีเข็ญใจก็ไม่รู้ เข้าเบียดบังนั่งอยู่ไม่อยากกลัว
เมียขุนนางบ้างพาพวกเมียน้อย ต่างคนมาคอยจะดูผัว
ทำชม้ายชายตาเล่นตัว ดัดจริตยิ้มหัวเป็นท่วงที
เหล่าข้าหลวงช่วงชิงช่องเสมา เยี่ยมหน้านั่งเบียดเสียดสี
พลับพลาสูงฝูงกำนัลมากมี เลิกมูลี่แลลอดสอดตา
พวกขุนนางลางคนขึ้นบนป้อม บ่าวไพร่มิให้ปลอมแปลกหน้า
บ้างพาเมียมานั่งในศาลา ตั้งตาคอยดูอยู่แน่นนันต์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
ครั้นอุทัยไขสีรวีวรรณ ก็จรจรัลเข้าที่สำอางองค์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลา สอดใส่สนับเพลางอนระหง
ภูษาเขียนสุวรรณกระสันทรง ฉลององค์ตาดปักปีกแมงทับ
ห้อยหน้าซ่าโบะครุยเครง เจียระบาดทองแล่งเลื่อมสลับ
ปั้นเหน่งเพชรพรรณรายสายบานพับ ตาบประดับทับทรวงดวงจินดา
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง ธำมรงค์เพชรพรายทั้งซ้ายขวา
ทรงห้อยสร้อยสนจำปา แล้วลีลามาเกยกิรินี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ พรั่งพร้อมเกณฑ์แห่แออัด เป็นขนัดคับคั่งทั้งวิถี
เสด็จทรงช้างที่นั่งหลังดี ไปยังที่เกณฑ์แห่ทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
จึงเข้าที่สระสรงคงคาลัย พระพี่เลี้ยงเคียงไขปทุมทอง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ น้ำกุหลาบอาบอบตลบกลิ่น วารินชำระรดหมดหมอง
ทรงอุหรับจับเนื้อนวลละออง ผัดพักตร์ผิวผ่องโสภา
สอดใส่สนับเพลางอนระบัด บรรจงทรงพิพัฒน์ภูษา
ฉลององค์พื้นตาดเพียงบาดตา ห้อยหน้าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ
ทองกรแก้วมณีศรีประเทือง ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองฉัน
ห้อยอุบะบุหงาปะกัน แล้วจรจรัลมาเกยกุญชร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เสด็จขึ้นทรงคอช้างที่นั่ง คับคั่งเกณฑ์แห่แลสลอน
กระบวนหลังสลับซับซ้อน โดยเสด็จบทจรมาแน่นนันต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกาหลังรังสรรค์
สำอางองค์ทรงเครื่องพรายพรรณ ห้อยอุบะสุวรรณมาลี
แล้วชวนสองราชธิดา กับห้าอัคเรศมเหสี
พร้อมฝูงกำนัลนารี จรลีไปยังพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

๏ เสด็จนั่งเหนืออาสน์อำไพ เสนาในกราบงามสามท่า
จึงพระราชบัญชา ให้เดินกระบวนมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เกณฑ์แห่คับคั่งทั้งวิถี
สารวัดรัดเร่งจรลี โยธีถือธงทวนทอง
ช้างที่นั่งพังพลายรายเรียง เดินดูคู่เคียงเป็นแถวถ้อง
เสียงประโคมดนตรีปี่กลอง กึกก้องนี่นันสนั่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นสิ้นกระบวนคชไกร จึงทรงไสช้างต้นตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๏ ถึงหน้าที่นั่งพระภูมี ถวายบังคมศรีปัตหรา
พลางชม้ายชายดูพระธิดา สบตาก็เมินยิ้มพร้ิมพราย
แกล้งเดินทีสะพัดไม่ขัดขวาง ไว้วางท่วงทีเฉิดฉาย
ประสันตาเป็นควาญรู้ระคาย แกล้งบ่ายช้างตรงพระบุตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
ทรงช้างพลางรีบจรลี เป็นลำดับปันหยีลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงหน้าที่นั่งก็บังคม เบื้องบาทบรมนาถา
เห็นหญิงชายหนุ่มสาวชาวพารา เขาตั้งตาจำเพาะเจาะจงดู
ให้ขวยเขินสะเทินฤทัยนัก เอาพัดทองป้องพักตร์ด้วยอดสู
ฝืนฤทัยมิให้ใครล่วงรู้ มาหยุดอยู่เคียงช้างปันหยีพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงเสนาคนขยัน
ครั้นสิ้นกระบวนแห่อุณากรรณ ก็รีบเดินโดยหลั่นลำดับมา
ฝ่ายดะหมังมหาเสนี โยธีแห่แหนแน่นหนา
ครั้นเดินไปถึงท้ายพลับพลา ก็เลี้ยวมายืนที่ทันใด
ฝ่ายปาเตะตัวดีมียศ เดินกระบวนถ้วนกำหนดนายไพร่
ครั้นพ้นหน้าพลับพลาก็แวะไป เข้ายืนในเชิงเรียงเคียงกัน
เสนียาสามาสุดท้าย พวกบโทนทนายหลายหลั่น
ครั้นถึงหน้าที่นั่งพระทรงธรรม์ ก็ถวายบังคมคัลวันทา
เข้าหยุดช้างยืนที่ทั้งสี่นาย รายตามหน้าฉานขนานหน้า
อันเหล่าบ่าวไพร่ที่ตามมา ต่างกลับสาตราวุ่นไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพเป็นใหญ่
ครั้นสุดสิ้นกระบวนเสนาใน บรรหารให้เรียกช้างน้ำมันมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีรับสั่งใส่เกศา
จึงใช้ปะหรัดกะติกา ให้ไปเร่งช้างมาฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หมอควาญช้างต้นคนขยัน
เห็นกวักมือเรียกรู้สำคัญ ก็ไสช้างน้ำมันออกมา
ช้างต้นตัวร้ายส่ายเสย กลอกตางาเงยแหงนหน้า
เรียกมันปั่นป่วนกิริยา หมอควาญรักษาสะกดไป
ช้างนำเป่าหลอดมาหน้า ห้ามคนไปมามิให้ใกล้
ครั้นถึงหน้าที่นั่งภูวไนย ถวายบังคมไหว้ทั้งหมอควาญ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คนพานว่องไวใจหาญ
ออกหน้าปะรำแล้วกราบกราน ฉวยพัดใบตาลเดินเข้าไป
ครั้นใกล้ร้องผัดตบพัดผาง หมอเปิดขอช้างทะลวงไล่
ถึงปะรำซ้ำแทงทลายไป ไม้ไหล้หักโค่นไม่ทนงา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพนาถา
จึงมีพระราชบัญชา ให้เรียกม้าเข้ามาล่อแพน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีสี่เหล่าที่เฝ้าแหน
รับสั่งพระองค์ทรงดินแดน แล้วแล่นมาสั่งดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนหมื่นม้าแซงอาสา
จึงเหยียบโกลนโจนขึ้นหลังม้า แล้วรำทำท่าเป็นท่วงที
ตลบเลี้ยวเข้าใกล้แล้วให้แพน ช้างแล่นไล่ม้าควบหนี
กระชั้นชิดติดคลุกคลี โกญจนาทอึงมี่เป็นโกลา
หมอควาญเอาไว้มิใคร่หยุด อุตลุดลากฟันกันหนักหนา
เหล่าพวกคนดูบรรดามา บ้างเฮฮาบ้างตื่นตกใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝูงสนมนารีศรีใส
ดูแห่สระสนานสำราญใจ เพลิดเพลินหฤทัยทุกนารี
ลางนางตั้งตาพิศวง ดูรูปทรงมิสาระปันหยี
สะกิดเพื่อนพูดจาพาที ปันจุเหร็จคนนี้งามครัน
ดูทีขี่ช้างก็เฉิดฉาย กิริยาแยบคายคมสัน
ลางพวกที่รักอุณากรรณ ก็ผูกพันเขม้นไม่วางตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดเสนหา
ชำเลืองดูปันหยีด้วยปรีดา กัลยายิ้มพรายม่ายเมียง
หยิบสลามาเสวยทำเฉยพักตร์ นงลักษณ์แกล้งกล่าวก้างเฉียง
เสชมผู้อื่นที่ยืนเคียง แล้วสะกิดพี่เลี้ยงให้แลดู
ครั้นปันหยีชำเลืองแลมา สบตาก็เอียงอายอดสู
ทำซ่อนเงื่อนมิให้ผู้ใดรู้ โฉมตรูพิศวาสเพียงขาดใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาสัย
เอาพัดทองป้องพักตร์เป็นทีไว้ ภูวไนยดูนางกัลยา
ความรักร้อนรุ่มกลุ้มจิต มิได้คิดเกรงศรีปัตหรา
แต่เวียนชม้ายชายหางตา ให้สบเนตรพระธิดาเนืองไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
เห็นเชิงชั้นปันหยีก็เข้าใจ สังเกตได้โดยดูก็รู้ที
จึงกล่าวคำขำคมเป็นแยบคาย กระทบเทียบเปรียบปรายปันหยี
อย่าเมินนักรักษาให้จงดี กิรินีหลบเหลื่อมผิดทำนอง
แม้นฉวยตื่นไปไม่เป็นการ จะพากันอัประมาณหม่นหมอง
อายพวกชาววังที่นั่งมอง เห็นคะนองหนักนักจึงตักเตือน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีตอบตามกระแสแง่เงื่อน
ถึงเมินไปใจยังไม่ฟั่นเฟือน อย่ากลัวว่าจะพาเพื่อนได้อาย
อันกิรินีโรงในมิใช่ชั่ว แต่ละตัวยั่งยืนไม่ตื่นง่าย
ถึงฝีมือหมอควาญจะพานคลาย อย่าหมายว่าจะเป็นเหมือนเช่นนั้น
ไม่พอที่จะยกหยิบเอามาว่า เหมือนอนุชารังเกียจเดียดฉันท์
พี่เป็นชาวป่าพนาวัน จะขี่ช้างสำคัญไม่สมควร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณตอบพลางทางแย้มสรวล
ช่างแก้ไขไพเราะเสนาะนวล แต่ล้วนเป็นระแบบแยบคาย
ใช่จะเกียดกันเดียดฉันท์พี่ อย่าพาทีกลบเกลื่อนเงื่อนสาย
ว่าพลางทางเบือนเชือนชาย แย้มยิ้มพริ้มพรายเป็นกลใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพเป็นใหญ่
สั่งให้บ่ายช้างน้ำมันไป แล้วเรียกให้เดินกระบวนม้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตัวนายปลายเชือกซึ่งนำหน้า
เดินแห่แออัดรัถยา สารวัดตรวจตราเรียบร้อย
ม้าต้นคนจูงเคียงข้าง สะบัดย่างเยื้องย่ำทำถอย
บ้างหกมุ่นดีดโดดโลดลอย ถูกน้อยซอยเต้นตามกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ขุนนางกรมม้าขี่พาชี ล้วนมีสัปทนคนกั้น
ม้าแขกฝรั่งเคียงเรียงกัน ม้าพม่ารามัญเป็นหลั่นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พวกอาสาม้าแซงแต่งเป็นฮ่อ ยืนเคียงเรียงรอขนานหน้า
ครั้นสิ้นกระบวนแห่แลสุดตา ก็ขับควบม้ามาทีละคน
ที่ไม่สันทัดชัดเจน ม้วนตกหกคะเมนลงกลางถนน
บ้างรั้งไว้ไม่อยู่เหยียบผู้คน ประชาชนสรวลเสเฮฮา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงภพนาถา
ครั้นเกณฑ์แห่เลี้ยวถนนพ้นพลับพลา พอเพลาย่ำเที่ยงนาที
จึงตรัสชวนธิดาโฉมยง กับห้าองค์อัคเรศมเหสี
เสด็จจากพลับพลารูจี จรลีเข้ายังวังใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณปันหยีศรีใส
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคล ต่างไปที่อยู่พระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายมหาเสนาทั้งสี่
ต่างคนต่างกลับมาทันที พร้อมกันอยู่ที่จวนคลัง
พวกวิเสทยกของเข้ามาเลี้ยง รีบเรียงสำรับคับคั่ง
บ่าวไพร่ให้เลี้ยงตามลำพัง เสนานั่งกินโต๊ะทุกตัวนาย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นเสร็จอิ่มโอชโภชนา พออ่อนแสงสุริยาเพลาบ่าย
เห็นที่สนามร่มลมชาย ให้ทนายเรียกมวยเข้ามาพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกมวยเกณฑ์หัดจัดสรร
เปรียบไว้ได้คู่เท่ากัน เข้ามาตั้งมั่นประจัญชก
ถ้อยทีหนีไล่ไปมา ปะเตะตีเข่าลาเข้ายอดอก
ขับเคี่ยวกันไปหลายยก ตำมะหงงให้ตกรางวัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงมวย

๏ บัดนั้น เสนานั่งดูอยู่เป็นหลั่น
ครั้นเลิกมวยพอเพลาสายัณห์ ต่างคนจรจรัลกลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
จึงบอกสองพี่เลี้ยงทรามวัย ปันหยีนี้ไซร้อหังการ์
ไม่เจียมกายหมายมาดพระบุตรี ถ้อยทีถ้อยรักกันหนักหนา
เมื่อวันยืนช้างหน้าพลับพลา ยังอุตส่าห์แลลอดสอดดูกัน
น้องเห็นหนักนักจึงตักเตือน ก็กล่าวเกลื่อนกลับว่าข้าเดียดฉันท์
พลางแถลงแจ้งความทุกสิ่งอัน ซึ่งเห็นสำคัญแลมาลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงนางพี่เลี้ยงทั้งสองศรี
ลูบอกตกใจแล้วพาที ช่างทำได้ดังนี้ไม่กลัวภัย
แม้นพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ จะพากันรำคาญเป็นข้อใหญ่
จะว่าแม่รู้เห็นเป็นใจ แกล้งชักนำให้เป็นไมตรี
จำจะผ่อนปรนให้พ้นผิด คนร้ายเร่งคิดเอาตัวหนี
จะผูกพันรักใคร่ไปไยมี ควรที่จะสลัดซัดทิ้ง
หนึ่งเล่าข้างเขาก็นึกแหนง เหมือนจะแจ้งว่าพระน้องนี้เป็นหญิง
จึงลามเลียมเทียมเล่นเทียมจริง ข้าเรงกริ่งกลัวเกลือกจะได้อาย
คิดจะใคร่ไปเชิญมาวังเรา ให้เห็นเหล่านางเชลยทั้งหลาย
หน้าที่จะสิ้นแหนงแคลงคลาย โฉมฉายจะเห็นประการใด ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณฟังชอบอัชฌาสัย
จริงแล้วพี่ว่าข้าลืมไป แต่ครั้งก่อนเราได้คิดกัน
จำจะให้ไปเชิญมาวันนี้ เห็นจะมาโดยดีไม่เดียดฉันท์
พี่ตระเตรียมไว้ให้ครบครัน ว่าแล้วจรจรัลออกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึงสั่งกิดาหยันทันที จงไปยังปันหยีสุกาหรา
บอกว่าเรารำลึกตรึกตรา ขอเชิญให้มาเวลานี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันรับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามที แล้วรีบไปดังมีพระวาจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงวังปันจะรากัน เข้าไปบังคมคัลด้วยหรรษา
ทูลตามอุณากรรณสั่งมา ให้ทราบบาทาภูวไนย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาสัย
ทั้งสังคามาระตาก็ดีใจ ที่จะไปหาองค์อุณากรรณ
จะได้ดูระแบบแยบคาย ว่าเป็นหญิงหรือชายแม่นมั่น
ครั้นจวนเวลาสายัณห์ จึงสั่งกิดาหยันให้ผูกม้า
แล้วเข้าที่สระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองจำรัสทัดบุหงา
มาทรงพาชีลีลา เหล่าระเด่นเสนาก็ตามไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงวังดาหาปาตี ตำแหน่งที่อุณากรรณอาศัย
พระเสด็จลงจากอาชาไนย ขึ้นไปบนตำหนักทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณครั้นเห็นปันหยี
จึงคลาไคลไปรับด้วยยินดี พาไปยังที่ข้างใน
สององค์ทรงนั่งร่วมอาสน์ ตรัสประภาษพูดจาปราศรัย
ยิ้มแย้มสรวลสันต์ด้วยกันไป ถ้อยทีมีใจปรีดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พนักงานก็ยกพานสลา
เผยม่านคลานตามกันออกมา ตั้งให้หน่อกษัตราทุกองค์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เหล่าระเด่นบุตรีนวลหง
ต่างแต่งประกวดกันบรรจง แต่ละองค์เฉิดฉันเพียงขวัญตา
มานั่งพรั่งพร้อมอยู่ข้างใน ตรวจตรามิให้ใครขาดหน้า
ครั้นเห็นย่ำค่ำควรเวลา ก็ยกโภชนาออกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ อันเครื่องอุณากรรณปันหยี พระบุตรีเชิญมาตั้งให้
เครื่องระเด่นเชลยนั้นไซร้ สาวใช้เชิญมาตั้งเรียงรัน
แต่ละคนไว้วางกิริยา ไม่ทอดตาเหลือบแลแปรผัน
นั่งโบกปัดพัชนีแส้สุวรรณ หมอบเฝ้าเป็นหลั่นกันลงมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
จึงชวนปันหยีด้วยปรีดา ให้เสวยโภชนาสาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์มิสาระปันหยี
เสวยพลางชำเลืองดูนารี แล้วภูมีตริตรึกนึกใน
อุณากรรณนี้มีภรรยา ล้วนทรงโฉมโสภาผ่องใส
เห็นจะมิใช่หญิงดังกริ่งใจ เสียแรงเรารักใคร่ได้ผูกพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเฉิดฉัน
เห็นองค์อรไทวิไลวรรณ ที่ได้ตุนาหงันกันมา
เป็นบุพเพสันนิวาสแต่ชาติก่อน เผอิญให้อาวรณ์เสนหา
แต่เวียนชายชำเลืองนัยนา ดูนางกุสุมาเทวี
ไม่เป็นอันเสวยกระยาหาร ตะลึงลานอาลัยในโฉมศรี
เสโทซึมซาบอาบอินทรีย์ ภูมีซับพักตร์เนืองไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีศรีใส
รู้ว่าอนุชาชาญชัย ใส่ใจภรรยาอุณากรรณ
เห็นจริตนั้นผิดกิริยา นัยนาเหลือบแลคมสัน
เกรงผัวเขาจะรู้เท่าทัน จะเดียดฉันท์ขุ่นข้องหมองใจ
ครั้นเสร็จเสวยโภชนา พูดเล่นเจรจาปราศรัย
แล้วลาอุณากรรณคลาไคล กลับไปที่อยู่พระภูมี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงตรัสแก่อนุชา ทีนี้ถึงเทวาในราศี
จะว่าอุณากรรณเป็นสตรี พี่นี้ไม่เชื่อวาจา
อันความผูกพันมั่นหมาย แต่นั้นก็คลายลงนักหนา
แล้วว่าเป็นไรอนุชา จึงรักภรรยาเขาดังนั้น
ดังไร้หญิงโสภาทั้งธาตรี เจ้าของเขามีมาใฝ่ฝัน
แล้วเป็นมิตรชิดชอบอัชฌากัน อย่าคิดฉะนั้นจะแหนงใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาเฉลยไข
วิบากกรรมแล้วจำจะเป็นไป โดยใจน้องนึกตรึกตรา
ถึงเป็นภรรยาอุณากรรณ แต่เขานั้นไม่สู่เสนหา
ทำรักแต่พอกันนินทา เมื่อคิดมาจะเป็นอะไรมี
แม้นพระได้ขนิษฐามาเมื่อไร ข้าน้อยก็จะได้นางโฉมศรี
ถ้าพระมิได้พระบุตรี น้องนี้ก็ไม่สมอารมณ์ปอง
ทูลพลางทางถวายบังคมลา จรจรัลกลับมาเคหาห้อง
พระครวญคร่ำรำลึกตรึกตรอง คิดถึงนวลละอองแล้วอาลัย
รสรักร้อนจิตพิศวง ให้ผูกพันพะวงหลงใหล
จึงคิดกับพี่เลี้ยงร่วมใจ ให้คนไปสอดแนมดูทุกวัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายสองนางพี่เลี้ยงสาวสรรค์
จึงทูลมิสาอุณากรรณ พี่นี้นึกพรั่นเป็นพ้นไป
ด้วยทรงพระจำเริญกว่าแต่ก่อน จะซ่อนเพศสตรีนั้นมิได้
ทั้งปันหยีเล่าก็กินใจ จะนิ่งอยู่อย่างไรในพารา
จงทูลลาองค์พระทรงเดช ว่าบิตุเรศประชวรหนักหนา
เสนีนำหนังสือถือมา ให้หากลับคืนไปเวียงชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณฟังชอบอัชฌาสัย
จึงสั่งตำมะหงงเสนาใน เร่งเตรียมพลไกรให้พร้อมกัน
พรุ่งนี้เราจะกรีธาทัพ คืนกลับไปนิเวศน์เขตขัณฑ์
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัล มาทรงม้าผายผันเข้าวังใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากอัสดร เข้าไปยอกรบังคมไหว้
เห็นได้ช่องดังประสงค์จำนงไว้ จึงทูลภูวไนยด้วยใจภักดิ์
บัดนี้เสนีมาแจ้งเหตุ ว่าบิตุเรศของข้าประชวรหนัก
พระให้คิดถึงคำนึงนัก ลูกรักจักถวายบังคมลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวกาหลังสุริย์วงศ์นาถา
ได้ฟังอุณากรรณทูลลา พระราชาเศร้าสร้อยละห้อยใจ
จำเป็นจึงมีพระบัญชา แก้วตาของพ่อผู้พิสมัย
เป็นการร้อนแล้วเจ้าจำรีบไป ท้าวคลายเมื่อไรเร่งกลับมา
พ่อเคยเห็นหน้าเจ้าอยู่เช้าเย็น หมายเหมือนหนึ่งเป็นโอรสา
แต่นี้จะเปล่าใจเปล่าตา จะคิดถึงทุกทิวาราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
จึงสนองบัญชาพระภูมี ลูกนี้มิใคร่จะจากไป
ด้วยพระองค์ทรงคุณนี้สุดแสน ยังไม่ทดแทนสนองได้
ถึงมาตรจะนิราศแรมไกล ไม่ลืมคุณภูวไนยที่เมตตา
ทูลพลางชลเนตรนองพักตร์ ด้วยความรักองค์ศรีปัตหรา
สะอื้นร่ำกำสรดโศกา สุดแสนเสนหาอาวรณ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีศรีสมร
ทั้งสี่มเหสีบังอร ให้อาวรณ์เมตตาอุณากรรณ
ฟังคำร่ำว่าจะลาไป ต่างสลดระทดใจโศกศัลย์
โฉมยงองค์ระเด่นบุตรีนั้น ก็ครวญคร่ำรำพันโศกา
นิจจาเอ๋ยเคยเล่นอยู่ด้วยกัน นับวันจะเว้นว่างห่างเห็นหน้า
ไปแล้วเมื่อไรจะกลับมา จะทุกข์ทนบ่นหาด้วยอาลัย
บรรดาสาวสรรค์กำนัลนาง ต่างคนก็ต่างร่ำไห้
แล้วชวนกันอำนวยอวยชัย จงไปเป็นสุขสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณโศกเศร้าหมองศรี
กราบลงแทบบาทพระภูมี แล้วบังคมชนนีทั้งห้าองค์
อำลาพี่นางทางอาวรณ์ ทอดถอนฤทัยคิดพิศวง
ว่าน้องจะนิราศบาทบงสุ์ พระองค์ค่อยอยู่อย่ามีภัย
สั่งเสร็จแล้วเสด็จลีลา เดินพลางชลนาหลั่งไหล
อุตส่าห์ฝืนอารมณ์ข่มใจ กลับไปที่สำนักตำหนักจันทน์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายสังคามาระตาเฉิดฉัน
แต่ให้สอดแนมดูอุณากรรณ หลายวันแล้วมิได้แยบคาย
พระกระสันรัญจวนครวญคะนึง ถวิลถึงกุสุมาโฉมฉาย
เสนหาอาลัยอยู่ไม่วาย ผูกพันมั่นหมายในเทวี
อุณากรรณกลับเป็นบุษบา จึงจะได้กุสุมาโฉมศรี
ครั้นแจ้งว่าจะคืนไปธานี ยิ่งทวีเทวษจาบัลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ พระนิ่งนึกตรึกไตรไปเป็นครู่ แล้วปรึกษายาหงูกิดาหยัน
บัดนี้มิสาอุณากรรณ เขาจะไปประมอตันเวียงชัย
ทำไฉนจะแจ้งประจักษ์จริง ว่าเป็นชายหรือหญิงยังสงสัย
จงคิดอ่านปลอมแปลงแกล้งเข้าไป ดูให้ถึงที่สรงคงคา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยาหงูกิดาหยันหรรษา
คำนับรับคำแล้วอำลา รีบไปวังดาหาปาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เห็นรถรัถอัสดรรี้พล สับสนอื้ออึงคะนึงมี่
คอยด้อมดูจนเวลาสรงวารี ก็ทำทีเที่ยวหาเพื่อนกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน
ครั้นแสงทองส่องฟ้าพรายพรรณ ก็จรจรัลมาสรงคงคาลัย
เคยให้ห้ามแหนเป็นกวดขัน มิให้คนทั้งนั้นกล้ำกรายได้
อยู่แต่สองพี่เลี้ยงร่วมใจ ที่สนิทชิดใช้เป็นอัตรา
ผันพักตร์ยืนสรงตรงประตู คอยดูผู้คนแปลกหน้า
ฝ่ายสองที่เลี้ยงกัลยา นั่งอยู่ตรงพักตราคอยใช้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยาหงูผู้มีอัชฌาสัย
รู้ว่าเสด็จสรงคงคาลัย ก็รีบเข้าไปดังใจจง
ผู้คนทั้งนั้นไม่ทันรู้ ล่วงจู่เข้าไปถึงที่สรง
เหลือบเห็นอุณากรรณโฉมยง ยืนผันพักตร์ตรงทวารา
แลเห็นทรวงเต่งเคร่งครัด ให้อัศจรรย์จิตคิดกังขา
บุรุษหรือเพศดังธิดา ครั้นสบตาก็ก้มบังคมคัล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณตกใจไหวหวั่น
ทรุดนั่งกอดเข่าเข้าไว้พลัน แล้วถามว่าใครนั่นเข้ามาไย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันกราบก้มบังคมไหว้
จึงว่าปันหยีชาญชัย ใช้ให้มาเชิญไปบัดนี้
ทูลพลางทางทำเป็นอำลา เดินรีบเร็วมาจากที่
แล้วแอบนั่งฟังระคายร้ายดี จะโกรธาด่าตีประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณแค้นขัดอัชฌาสัย
ดูหรือคนแปลกหน้ามาถึงใน ไม่มีผู้ใดใครห้ามปราม
กูก็ได้ประกาศไว้ขาดอยู่ เหตุใดนายประตูจึงไม่ห้าม
มันละเมิดคำเราเบาความ ให้มัดไว้สักสามนาฬิกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศา
จึงให้เอาตัวนายทวารา มาลงอาญามัดไว้
ไม่รู้หรือว่าสรงวารี เป็นที่ห้ามนักใครเฝ้าได้
มีแต่ตัวเราทั้งสองไซร้ พระบัญชาสั่งให้อยู่ในนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กิดาหยันครั้นแจ้งถ้วนถี่
จึงออกจากดาหาปาตี กลับไปวังปันหยีมิได้ช้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม นบนิ้วประนมเหนือเกศา
ทูลระเด่นสังคามาระตา ต่อหน้าปันหยีฤทธิรงค์
ข้าเห็นอุณากรรณเรืองศรี เมื่อเข้าที่ชำระสระสรง
ทรวงเต่งเคร่งครัดดังบุษบง มิใช่ชายมั่นคงพระทรงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สังคามาระตาศรีใส
สรวลพลางตบเพลาเข้าทันใด นั่นมิใช่หรือพระราชา
บรรดาคนนั่งอยู่ทั้งนั้น ก็สรวลขึ้นพร้อมกันถ้วนหน้า
ต่างถุ้งเถียงกันอยู่ไปมา ด้วยสงสัยมิสาอุณากรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์อุณากรรณเฉิดฉัน
จึงว่าแก่พี่เลี้ยงไปพลัน น้องคิดประหวั่นพรั่นใจ
เมื่อเขาเห็นประจักษ์อยู่ฉะนี้ จะไปหาปันหยีกระไรได้
เขาจะรุมกันเย้ยไยไพ น้องจะได้ความอายพันทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางพี่เลี้ยงทั้งสองศรี
ตรึกตราแล้วทูลทันที ครั้นมิไปบัดนี้จะซ้ำร้าย
จงไปหาปันหยีดีกว่า ให้สิ้นจินดาที่มุ่งหมาย
ความแหนงแคลงใจจะเคลื่อนคลาย โฉมฉายอุตส่าห์เสด็จไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณคิดพรั่นหวั่นไหว
จำเป็นมาทรงอาชาไนย เสด็จไปยังปันจะรากัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเดินเข้าไป พอได้ยินสำรวลสรวลสันต์
ยิ่งคิดขวยเขินสะเทินครัน ขืนใจจรจรัลด้วยจำเป็น ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีครั้นเหลือบแลเห็น
ทั้งพี่เลี้ยงอนุชาไม่มีเว้น ต่างคนเขม้นดูอุณากรรณ
ปันหยียิ้มพลางทางว่าไป เป็นไฉนขัดแค้นแสนศัลย์
ลงอาญาข้าไทอยู่เป็นควัน แล้วสรวลขึ้นพร้อมกันทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผินพักตร์มาแก้ไข
อย่าเล่นช้าข้าไม่สบายใจ เสนาในนำสารมาวานนี้
พระบิตุเรศประชวรโรคา ให้ข้าทูลลาไปกรุงศรี
จำจะเร่งรีบไปวันนี้ ค่อยอยู่จงดีจะขอลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเศร้าใจเป็นหนักหนา
ว่าเจ้าไปเมื่อไรจะกลับมา พี่จะนับวันท่าทุกราตรี
ตัวเจ้าจะกลับไปเวียงชัย ที่ไหนจะคิดถึงพี่
จะเพลินชมพระสนมนารี ที่ทรงศรีโสภายาใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกล่าวแกล้งแถลงไข
พระบิดาประชวรฉะนี้ไซร้ หรือจะมีใจชมอิสตรี
อันตัวข้าจะลาคลาไคล แต่ใจจะคำนึงคิดถึงพี่
ฝ่ายพี่กังวลสิย่อมมี เห็นทีจะไม่เหมือนอนุชา
แม้นบิตุเรศไม่ประชวรหนัก น้องรักก็ไม่จากเชษฐา
ถึงไปก็ไม่อยู่ช้า พี่อย่าปรารมภ์ตรมใจ
องค์ศรีปัตหราเมตตาน้อง ยังไม่ทันสนองพระคุณได้
ไม่ลืมคุณพระองค์ทรงภพไตร ท้าวคลายเมื่อไรจะกลับมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ได้ฟังอุณากรรณจำนรรจา พระผ่านฟ้าสลดระทดใจ
ทั้งสังคามาระตาชาญชิด ก็ร่านร้อนรนจิตดังเพลิงไหม้
พี่เลี้ยงกิดาหยันนั้นไซร้ ก็อาลัยรักด้วยอุณากรรณ
ทั้งหลงหนึ่งหรัดอรไท นางเร่งละห้อยไห้โศกศัลย์
อันนางกษัตริย์แลกำนัล ชวนกันเศร้าสร้อยละห้อยใจ
ต่างคิดถึงองค์อุณากรรณ จะกลับไปประมอตันกรุงใหญ่
เคยเล่นเป็นสุขสำราญใจ ไปแล้วเมื่อไรจะเห็นกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณเศร้าใจไหวหวั่น
จึงว่าแก่ปันหยีไปพลัน น้องจะลาจรจรัลวันนี้
ถ้ามีทุกข์ภัยไปวันหน้า จะให้เสนานำสารศรี
มาแถลงแจ้งอรรถคดี ถ้าพี่รู้แล้วอย่าทิ้งกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
จึงตอบวาจาไปพลัน ข้อนั้นจะเป็นไรมี
ถ้าทุกข์อนาทรร้อนเร่า จะช่วยเจ้ากว่าจะสุดกำลังพี่
ตามคำสัญญาได้พาที จะสูญเสียไมตรีกันไย
พี่ลาพรตตามมาอยู่กาหลัง เพราะรักเจ้าควรหรือยังหาเห็นไม่
จะใคร่ตามอนุชาคลาไคล เยี่ยมประชวรท้าวไทด้วยน้องรัก
จะให้เสียทีไปไยเล่า เจ้าพาพี่พลอยเฝ้าให้รู้จัก
พอกระไรก็จะได้ไปพึ่งพัก อาศัยสำนักในกรุงไกร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณคิดพรั่นหวั่นไหว
มิได้ตอบวาจาประการใด ก็ลาไปดาหาปาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงขึ้นรถแก้วแววไว กับพี่เลี้ยงร่วมใจทั้งสองศรี
ให้เคลื่อนหมู่พหลมนตรี เสนีรี้พลสกลไกร
อันรถประเทียบทั้งนั้น ถัดกันตามน้อยตามใหญ่
เหล่าทหารนั้นขี่อาชาไนย แห่หน้ารถชัยไคลคลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์ปันหยีสุกาหรา
จึงสั่งให้ผูกอาชา จะไปส่งมิสาอุณากรรณ
สั่งแล้วชำระสระสรง สำอางองค์ทรงเครื่องเฉิดฉัน
มาทรงม้าเหลืองเครื่องสุวรรณ เสนีกิดาหยันก็ตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ พระพลางกะระตะมโนมัย ถอนฤทัยตะลึงแลหา
ตามไปส่งถึงทวารา ทันรถมิสาอุณากรรณ
พระจึงตรัสอำนวยอวยพร อย่าให้มีทุกข์ร้อนโศกศัลย์
ปราศจากอันตรายโรคัน สารพันเภทภัยอย่าพาธา
อันเสนีรี้พลทั้งสองฝ่าย ไพร่นายมาพบกันพร้อมหน้า
ก็หยุดส่งสั่งเสียกันไปมา ตามมีเสนหาอาลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
รับพรปันหยีชาญชัย ด้วยใจยินดีปรีดา​ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
ให้ละห้อยสร้อยเศร้าวิญญาณ์ จึงมีพจนาไปทันใด
อุณากรรณเจ้าจงไปดี พี่นี้จะกลับเข้ากรุงใหญ่
ว่าพลางชักม้าจะคลาไคล แล้วหยุดอยู่มิได้ลีลา
พระตะลึงแลดูอุณากรรณ หฤทัยไหวหวั่นกระสันหา
ผินพักตร์หักใจไคลคลา กลับมาติกาหรังทันใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรัศมีศรีใส
ครั้นมิสาระปันหยีกลับไป ก็เร่งรีบพลไกรยาตรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เข้าในพนมพนาวัน พลางพินิจพิศพรรณพฤกษา
ให้วังเวงพระทัยไปมา ตรึกตราเศร้าสร้อยละห้อยใจ
ฟังสำเนียงเสียงวิหคกู่ก้อง บ้างร้องขันขานในป่าใหญ่
บ้างจับพฤกษาค่าคบไม้ บ้างไซ้ปีกหางบ้างชมกัน
ลางตัวม่ายเมียงเคียงคู่ บ้างเคล้ากันอยู่เกษมสันต์
บ้างจิกผลไม้มาป้อนกัน ลูกน้อยนั้นเรื่อยร้องก้องดง
ชมพลางทางเร่งพลากร สัญจรไปในไพรระหง
เสด็จมาเหนือราชรถทรง ยิ่งคำนึงถึงองค์ภูวไนย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เที่ยวเตร่เร่ตามพระเชษฐา ไม่รู้ว่าจะไปหนไหน
พอสายัณห์ยอแสงอโณทัย ก็สั่งให้พักพหลพลโยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา
มาเกณฑ์กันทุกหมวดตรวจตรา ให้ตั้งตาริ้วรอบขอบคัน
จุกช่องกองเพลิงเรียงราย ไพร่นายกำชับเป็นกวดขัน
บรรดาโยธีทั้งนั้น ผลัดกันนั่งนอนในราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
สถิตในราชรถรูจี ถวิลถึงภูมีพี่ยา
เอนองค์ลงเหนือบรรจถรณ์ ยิ่งอาวรณ์เศร้าสร้อยละห้อยหา
แต่รำลึกตรึกไตรไปมา นิทราโศกศัลย์รัญจวนใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม

๏ บัดนั้น สองพี่เลี้ยงนารีศรีใส
จึงปรึกษากันทันใด แล้วเข้าไปทูลแจ้งกิจจา
แต่มาเที่ยวอยู่ก็หลายวัน ที่ในอรัญราวป่า
ไม่ประสบพบองค์พระพี่ยา จะกลับไปพาราประมอตัน
เกลือกว่าปันหยีจะไปตาม จะได้ความเดือดร้อนเป็นแม่นมั่น
จะเสียศักดิ์สุริย์วงศ์เทวัญ จำจะคิดผ่อนผันให้พ้นภัย
ถ้าเห็นพหลมนตรี โยธีกองทัพหลับใหล
ขอเชิญกัลยาคลาไคล เสด็จไปในป่าพนาลี
เที่ยวซอกซอนอาศัยไพรสณฑ์ จะได้พ้นมิสาระปันหยี
แม้นไม่ม้วยสุดสุดชีวี เห็นทีจะพบพระพี่ยา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
ฟังสองพี่เลี้ยงทูลมา ตรึกตราเห็นต้องทำนองใน
ครั้นดึกสงัดเงียบเสียงสำเนียงคน พวกพลนอนหลับทั้งทัพใหญ่
จึงทรงอักษรทันใด แขวนไว้ในรถรัตนา
แล้วชวนพี่เลี้ยงสองศรี จรลีจากราชรถา
คอยหลบหลีกเหล่าโยธา รีบมาให้พ้นคนล้อมวง ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ครั้นออกมาพ้นพลไกร เข้าในป่าไม้ไพรระหง
ให้สร้อยเศร้าเปล่าใจมาในดง เลาะลัดพุ่มพงพนาวา
มาพบภูผาตะหลากัน พอสุริยันรุ่งสว่างเวหา
เดินพลางทางทอดทัศนา แลเห็นศาลาบนบรรพต
จึงว่าแก่พี่เลี้ยงทั้งสองศรี เห็นทีจะมีพระดาบส
เราจะได้อาศัยพระนักพรต ก็เลียบขึ้นบรรพตดำเนินไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงอาศรมศาลา จะเห็นพระสิทธาก็หาไม่
เห็นเครื่องแอหนังแขวนไว้ ที่ในอาศรมก็ยินดี
จึงปรึกษาพี่เลี้ยงทั้งสองคน ทีนี้เห็นจะพ้นปันหยี
ด้วยห่างไกลกาหลังธานี เป็นที่สงัดเงียบชอบกล
ทั้งน้ำท่าผลาผลไม้ พอจะอยู่อาศัยไม่ขัดสน
เราจะบวชเป็นชีทั้งสามคน จำเริญผลให้คลายทุกข์ร้อน
ว่าแล้วอุณากรรณเรืองยศ ก็ทรงพรตเป็นแอหนังก่อน
อันสองพี่เลี้ยงบังอร ชลีกรแล้วบวชทันใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

๏ ตั้งใจจำเริญภาวนา อยู่ยังตะหลากันเขาใหญ่
มีความเบิกบานสำราญใจ เภทภัยมิได้ยายี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงตำมะหงงประมอตันกรุงศรี
ทั้งหมู่รี้พลมนตรี ซึ่งอยู่ที่พลับพลาอุณากรรณ
ครั้นแสงทองเรืองรองเรื่อฟ้า ปักษีตื่นตาขานขัน
บรรดาเสนาทั้งนั้น ตื่นขึ้นฉับพลันมิทันช้า
ชวนกันเข้าเฝ้าอุณากรรณ เห็นม่านนั้นปิดรอบรถา
ให้คิดพะวงสงกา เคยเสด็จออกหน้ารถชัย
วันนี้บรรทมพ้นเวลา หรือประชวรโรคาเป็นไฉน
ตำมะหงงค่อยย่องเข้าไป แหวกดูมิได้เห็นองค์
ทั้งสองพี่เลี้ยงก็หายไป ตกใจใคร่คิดพิศวง
ชวนกันเที่ยวหาทุกพุ่มพง เวียงวงจังหวัดพนาลัย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นไม่ประสบพบองค์ ตำมะหงงผู้มีอัชฌาสัย
กลับมาขึ้นบนรถชัย เห็นอักษรเขียนไว้มิได้ช้า
ในสารนั้นว่าอุณากรรณ คือองค์อสัญแดหวา
ไม่ควรอยู่ในพสุธา เทวัญจึงพาขึ้นไป
สถิตในฟากฟ้ากระยาหงัน อันเป็นสุขเกษมสันต์ผ่องใส
แต่องค์อุณากรรณชาญชัย ถวายบังคมไหว้ใต้บาทา
องค์พระชนกชนนี ซึ่งมีพระคุณเป็นหนักหนา
ดังหนึ่งบิตุเรศมารดา อันเกิดเกศลูกมานี้ไซร้
คิดว่าจะอยู่สนองคุณ กว่าบุญลูกยาจะหาไม่
เป็นกรรมจำเป็นจำไกล มิได้อยู่ทูลพระบาทา
อันตำมะหงงผู้ใจภักดิ์ ซึ่งให้มาพิทักษ์รักษา
พระองค์จงทรงพระเมตตา ขอประทานโทษาเสนาใน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ครั้นอ่านสารทราบเหตุการณ์ ตำมะหงงสงสารสะอื้นไห้
บรรดาเสนาทั้งนั้นไซร้ ทั้งนายไพร่พหลพลโยธา
ต่างคนวิโยคโศกศัลย์ ร่ำรักอุณากรรณถ้วนหน้า
กำสรดระทดใจไปมา โศกาไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางจินตะหรากุสุมาโฉมศรี
กับบรรดาระเด่นบุตรี หน่อกษัตริย์ธิบดีทั้งนั้น
รู้ว่าอุณากรรณหายไป ต่างตระหนกตกใจไม่มีขวัญ
สองกรข้อนทรวงเข้าจาบัลย์ โศกศัลย์ครวญคร่ำร่ำไร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว ทิ้งข้าเสียแล้วหรือไฉน
จึงให้เทวามาพาไป อยู่ในฟากฟ้าดุษฎี
ข้าไกลบิตุเรศมารดา มาเป็นข้าอยู่ใต้บทศรี
คิดว่าจะได้พึ่งพระภูมี มิรู้ว่ามาหนีข้าไป
แต่นี้ที่ไหนจะมีสุข ตั้งแต่จะทนทุกข์หม่นไหม้
ต่างแสนโศกาอาลัย ร่ำไรรักองค์อุณากรรณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ บัดนั้น ตำมะหงงค่อยคลายโศกศัลย์
จึงทูลนางกุสุมาด้วยพลัน อันจะทรงกันแสงอยู่ในไพร
ใช่องค์มิสาอุณากรรณ จะมาจากกระยาหงันก็หาไม่
จงระงับดับโศกาลัย เชิญไปประมอตันธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระเด่นกุสุมาโฉมศรี
ได้ฟังตำมะหงงเสนี เทวีค่อยคลายโศกาลัย
จึงชวนหน่อกษัตริย์สุริย์วงศ์ ขึ้นทรงรถาศรีใส
เสนานำพลสกลไกร เข้าในพนมพนาลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เดินเอยเดินไป ตามแถวแนวไพรพนาศรี
ชี้ชวนระเด่นบุตรี ชมฝูงสกุณีนานา
โกญจาร่อนร้องในดง ส่งเสียงสำเนียงก้องป่า
มยุเรศรำเคล้ากันไปมา จากพรากต่างพากันโบยบิน
หงส์ทองม่ายเมียงเคียงคู่ เล่นอยู่ในสระกระแสสินธุ์
โพระดกโคกม้าโกกิล ทั้งขมิ้นขาบคุ่มกระลุมพู
เขาไฟกระไนไก่ฟ้า สาลิกาเชยชมสมสู่
กดแก้วระวังไพรสีชมพู แขกเต้าเคล้าคู่คลอกัน
พระองค์ทรงรถมาในไพร เคยชี้ให้น้องชมเกษมสันต์
เป็นกรรมสิ่งไรมาตามทัน เทวัญพาเสด็จไปเมืองฟ้า
ชมพลางทางคิดถึงภูวไนย เร่าร้อนพระทัยเป็นหนักหนา
แต่รอนแรมมาในพนาวา นับได้สิบห้าราตรี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ มาถึง ยังซึ่งประมอตันกรุงศรี
จึงหยุดรี้พลเสนี รถาพาชีทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาตำมะหงงผู้ใหญ่
จึงเชิญหน่อกษัตริย์ทั้งนั้นไซร้ เข้าไปยังพระโรงรจนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึง จึงถวายบังคมเหนือเกศา
ทั้งหน่อกษัตริย์ขัตติยา กราบเกล้าวันทาพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ระตูประมอตันกรุงศรี
ครั้นเห็นตำมะหงงเสนี กับโอรสบุตรีกษัตรา
มิได้เห็นองค์อุณากรรณ เร่งคิดอัศจรรย์เป็นหนักหนา
จึงมีพระราชบัญชา ตรัสถามมหาเสนาใน
อันองค์อุณากรรณมีศักดิ์ ลูกรักของกูไปอยู่ไหน
หรือประชวรโรคาประการใด จึงไม่เห็นมายังธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำมะหงงรับสั่งใส่เกศี
ความกลัวเป็นพ้นพันทวี อัญชลีแล้วทูลสนองไป
อันองค์พระราชโอรสา ฤทธาไม่มีใครเปรียบได้
ยกพลไปถึงกรุงใด ระตูไม่อาจหาญต้านต่อยุทธ์
บ้างถวายเครื่องบรรณาการ สร้อยสนสังวาลมงกุฎ
อีกเครื่องสาตราอาวุธ ทั้งบุตรีโอรสยศไกร
แล้วเข้าอยู่กาหลังพารา ได้อาสาทำการศึกใหญ่
ผลาญระตูจะมาหราบรรลัย เลื่องลือทั้งในธานี
ครั้นกรีธาทัพกลับมา ถึงกลางมรคาพนาศรี
พอเป็นเวลาราตรี จึงพักรี้พลโยธา
อุณากรรณบรรทมบนรถทอง กับสองพี่เลี้ยงเสนหา
ข้าให้นั่งยามตรวจตรา ล้อมวงรักษาทรงฤทธิ์
เมื่อพี่เลี้ยงกับองค์พระหายไป ไม่มีใครรู้เลยแต่สักหนิด
เกณฑ์กันเที่ยวค้นจนสุดคิด พ้นที่จะติดตามพระโอรส
จึงกลับมายังรถา ก็เห็นสาราปรากฏ
แจ้งว่าเทวาในโสฬส พาองค์ทรงยศไปเมืองฟ้า
ครั้นทูลเสร็จสิ้นความตามตรง ตำมะหงงบังคมเหนือเกศา
แล้วจึงถวายสารา ซึ่งองค์อุณากรรณเขียนไว้ ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันเป็นใหญ่
ได้ฟังก็ตระหนกตกใจ ภูวไนยเพียงจะม้วยวายปราณ
รับสารามาจากตำมะหงง พระองค์จึงคลี่ออกอ่าน
เห็นลายหัตถ์อุณากรรณมิทันนาน ภูบาลจำได้ประจักษ์ใจ
ครั้นทรงเสร็จสิ้นสารา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
ถ้อยค่ำซึ่งร่ำว่าไว้ ให้อาลัยเป็นพ้นพันทวี
แล้วพระจึงแจ้งความไป แก่องค์ประไหมสุหรี
อันราชโอรสของเรานี้ มีบุญประเสริฐเลิศไกร
มิใช่มนุษย์ในธรณี พ้นที่ตัวเราจะเลี้ยงได้
เทวาจึงพาขึ้นไป อยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้า ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีเสนหา
ได้ฟังพระราชบัญชา กัลยาข้อนทรวงเข้าร่ำไร
โอ้ว่าอุณากรรณเจ้าแม่เอ๋ย กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
เวรามาทันจึงชักไป สุดใจแม่แล้วนะลูกรัก
แม้นว่ามารดานี้ไปได้ จะตามเจ้าไปในไตรจักร
จะพาเอาโฉมยงนงลักษณ์ คืนมานคเรศดังจินดา
ตัวแม่ก็แก่ชราแล้ว จะได้พึ่งลูกแก้วไปภายหน้า
ตั้งใจจะให้ผ่านพารา เป็นปิ่นไพร่ฟ้าในกรุงไกร
คิดว่าเจ้าเกิดมาในครรภ์ จะว่าบุตรบุญธรรม์ก็หาไม่
จะได้สืบวงศ์พงศ์พันธุ์ไป ด้วยไร้โอรสแลธิดา
หมายจิตคิดจะฝากผีเจ้า เทวาเขาแกล้งริษยา
พรากลูกข้าไปยังเมืองฟ้า ไม่มีความเมตตาปรานี
หรือว่าบุญแม่นี้น้อยนัก ลูกรักจึ่งเอาตัวหนี
จะคิดผ่อนผันฉันใดดี แม่นี้จะตรอมใจตาย
โอ้ว่าอุณากรรณเจ้าแม่อา กลับมาหาแม่ก่อนนะโฉมฉาย
แม่จะได้ชมเชยให้สบาย สายสวาทอย่าตัดอาลัย
เจ้าจากแม่ไปทั้งรักดังนี้ แม่จะมีความสุขก็หาไม่
ร่ำพลางข้อนทรวงโศกาลัย อรไทพิลาปไปมา ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวประมอตันนาถา
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา ครั้นค่อยคลายโศกาจาบัลย์
จึงพิศโฉมกุมารโฉมศรี พระบุตรีทั้งห้าอันเฉิดฉัน
ทรงลักษณ์วิไลลาวัณย์ โฉมงามละกลกันดังหยาดฟ้า
จึงประทานวังลูกหลวงให้ ทั้งสิ่งของเครื่องใช้เป็นหนักหนา
พระเลี้ยงเป็นโอรสแลธิดา มิให้อนาทรร้อนใจ
เย็นเช้าขึ้นเฝ้าอัตรา จะว่างเว้นเวลาก็หาไม่
มีความเสนหาอาลัย ดังในสุริย์วงศ์เชื้อชิด
มิได้ลืมองค์อุณากรรณ ทรงธรรม์เศร้าสร้อยละห้อยจิต
รำลึกตรึกถึงอยู่เป็นนิจ ด้วยพิศวาสดังชีวา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ