๒
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงองค์เทพไทรังสรรค์ |
ซึ่งเป็นปะตาระกาหลาทรงธรรม์ | สถิตกระยาหงันเปรมปรีดิ์ |
เผอิญให้เร่าร้อนในวิญญาณ์ | ประหนึ่งว่าเพลิงกาฬจุดจี้ |
เล็งไปในพื้นปัถพี | ทั้งสี่ทวีปโลกา |
แจ้งว่าโฉมยงองค์ยุขัน | จะมีคู่ผูกพันเสนหา |
กับองค์ประวะลิ่มโสภา | นครไกลกันสุดจะคิด |
จำกูจะไปช่วยแก้ไข | จึ่งจะได้ภิรมย์สมสนิท |
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ | ลงมาสถิตยังเวียงไชย ฯ |
ฯ เชิด ๘ คำ ฯ
๏ เข้าในปราสาทแก้วแววฟ้า | ใครจะเห็นกายาก็หาไม่ |
ถึงแท่นบรรทมภิรมย์ใจ | ท้าวไทอุรังยิดภูมี |
จึ่งหยิบสมุดข้างที่มา | เขียนเป็นตำราปักษี |
เรื่องราวกล่าวคุณมากมี | แล้ววางข้างที่ทันใด |
ครั้นแล้วจึ่งเข้าดลจิต | องค์ท้าวอุรังยิดเป็นใหญ่ |
ให้ดูตำราที่วางไว้ | แล้วกลับไปวิมานสำราญองค์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวอุรังยิดพิศวง |
ครอบครองสมบัติจัตุรงค์ | กับองค์มเหสีโสภา |
ประกอบด้วยไอศูรย์สมบัติ | พูนสวัสดิ์ใสโสมนัสา |
ทั้งม้ารถคชพลโยธา | พระสนมซ้ายขวาอเนกนันต์ |
มีพระราชโอรสสององค์ | พระพี่ทรงนามยุดาหวัน |
อันองค์พระอนุชานั้น | ทรงนามยุขันฤทธิรอน |
ทรงโฉมประโลมลานสวาดิ | องอาจดั่งราชไกรสร |
เป็นที่เสนหาพระบิดร | ลือเดชขจรทั้งไตรภพ |
ทุกกรุงประเทศเขตขัณฑ์ | ออกพระนามนั้นกลัวทั่วจบ |
มีสุวรรณมาลามานอบนบ | ตามขนบพระราชบรรณา[๑] |
ท้าวทรงทศพิธราชธรรม์ | ไพร่ฟ้าขอบขัณฑ์ก็หรรษา |
เป็นสุขทั่วทุกนครา | เหตุมาด้วยเทพดลใจ |
เสด็จอยู่บนแท่นสุวรรณรัตน์ | พูนสวัสดิ์ภิรมย์ผ่องใส |
เห็นสมุดข้างที่วางไว้ | จะใคร่ทรงเล่นให้สำราญ |
หยิบมาทัศนาฉับพลัน | พลิกขึ้นไม่ทันที่จะอ่าน |
เห็นตัวลิขิตพินิจนาน | งามปานอักษรสุราลัย |
ตำราว่านกหัสรัง | อยู่ยังอุเรเซนกรุงใหญ่ |
ในเศียรมีวิเชียรอำไพ | เรืองฤทธิไกรประเสริฐนัก |
เหาะเหินเดินได้ในภพ | จนจบทวีปอาณาจักร |
อันตัวสกุณานั้นน่ารัก | แหลมหลักพูดจาภาษาคน |
ปีกหางอย่างสีมณีพราย | เลิศลายสลับประดับขน |
นกนี้มีสวัสดิ์มงคล | งามพ้นที่สุดจะรำพัน |
แม้นกระษัตริย์องค์ใดได้เลี้ยง | กรุงนั้นพ่างเพียงเมืองสวรรค์ |
คุ้มได้สารพัดไภยัน | สิ้นตำรานั้นแต่เท่านี้ ฯ |
ฯ ร่าย ๒๔ คำ ฯ
๏ พระเร่งชื่นชมโสมนัส | จะใคร่ได้นกหัสรังสี |
วางตำราลงไว้ทันที | ภูมีออกพระโรงรัตนา ฯ |
ฯ เสมอ ๒ คำ ฯ
๏ พร้อมด้วยเสนาพฤฒามาตย์ | เฝ้าแหนเดียรดาษนักหนา |
ยุดาหวันยุขันกุมารา | เฝ้าพระบิดาอยู่เคียงกัน |
ท้าวมีพจนารถประภาษไป | เราได้ตำราฉบับสวรรค์ |
ว่าปักษีดีพ้นจะรำพัน | อยู่เขตขัณฑ์อุเรเซนพระบูรี |
เราจะใคร่ได้สกุณา | มาไว้เป็นเฉลิมกรุงศรี |
ใครจะอาสาไปครั้งนี้ | จึ่งจะได้สกุณีดั่งจินดา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | อำมาตย์ผู้ใหญ่พร้อมหน้า |
ทั้งทหารพลเรือนเสนา | หมอบเฝ้าดาษดาพรั่งพรู |
ได้ฟังพระราชบัญชา | ต่างคนก้มหน้านิ่งอยู่ |
ขัดสนจนใจเป็นพ้นรู้ | ไม่มีผู้ใดอาสาไป ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงองค์ยุขันศรีใส |
เห็นเสนาดาดาษไม่อาจใจ | ภูวไนยถวิลจินดา |
กูจะรับพระราชโองการ | พระภูบาลพิภพนาถา |
จึ่งจะได้ไปยังพนาวา | เที่ยวหาปักษาดั่งใจจง |
ทั้งจะได้พบองค์พระสิทธา | ร่ำเรียนวิชาดั่งประสงค์ |
เกิดในเชื้อกระษัตริย์เอกองค์ | ให้ทรงศิลปศาสตร์เชี่ยวชาญ |
คิดแล้วถวายอภิวาท | พระบิตุรงค์ธิราชรังสรรค์ |
ลูกจะขออาสาพระทรงธรรม์ | ไปยังอุเรเซนธานี |
เที่ยวหาหัสรังดั่งจินดา | เกลือกว่าจะพบพระฤๅษี |
จะได้เรียนพระเวทฤทธี | สามปีลูกนี้จะกลับมา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระบิตุรงค์ทรงพิภพนาถา |
ได้ฟังโอรสทูลมา | ปรีดาชื่นบานสำราญใจ |
มิเสียทีที่เจ้าเป็นสุริย์วงศ์ | อาจองไม่มีใครเปรียบได้ |
ควรครองสวรรยาราชัย | เป็นหลักในพื้นพสุธา |
จึ่งเอื้อนโอษฐ์พจนารถ | ขอบใจสายสวาดิเป็นนักหนา |
เจ้าจะไปเที่ยวในอรัญวา | ตามแต่ปรารถนาเถิดลูกรัก |
จงเที่ยวแสวงหาในพงพี | กว่าจะได้ปักษีมีศักดิ์ |
แม้นไปอย่าให้ช้านัก | ดวงจักษุพ่อจงกลับมา |
แล้วสั่งให้เตรียมพลสกลไกร | ไปด้วยลูกน้อยเสนหา |
อีกทั้งม้ารถคชา | อย่าช้ารีบรัดจัดไว้ ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันรัศมีศรีใส |
ทูลสนองบัญชาพระภูวไนย | ลูกมิให้ยากใจแก่โยธา |
อันกรุงอุเรเซนพระเวียงไชย | อยู่ไกลกว่าไกลเป็นหนักหนา |
แต่ลูกผู้เดียวจะทูลลา | ผ่านฟ้าจงทราบฤทัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวอุรังยิดเป็นใหญ่ |
ตรัสแก่โอรสยศไกร | เจ้าจะไปแต่องค์เดียวเอกา |
บิดานี้ปรารมภ์ใจ | ทางไกลกันดารนักหนา |
ไปเดียวเปลี่ยวใจลูกยา | ในป่าสัตว์ร้ายก่ายกอง |
บิดาจะให้ยุดาหวัน | ไปเป็นเพื่อนกันทั้งสอง |
ลัดเลาะเสาะไปดั่งใจปอง | เที่ยวท่องสัญจรนอนไพร |
ถึงจะมีสัตว์ร้ายไภยัน | จะได้ช่วยป้องกันแก้ไข |
จึ่งสั่งยุดาหวันทันใด | จงไปด้วยองค์อนุชา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุดาหวันรับสั่งใส่เกศา |
จึ่งทูลสนองพระบัญชา | ผ่านฟ้าอย่าร้อนฤทัย |
ลูกจะขออาสาไปด้วย | สู้ม้วยชีวิตตักษัย |
เป็นเพื่อนอนุชาที่กลางไพร | แม้นมิได้ไม่กลับมาธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวอุรังยิดเรืองศรี |
ฟังพระโอรสทูลคดี | เปรมปรีดิ์เป็นพ้นพรรณนา |
แล้วพระจึ่งมีบรรหาร | สั่งโหราจารย์พร้อมหน้า |
เร่งหาศุภฤกษ์ยาตรา | อย่าช้ารีบรัดบัดนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหรารับสั่งใส่เกศี |
จับกระดานคูณหารทันที | พลิกสมุดคัมภีร์เทียบทาน |
ดูปูมประดิทินสิ้นจบ | เวียนลบสับสนอลหม่าน |
เห็นดีไม่มีเหตุการณ์ | กราบกรานแล้วทูลพระทรงธรรม์ |
พรุ่งนี้เวลาอุษาโยค | เป็นมหาสิทธิโชคเฉิดฉัน |
ฤกษ์ยามงามจบครบครัน | แม้นว่าจรจรัลไปแห่งใด |
จะมีลาภอุดมสมคิด | จะได้ที่เชยชิดพิสมัย |
ไพรีจะอัปราชัย | จงทราบใต้ฝ่าธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท่านท้าวอุรังยิดรุ่งฟ้า |
ได้ฟังทั้งสี่โหรา | จึ่งตรัสแก่ลูกยาทั้งสององค์ |
โหรว่าพรุ่งนี้ดีนัก | ลูกรักจะพบสบประสงค์ |
จะได้หัสรังดั่งใจจง | สององค์เจ้าไปสวัสดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระพี่น้องทั้งสองศรี |
ได้ฟังบัญชาพระภูมี | ชื่นชมยินดีปรีดา |
ยอกรถวายอภิวาท | องค์พระบิตุราชนาถา |
ออกจากพระโรงรจนา | มาเฝ้าสมเด็จพระชนนี |
มาถึงปราสาทพระมารดร | ยอกรประณตบทศรี |
ทูลว่าพระจอมโมลี | ได้ตำราข้างที่ท้าวนิทรา |
เรื่องราวนกหัสรังสี | นั้นมีฤทธีเป็นหนักหนา |
อยู่ยังอุเรเซนนครา | พระจินดาจะใคร่ได้สกุณา |
ไม่มีผู้ใดจะอาสา | เสนาน้อยใหญ่ไม่อาจหาญ |
ลูกรักทูลรับพระโองการ | จะไปยังสถานอุเรเซน |
พระบิตุรงค์จึ่งให้พระเชษฐา | ไปด้วยเกลือกว่าจะเกิดเข็ญ |
ถึงจะแสนลำบากยากเย็น | ได้เห็นหน้ากันทั้งสองรา |
พรุ่งนี้ลูกน้อยจะคลาไคล | ทั้งองค์ภูวไนยเชษฐา |
ได้ปักษีแล้วจะกลับมา | ไม่ช้าแต่ในสามปี ฯ |
ฯ โอ้ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
ได้ฟังลูกยาพาที | ปิ่มประหนึ่งชีวีจะบรรลัย |
ยอกรกอดสองโอรสราช | สุดสวาดิพ่อคิดเป็นไฉน |
เจ้าจึ่งอาจองทะนงใจ | รับอาสาไปทั้งสองรา |
ปักษีอยู่ถึงอุเรเซน | แม่เห็นจะไม่สมปรารถนา |
จะพากันดั้นด้นอรัญวา | รู้ว่าหนทางนั้นอย่างไร |
อยู่ใกล้ฤๅไกลไม่แจ้งเหตุ | จะทุเรศไปจากกรุงใหญ่ |
พระชนนีเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ | ไห้อาลัยถึงลูกยา |
จะมีแต่อาดูรพูนโศก | แสนวิโยคถึงลูกเสนหา |
ว่าพลางนางร่ำโศกา | กัลยาไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ โอด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระกุมารเรืองศรี |
จึ่งทูลสมเด็จพระชนนี | จงดับความโศกีร่ำไร |
จำเป็นจำลูกจากบาท | จงโอวาทประสิทธิ์ประสาทให้ |
ดับความวิโยคอาลัย | จะเป็นลางไปในอรัญวา |
ตัวลูกดั่งราชไกรสร | จะไว้เกียรติยศให้ขจรในทิศา |
อันความมอดมรณา | อย่าว่าแต่ไปทางไกล |
นิ่งอยู่ในขัณฑเสมา | เวรามาทันก็ม้วยไหม้ |
ถึงเทวัญในชั้นสุราลัย | ก็ไม่พ้นความมรณา |
พระองค์ค่อยอยู่จงดี | ครองหมู่สาวศรีซ้ายขวา |
จงระงับดับโศกโศกา | ไม่ช้าลูกจะกลับมาเวียงไชย ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อเอยเมื่อนั้น | องค์พระชนนีเป็นใหญ่ |
ได้ฟังโอรสยศไกร | ว่ากล่าวต้องในทางธรรม์ |
นางค่อยคลายโทรมนัสา | กอดสองลูกยาแล้วรับขวัญ |
แม่แจ้งอยู่สิ้นทุกสิ่งอัน | สุดที่จะกลั้นโศกี |
ว่าพลางอำนวยอวยพร | ให้ถาวรเป็นสุขทั้งสองศรี |
อันศัตรูหมู่ราชไพรี | พ่ายแพ้ฤทธีพระลูกยา |
จงได้นกหัสรังสี | สมที่จำนงปรารถนา |
ให้เรืองเดชทุกประเทศพารา | ปรากฏยศฐาทั้งธาตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
ยอกรรับพรพระชนนี | ใส่ศีโรตม์แล้วก็อำลา |
ไปยังห้องสุวรรณรูจี | สองศรีเป็นสุขหรรษา |
พระเสด็จเข้าที่ไสยา | นิทราหลับไหลในราตรี ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเอยครั้นรุ่ง | พวยพุ่งอรัญแรงแสงศรี |
สององค์เสด็จจรลี | เข้าที่สระสรงสุธาธาร ฯ |
ฯ โทน ๒ คำ ฯ
๏ น้ำหอมออมอบตรลบกลิ่น | ทรงสุคนธ์รวยรินหอมหวาน |
สอดใส่สนับเพลาโอฬาร | ภูษิตชัชวาลเพริศพราย |
ใส่ฉลองพระองค์ทรงประพาส | พื้นตาดประเสริฐเฉิดฉาย |
ทับทรวงดวงเดชเพชรพราย | รัดพระองค์ลวดลายพื้นสุวรรณ |
ทองกรธำมรงค์รจนา | ล้วนค่าควรเมืองเรืองฉัน |
ทรงมงกุฏเพชรแพรวพรรณ | ทัดอุบะสุวรรณแกมมณี |
ทรงกฤชกุดั่นฤทธิรอน | งามดั่งไกรสรทั้งสองศรี |
แล้วชวนพระอนุชาธิบดี | จรลีขึ้นเฝ้าพระบิดา ฯ |
ฯ เพลง ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอัญชุลี | พระบิตุเรศชนนีนาถา |
กราบลงแทบบาทบาทา | ลูกจะทูลลาพระทรงไชย ฯ |
ฯ ร่าย ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระชนกชนนีเป็นใหญ๋ |
เห็นสองโอรสยศไกร | เข้าไปถวายบังคมลา |
สองกระษัตริย์อำนวยอวยพร | ให้เรืองฤทธิรอนทุกทิศา |
อันตรายอย่าได้บีฑา | ปรารถนาสิ่งใดให้สมคิด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพี่น้องชื่นชมภิรมย์จิต |
กราบลงแทบบาทพระทรงฤทธิ์ | รับพรประสิทธิ์แล้วอำลา |
สองกระษัตริย์เสด็จยุรยาตร | ลงจากปราสาทเลขา |
บ่ายพักตร์ตรงทิศบูรพา | ไคลคลาเข้าในพนาวา ฯ |
ฯ เชิด ๔ คำ ฯ
๏ ทั้งสองยอกรขึ้นอภิวาท | เทวราชเรืองฤทธิ์ทุกทิศา |
เชิญช่วยโปรดข้าทั้งสองรา | อย่าให้มีไภยันอันตราย |
อุเรเซนนั้นอยู่ทิศใด | เทพไทจงนำผันผาย |
ให้ได้สกุณีเพริศพราย | สมหมายด้วยเดชเทวัญ ฯ |
ฯ ร่าย ๔ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงปะตาระกาหลารังสรรค์ |
สถิตอยู่ในวิมานพรายพรรณ | เห็นสองทรงธรรม์ไคลคลา |
มีความเมตตาอาลัย | จะช่วยให้สำเร็จปรารถนา |
จึ่งบันดาลให้เป็นมรคา | น้ำท่าผลาหารอุดมมี |
แล้วช่วยป้องกันอันตราย | สัตว์ร้ายมิให้กรายทั้งสองศรี |
กว่าจะถึงอุเรเซนบูรี | ให้จรลีสำราญในอุรา[๒] |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ชี้ชวนกันชมพนมมาศ | เดียรดาษด้วยพันธุ์พฤกษา |
ร่มรื่นบังผืนมรคา | บังแสงสุริยาตรัสไตร |
พระพายพากลิ่นสุมามาลย์ | ฟุ้งซ่านอ่อนอบทั้งป่าใหญ่ |
ดั่งรสสุคนธามาลัย | ค่อยสำราญพระทัยทั้งสองรา |
พระเด็ดพุ่มพวงรุกขชาติ | ให้พระนุชนาฏขนิษฐา |
พระน้องเก็บผลผกา | ถวายพระเชษฐาทรงธรรม์ |
จำปาการะเกดแย้มยวน | ลำดวนสุกรมนมสวรรค์ |
มะลิซ้อนซ่อนกลิ่นพิกุลกัน | พุทธชาดอังชันกรรณิการ์ |
สร้อยฟ้ากาหลงประยงค์แย้ม | แก้วแกมสมมิตกฤษณา |
สารภีส่งกลิ่นรำเพยพา | ผ่านฟ้าเพลิดเพลินจำเริญใจ |
ครั้นถึงป่าระหงดงชัฏ | เลี้ยวลัดหามรคาใหญ่ |
ชมปักษรสานต์สำราญใจ | ชี้บอกภูวไนยพี่ยา |
กระชาสังอังชันเค้าคุ่ม | กระลุมพูจับจอมภูผา |
กระตั้วเต้นไต่ไม้ไปมา | สาลิกาแก้วพลอดอยู่ในไพร |
โกญจามยุราประสานเสียง | สำเนียงเสนาะแจ่มใส |
ให้วังเวงวิเวกอาลัย | สองไทรีบเสด็จจรลี ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ ครั้นพ้นหิมวาป่าใหญ่ | แลไปแต่ล้วนคีรีศรี |
โตรกเตรินเนินเขายาวรี | ไม่มีมรคาจะคลาไคล |
เป็นคูเขื่อนคั่นกั้นกาง | จะมีหนทางก็หาไม่ |
สององค์เลียบลัดคลาไคล | แนวไพรบรรพตคีรี |
ทั้งแสงทินกรก็ร้อนกล้า | บาทาชอกช้ำบทศรี |
เดินยากลำบากแสนทวี | พระพี่น้องค่อยบทจรไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ มาเอยมาถึง | ซึ่งบรรพตาสูงใหญ่ |
สีเขียวเลื่อมลายอำไพ | จับแสงสุริย์ใสอร่ามพราย |
จึ่งองค์ยุขันอนุชา | ทูลพระเชษฐาโฉมฉาย |
หยุดพักสักหน่อยให้ค่อยคลาย | บ่ายแสงทินกรจึ่งจรไป |
สองพระองค์เสด็จเข้าหยุดพัก | ที่ริมหลักเสาประโคนใหญ่ |
ยุขันเหลือบแลแปรไป | เห็นจารึกสักไว้ก็ทรงพลัน ฯ |
ฯ ช้า ๖ คำ ฯ
๏ ในอักษรหลักปักหิมเวศ | แต่ประถมพรหเมศสาปสรร |
ใครมาถึงหลักที่ปักนั้น | ให้แยกกันดำเนินเดินดง |
จะไปสองคนนั้นไม่ได้ | จะมอดม้วยบรรลัยเป็นผุยผง |
ด้วยคำสาปสรรเป็นมั่นคง | จำเพาะแต่องค์เดียวจร |
จึ่งจะพบอาศรมพระรักขิต | เธอสถิตอยู่ในสิงขร |
ไปตามมรคาพนาดร | จะได้ศิลป์ศรนั้นทรงไป |
จึ่งจะไปถึงเมืองอุเรเซน | ที่จะเป็นอันตรายนั้นหาไม่ |
แม้นไปสองคนไม่พ้นภัย | คนหนึ่งบรรลัยม้วยมิด ฯ |
ฯ ร่าย ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นอ่านสิ้นอักษรศรี | ภูมีเร่าร้อนในดวงจิต |
ให้รันทดพระทัยทรงฤทธิ์ | สุดคิดก็ทรงโศกา ฯ |
ฯ โอด ไห้ ฯ
๏ กลุ้มกลัดอัดอั้นตันใจ | ชลนัยน์นองเนตรทั้งซ้ายขวา |
ยุดาหวันจึ่งมีวาจา | แก่องค์อนุชาวิลาวัณย์ |
เราจะไปด้วยกันกระไรได้ | อักษรว่าไว้เป็นกวดขัน |
เจ้าผู้คู่ชีพชีวัน | จอมขวัญจะคิดประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันได้ฟังละห้อยไห้ |
ชะรอยกรรมจำพรากจากไกล | ขืนไปจะม้วยวายชนม์ |
จำเป็นจำแยกมรคา | อย่าให้วิบัติขัดสน |
อาสาพระปิ่นภูวดล | ทั้งสองคนให้ได้ราชการ |
พี่จะไปด้วยกันนั้นไม่ได้ | พระเชษฐาจงไปทูลสาร |
ให้ทราบใต้เบื้องบทมาลย์ | แม้นสำเร็จการจะกลับมา ฯ |
ฯ โอ้ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุดาหวันได้ฟังขนิษฐา |
พี่จะไปฉันใดอนุชา | เจ้าจะอยู่เอกาที่ในไพร |
ที่จะให้พี่กลับไปพารา | พระบิตุเรศมารดาจะติได้ |
จะว่าพี่ไม่มีอาลัย | ทอดทิ้งเจ้าไว้พงพี |
ถึงชีวิตจะมอดวอดวาย | สู้ตายไม่ไปกรุงศรี |
จะสัญจรนอนป่าพนาลี | ตามเวรพี่เถิดน้องรัก |
ทุกข์ถึงแต่องค์พระเยาวเรศ | แสนเทวษพ่างเพียงอกหัก |
เช้าเย็นเราเคยเห็นพักตร์ | ที่เหน็ดเหนื่อยนักก็ค่อยคลาย |
พระนุชจะจรแต่องค์เดียว | จะเปล่าเปลี่ยวประพรั่นขวัญหาย |
พระโศกแสนศัลย์บรรยาย | ฟูมฟายชลเนตรโศกี ฯ |
ฯ โอด ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุขันโศกเศร้าหมองศรี |
ได้ฟังพี่ยาพาที | ภูมีวิโยคจาบัลย์ |
เวราสิ่งใดมาจำจาก | แสนวิบากที่กลางไพรสัณฑ์ |
พี่น้องเราเคยเห็นหน้ากัน | วันนี้จะพรากพรัดไป |
สองพระองค์ทรงโทรมนัสศัลย์ | ดั่งชีวันจะม้วยตักษัย |
แสนเทวษโศกาอาลัย | มิได้จะนิราศคลาดคลา |
แล้วระงับดับความโศกี | สองศรีตริตรึกปรึกษา |
จวนจะสิ้นแสงพระสุริยา | จำเป็นจำเราจะคลาไคล |
ยุขันยอกรอภิวาท | พระเชษฐาธิราชเป็นใหญ่ |
มิใคร่จะจากจรไป | แข็งใจดำเนินเดินมา |
ต่างแยกมรคาพนาสัณฑ์ | พ่างเพียงชีวันจะสังขาร์ |
ให้อาวรณ์ร้อนเร่าให้อุรา | ดั่งหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย ฯ |
ฯ โอ้ ร่าย ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยุดาหวันรัศมีศรีใส |
เดินพลางทางโศกาลัย | เข้าในพนมพนาวา |
พระเร่งอาดูรพูนโศก | แสนวิโยคเศร้าสร้อยละห้อยหา |
รำลึกตรึกถึงพระน้องยา | อนิจจาจะเป็นประการใด |
เดินพลางทางเหลียวหลังมา | ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล |
ได้ยินเสียงนกร้องก้องไพร | แว่วไปว่าเสียงอนุชา |
หยุดยั้งยืนฟังสำเนียง | ใช่เสียงพระนุชเสนหา |
ตะลึงไปมิใคร่จะลีลา | พระอตส่าห์ฝืนจิตคลาไคล |
มาได้สิบห้าราตรี | ไม่รู้ที่แห่งหนตำบลไหน |
เสวยแต่ผลไม้ที่ในไพร | มิได้พบเอมโอชโภชนา ฯ |
ฯ ร่าย ๑๐ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวจะรังหงูบูหรา |
ครอบครองเขตขัณฑเสมา | ฝูงประชามิได้เดือดร้อน |
กับองค์ประไหมสุหรี | เป็นที่ร่วมทุกข์สโมสร |
บำรุงไพร่ฟ้าประชากร | ถาวรกระเษมเปรมปรา |
มีราชบุตรียุพยง | ทรงนามนวลนางกัญจะหนา |
เฉิดโฉมประโลมโลกา | นางในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน |
พระบิตุรงค์แลองค์ชนนี | สงวนราชบุตรีเฉลิมขวัญ |
ให้อยู่ในปรางค์สุวรรณ | แสนสาวกำนัลดาษดา |
เย็นเช้าขึ้นเฝ้าสองกระษัตริย์ | พูนเพิ่มพิพัฒน์หรรษา |
ท้าวถนอมมิให้เคืองวิญญาณ์ | ชันษาพึ่งได้สิบห้าปี |
ท้าวไร้โอรสยศยง | ที่จะสืบพระวงศาในกรุงศรี |
โรคาเบียดเบียนยายี | ภูมีเสวยสวรรคต ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ประไหมสุหรีครวญคร่ำกำสรด |
ทั้งพระบุตรีมียศ | โศการันทดสลดใจ |
ทั้งหมู่แสนสาวพระกำนัล | ก็โศกศัลย์รัญจวนหวนไห้ |
เสนาประชากรทั้งเวียงไชย | มิได้สุขกระเษมเปรมปรา ฯ |
ฯ โอด ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนีจึ่งปรึกษา |
จะถวายพระเพลิงราชา | ตามจารีตกษัตราเลิศไกร |
จึ่งกะเกณฑ์กันทันที | จะตั้งที่พระเมรุกว้างใหญ่ |
จึ่งแจกกฎหมายรายไป | ก็ได้พร้อมกันทันที |
จึ่งเชิญพระศพเข้าเมรุทอง | เถือกถ่องแอร่มแจ่มศรี |
หยุดยั้งไว้เจ็ดราตรี | มีการมโหรสพครบครัน ฯ |
ฯ เจรจา ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีโศกศัลย์ |
ทั้งพระบุตรีดวงจันทร์ | แสนสนมกำนัลมากมี |
จึ่งเสด็จไปยังพระเมรุทอง | อันกุก่องจำรัสรัศมี |
จึ่งถวายพระเพลิงภูมี | โศกีครวญคร่ำร่ำไร |
ครั้นแล้วจึ่งดับอัคคี | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
เสด็จคืนเข้ายังวังใน | โศกาอาลัยไม่เว้นวาย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนามาตยาทั้งหลาย |
พราหมณ์ชีบีกูมากมาย | ทุกนายใหญ่น้อยประชุมกัน |
ปรึกษาว่าราชเวียงไชย | ไม่มีใครจะผ่านไอศวรรย์ |
เกลือกจะมีศัตรูหมู่ไภยัน | มาเบียดเบียนเขตขัณฑเสมา |
จำเราจะเสี่ยงพิไชยรถ | ให้เที่ยวทั่วทศทิศา |
แม้นผู้ใดเรืองฤทธา | ควรครองสวรรยาธานี |
จึ่งจะรับเข้ามาอภิเษก | กับองค์เอกพระธิดาโฉมศรี |
ไพร่ฟ้าจะผาสุกเปรมปรีดิ์ | ไพรีจะเกรงพระเดชา |
ปรึกษาพร้อมเสร็จสำเร็จแล้ว | ชวนกันคลาดแคล้วพร้อมหน้า |
เข้ายังปราสาทรจนา | ก้มเกล้าวันทานางทรามวัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
เห็นสี่มหาเสนาใน | พฤฒามาตย์ผู้ใหญ่เข้ามา |
จึ่งมีพระราชเสาวนีย์ | ปราศรัยพราหมณ์ชีพร้อมหน้า |
เหตุการณ์สิ่งใดท่านจึ่งมา | ฤๅพาราเกิดเสี้ยนไพรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาทั้งสี่ |
ก้มเกล้ากราบทูลทันที | พระเสาวนีย์จึ่งทรงพระเมตตา |
บัดนี้พร้อมกันเห็นเหตุ | ด้วยนคเรศว่างนานหนักหนา |
ไม่มีผู้ผ่านพารา | เห็นว่าจะเกิดจลาจล |
จำจะเสี่ยงพิไชยรัถา | ไปเที่ยวแสวงหาทุกแห่งหน |
ถ้าใครควรเป็นปิ่นภูวดล | กับองค์นิรมลพระธิดา |
จะรับเข้ามาอภิเษก | เป็นเอกอัครบรมนาถา |
พระนครจะกระเษมเปรมปรา | พระชายาจะโปรดประการใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
ได้ฟังทั้งสี่เสนาใน | ทรามวัยจึ่งมีวาจา |
ทั้งนี้ก็สุดแต่ท่าน | เห็นสมควรการไปภายหน้า |
อันตัวเรานี้นะเสนา | ดั่งเกศาขาดออกจากกาย |
ที่จะคิดการเวียงไชย | ตามแต่ใจท่านทั้งหลาย |
จะบำรุงอาณาราษฎร์ให้สบาย | จึ่งจะคลายเดือดร้อนทั้งธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมหาเสนาทั้งสี่ |
โหราพฤฒาพราหมณ์ชี | ถวายอัญชุลีแล้วออกมา |
ครั้นถึงซึ่งท้องพระโรงไชย | จึ่งให้แต่งราชรัถา |
เทียมสินธพชาติอาชา | องอาจกล้าหาญชาญชัย |
ทั้งเครื่องสักการะบูชา | คันธรสมาลาแจ่มใส |
แตรสังข์ปี่พาทย์ฆ้องไชย | ทั้งพหลพลไกรมากมี |
เครื่องสูงไสวพร้อมพรั่ง | ตั้งตามกระบวนถ้วนถี่ |
มาตยาพฤฒาพราหมณ์ชี | คับคั่งยังที่พระโรงไชย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | โหราธิบดีน้อยใหญ่ |
ครั้นได้ฤกษ์งามยามไชย | ก็ให้ลั่นฆ้องสามที |
แล้วเคลื่อนพิไชยรัถา | ออกจากพารากรุงศรี |
จึ่งยอกรถวายอัญชุลี | พร้อมกันแล้วมีวาจา |
เดชะตั้งสัตย์อธิษฐาน | จะไปหาผู้ผ่านแหล่งหล้า |
แม้นใครรุ่งเรืองฤทธา | สมควรสวรรยาราชัย |
ขอให้สินธพอาชา | พาราชรัถาไปจงได้ |
แม้อยู่แห่งหนตำบลใด | ให้ตรงไปดั่งใจจินดา |
ครั้นเสร็จสิ้นคำอธิษฐาน | ขับพาชีชาญใจกล้า |
ตรงทางข้างทิศบูรพา | พฤฒาทั้งปวงก็ตามไป ฯ |
ฯ เชิด ๑๐ คำ ฯ