ตอนที่ ๔ พระสังข์หนีนางพันธุรัต

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงนางพันธุรัตยักษี
แต่ว่างเว้นเป็นหม้ายมาหลายปี สามีมอดม้วยด้วยไข้พิษ
ได้ลูกน้อยหอยสังข์มาเลี้ยงไว้ รักใคร่เป็นบุตรสุจริต
ฟักฟูมอุ้มชูชมชิด ลืมคิดถึงผัวของตัวตาย
เมื่อเวรามาติดตามทัน นางนั้นจะสิ้นบุญสูญหาย
ให้ร้อนเนื้อเดือดใจไม่สบาย ผันผายไปป่าพนาวัน

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึงอุ้มองค์พระสังข์นั่งตัก โลมลูบจูบพักตร์แล้วรับขวัญ
วันนี้แม่จะลาไปอารัญ สายัณห์เลี้ยวลับจะกลับมา
แล้วกำชับสาวศรีพี่เลี้ยง จงถนอมกล่อมเกลี้ยงโอรสา
ตามใจอย่าให้โกรธา เคืองขัดอัธยาสิ่งใด
สั่งพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากปราสาทเรืองรองผ่องใส
มาลับตาลูกน้อยกลอยใจ อรไทเปลี่ยนแปลงกายา

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ บัดใจรูปร่างเป็นนางยักษ์ ล่ำสันคึกคักหนักหนา
ถือตระบองป้องพักตร์ทำศักดา ดั้นดงตรงมาพนาลี

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน เชิด

๏ ครั้นถึงหิมวาป่าสูง เห็นฝูงเนื้อเบื้อเสือสีห์
นางยักษ์อยากกินก็ยินดี เข้าไล่ตีเลี้ยวลัดสกัดสแกง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ พิฆาตฆ่าโคกระทิงมหิงสา ด้วยกำลังฤทธากล้าแข็ง
โจนจับฉับเฉียวเรี่ยวแรง หักแข็งขาไว้ในดงดาน
ตัวไหนพ่วงพีมีมัน เลือกสรรกินเล่นเป็นอาหาร
กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นไม่ทนทาน คชสารควายวัวตัวละคำ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นางกินเหลือล้นจนเรอ ท้องไส้เอ้อเร้ออิ่มหนำ
ลงล้างปากล้างคอในบ่อน้ำ พอพลบค่ำย่ำแสงสนธยา
จึงไปยังที่หยุดพัก เคยสำนักแรมทางกลางป่า
ปัดผงลงนอนในศาลา นิทรากลิ้งกลับจนหลับไป

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

ช้าปี่

๏ เมื่อนั้น องค์พระสังข์ทองผ่องใส
ราตรีเข้าที่บรรทมใน ถอนฤทัยรำลึกตรึกตรา
คิดถึงชนนีที่เกิดเกล้า จะโศกเศร้าทุกข์ทนบ่นหา
แต่มาอยู่เมืองมารก็นานช้า ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดี
ซึ่งกูจะหลงอยู่ในเมืองยักษ์ แม้นมิลักรูปเงาะเหาะหนี
ที่ไหนจะได้เห็นชนนี นับปีเดือนแล้วจะแคล้วไป
จำจะคิดติดตามสืบหา ให้พบพานมารดาจงได้
วันนี้แม่พันธุรัตไปแรมไพร ได้ช่องคล่องใจจะไคลคลา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นกลางคืนดื่นดึกเดือนเที่ยง เห็นพี่เลี้ยงหลับสนิทถ้วนหน้า
ค่อยย่องลงจากเตียงเมียงออกมา จากห้องไสยาทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ลอบลงชุบองค์ในบ่อทอง ผิวเนื้อนวลละอองผ่องศรี
เป็นทองคำธรรมชาติชาตรี สมถวิลยินดีดังใจคิด
แล้วขึ้นไปบนปราสาทชัย ที่ไว้รูปเงาะศักดิ์สิทธิ์
หยิบขึ้นแลเล็งเพ่งพิศ ขุกคิดขึ้นมาก็อาลัย

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้อนิจจามารดาเลี้ยง เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงรักใคร่
แสนสนิทพิศวาสดังดวงใจ มิให้ลูกยาอนาทร
พระคุณล้ำลบจบดินแดน ยังมิได้ทดแทนพระคุณก่อน
วันนี้จะพลัดพรากจากจร มารดรค่อยอยู่จงดี
แม้นลูกไปไม่ม้วยมรณา จะกลับมากราบบาทบทศรี
ร่ำพลางทางทรงโศกี อยู่ที่ปราสาทเพียงขาดใจ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นคลายทุกข์ขุกคิดขึ้นมา จะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้
เกลือกว่ามารดามาแต่ไพร หนีไปไม่ทันจะเสียการ
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเข้าแล้ว ใส่เกือกแก้วถือไม้เท้าห้าวหาญ
เหาะขึ้นเวหาเหินทะยาน ออกจากเมืองมารรีบมา

ฯ ๔ คำ ฯ กลม เชิด

๏ เหาะระเห็จเจ็ดคืนถึงเขาหลวง สูงกว่าเขาทั้งปวงที่ในป่า
พอสิ้นกำลังวังชา เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าเต็มที
จำจะหยุดพักสักหน่อยก่อน ทินกรร้อนแรงแสงสี
จึงเลื่อนลงยังยอดคีรี จรลีเข้าใต้ร่มไทร

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น พวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสุริโยทัย นางในต่างฟื้นตื่นตา
ม้วนที่นอนหมอนข้างเก็บงำ ฉวยขันตักน้ำมาล้างหน้า
แล้วเข้าไปในที่ไสยา แลหาไม่เห็นพระสังข์ทอง
ตกประหม่าตาขาวคิดฉงน ฝูงนางต่างตนเร่งหม่นหมอง
ชวนกันลดเลี้ยวเที่ยวมอง ทุกแห่งห้องตำหนักนอกใน

ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

๏ ค้นคว้าหาทั่วที่เคยเล่น จะประสบพบเห็นก็หาไม่
ต่างตีอกชกหัวร่ำไร ครั้งนี้ที่ไหนจะรอดตาย
แม้นแม่พันธุรัตมาแต่ป่า จะตีด่าดุเดือดไม่เหือดหาย
จะปลิ้นปลอกออกตัวยักย้าย ด้วยแยบคายแก้ไขเห็นไม่ฟัง
ปรับทุกข์กันทุกคนบ้างบนผี เอ็นดูช่วยสักทีพอรอดหลัง
บ้างว่าเลี้ยงลูกเจ้าเฝ้าคลัง มักมีภัยสมดังว่ามา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางพันธุรัตยักษา
เที่ยวป่าเล่นสบายหลายเวลา ก็เหาะกลับคืนมายังเมืองมาร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงปราสาทมณีที่สำนัก ร้องเรียกลูกรักก็ไม่ขาน
แลหาแห่งไรไม่พบพาน นางมารหวั่นหวาดประหลาดใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
เห็นนางยักษามาแต่ไพร กลัวภัยภาวนาละล้าละลัง
แต่เขยื้อนขยับลับล่อ เข้าไปแล้วให้ท้อถอยหลัง
จึงก้มเกล้าเล่าเหตุให้ฟัง พระลูกน้อยหอยสังข์นั้นหายไป
ข้าเที่ยวค้นหานักหนาแล้ว จะพบพระลูกแก้วก็หาไม่
เล่าพลางต่างคนก็ร่ำไร ขอชีวิตไว้อย่าฆ่าตี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพันธุรัตยักษี
ได้ฟังดังจะสิ้นสมประดี เอออะไรกระนี้อีพี่เลี้ยง
กูไว้ใจให้อยู่กับลูกรัก คอยพิทักษ์ถนอมกล่อมเกลี้ยง
ช่างละให้หายไปจากวังเวียง มันน่าเสี่ยงสับซ้ำให้หนำใจ
ว่าพลางนางร่ำโศกา น้ำตาแถวถั่งหลั่งไหล
ไปเปิดดูบ่อทองเห็นพร่องไป เร่งพะวงสงสัยไม่รู้แล้ว
มาดูรูปเงาะป่าไม่ปรากฏ หายหมดทั้งไม้เท้าและเกือกแก้ว
ลูกน้อยกลอยสวาทเจ้าคลาศแคล้ว หนีแม่ไปแล้วนะอกอา
จะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้ จำจะเร็วรีบไปตามหา
จึงขึ้นหอคอยสูงลอยฟ้า ตีกลองสัญญาเข้าเจ็ดที

ฯ ๑๐ คำ ฯ รัว

๏ บัดนั้น พวกพลกุมภัณฑ์ภูตผี
ทั้งหมู่อสูรศักดิ์ยักขิณี ได้ยินเสียงเภรีสัญญา
ไม่แจ้งเหตุเภทผลกลใด ต่างตระหนกตกใจเป็นนักหนา
สำแดงแผลงอิทธิฤทธา ชวนกันเหาะมายังเมืองมาร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นเอยครั้นถึง จึงคลานเข้ามายังหน้าฉาน
ไหว้พลางทางถามมิทันนาน เหตุการณ์อะไรมีจึงตีกลอง

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พันธุรัตร้อนเร่าเศร้าหมอง
จึงแถลงเล่าความตามทำนอง เจ้าสังข์ทองลูกรักของเรานี้
ลอบลักรูปเงาะและเกือกแก้ว สวมใส่เข้าแล้วก็เหาะหนี
เร่งไปตามหาอย่าช้าที วันนี้ให้ได้ตัวมา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น จึงหมู่อสูรศักดิ์ยักษา
คำนับรับคำแล้วอำลา นฤมิตกายากำยำ
เหาะเหินเที่ยวหาในป่ากว้าง ทุกทิศทุกทางเถื่อนถ้ำ
แยกไปบกบ้างไปข้างน้ำ ต่างสำแดงเดชเกรียงไกร

ฯ ๔ คำ ฯ กราว เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสังข์นั่งอยู่บนเขาใหญ่
เห็นมืดมิดปิดแสงอโณทัย เสียงสนั่นหวั่นไหวนี่นัน
จึงคิดว่าดีร้ายอสุรา ติดตามเรามาเป็นแม่นมั่น
จวนตัวเต็มทีหนีไม่ทัน จำจะผ่อนผันด้วยปัญญา
พระจึงถอดรูปเงาะออกซ่อนไว้ ขึ้นนั่งบนต้นไทรสาขา
ทำเป็นเช่นรุกขเทวา พลางนึกภาวนาอยู่ในใจ

ฯ ๖ คำ ฯ รัว เชิด (ยักษ์ออก)

๏ บัดนั้น หมู่มารทหารน้อยใหญ่
เห็นพระสังข์นั่งอยู่บนต้นไทร มิได้รู้จักแต่สักตน
เพ่งพิศดูพลางไม่วางตา คิดว่าเทวาในไพรสนฑ์
ผิวพรรณผุดผาดประหลาดคน ให้งวยงงฉงนสนเท่ห์ใจ
จึงถามว่าดูก่อนเทวา เห็นเจ้าเงาะเหาะมามั่งหรือไม่
อย่าแกล้งกล่าวคำอำไว้ จงบอกไปตามจริงบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ฟังคำยักษี
บอกพลางทางยกมือชี้ เห็นเหาะไปทิศนี้นะขุนมาร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ยักษาได้ฟังว่าขาน
ดีใจเสือกสนลนลาน เหาะทะยานติดตามไปพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ตริตรึกนึกพรั่น
แต่กูเหาะระเห็จมาเจ็ดวัน มันยังตามทันด้วยฤทธิไกร
จะอยู่ก็ใช่ไม่ชอบกล หนีไปจะพ้นมันที่ไหน
ให้คิดขัดสนจนใจ จะแก้ตัวต่อไปอย่างไรดี
พลางตั้งจิตพิษฐานด้วยสัจจา คุณพระมารดาปกเกศี
จงค้ำชูช่วยข้าครานี้ อย่าให้มีอันตรายสิ่งใด
ถึงแม่พันธุรัตจะพบข้า ขออย่าให้ขึ้นมาบนเขาได้
ให้ลูกแก้วตัวรอดปลอดภัย พลางยกมือไหว้ภาวนา

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

๏ เมื่อนั้น นางพันธุรัตยักษา
เรียกเหล่าบ่าวไพร่มิได้ช้า ออกจากพารารีบตามไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาเอยมาถึง ซึ่งเนินบรรพตภูเขาใหญ่
แลไปเห็นคนบนต้นไทร งามวิไลผิวผ่องดังทองทา
ยืนพินิจพิศเพ่งอยู่เป็นครู่ ลูกรักของกูแล้วสิหน่า
ตบมือหัวเราะทั้งน้ำตา ร้องเรียกลูกยาด้วยยินดี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ นั่งอยู่ไยนั่นพ่อขวัญข้าว ขัดเคืองอะไรเล่าเจ้าจึงหนี
มาเถิดทูนหัวอย่ากลัวตี ดูเอาเถิดซียังมิมา
นางร้องไห้ร่ำแล้วซ้ำเรียก ปีนตะกายตะเกียกขึ้นไปหา
ด้วยเดชะอำนาจสัตยา เผอิญให้เลื่อยล้าสิ้นกำลัง
พลัดตกหกล้มนอนตะแคง ขาแข้งสีข้างขัดขึ้นดัดหลัง
โศกีตีอกเพียงจะพัง ทรุดนั่งกระแทกก้นจนใจ
ลูกน้อยกลอยสวาทของมารดา แม่บำรุงเลี้ยงมาจนใหญ่
มิให้ระคายเคืองสิ่งใด เจ้าหนีแม่มาได้ช่างไม่คิด
แม่อุตส่าห์มาตามด้วยความรัก เจ้าไม่พูดไม่ทักแต่สักหนิด
อกแม่จะแตกตายวายชีวิต สุดคิดอยู่แล้วนะลูกยา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏      เมื่อนั้น พระสังข์ฟังคำที่ร่ำว่า
ให้คิดสงสารมารดา นบนิ้ววันทาแล้วตอบไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แม่เอยแม่เจ้า เลี้ยงข้ามาแต่เยาว์จนใหญ่
พระคุณล้ำลบภพไตร จะเปรียบด้วยสิ่งใดนั้นไม่มี
ใช่ลูกจะเคืองแค้นแสนเข็ญ ด้วยความจำเป็นดอกจึงหนี
เหตุด้วยมารดาของข้านี้ ทุกข์ร้อนไร้ที่พึ่งพา
จะยากเย็นเป็นตายก็ไม่แจ้ง จะไปสืบเสาะแสวงทุกแห่งหา
ครั้นจะบอกออกอรรถตามสัจจา ก็คิดกลัวเกลือกว่ามิให้ไป
ลูกจึงลักรูปเงาะเหาะหนี โทษผิดทั้งนี้เป็นข้อใหญ่
อย่าพิโรธโกรธขึ้งขัดใจ ถึงไปไม่ช้าจะมาพลัน

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้

๏ เมื่อนั้น พันธุรัตฟังว่าเพียงอาสัญ
ฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์ เจ้าไปแล้วไหนนั่นจะกลับมา
คิดอ่านอุบายจะหน่ายหนี เอาเหตุชนนีนั้นมาว่า
ถึงไปก็ไม่ขัดอัธยา เชิญลงมาหาแม่แต่สักน้อย
พอแม่ได้ชมโฉมเจ้า ให้สบายบรรเทาที่เศร้าสร้อย
แต่ร่ำร้องไห้หาเลือดตาย้อย อุตส่าห์สู้ติดต้อยห้อยตาม
อย่านึกแหนงแคลงเลยว่าเป็นยักษ์ มาเถิดลูกรักอย่าเกรงขาม
ถึงจะอยู่จะไปก็ให้งาม เจ้าผู้ทรามรักร่วมชีวา
อันรูปเงาะไม้เท้าเกือกแก้ว แม่ประสิทธิ์ให้แล้วดังปรารถนา
ยังมนตร์บทหนึ่งของมารดา ชื่อว่ามหาจินดามนตร์
ถึงจะเรียกเต่าปลามัจฉาชาติ ฝูงสัตว์จัตุบาทในไพรสณฑ์
ครุฑาเทวัญชั้นบน อ่านมนตร์ขึ้นแล้วก็มาพลัน
เจ้าเรียนไว้สำหรับเมื่ออับจน จะได้แก้กันตนที่คับขัน
แม่ก็คงจะตายวายชีวัน จงลงมาให้ทันท่วงที

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ฟังคำยักษี
ยิ่งพะวงสงสารแสนทวี แต่รีรอท้อฤทัยรันทด
จะลงไปก็ให้เกรงกริ่ง เกลือกว่าไม่จริงจะแกล้งปด
คิดพลางทางกล่าวมธุรส อย่ากำสรดโศกาอาวรณ์
ลูกนี้เหนื่อยยากลำบากกาย จะนั่งเล่นให้สบายบนนี้ก่อน
ตะวันเที่ยงอยู่ยังกำลังร้อน พอให้แดดอ่อนอ่อนจะลงไป
ซึ่งมนตร์ของชนนีว่าดีนัก ลูกรักก็อยากจะใคร่ได้
เมตตาลูกแล้วจงเขียนไว้ ที่ในแผ่นพื้นพสุธา

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้

๏ เมื่อนั้น พันธุรัตขัดสนเป็นนักหนา
แหงนดูลูกพลางทางโศกา ดั่งหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย
โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ย กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไร ก็ช่างเฉยเสียได้ไม่ดูดี
สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้ว เผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี
จะขอลาอาสัญเสียวันนี้ เจ้าช่วยเผาผีมารดา
อันพระเวทวิเศษของแม่ไซร้ ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา
จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตา รู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง
เขียนพลางทางเรียกลูกน้อย มาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์
แต่พอให้ได้ชมเสียสักครั้ง ขอสั่งสักคำจะอำลา
แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้ว น้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา
ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกา สองตาแดงเดือดดังเลือดนก
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก นางร่ำร้องจนอกแตกตาย

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ บัดนั้น พวกยักษาข้าไททั้งหลาย
เห็นนางมารม้วยมอดวอดวาย ต่างร่ำรักนายไม่สมประดี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นมารดาล้มดิ้นสิ้นชีวี ตกใจแล่นตะลีตะลานมา
เข้าไปนั่งใกล้ดังใจจง กราบลงแทบเท้าทั้งซ้ายขวา
ชลเนตรคลอคลองนัยนา โศการ่ำรักชนนี

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ปี่

๏ โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ย พระคุณเคยปกเกล้าเกศี
รักลูกผูกพันแสนทวี เลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ
จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้า ดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้
สู้ติดตามมาด้วยอาลัย จนจำตายอยู่ในพนาวัน
โทษลูกนี้ผิดเป็นนักหนา ดังแกล้งผลาญมารดาให้อาสัญ
ทั้งนี้เพราะกรรมมาตามทัน จึงสุดสิ้นชีวันบรรลัย
พระคุณล้ำลบจบดินแดน ยังไม่ทันทดแทนสนองได้
ร่ำพลางโศกีพิรี้พิไร ซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นคลายวายโศกเศร้าหมอง พระจึงร้องสั่งเหล่ายักษา
ท่านจงเชิญศพพระมารดา คืนไปพาราของเรา
แล้วตระเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพ คอยท่าข้ากลับมาจึงเผา
การพระเมรุใหญ่อยู่อย่าดูเบา ท่านจงเอาใจใส่ไตรตรา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนีตัวนายซ้ายขวา
จึงเชิญศพใส่วอช่อฟ้า กลับไปพาราทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

สมิงทอง

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นพวกพลยักษาไปธานี จึงเรียนเอามนตร์ที่เขียนไว้
เวียนเฝ้าสาธยายอยู่หลายตลบ แต่ต้นจนจบก็จำได้
ครั้นเสร็จเสด็จขึ้นไป บนยอดเขาใหญ่มิได้ช้า
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเกือกแก้ว ถือไม้เท้าเข้าแล้วก็ป้องหน้า
เหาะระเห็จเตร็ดทะยานด้วยฤทธา เลื่อนล่องลอยฟ้ามาไวไว

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ ถึงแดนพาราสามนต์ อาณาเขตมณฑลกว้างใหญ่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ เมืองนี้ชื่อไรจะใคร่รู้
เห็นภูมิฐานบ้านช่องเยียดยัด ผู้คนแออัดอื้ออึงอยู่
หรือจะเป็นพาราบิดากู จะยับยั้งฟังดูกิจจา
คิดพลางทางค่อยคลาเคลื่อน ลอยเลื่อนลงจากเวหา
หยุดอยู่เนินทรายปลายทุ่งนา อาศัยร่มพฤกษาสำราญ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกเด็กเด็กชาวบ้าน
ล้วนแต่ลูกหลานชายนายโคบาล อยู่ปลายแดนด่านกรุงสามนต์
ครั้นกินข้าวเช้าแล้วลงจากเรือน เที่ยวร้องเรียกพวกเพื่อนสับสน
เปิดคอกไล่โคของตน ถือปฏักต่างคนต้อนมา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา เชิด

๏ ครั้นออกมาถึงที่ทำไร่ จึงปล่อยโคไว้ให้กินหญ้า
เห็นเงาะยืนอยู่บนคันนา อ้ายนี่บ้าหรือมิใช่ไยอย่างนี้
รูปร่างหัวหูก็ดูแปลก ลางคนว่าแขกกะลาสี
อย่าไว้ใจมันมักควักเอาดี นึกกลัวเต็มทีวิ่งหนีพลาง
บ้างว่าอ้ายนี่ลิงทะโมนใหญ่ บ้างเถียงว่าทำไมไม่มีหาง
หน้าตามันขันยิงฟันฟาง หรือจะเป็นผีสางที่กลางนา
คนหนึ่งไม่กลัวยืนหัวเราะ นี่เขาเรียกว่าเงาะแล้วสิหนา
มันไม่ทำไมใครดอกวา ชวนกันเมียงเข้ามาเอาดินทิ้ง
บ้างได้ดอกหงอนไก่เสียบไม้ล่อ ตบมือผัดพ่อล่อให้วิ่ง
ครั้นเงาะแล่นไล่โลดกระโดดชิง บ้างล้มกลิ้งวิ่งปะทะกันไปมา

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้าฉุด อุตลุดล้อมหลังล้อมหน้า
แล้วชวนเล่นจ้องเตเฮฮา โห่ร้องฉาวฉ่านี่นัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นถึงเวลากินผอก แก้ห่อข้าวออกขมีขมัน
เกลอเอ๋ยมากินด้วยกัน เห็นเงาะนั้นเข้ากินก็ยินดี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นว่าเวลาบ่ายควาย เด็กเด็กทั้งหลายเข้าล้อมมี่
ไปบ้านด้วยกันหรือวันนี้ เงาะเดินเชือนหนีเสียมิไป
ถ้ากระนั้นก็นอนอยู่เฝ้านา ช่วยขับนกขับกาอย่าไปไหน
พรุ่งนี้จึงจะมาอย่าร้อนใจ แล้วไล่โคคืนมาทันที

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ