๗ ไปเมืองไซ่ง่อน

วันที่ ๔ ธันวาคม ส่งของขึ้นรถยนต์อย่างรถกะบะให้ล่วงหน้าไปแต่เช้า ครั้นเวลาเช้า ๘ นาฬิกาครึ่ง ขึ้นรถยนต์ออกจากเมืองพนมเพ็ญไปเมืองไซ่ง่อน รถยนต์ไปสองหลังด้วยกัน การที่จะไปเมืองไซ่ง่อนครั้งนี้ ที่จริงไม่ได้ตั้งใจมาแต่กรุงเทพ ฯ ด้วยทราบอยู่แต่ก่อนว่าจะต้องไปเรือเมล์ ทั้งไปทั้งมาจะเปลืองเวลาราว ๗ วัน เราหมายจะไปดูนครวัดนครธมเปนสำคัญ ถึงเมืองพนมเพ็ญก็หมายเพียงจะอยู่พักพอจับเรือเมล์ที่จะไปเมืองเสียมราษฐ ขากลับก็จะพักพอจับเรือเมล์กลับไปกรุงเทพ ฯ แต่เมื่อได้รู้กำหนดว่าเรือเมล์ที่จะกลับไปกรุงเทพ ฯ เขาจะมารับต่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม มีวันมากขึ้นกว่าคาดไว้แต่เดิม ฝ่ายเรสิดังสุปีริเอช่วยคิดกะโปรแกรมให้ด้วยความเอื้อเฟื้อ ประสงค์จะให้เราได้เห็นที่ต่างๆ ได้มาก เมื่อคิดกำหนดวันที่จะอยู่ดูนครวัด นครธมถึง ๑๐ วันแล้ว ยังมีเวลาที่จะไปที่อื่นได้อิก จึงแนะให้ไปดูเมืองไซ่ง่อน เพราะเดี๋ยวนี้มีถนนไปรถยนต์จากเมืองพนมเพ็ญถึงเมืองไซ่ง่อนได้ใน ๖ ชั่วโมง ไม่ต้องเสียเวลามากเหมือนแด่ก่อน อิกประการหนึ่ง ว่าเราพาลูกสาวไปดูปราสาทหินซึ่งเปนของชอบของเราแล้ว ควรจะให้ลูกสาวได้ไปเที่ยวห้างหอ อันเปนของชอบของผู้หญิงบ้าง ฝ่ายฝรั่งเศสที่ชอบพอกันต่างก็เข้ากับลูกสาว อยากจะให้พาไปเที่ยวห้างเมืองไซ่ง่อน ว่ามีห้างใหญ่พึ่งเปิดใหม่ห้างหนึ่ง ขายของทำนองเดียวกับห้างโอลูฟร์และห้างโอบองมาเชที่ปารีสน่าดู เจ้าหญิงก็อยากไปไซ่ง่อนทั้ง ๓ คน เราทนไม่ไหว นึกว่านาน ๆ จะได้มาสักครั้งหนึ่ง ไหนก็มาใกล้หนักหนาแล้ว ควรจะไปดูให้เห็นเมืองไซ่ง่อนด้วยอย่าให้เสียเที่ยว จึงตกลงว่าจะไปเมืองไซ่ง่อนสัก ๒ วัน

ออกจากเมืองพนมเพ็ญ แล่นรถลงมาข้างใต้หน่อยหนึ่งถึงท่าข้าม ต้องเอารถยนต์ลงเรือขนานมีคนแจว ๘ คน พาข้ามลำน้ำป่าสักไปขึ้นทางฝั่งตวันออกแล่นต่อไป ทางตอนแรกถมผ่านที่ลุ่มริมน้ำป่าสักไปไกลจึงถึงที่ดอน มีบ้านเรือนไร่นาไประยะหนึ่ง แล้วไปถึงที่ลุ่มริมลำน้ำโขงอิก ถนนทำตามแนวลำน้ำโขงไปข้างใต้จนถึงท่าข้ามอิกแห่งหนึ่ง ที่ข้ามแห่งนี้ทำแขงเรง มีสะพานคอนกรีตและเรือยนต์สำหรับรับรถยนต์ข้าม รถใหญ่ขนาดเช่นที่เราไปข้ามได้คราวละ ๒ หลัง ถ้าย่อมลงมาข้ามได้คราวละ ๓ หลัง รถยนต์ขึ้นฝั่งลำน้ำโขงทางฟากตวันออก แล่นต่อไปทางตวันออกเฉียงใต้ ถนนตอนนี้ทำตรงลิ่วทอดละยาวๆ ตอนแรกเปนที่ลุ่ม ครั้นถึงที่ดอนเปนทุ่งนา มีต้นตาลชุกชุมคล้ายทุ่งเมืองเพ็ชรบุรี แต่เปนทุ่งใหญ่โตแลสุดสายตาติดต่อกันไปหลายทุ่ง เวลาเที่ยงถึงมณฑลสวายเรียง ระยะทางแต่เมืองพนมเพ็ญ ๑๒๐ กิโลเมต (๓๐๐๐ เส้น) มองซิเออ ลาลอ เรต เรสิดังมณฑลสวายเรียงกับออกญาฦาจักรี เจ้าเมืองลำดวนอันเปนที่ตั้งมณฑลสวายเรียงต้อนรับและจัดเลี้ยงกลางวัน อยู่จนเวลาบ่าย ๒ นาฬิกาครึ่งจึงแล่นรถยนต์ต่อไป ทางตอนนี้ก็เปนทุ่งตลอดไปจนแดนญวน ตรงที่แดนเขมรต่อกับแดนญวนดูชอบกลหนักหนา แดนต่อกันที่ทุ่งอันหนึ่ง ที่ตรงแดนมีหลักก่ออิฐโบกปูนอยู่ข้างถนนหลักหนึ่ง สิ่งอื่นไม่เห็นมี แต่ว่าในตาสังเกตได้ด้วยบ้านเรือนทางข้างแดนเขมรมีวัดวา ถึงบ้านเรือนห่างก็เปนเรือนอย่างเขมรผู้คนก็เปนเขมร พอข้ามแดนญวนเข้าไป บ้านเรือนแลเห็นก็รู้ว่าบ้านญวนด้วยชอบทำเอาอย่างจีน ผู้คนก็เปนญวนไม่มีเขมรปะปน ขับรถไปข้ามลำน้ำอิกแห่งหนึ่ง มีเรือรับรถยนต์ข้ามฟาก แต่วิธีที่ข้ามนั้นทอดลวดเหล็กไว้ในท้องน้ำ มีคนสาวสายลวดชักเรือไปส่งรถยนต์ทางฝั่งโน้น รถยนต์ของรัฐบาลมีป้ายทองเหลืองแกะตัวหนังสือบอกว่าเปนรถของรัฐบาลอาณาเขตนั้นๆ ติดไว้ที่แผงหน้าคนขับ รถที่เรามาเปนรถของรัฐบาลที่กรุงกัมพูชา เมื่อข้ามเรือในแดนกรุงกัมพูชาไม่ต้องเสียค่าเรือข้าม เปนแต่เขาจดชื่อไว้ ครั้นมาข้ามลำน้ำในแขวงเมืองไซ่ง่อน เปนต่างอาณาเขตต้องเสียค่าข้ามหลังละเหรียญครึ่ง รถบรรทุกของซึ่งล่วงหน้ามาก่อน ยางล้อมาแตกกลางทาง ต้องเสียเวลาเปลี่ยนยาง มาถึงท่าข้ามนี้ก่อนเราไม่ช้านัก เรสิดังสุปีริเอให้เลขานุการญวนของเขามากับนายสมบุญ โชติจิตร ซึ่งคุมของ รถยังคอยอยู่ที่ตรงท่าข้าม ทำนองเลขานุการญวนคนนั้นจะไปเที่ยวบอกกล่าวปาวร้องอย่างใดอย่างหนึ่ง เห็นมีกำนันผู้ใหญ่บ้านตำรวจภูธรและราษฎรมาคอยอยู่เกลื่อนกลุ้ม พอเรามาถึงก็เที่ยวตามหาว่าคนไหน “องค์หว่างเสียม” คือว่า เจ้าไทย แต่กิริยาอาการแสดงความเคารพเรียบร้อยดี ออกจากท่าข้ามแล่นรถต่อมา พื้นที่ตอนนี้เปนที่เนินสูงบ้างต่ำบ้างตลอดมาจนเมืองไซ่ง่อน ข้างทางมีบ้านช่องไร่นาบริบูรณ์ ผ่านที่ว่าการอำเภอสัก ๓ แห่ง แลเห็นเสาวิทยุโทรเลขซึ่งฝรั่งเศสตั้งขึ้นไว้ที่ทุ่งข้างหลังเมืองเมื่อสัก ๓ ปีมาแล้ว มีถึง ๑๒ เสา อาจส่งโทรเลขได้ตรงถึงเมืองฝรั่งเศส พอพ้นสถานีวิทยุโทรเลขก็เข้าเขตชานเมืองไซ่ง่อน มาถึงตึกที่พักเวลาบ่าย ๕ นาฬิกา ๓๐ นาที ระยะทางมาแต่เมืองสวายเรียง ๑๑๖ กิโลเมต (๒๙๐๐ เส้น) รวมทางแต่เมืองพนมเพ็ญมาถึงเมืองไซ่ง่อน ที่นั่งรถยนต์มาในวันนี้ ๒๓๖ กิโลเมต (๕๙๐๐ เส้น) มอสิเออรกาโต กงสุลสยาม กับมองสิเออร์เปโร เลขานุการเจ้าของเมืองไซ่ง่อน มาคอยรับอยู่ที่ตึกนั้น การที่เรามาเมืองไซ่ง่อน เดิมคิดจะมาอย่างอินคอคนิโต คือมิให้ปรากฎว่าเปนเจ้านาย และมิให้รัฐบาลต้องจัดการรับรองอย่างหนึ่งอย่างใด หมายจะมาพักอยู่ที่โฮเต็ลสัก ๒ วัน พอเที่ยวดูเมืองเห็นแล้วก็จะกลับ เรสิดังสุปีริเออรับจะให้นายทหารคนสนิทของเขามาเปนผู้พาเที่ยว แต่เมื่อเรสิดังสุปีริเอบอกเจ้าเมืองไซง่อนให้ทราบเปนคำนับ เจ้าเมืองไซ่ง่อนตอบไปยังเมืองพนมเพ็ญว่า ที่เราจะไปอยู่โฮเต็ลนั้นหาสมควรไม่ จะขอจัดบ้านหลวงให้เปนที่พัก และให้เลขานุการของเขาเปนผู้พาเที่ยว เราก็ต้องรับ ครั้นมาถึงที่เมืองไซ่ง่อน ได้ความจากกงสุลว่า เจ้าเมืองได้ออกหมายจะมีการเลี้ยงให้เปนเกียรติยศในวันรุ่งขึ้น เลี้ยงแล้วจะพาไปดูละคอนออปรา ซึ่งจัดเปนการ “กาลา” ให้เปนเกียรติยศแก่เราด้วย และให้มาถามถึงสถานและที่ต่างๆ ซึ่งเราประสงค์จะดู เมื่อพูดกันเสร็จแล้วจึงรีบทำพิธีแลกเยี่ยมกับเจ้าเมืองในค่ำวันนั้น ทั้งยังแต่งเครื่องเดิรทาง เพราะหีบผ้าเรายังมาไม่ถึง เมื่อทำพิธีเสร็จและกินอาหารเย็นแล้ว ขึ้นรถไปดูเมืองเจาเลิ่ง คือเมืองซึ่งพวกจีนตั้งอยู่ต่อเมืองไซ่ง่อนไปทางทิศเหนือ มีประชาภิบาลเปนส่วนหนึ่งต่างหากจากเมืองไซ่ง่อน เจ้าเมืองสั่งให้ตัวผู้เปนนายกประชาภิบาลมารับไปเอง พาไปเที่ยวขับรถตามถนนหลายสาย มีร้านขายของจุดไฟฟ้าสว่างไปทั้งนั้น เปนที่เขาชมกันว่าน่าดูในเวลากลางคืน เรามีเวลาน้อยจึงได้มาดูในค่ำวันนี้ เมื่อมาเห็นก็นึกเปนใจเดียวกันทุกคนว่า เมืองเจาเลิ่งนี้ลักษณเหมือนเช่นถนนราชวงศ์ ถนนเยาวราชในกรุงเทพฯ นั้นเอง ผิดกันแต่โรงสีไฟทั้งปวงของเมืองไซ่ง่อนตั้งอยู่ในเขตเมืองเจาเลิ่งนี้ เมื่อดูตามถนนแล้ว เขาพาไปแวะที่สโมสรจีน นายกของสภาค้าขายจีนและกรรมการของสโมสรจีนมาคอยรับอยู่พร้อมกัน เตรียมของว่างไว้เลี้ยงพวกจีนที่เปนหัวหน้าพ่อค้าพูดอังกฤษได้เกือบทุกคน ตัวผู้เปนสภานายกสโมสรค้าขายนั้นก็ได้เคยเข้าไปกรุงเทพฯ ด้วย การสนทนากันอยู่ข้างจะสดวก ผู้เปนสภานายกบอกว่าพวกจีนรู้สึกขอบพระเดชพระคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยามอยู่ทั่วหน้า ด้วยทรงทำนุบำรุงบรรดาจีนที่เข้าไปอยู่ในพระราชอาณาเขตให้มีความสุขสำราญ มิได้กดขี่อย่างหนึ่งอย่างใด เราถามถึงการค้าขายในระหว่างเมืองไซ่ง่อนกับกรุงสยาม เขาบอกว่าหามีเท่าใดไม่ เพราะเหตุที่ต่างมีสินค้าอย่างเดียวกัน คือเข้าเปนต้น ขายส่งไปต่างประเทศด้วยกัน สิ่งสินค้าซึ่งจะต้องการจากกันและกันหามีไม่ ถามถึงสินค้าไซ่ง่อนที่ส่งไปขายต่างประเทศ เขาบอกว่าเข้าสารเปนสำคัญ นอกจากนั้นก็มีหนังสัตว์และพริกไทย กับยางรับเบอร์เปนต้น เข้าสารส่งไปขายเมืองจีนเมืองฟีลิปีนและยุโรป พริกไทยกับยางส่งไปขายเมืองฝรั่งเศส เพราะรัฐบาลให้ประโยชน์ไม่เก็บภาษีเหมือนของต่างประเทศ ถามถึงจำนวนจีนที่ไซ่ง่อน ว่ามีสักสองแสนห้าหมื่น เปนจีนฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งโดยมาก เลี้ยงดูที่สโมสรแล้ว กรรมการสโมสรพาไปดูงิ้ว โรงที่เล่นก็เหมือนอย่างโรงงิ้วที่เล่นแถวถนนเยาวราชในกรุงเทพฯ แต่จะสอาดกว่าของเราสักหน่อย งิ้วที่เล่นเปนงิ้วสมัยใหม่ มีฉากหลังอย่างฝรั่ง และเครื่องแต่งตัวก็ไม่เหมือนงิ้วที่เล่นอย่างเก่า ถ้าจะเปรียบเช่นละคอนปราโมไทยผิดกับละคอนอย่างเก่าฉันใด งิ้วสมัยใหม่ก็ผิดกับงิ้วสมัยเก่าฉันนั้น ดูอยู่สัก ๕ นาฑี พออิ่มใจก็ขอให้เขาพาไปที่อื่น คราวนี้พาเดิรไปตามทางคนเดิรริมถนน ผ่านหน้าร้านขายของกิน มีต่างๆ ไม่ผิดกับที่ถนนราชวงศ์ ไปจนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาจัดรับหมายจะให้กินเกาเหลาเปนของว่างครั้งที่สอง พาแวะขึ้นไปพอเห็นบันไดที่จะขึ้นก็นึกชื่อได้ ว่าควรจะเรียกว่า “โรงบันไดแก้ว” คู่กับโรงบันไดทองในสำเพ็งของเรา เหตุด้วยตามคั่นบันไดประดับกระจกเงาทุกคั่น ข้างบนก็เหมือนโรงเตี๊ยมทั้งปวงในเมืองเรา มีหญิงสาวขับร้องเข้าเครื่องดนตรีเช่นเดียวกัน ผิดกันแต่เปนตึกสองชั้น เช่นโรงเตี๊ยมสมัยเก่าในกรุงเทพ ฯ ยังไม่ได้สร้างเปนสี่ชั้นห้าชั้นอย่างสมัยใหม่ ต้องบอกของดกินเกาเหลา ด้วยเดิรทางมาตลอดวัน เวลาก็ถึง ๑๑ นาฬิกาแล้ว แต่ผู้รับรองขอเปิดแชมเปน และให้กินขนมหวานเล็กน้อย แล้วจึงปล่อยให้กลับมา โรงเตี๊ยมที่เมืองไซ่ง่อนแปลกกับในกรุงเทพ ฯ อิกอย่างหนึ่ง ที่ตั้งเตียงตะเกียงกล้องสำหรับสูบฝิ่นไว้รับแขกโดยเปิดเผย ไม่ซ่อนเร้นเหมือนโรงเตี๊ยมในกรุงเทพ ฯ

วันที่ ๕ ธันวาคม เวลาเช้า ไปเที่ยวห้างใหญ่ ชื่อว่าครองแมคาแซง เดอชาแน ซึ่งพึ่งเปิดได้สัก ๗ วัน ผู้จัดการรับรองพาเที่ยวดูเอง เปนห้างใหญ่โตตึกสามชั้นทำใหม่ ตั้งของขายเปนประเภทๆ มีป้ายแขวนเพดานบอกประเภทของไว้ทุกตอน และเขียนราคาปิดไว้ตามสิ่งของที่ตั้งขายทุกสิ่ง เปนอันว่าไม่ให้ต้องไต่ถามต่อตาม ได้ยินว่าบริษัทที่ตั้งห้างนี้คิดตั้งขึ้นที่เมืองฮานอยก่อน ขายดีเพราะขายราคาถูก เห็นได้ประโยชน์จึงมาตั้งขึ้นที่เมืองไซ่ง่อนอิกแห่งหนึ่ง แล้วจะไปตั้งที่เมืองพนมเพ็ญต่อไป ดูห้างใหญ่นี้แล้วไปดูห้างอื่นๆ อิก ห้างฝรั่งเศสมักเปนห้างย่อมๆ ที่จะเปนห้างใหญ่เช่นห้างในกรุงเทพฯ มิใคร่มี เว้นแต่ห้างใหม่ที่กล่าวนั้น ได้พบผู้ที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อนอยู่ที่เมืองไซ่ง่อนหลายคน ดูเหมือนรู้เข้าก็เปนมาหา มีนายพันเอก เซ คนหนึ่ง ซึ่งเคยเข้าไปกับข้าหลวงปันแดน เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือพิมพ์ชื่อ โอปีนียอง ซึ่งพิมพ์ที่เมืองไซ่ง่อนเปนของตน ได้มาสนทนาด้วย เราก็ได้บอกให้เข้าใจอย่างได้บอกแก่พวกหนังสือพิมพ์อื่น ว่ามานี้เปนแต่อย่างคนเดิรทาง ประสงค์จะมาดูของโบราณในกรุงกัมพูชา ไม่มีกิจเกี่ยวข้องแก่ราชการบ้านเมืองอย่างหนึ่งอย่างใด ข้างฝ่ายเขาดูก็ประสงค์จะแสดงแต่ว่าหนังสือพิมพ์ของเขาไม่มีประสงค์จะให้ร้ายแก่กรุงสยามอย่างหนึ่งอย่างใด สัญญาที่จะทำกันใหม่นั้นเขาก็เห็นชอบด้วย

เวลาบ่าย ไปเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ ตามที่เจ้าเมืองได้ถามความประสงค์ของเราไว้ คือเราประสงค์จะดูวัดญวนอย่างหนึ่ง ด้วยจะใคร่รู้ว่าพระสงฆ์นิกายญวนในเมืองญวนผิดกับในกรุงเทพฯ อย่างไรบ้าง เขาจึงพาไปดูวัดญวนแห่งหนึ่ง อยู่ในเมืองไซ่ง่อน เรียกว่า วัดดาเกา มีการแต่งธงจุดประทัดและตั้งเครื่องว่างรับ และให้พระญวนมาสวดมนต์ให้ดู ๓ องค์ แต่เมื่อดูทั่วแล้วจึงรู้ว่าหาใช่วัดอย่างพุทธาวาสหรือสังฆารามอย่างใดไม่ ที่แท้เปนศาลเจ้าลัทธิสาสนาที่เรียกว่า “เต่า” ไม่มีพระพุทธรูปเลยสักองค์เดียว มีแต่เทวรูปและรูปนักบุญตามลัทธิเต๋าเปนรูปขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เปนของเก่าฝีมือจำหลักงามน่าดู พระญวนนั้นใส่เสื้อกางเกงสีเทา ๒ องค์ สีเหลืององค์หนึ่ง ห่มสังฆาฏิญวนปักไหมทองเปนลวดลายหรูหราคล้ายผ้าหน้าโต๊ะเครื่องบูชา ทำนองสวดเปนเค้าเดียวกับพระญวนทำกงเต๊ก ออกจากศาลเจ้าไปดูมิวเซียม พวกฝรั่งที่เคยเข้าไปกรุงเทพฯ ห้ามแล้วห้ามเล่าว่าไม่ควรจะไปให้เสียเวลา เพราะไม่มีอะไรซึ่งเห็นว่าเราจะชอบใจดู แต่เราว่าได้มาถึงที่แล้วจะให้เสียเที่ยวมาทำไม มิวเซียมเปนตึกสองชั้น ข้างล่างมีชิ้นศิลาเก็บมาจากปราสาทหินของจามสัก ๔-๕ ชิ้นน่าดูอยู่บ้าง ข้างบนก็เปนของพื้นเมืองพอดูได้ ออกจากมิวเซียมขี่รถเที่ยวดูเมืองไปจนถึงที่ฝังศพสังฆราชอาดริยอง ซึ่งเราอยากจะดู ด้วยมีเรื่องราวเกี่ยวกับพงศาวดารไทย คือเมื่อครั้งองค์เชียงสือเข้าไปพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น สังฆราชยังเปนบาดหลวงสอนสาสนาอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน รับเลี้ยงบุตรชายขององค์เชียงสือไว้แล้วพาไปเมืองฝรั่งเศส (แต่บุตรชายคนนั้น ต่อมาออกทรพิษตายไม่ทันได้เปนใหญ่) ในสมัยนั้นประจวบเวลาที่เมืองฝรั่งเศสเกิดจลาจล บ้านเมืองประกาศเปนริปับลิก สังฆราชอาดริยองจะไปขอกำลังรัฐบาลฝรั่งเศสมาช่วยองค์เชียงสือไม่ได้ แต่ทราบว่าพวกนายทหารของพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสถูกขับไล่ระส่ำระสายอยู่มาก จึงไปเกลี้ยกล่อมนายทหารฝรั่งเศสออกมาช่วยองค์เชียงสือได้หลายคน ครั้นกลับมาเมืองไซ่ง่อนบอกไปให้องค์เชียงสือกลับออกมาคิดอ่านตีเอาบ้านเอาเมืองคืน เปนต้นเหตุให้องค์เชียงสือหนีกลับมา เมื่อตีได้เมืองคืนพวกญวนจึงนับถือบาดหลวงอาดริยองว่าเปนผู้มีบุญคุณ เปนเหตุให้ได้เปนสังฆราช ครั้นถึงมรณภาพ พวกญวนทำที่ฝังศพให้อย่างญวน เปนทำนองศาลเจ้า ในประธานศาลนั้นฝังแต่ศพสังฆราชอาดริยอง ที่เฉลียงฝังศพสังฆราชต่อมาอิก ๒ ศพ ในบริเวณข้างหลังศาลเจ้าฝังศพสังฆราชต่อมาอิกหลายศพ ต่อนั้นไปดูโรงเรียนช่างเขียน มีครูฝรั่งเศสหัดลูกศิษย์ญวนให้เขียน และแกะทองแดงและพิมพ์หิน มีการต้อนรับแสดงวิชาให้ดู ออกจากโรงเรียนนั้นแล้วขับรถเที่ยวดูเมืองทางริมน้ำ จนค่ำจึงได้กลับมาถึงที่พัก

เวลาค่ำ ๘ นาฬิกา ไปกินเลี้ยงที่บ้านเจ้าเมือง มองสิเออโทลังส์ ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองไซ่ง่อน เชิญแม่ทัพและกรมการผู้ใหญ่ ตำแหน่งต่างๆ ทั้งภรรยา รวมจำนวนเลี้ยง ๓๐ คน เจ้าเมืองและพวกกรมการพากันต่อว่า ว่าเราไปอยู่เมืองไซ่ง่อนน้อยวันนัก ไม่ให้โอกาศพอที่เขาจะรับรอง และพาไปเที่ยวดูที่ต่างๆ ซึ่งควรจะดู มีอยู่หลายแห่ง เช่นที่ตำบลบานัด อันเปนที่เขาสูงอากาศดี ซึ่งเขาตั้งที่อาศรัยสถานนั้นเปนต้น เราต้องชี้แจงตามความจริงว่าการที่ลงมา เดิมเรามีประสงค์แต่จะดูของโบราณในแขวงกรุงกัมพูชา ไม่ได้คิดจะมาถึงเมืองไซ่ง่อน ด้วยเกรงเวลาที่มีอยู่จะไม่พอดูของโบราณได้ทั่ว ครั้นมาถึงกรุงกัมพูชา มาทราบว่าทุกวันนี้รัฐบาลฝรั่งเศสได้ทำถนนหนทางอาจไปมาได้สดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงมาเกิดความคิดว่าจะลงมาเมืองไซ่ง่อน แต่เวลามีเหลืออยู่น้อยเสียแล้วก็มาได้แต่ ๒ วัน เสียดายนัก หาไม่ก็จะอยู่ให้นานกว่านั้น เลี้ยงแล้วเจ้าเมืองพาเราขึ้นรถด้วยกัน ภรรยาเจ้าเมืองพาเจ้าหญิงขึ้นรถไปยังโรงออปรานั่งดูในห้องของเจ้าเมืองด้วยกัน พวกที่ไปกินเลี้ยงก็ไปดูออปราด้วย แต่นั่งดูห้องอื่น ๆ มีคนมาดูมากจนเต็มโรง เข้าใจว่าต้องการมาดูพวกเราด้วย ออปราเล่นเรื่องไทสดนตรีของมาเซเนต์ ออปราที่มาเล่นที่เมืองไซ่ง่อนนี้มาจากเมืองฝรั่งเศส มาเล่นฉเพาะหน้าหนาวปีละ ๓ เดือน คือเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม ประชาภิบาลเมืองไซ่ง่อนให้เงินช่วยปีละแปดหมื่นแฟรงค์ (รัฐบาลฝรั่งเศสจะให้อิกเท่าใดหาทราบไม่) เปนการอุดหนุนนอกจากที่จะได้จากค่าคนดู ลักษณการที่เล่นนั้น เล่นสัปดาหะละ ๔ วัน เล่นออปราใหญ่ ออปราตลก และละคอนพูดสลับกันไป เล่นเช่นนี้มาทุกปี มาหยุดเมื่อคราวมหายุทธสงครามพึ่งจับเล่นได้อิก ๒ ปี เกือบเที่ยงคืนออปราเลิก เจ้าเมืองกับภรรยาพามาส่งถึงที่พัก

วันที่ ๖ ธันวาคม จะกลับเมืองพนมเพ็ญต่อกินกลางวันแล้ว ตอนเช้าได้ไปเที่ยวดูเมืองอิกเวลาหนึ่ง เมืองไซ่ง่อนนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งลำน้ำโดไน ห่างปากน้ำระยะทางเรือไฟเดิร ๔ ชั่วโมง น้ำเคมยังขึ้นถึงเพราะปากน้ำไม่มีสันดอน แต่ลำน้ำโดไนเปนลำน้ำใหญ่และลึก เรือไฟแม้ขนาดใหญ่ก็ขึ้นได้ถึงเมือง ที่ริมลำน้ำตอนหนึ่งทำท่าจอดเรือลงเขื่อนยืดยาว เรือไฟเข้าเทียบถึงตลิ่งได้คราวละหลายๆ ลำ ที่ตั้งเมืองวางแผนผังและทำถนนตามแบบเมืองฝรั่งเศส แต่ตึกกว้านบ้านเรือนดูยังสับสน เพราะฝรั่งเศสพึ่งได้เมืองไซ่ง่อนเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ เปนเมืองของฝรั่งเศสมาได้เพียง ๖๐ ปีเศษ บ้านเรือนซึ่งสร้างขึ้นเมื่อชั้นแรกมักเปนตึกแถวอย่างเก่า ต่อมาชั้นกลางสร้างเปนตึกสองชั้น ชั้นหลังจึงสร้างเปนตึกฝรั่งอย่างงามๆ ด้วยเหตุนี้ตึกกว้านบ้านเรือนจึงยังเปนหลายชนิดปะปนกัน กำลังสร้างใหม่เปลี่ยนของเก่าอยู่ทั่วทุกแห่ง ตึกที่งามต้องตาจริง ๆ นับว่าเปนอย่างเอกเห็นแต่ ๒ หลัง คือบ้านเจ้าเมืองหลัง ๑ กับโรงละคอนหลัง ๑ ที่กล่าวกันว่าเมืองไซ่ง่อนเหมือนอย่างปารีสเล็กๆ นั้นออกจะเกินไป แต่ว่าดูเหมือนจะใหญ่กว่าเมืองสิงคโปร์ ร้านรวงห้างหอก็มากกว่าที่เมืองสิงคโปร์ แต่ขายของฝรั่งเศสเปนพื้น บรรดาของฝรั่งเศสดูเหมือนจะหาได้ทุกอย่าง แต่จะหาของชาติอื่นมิใคร่ได้ เพราะรัฐบาลเก็บภาษีของชาติอื่นแรง เพื่อจะให้สินค้าฝรั่งเศสได้เปรียบ เปนต้นว่ารถยนต์ บรรดารถฝรั่งเศสซึ่งเราเคยได้ยินชื่อ ได้มาเห็นตัวจริงในคราวนี้โดยมาก แต่รถยนต์ชาติอื่น แม้รถฟอรดอเมริกันขายราคาถูกที่สุด ก็เห็นแล่นอยู่เพียงสัก ๓-๔ คัน ได้ยินว่ารัฐบาลเรียกภาษีรถยนต์ถึง ๔๕ เปอร์เซนต์ของราคา รถชาติอื่นก็ต้องขายได้ด้วยยากอยู่เอง สินค้าอย่างอื่นก็เห็นจะทำนองเดียวกัน

เวลาเช้า ๑๑ นาฬิกา มีพวกหนังสือพิมพ์มาขอถ่ายรูปอิกแล้ว จึงได้กินกลางว้น ได้เชิญพวกเจ้าพนักงารที่เขาได้รับรอง คือ เลขานุการของเจ้าเมือง นายกประชาภิบาลเมืองเจาเลิ่ง และกงสุลสยามเปนต้น กับทั้งผู้ที่ได้คุ้นเคยกันมากินด้วย พอเวลาบ่าย ๑ นาฬิกา ขึ้นรถยนต์ออกจากเมืองไซ่ง่อน เมื่อกลับมาถึงมณฑลสวายเรียง เรสิดังเชิญเลี้ยงของว่าง แล้วขึ้นรถแล่นต่อมา แต่วันนี้มาช้าด้วยรถหลังที่เรามาถังน้ำรั่วต้องหยุดแก้อยู่วัก ๒๐ นาฑี เห็นว่าจะมาถึงเมืองพนมเพ็ญก่อน ๘ นาฬิกา ซึ่งเปนเวลากินอาหารเย็นไม่ได้ จึงได้ให้บอกโทรเลขถึงเรสิดังสุปีริเอแต่เมื่ออยู่ที่มณฑลสวายเรียง ว่าขอให้แบ่งอาหารเย็นไว้ให้ อย่ารอกินพร้อมกันตามเคยเลย แต่คนขับรถมันชำนาญทางทั้งมีโคมฉายติดมาหน้ารถ ถึงเวลาค่ำก็ขับรถไม่ช้าลงเท่าใดนัก มาถึงเมืองพนมเพ็ญก่อนเวลา ๘ นาฬิกา ๕ นาฑี ทราบว่าเรสิดังสุปีริเอยังคอยอยู่ จึงรีบล้างหน้าไปกินอาหารมิได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไปถามว่าไม่ได้รับโทรเลขหรือ บอกว่าได้รับ แต่ว่าได้สั่งสถานีโทรศัพท์ตามระยะทางให้บอกมาทุกระยะ ว่าเรามาถึงอำเภอไหนเมื่อเวลาไร รู้ว่าจะมาถึงก่อน ๘ นาฬิกาจึงได้รออยู่

  1. ๑. ชื่อนี้ตามทำเนียบ แต่ตัวเจ้าเมืองคนนี้จะมีชื่ออย่างไรไม่ได้ถาม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ