๙ กลับจากเมืองพนมเพ็ญมากรุงเทพ ฯ

วันที่ ๑๑ ธันวาคม เวลาเช้าส่งของบรรทุกรถยนต์ให้ออกจากเมืองพนมเพ็ญล่วงหน้าแต่เวลา ๖ นาฬิกา ส่วนตัวเราออกจากเมืองพนมเพ็ญเวลา ๗ นาฬิกาครึ่ง เรสีดังสุปีริเอจะต้องรออยู่ที่เมืองพนมเพ็ญอิกวันหนึ่ง เหตุด้วยจะต้องเลี้ยงให้เกียรติยศแก่แม่ทัพ กับเจ้ามุราด์ซึ่งกำหนดว่าจะกลับลงมาจากนครวัดในวันนั้น และได้ทูลขอให้สมเด็จพระศรีสวัสดิ์ มีละคอนหลวงให้ดูอิกวันหนึ่งด้วย เมื่อเสร็จกิจแล้วจึงจะตามไปส่งเราในวันรุ่งขึ้น มีผู้มาส่งไม่ทันก็หลายคน คือ พระองค์หญิงมาลิกาเปนต้น ด้วยไม่ได้คาดว่าเราจะออกเข้าถึงเช่นนั้น เมื่อรถแล่นออกมาถึงชานเมืองพนมเพ็ญ ได้เห็นกระบวรเกวียนอย่างใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อทำถนนแล้ว เปนเกวียนล้อหุ้มเหล็กหลังคาประทุนหลายร้อยเล่ม เกวียนเหล่านี้รับสินค้าและคนโดยสารออกจากเมืองพนมเพ็ญเวลาเช้าไปทางถนนที่ทำใหม่ เที่ยวแวะส่งคนตามหัวเมืองและหมู่บ้านในระยะทาง ทำนองจะกลับมาเมืองพนมเพ็ญในเวลาเย็นทุกๆ วัน เห็นมีโรงพักโคอยู่ที่ชานเมืองหลายหลัง นอกจากเกวียนยังมีรถยนต์เปนอย่างรถกระบะ ขนาดบรรทุกคนได้ราวหลังละ ๒๐ คน สำหรับรับคนโดยสารและสิ่งของส่งถึงหัวเมืองที่ห่างไกล ดูเหมือนจะมีเดิรทุกทางผิดกันแต่มากบ้างน้อยบ้าง รถยนต์ที่เรามาขากลับขับเร็วกว่าเมื่อขาไป นัยว่าขับถึงชั่วโมงละ ๖๐ กิโลเมต หรือกว่านั้น แต่เปนเพราะเคยเสียจนชินแล้ว ดูก็มิใคร่รู้สึกว่าเร็วน่ากลัวเหมือนเมื่อขาขึ้นมา มา ๒ ชั่วโมงครึ่งถึงเมืองกำปอด แวะรีบมองซิเออริชชอมช์ เรสิดังมณฑลกำปอดกับภรรยา ซึ่งจะเปนผู้นำทางต่อไปในวันนี้ แต่ส่วนพวกเราต้องแบ่งกันออกเปน ๒ พวก พวกหนึ่ง คือ พระยาพจนปรีชากับศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ และลูกเมีย กับทั้งนายสมบุญ โชติจิตร ผู้คุมของ ให้ไปค้างที่ตำบลแก๊ป เมื่อเรือวลัยมาถึงในวันรุ่งขึ้น ให้ลงเรือไปรับเราที่ตำบลบ้านเรียม (คือบ้านราม แต่สำเนียงเขมรเรียกว่า เรียม) ซึ่งเรสิดังสุปีริเอจะพาเราไปลงเรือ ส่วนอิกพวกหนึ่งคือตัวเรากับลูก ๓ คน นางสาวซืซานคาปูเลส์ และหลวงสุริยพงศ์พิสุทธิแพทย์ จะขึ้นไปค้างคืนที่บนเขาบอโค (แปลว่าหนอกโค) ซึ่งสร้างอาศรัยสถานใหม่ จะพักอยู่ที่เรือนเรสิดังสุปีริเอ ห้องที่อยู่ไม่พอกันจึงต้องแบ่งเปน ๒ พวก หลวงสุริยพงศ์พิสุทธิแพทย์นั้นเดิมก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องให้ไปค้างที่ตำบลแก๊ป แต่เรสิดังกำปอดเห็นว่าเปนแพทย์สำหรับพวกเรา จะรับให้ไปค้างที่เรือนของเขา จึงมาได้อิกคนหนึ่ง ส่วนพระยาพจนปรีชานั้น ถ้าไม่ได้ดูอาศรัยสถานบนเขาบอโคก็จะเสียไป จึงให้มาด้วย กินเข้ากลางวันแล้วจึงให้กลับลงไปนอนที่บ้านแก๊ป

เมืองกำปอด ตั้งริมลำน้ำ มีสพานคอนกรีตข้ามลำน้ำที่ตรงเมือง แล่นรถยนต์จากเมืองมาครู่หนึ่ง ก็ถึงปากทางที่จะขึ้นเขาบอโคมีป้ายปักที่ปากทาง บอกว่าระยะทาง ๓๒ กิโลเมต (๘๐๐ เส้น) จะถึงที่อาศรัยสถาน ตัดทางวกไปตามไหล่เขารถยนต์ขึ้นได้สดวก ขับรถขึ้นไปไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ถึงอาศรัยสถาน ทำที่ยอดเขาสูงจากทะเลกว่า ๑๐๐๐ เมต (๒๕ เส้น) สูงกว่าเขาเขียวบางปลาสร้อย แต่ต่ำกว่าเขาดอยสุเทพเมืองเชียงใหม่ เขานี้ผิดกับที่แห่งอื่น ด้วยบนเขาเปนที่ราบใหญ่โต (แปลโต) จะสร้างเมืองก็ได้ อากาศหนาวเย็นปลูกพรรณไม้ยุโรปได้หลายอย่าง เช่นลูกสตรอเบอรีเปนต้นออกผลงาม การสร้างอาศรัยสถานสำหรับหาอากาศเย็นในกรุงกัมพูชาที่บนเขาบอโค ได้เริ่มทำมาแต่คฤศตศก ๑๙๑๘ (พ.ศ. ๒๔๖๑) เดี๋ยวนี้ถนนหนทางที่ขึ้นไปจากเชิงเขา และแยกไปยังที่ต่างๆ ตามที่ราบบนยอดเขาสำเร็จแล้วหลายสาย ที่ขังน้ำก็ทำแล้ว ส่วนที่อาศรัยนั้นมีเรือนเรสิดังสุปีรเอ และเรือนเรสิดังเมืองกำปอด สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข และเรือนที่อาศรัยทำใช้ชั่วคราวมีหลายหลัง เห็นพวกฝรั่งที่ขึ้นมารักษาตัวมีอยู่หลายคน โฮเต็ลและเรือนเรสิดังสุปีริเอ ปลูกอยู่ใกล้ตระพักยอดเขา ออกไปริมตระพักนั้นแลลงมาออกใจหวิว แต่ดูจากบนนั้นแลเห็นเรือแล่นในทะเลและแผนที่ทะเลได้ไกล นัยว่าเวลาอากาศแจ่มใสอาจแลเห็นได้ถึงเกาะกูด และเกาะช้างแขวงเมืองตราด แรงงารที่ก่อสร้างและทำถนนหนทางทเขาบอโคนี้ใช้นักโทษเขมรส่งลงบาทำงารอยู่กว่า ๓๐๐ คน ที่นี้นานไปเห็นจะเปนเมืองได้เมืองหนึ่ง เพราะทำเลที่ใหญ่โต ยังจะปลูกสร้างบ้านเรือนเรือกสวนได้อิกมาก เมื่อมาถึงที่พักแล้วไม่ช้า ได้รับโทรเลขเคาวเนอเยเนอราลมีตอบมาจากเมืองฮานอย แสดงความยินดีที่ได้รับโทรเลขของเรา และที่ได้ทราบว่าเรามีความพอใจในการจัดรับรอง ถึงเวลาบ่ายออกเดิรเที่ยว เขาพาไปดูโฮเต็ลที่สร้างใหม่ เรียกชื่อว่า “ปาเลส์” แปลว่าวัง ก่อศิลาเปนตึกสามชั้นใหญ่โต ว่าถ่ายแบบอย่างมาจากโฮเต็ลเมืองนิสที่ชายทะเลเมดิเตอเรียนเนียน มีห้องคนอยู่ ๓๐ ห้อง และมีเตาผิงไฟด้วยอากาศหนาว ถึงที่เรือนเรสิดังสุปีริเอก็มีเตาผิงไฟ แต่หน้านี้เปนฤดูหนาวอยู่ด้วย สังเกตปรอทในห้องนอนเมื่อปิดหน้าต่างประตูหมดแล้ว ๖๒ ดีกรีฟาเรนไฮต์ ก็หนาวอยู่ ต้องนอนเข้าโปงอย่างฝรั่ง แต่ข้างนอกลมแรงด้วย เดิรกลางแจ้งอยู่ข้างจะหนาวจัด หน้าร้อนเห็นจะพอสบาย เกรงแต่ว่าหน้าฝนจะเปียกเกินต้องการ ด้วยเปนเขาสูงอยู่ริมทะเล รับมรสุมตวันตกเต็มระดู

วันที่ ๑๒ ธันวาคม เวลาเช้า ได้รับโทรศัพท์จากบ้านแก๊ปว่าเรือวลัยซึ่งมารับเรามาถึงบ้านแก๊ปแต่เวลาเช้าตรู่ พระยาพจนปรีชากับศาสตราจารย์ยอช เซเดส์ ให้ขนของลงเรือจะออกจากบ้านแก๊ปเวลา ๘ นาฬิกาครึ่ง ขึ้นไปคอยรับเราที่บ้านเรียม ครั้นเวลาเช้า ๙ นาฬิกาเศษ มองสิเออบอดูแอง เรสิดังสุปีริเอ กับมองสิเออดือคูแองช่างปั้นตามมาจากเมืองพนมเพ็ญมาถึง กำหนดจะออกจาเขาบอโคเมื่อกินกลางวันด้วยกันแล้ว ในตอนเช้านี้มีเวลาว่างอยู่สัก ๒ ชั่วโมง มองสิเออบอดูแองไปดูงารสร้างโฮเต็ล ส่วนพวกเราไปดูน้ำตกแห่งหนึ่ง กลับมาพร้อมกันเมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกา กินกลางวันด้วยกัน ในเวลาเมื่อกินกลางวัน มองสิเออบอดูแองยกถ้วยกล่าวว่า จะขอโอกาศเปนพิเศษกล่าวความอิกครั้งหนึ่งว่า ธรรมเนียมของฝรั่งเศสนั้น ถ้าได้ชอบพอกันแล้ว ไม่เยี่ยมกันแต่ครั้งเดียว เราตอบว่า เราจะจำภาษิตนั้นไว้ไม่ลืม และหวังใจว่า จะได้มาอิกในวันหน้า ถ้าและมองสิเออบอดูแองได้ขึ้นไปเยี่ยมกรุงเทพ ฯ ด้วยก็จะยิ่งมีความยินดี เมื่อเลี้ยงกันเสร็จแล้ว มองสิเออบอดูแองมาขึ้นรถคันเดียวกับเราและลูก เรสิดังกำปอด และผู้อื่นไปรถอิกสองหลัง ออกจากบ้านเรสิดังสุปีริเอที่ยอดเขาบอโค แล่นรถกลับลงมาทางเดิมจนถึงปากทาง แล้วเลี้ยวขึ้นทางทิศเหนือ มีป้ายปักบอกว่าระยะทาง ๘๐ กิโลเมต (๒๐๐๐ เส้น) ถึงบ้านเรียมท่าเรืออันจะเปิดใหม่ ซึ่งเรสิดังสุปีริเอจะให้พวกเราประเดิม

ความคิดเรื่องสร้างอาศรัยสถานบนยอดเขาบอโค หรือที่เขียนชื่อในแผนที่เดิรเรือว่า “เขาช้าง” ก็ดี ความคิดที่จะทำท่าจอดเรือกำปั่นที่บ้านเรียมก็ดี เปนความคิดของมองสิเออบอดูแอง เรสิดังสุปีริเอคนนี้ เพราะได้อยู่ในกรุงกัมพูชาช้านาน รู้ตำแหน่งแห่งที่และการงารบ้านเมืองยิ่งกว่าผู้อื่นโดยมาก คิดเห็นว่ากรุงกัมพูชาไม่มีท่าสำหรับจอดเรือใหญ่ การรับส่งสินค้าก็ดี ทางที่ชาวต่างประเทศจะไปมาก็ดี ต้องอาศรัยเมืองไซ่ง่อน ยังลำบากและชักช้า เปนเครื่องสกัดกั้นความเจริญของกรุงกัมพูชา จึงคิดอ่านให้เรือเมล์แวะที่บ้านแก๊ป ก็เกิดมีผู้พอใจไปมาทางนั้น แต่ที่อ่าวแก๊ปน้ำตื้นเรือกำปั่นเข้าเทียบท่าถึงตลิ่งไม่ได้ เที่ยวค้นหาที่น้ำลึกไปพบที่อ่าวบ้านเรียมข้างใต้อ่าวกำพงโสม และมีเกาะบังคลื่นทุกระดู จึงให้ทำถนนไปลงที่แหลมบ้านเรียมตรงที่น้ำลึก และทำสพานสำหรับจอดเทียบเรือกำปั่น จะให้สำเร็จในศกหน้าด้วยกันทั้งโฮเต็ลที่เขาบอโคและท่าเรือจอดที่บ้านเรียม ประสงค์จะให้ทางไปมาในระหว่างกรุงกัมพูชากับกรุงเทพฯ และเมืองสิงคโปร์ไปมาได้เร็วและสะดวกยิ่งขึ้น จะได้มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวนครวัดนครธมและกรุงกัมพูชามากขึ้น ที่สร้างโฮเต็ลบนเขาบอโคก็เพื่อจะให้เปนที่สำหรับผู้ที่อยู่ในกรุงกัมพูชา ตลอดจนพวกชาวต่างประเทศอันประสงค์จะเปลี่ยนหาอากาศเย็นมาอยู่ได้สบาย นอกจากที่เขาบอโคนี้ รัฐบาลได้ลงทุนสร้างโฮเต็ลที่มณฑลกำพงธมแห่งหนึ่ง และจะสร้างที่เมืองเสียมราษฐอิกแห่งหนึ่ง เรสิดังสุปีริเอบอกว่ามีบริษัทจะรับเหมาเช่าโฮเต็ลของรัฐบาลและจัดการเดิรรถยนต์ เดิรเรือรับส่งคนโดยสานด้วย โฮเต็ลที่นครวัดเดี๋ยวนี้เรียกค่ากินอยู่วันละ ๑๒ เหรียญยังแรงนัก จะให้บริษัทเรียกวันละ ๖ เหรียญเสมอกันทุกโฮเต็ล ให้ชาวต่างประเทศมาเที่ยวได้สดวก ถ้าความคิดสำเร็จแล้วชาวกรุงเทพฯ อาจมาถึงบ้านเรียมได้ภายใน ๒๘ ชั่วโมง และอาจจะเอารถยนต์ของตนเองออกมาขี่เที่ยวไปดูนครวัดนครธม หรือไปจนเมืองไซ่ง่อนก็ได้ เพราะเรือเทียบได้ถึงท่า เอารถยนต์ขึ้นได้ง่าย (เราขอเตือนว่า ถ้าใครจะเอารถยนต์มาจากกรงเทพฯ ต้องระวังอย่างหนึ่ง ด้วยประเพณีขับรถยนต์ของเราหลีกกันข้างซ้าย ประเพณีของฝรั่งเศสหลีกกันข้างขวา โชเฟอร์ไปจากกรุงเทพฯ ถ้าไม่รู้ข้อนี้ หรือไปเผลออาจจะเกิดโดนกันเปนอันตราย) ความคิดของมองสิเออบอดูแองที่ประสงค์จะให้มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวกรุงกัมพูชาให้มากนั้น เพราะคนเที่ยวเตร่มักอยู่ในจำพวกคนมีทรัพย์ ย่อมเอาเงินเข้ามาใช้สอยซื้อหาเกิดเปนผลประโยชน์ตกอยู่แก่บ้านเมือง ยิ่งมีคนมามาก ประโยชน์ของบ้านเมืองก็ยิ่งได้มากขึ้น รัฐบาลจึงกล้าลงทุนและคิดอ่านชักโยงชาวต่างประเทศให้ไปเที่ยว ไม่ใช่แต่ที่กรุงกัมพูชานี้แห่งเดียว ที่เกาะชวารัฐบาลก็เอาใจใส่ในเรื่องนี้มาก ได้ยินว่าในปีหนึ่งๆ พวกชาวต่างประเทศที่ไปเที่ยวเตร่ เอาเงินเข้าไปใช้เงินตกอยู่ในเกาะชวานับด้วยล้านเหรียญ

ถนนแต่เมืองกำปอดไปอ่าวบ้านเรียม ทำไปตามชายทะเลตลอดจนถึงแหลมบ้านเรียม จึงแยกเลี้ยวลงไปทางปลายแหลม แต่ถนนที่ทำตามทางชายทะเลยังมีต่อไปอิก นัยว่าจะทำจนถึงชายแดนกรุงกัมพูชาต่อพระราชอาณาเขตที่พรมแดนเมืองตราด ถนนที่ทำลงมาแหลมบ้านเรียมตอนริมทะเลยังไม่แล้ว ต้องลงเดิรหน่อยหนึ่งจึงถึงท่าเรือเวลาบ่าย ๕ นาฬิกาเศษ ที่บ้านเรียมยังไม่มีเรือแพพาหนะ จึงเอาเรือหาปลาตกแต่งปักธงฝรั่งเศสและปูเสื่อสาดไว้รับเรา ๒ ลำ บรรทุกของลำ ๑ เรสิดังสุปีริเอกับบรรดาฝรั่งเศสผู้ที่มาส่งพากันลงเรือน้อยนั้นมากับเราลำ ๑ มาส่งจนถึงในเรือวลัย พากันชมเรือว่าดูน่าสบายและสอาดสอ้านดี เราให้เลี้ยงของว่างและชวนดื่มแชมเปนขอบใจแล้วร่ำลากันด้วยความอาลัย พอพวกที่มาส่งกลับไป เราก็ออกเรือเวลา ๖ นาฬิกา เรือแล่นบังเกาะรง เกาะกง เกาะกูด มาไม่มีคลื่นตลอดคืน

วันที่ ๑๓ ธันวาคม เวลาเช้า เรือแล่นขึ้นมาข้างเหนือ พอพ้นเกาะช้างแล่นห่างฝั่ง ตอนสายลมจัด แต่เปนลมมาจากฝั่งไม่มีคลื่นเท่าใดนัก ถึงกระนั้นกัปตันก็บ่ายเรือแล่นเข้าให้ใกล้ฝั่งเพื่อจะมิให้เจ้าหญิงเมาคลื่น มาเห็นฝั่งตั้งแต่ช่องเสม็ดตลอดมาจนบ่าย ๕ นาฬิกา ถึงเกาะจวงเข้าอ่าวน้อย ต้องแล่นเรือรอมา เพราะถ้าเดิรเต็มที่จะถึงสันดอนตอนดึก ต้องมาทอดสมอรอน้ำอยู่เปล่า ๆ

วันที่ ๑๔ ธันวาคม เวลารุ่งสว่าง เรือแล่นข้ามสันดอนเข้ามาพ้นชายชำแระแล้ว แต่ยังต้องแล่นรอต่อมา ด้วยกัปตันได้บอกไว้ว่าจะถึงกรุงเทพฯ เวลา ๙ นาฬิกา ถ้าไม่รอจะไปถึงเสียก่อนกว่าครึ่งชั่วโมง กัปตันเดิรเรือกะเวลาดี พอ ๙ นาฬิกาก็ทอดสมอที่หน้าห้างอิสเอเซียติค มีมิตร์สหายทั้งไทยและชาวต่างประเทศพากันมีแก่ใจมารับเปนอันมาก อุปทูตฝรั่งเศสขึ้นมารับที่ในเรือก่อนผู้อื่น เราได้โอกาศขอให้แสดงความขอบใจแก่รัฐบาลฝรั่งเศสอิกครั้งหนึ่ง ที่ได้ต้อนรับเปนธุระแก่เราด้วยความเอื้อเฟื้อ ให้ได้มีความสุขสบายตั้งแต่วันไปถึงจนวันมาจากดินแดนของฝรั่งเศส เขารับจะโทรเลขบอกไปยังเคาวเนอเยเนอราลตามที่เราสั่ง ต่อนั้นได้แสดงความขอบใจแก่ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ ที่ได้พาไปเที่ยวและได้ช่วยเหลืออิกหลายอย่าง เช่นเปนล่ามทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาเขมรเปนต้น แล้วขอบใจมิศเตอรบยอลิง ผู้จัดการบริษัทเรือเมล์สยาม ซึ่งได้มีแก่ใจให้เรือสุทธาทิพย์ไปส่ง และให้เรือวลัยไปรับกลับมาโดยสวัสดิภาพ แล้วจึงขึ้นบก

อันผู้ที่ไปทางไกล ดูเหมือนจะไม่มีเวลาไหนที่ชื่นใจยิ่งกว่าเมื่อกลับมาเห็นหน้าญาติมิตร์ วันนี้ได้เห็นญาติมิตร์มีแก่ใจไปรับมากด้วยกัน ที่ลงไปรับถึงในเรือก็มี ที่คอยรับอยู่บนบกก็มาก รู้สึกยินดีและขอบคุณเปนอย่างยิ่ง ขออำนวยพรให้มีความสุขสถาพรจงทุกท่านเทอญ สิ้นเรื่องนิราศนครวัดเพียงเท่านี้

  1. ๑. ได้ยินในวันหลังต่อมา ว่าละคอนหลวงที่เล่นเปนแต่เล่นสถานประมาณ ตัวเอกไม่ได้ออกเล่น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ