นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน

๏ สรวมชีพบังคมบรมนารถ

ด้วยภักดีชุลีลาบาท อภิวาทขอเบื้องพระบารมี
เปนร่มโพธิสุวรรณกั้นเกษ ไปประเทศกวางตุ้งกรุงศรี
เปนจดหมายมาถวายด้วยภักดี ตามที่ได้สดับเดิมความ
แรกราชดำริห์ตริตรองถวิล จะเหยียบพื้นปัถพินให้งามสนาม
จะสร้างสรรค์ดังสวรรค์ที่เรืองราม จึงจะงามมงกุฎอยุทธยา
เมื่อไอสูรย์สมบูรณ์ด้วยสมบัติ กับกระษัตริย์ราชคฤ[๑]คฤๅหา
เคยร่วมพื้นยืนแผ่นสุวรรณมา แต่นิราเสื่อมเศร้ามาเนานาน
เสื่อมสนองโดยครองกระษัตริย์ชาติ เสื่อมราชไมตรีไม่มีสมาน
เสื่อมสวาดิขาดมาก็ช้านาน จะประมาณยี่สิบสี่ปีปลาย
จึงทรงคิดจะติดความตามปฐม สำหรับราชบรมกระษัตริย์สาย
จึงแผ่พื้นสุวรรณพรรณราย เอาแยบคายฝั้นเฝือเปนเครือวัลย์
เอาทับทิมแทนใบใส่ดอกเพ็ชร งามเสร็จสมบูรณ์ทุกสิ่งสรรพ์
งามทางทั้งจะสร้างเขตรคัน งามสรรค์ทรงคิดคดีงาม
ควรเปนจอมจุลจักราราช แล้วเสด็จบัลลังก์อาศน์ออกสนาม
แย้มพระโอษฐประดิพัทธแล้วตรัสความ อำมาตย์หมู่มีนามประนมฟัง
ได้ยินพร้อมยอมอวยแล้วอภิวาท กราบบาทด้วยคำนับแล้วรับสั่ง
ทูลโดยลำดับมาเปนตราตรัง ที่หยุดแล้วจะยั้งยืนควร
จึงพระบาททรงราชนิพนธ์สาร เปนตะพานนพคุณควรสงวน
ให้เขียนสารลงลานทองทวน จัดส่วนบรรณาการละลานตา
อนึ่งนอกจิ้มก้อง[๒]เปนของถวาย ก็โปรยปรายประทานไปหนักหนา
ทั้งนายห้างขุนนางในนัครา ให้มีตราบัวแก้วสำคัญกัน
แล้วจัดทูตทูลคำให้จำสาร บรรณาการพร้อมสิ้นทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งของแถมแนมความนั้นงามครัน เปนกำนันถวายนอกบรรณาการ
แล้วทรงสั่งสิ่งของเปนสองเหล่า อย่าควบเข้าแบ่งพร้องเปนสองฐาน
ฝ่ายทูตนั้นให้ว่าบรรณาการ[๓] โดยฉบับบุราณรวดมา
อนึ่งนอกจิ้มก้องเปนของถวาย รับสั่งยกให้หกนายข้าหลวงว่า
บรรทุกเสร็จทั้งสิบเอ็ดเภตรา มาทอดท่าคอยฤกษ์เรียงลำ
ครั้นถึงวันภุมเชษฐมาสี[๔] กาฬปักษ์[๕]ดิถีสิบสามค่ำ
เมื่อโมงสองบาทเช้าพอเงาง้ำ สิบเอ็ดลำบังคมลาแล้วคลาไคล
ครั้นเรือล่องคล้อยคลองตลาดเลี้ยว ตลึงเหลียวแล้วชลไนยไหล
จะจากเรือนจากเพื่อนภิรมย์ไกล ดังสายใจนี้จะขาดจากอาตมา
โอ้ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ตั้งแต่จะนับวันคอยหา
จะนับเดือนเคลื่อนสังวัจฉรา จะก้มหน้านั่งช้ำระกำไป
ชรอยพรากเนื้อนกวิหคขัง บำราศรังริบลูกเขาเปนไฉน
มาตามทันบั่นร้างไว้กลางใจ ให้จำไกลจากราชธานี
แล้วยอกรมัสการขึ้นเพียงผม พระบรมไตรรัตน์เรืองศรี
เดชะศีลสัจจาบารมี ทั้งขันตีอดออมอำนวยทาน
ขอเปนข่ายเจ็ดชั้นไปกั้นเกษ สรรพเภททุกข์ไภยในชลฉาน
ให้ปลอดเหตุสารพัดกำจัดมาร มัสการแล้วล่องครรไลไป
ครั้นถึงเมืองปากน้ำพอย่ำฆ้อง ดุเหว่าร้องเพลาประจุสไสมย[๖]
ทอดสมอรอรั้งประทังใจ อยู่ที่ปากชลาไลยนั้นสองวัน
ต่อน้ำขึ้นจึงได้ถอยออกลอยล่อง จำเภาะร่องสำเภาผายผัน
แต่ฉุดชากลากเข็นอยู่เปนควัน หวังให้ทันมรสุมสำเภาไป
ครั้นข้ามโขดหลังเต่าออกตกฦก ก็ตั้งตรึกตรอมจนกมลไหม้
เขาผูกจัดเชือกเสาแลเพลาใบ แล้วคอยลมที่จะได้ไคลคลา
ครั้นเขาชักใบฉุดขึ้นสุดเสา ก็ปลาบเปล่าทรวงโทรมนัศา
คลื่นทุ่มกลุ้มทิ้งเทมา เภตรากลิ้งกลอกกระฉอกกาย
กระทบปัดฟัดปั่นที่ฟันคลื่น แลฟูฟื้นฟูมฟ่องนองสาย
แสนเทวศแต่ซบเซาเมามาย ระกำกายมิได้กินโภชนา
แต่ก้าวเสียดค่อยละเลียดด้วยลมขัด พระพายพัดสลาตันตรานน่า
แต่แล่นก้าวกลับใบไปมา แล้วก็ลอยคอยท่าลมดี
สุดคิดจึงอุทิศถึงพระบาท แล้วยอกรอภิวาทเหนือเกษี
ขอเดชะตะบะบุญพระบารมี จะแทนที่วรพุทธโพธิญาณ
กับอนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงศิล อันผ่องภิญโญยอดพระกรรมฐาน
มาช่วยป้องลมขัดอย่าพัดตราน ขอบันดาลลมส่งให้ตรงไป
อนึ่งเขาในชลามัจฉาชาติ ทั้งปิศาจพวกพรากอย่ากรายใกล้
ให้ปลอดเหตุสารพัดกำจัดไภย จำเริญไชยชมชื่นจนคืนมา
ครั้นสิ้นคำบรรยายพระพายพัด พอคำสัจส่งท้ายก็ย้ายหา
ได้เห็นเหตุในพระเดชเดชา ก็แล่นไปได้ทวาทศวัน
จึงถึงที่ว่าสามร้อยยอด เขาหยุดทอดไหว้เทวทำขวัญ
ตามเคยสังเวยแก่เทวัญ ที่สำคัญหลักคามเคยมา
แล้วใช้ใบบากข้ามไปตามเข็ม ค่อยเก็บเล็มลมไปด้วยใบผ้า
ได้สองวันแต่สัญจรคลา ครั้นถึงกึ่งกลางมหาสมุทไทย
จึงบูชาตรงน่าพุทไธมาศ เส้นสาดลงท้องทเลใหญ่
กระดาษเผารินเหล้าแล้วลอยไป เขาว่าไหว้ผีน้ำในท่ามกลาง
แต่จากนั้นสองวันก็ไปเห็น พระสุริยหย่อนแสงเย็นถึงเกาะขวาง
ชโงกเงื้อมเอื้อมแอบอยู่แทบทาง กระเด็นโดดอยู่กลางวารี
แต่ตราบค่ำย่ำรุ่งจนเรืองแสง ก็แล่นแซงเสียดพ้นคิรีศรี
ถึงเกาะมันคิดว่ามันยังมากมี ได้ถามถี่ว่าบุราณประมาณมา
แล้วไปสองวันเล่าก็เขาขนุน บ้างเรียกเกาะกุ๋นตุ๋นภูผา
เปนสองเกาะน้อยใหญ่แต่ไกลตา กับขอบฝั่งนั้นสักห้าโยชน์ปลาย
ก็ใช้ใบไปกลางที่หว่างนั้น ถึงสลุบกำปั่นไปค้าขาย
จะแล่นนอกนั้นไม่ได้ใกล้เกาะทราย จำเภาะบ่ายเข้าหว่างเปนทางจร
เขาล้มไก่ลงไหว้เทเวศร์ ตามเพศที่สถิตย์อยู่ศิงขร
บรรดาพวกเรือค้าเภตราจร ถวายกรตามตำแหน่งทุกแห่งไป
ครั้นถึงแหลมเลี้ยวน่าเมืองปาสัก[๗] ก็ประจักษ์ปากน้ำพอจำได้
เห็นเรือญวนยืนแจวเปนแถวไป เขาใช้ใบเล็มล่าออกหากิน
แล้วไปสองวันครึ่งก็ถึงไศล เห็นปากน้ำญวนใหญ่ก็ใจถวิล
เกลือกจะออกชิงไชยสิไพริน ก็คิดสู้กว่าจะสิ้นสุดที
แล้วก็ไปสามวันถึงบรรพต นามกำหนดช้างข้ามคิรีศรี
ตระหง่านเขาง้ำเงาชลธี เขาว่ามีเปนนิทานบุราณมา
ว่าเขานี้อัคคีกาลวาต เมื่อไฟฟ้าผ่าฟาดลงภูผา
แล้วลุกไหม้ไล่เลียลามศิลา พฤกษาจึงไม่ลัดระบัดใบ
ดูก็เหมือนหนึ่งจะต้องทำนองกล่าว ด้วยเรื่องราวรอยมีอยู่ที่ไศล
แล้วแล่นผ่านพ้นสถานที่นั้นไป จนอุไทยแจ่มแจ้งโพยมบน
ก็ลุยังอินตั้งตัวบุตร สูงสุดเทิดเทียมพระเวหน
ตระหง่านเขาเงาดำลงง้ำชล ฝ่ายบนเบื้องจอมคิรินราย
มีศิลาหนึ่งปักเปนกำหนด ปลาดหลากกว่าบรรพตทั้งหลาย
ฟังแถลงหลายปากมามากมาย ว่าเปนศรนารายน์อวตาร
เมื่อเสด็จออกดงไปทรงพรต ยังบรรพตศาลาไลยไพรสาณฑ์
ทรงแผลงสาตรศรไปรอนราญ พิฆาฏมารซึ่งแปลงเปนกวางมา
แล้วสาปศรให้เปนท่อนศิลาปัก จึงประจักษ์อยู่ที่จอมภูผา
ทรงสถานที่ประมาณสมมุติมา ก็หมายตาเหมือนจะต้องบุราณกาล
ฝ่ายฝูงคณาอารักษ์ สิทธิศักดิเข้าสู่สิงสถาน
ผู้ไปมาบูชาเชี่ยวชาญ วิไสยพาลพานิชนิยมมา
แต่แปลกอย่างออกที่ทำสำเภาน้อย กระจ้อยร่อยพอพึงเสนหา
เอาเชือกเสาเพลาใบใส่เภตรา แล้วเย็บผ้าถุงเสบียงเรียงราย
บรรดามีเงินทองของเอมโอช สรรพโภชน์ใส่ลงบรรจงถวาย
เอากระดาษวาดรูปทุกตัวนาย ทั้งนายท้ายต้นหนทุกคนไป
แล้วยกสำเภาน้อยลงลอยน้ำ เหมือนถ่ายลำที่ร้ายให้คลายได้
เผากระดาษฟาดเคราะห์เสดาะไป ตามวิไสยสัญจรแต่ก่อนมา
แล้วจากนั้นสองวันก็เห็นเขา เปนขอบเงายืดยาวไปนักหนา
ค่อยแล่นคล่องไปได้สองทิวารา ก็ถึงวาโหลฦกทเลวน
เปนที่ข้ามตามทางไปกวางตุ้ง เห็นสุดมุ่งหมอกมืดไม่เห็นหน
แล้วก็กว้างกว่าทางทุกตำบล ก็พึงยลเขาบูชาเปนอาจินต์
กำหนดแต่เขาขวางที่ทางมา เปนภาราเหล่าล้วนแต่ญวนสิ้น
จนวาโหลขอบแคว้นแดนศีขริน จึงสุดดินสิ้นเขตรนิเวศญวน
ก็บ่ายข้ามตามบูรพาภาค แสนวิบากคลื่นใหญ่ก็ใจหวน
แต่หาวเหียนป่วนเปี่ยนสกนธ์กวน ด้วยเมาซวนรากรื้อระทมทน
แล้วบังเกิดพยุใหญ่จนใบกลับ ทั้งคลื่นทับเทฟองทั้งนองฝน
เปนพยุพยับทั่วมัวมน กำลังฝนแลบพรายกระจายไป
เสียงคลื่นประหนึ่งพื้นสุธาวาศ จะวินาศไปด้วยชลไม่ทนได้
ตลึงนิ่งเห็นเขาวิ่งวุ่นวายไป บ้างร้องไห้รักตนอยู่ลนลาน
บ้างก็ยึดมัดไม้ใบเก่า บ้างก็เฝ้าถังน้ำแลสำป้าน
เห็นการผิดแล้วก็คิดนมัสการ สละพาลภาวนารักษาตน
จะแลฝั่งที่หยุดก็สุดเนตร จะสังเกตพึ่งพนัศก็ขัดสน
แต่นั่งแลดูตากันห้าคน เห็นจะจนเสียในท้องทเลลาน
สุดคิดจึงอุทิศถึงพระเดช มาปกเกษช่วยชีพสังขาร
เดชะตะบะบุญพระคุณฌาน ลมพาลก็ค่อยเปลาบันเทาพลัน
เภตราจึงค่อยฟื้นขึ้นคลื่นได้ จึงชักใบขึ้นรอไว้พอผัน
ครั้นลมหายค่อยสบายอารมณ์ครัน ถึงกระนั้นยังไม่ศุขสักราตรี
ถ้ากลางคืนก็ได้ชื่นแต่แสงจันทร์ ทิวาวันก็ได้ชมแต่รังษี
กับจะดูมัจฉาในวารี ก็มีแต่พวกพรรค์จะอันตราย
ที่ตามล้อมตอมว่ายนั้นหลายหมู่ ก็เหลือรู้จะกำหนดจดหมาย
ชลาดำด้วยน้ำเค็มพราย ทั้งสุดสายดิ่งร้อยห้าสิบวา
จะดูโดยทิศใดก็ใจหวาด วิปลาศเห็นวาฬขึ้นข้างขวา
ประมาณยาวราวสามสิบห้าวา ที่ท่อนหน้าไม่ตระหนักประจักษ์ใจ
เห็นคล้ายกุ้งที่กะพุ้งแพนหาง ประมาณกว้างนั้นสิบห้าวาได้
แต่โดยลมอมชลที่พ่นไป ก็สูงได้โดยหมายกับปลายตาล
เขาก็กลับใบบากออกจากที่ คเนหนีจะให้พ้นแถวสถาน
เอาธูปเทียนบวงบนขึ้นลนลาน วันทนาปลาวาฬวุ่นวาย
แล้วเขาทำเป็ดไก่ไหว้เทเวศร์ ตามเภทที่ทเลแล้วเทถวาย
แต่ขลุ่ยขลุกแล้วลุกขึ้นโปรยปราย กระดาษพรายเผาเพลิงถเกิงเรือง
เย็นเช้าไหว้เจ้าด้วยม้าฬ่อ พระหมาจอฟังอึงคนึงเนื่อง
ครั้นค่ำแขวนโคมเคียงเรียงเรือง ตลอดเบื้องน่าท้ายที่รายไป
ครั้นอรุณเรืองแสงสุริโยภาษ เยี่ยมราชคิรีศรีไศล
เห็นชอุ่มตะคุ่มเขียวไกล ตลอดไปล้วนเหล่าคิรินราย
เขาบอกกันว่านั่นแลขอบเขตร เปนประเทศที่จีนทั้งหลาย
ก็ชื่นเริงบรรเทิงร่ำทำกรุยกราย บ้างธิบายบอกเบื้องเรื่องคิรี
อันโหลบานนี้ทวารแต่ชั้นนอก ที่เข้าออกกวางตุ้งกรุงศรี
จำเพาะทางเข้าหว่างคิรีมี ครั้นลมดีก็ได้แล่นเข้าโหลบาน
ขึ้นยืนดูผู้คนมั่งคั่ง ฝรั่งตั้งเต็มเกาะมะเกาสถาน
เปนท่วงทีหนีไล่ก็ได้การ มีกำแพงสามด้านดูดี
เห็นสำเภาเข้าครันกำปั่นทอด แลตลอดดูไปไม่สุดที่
แต่มิ่งไม้ไร้สิ้นทุกคิรี บ้างที่มีคนตัดไม่ลัดทัน
แต่นั่งดูภูผาศิลาลาด ดังประพาศหิมพานต์พนาสัณฑ์
ที่วุ้งเวิ้งเชิงผาเปนน่าบัน บ้างเปนขอบคันกุฎีดา
ที่เลื่อมลายเล่าก็ชมเหมือนพรมลาด ที่ขาวดาดไปก็ดูดังปูผ้า
ที่เยี่ยมย้อยออกมาห้อยถึงคงคา จะไปมาเลี้ยวหลีกครรไลไคล
เห็นเรือเท้งเที่ยวท่องทำมัจฉา ดูดาไปแต่ล้วนเสาไสว
จนสุดเนตรสังเกตไม่สุดใบ ดังทัพใหญ่ยกหนักออกหักราญ
อันโดยทางลางเหล่าที่เว้นไว้ ครั้นจะใส่ถ้วนถี่ให้วิถาร
เหลือสติจะดำริห์ให้รอบการ ขอประมาณแต่นิราธานี
ถ้านับวันก็ได้สามสิบสามวัน ถ้าสำคัญว่าเท่าไรในวิถี
ก็ได้สามร้อยโยชน์เศษสังเกตมี ถึงทวารพยัคฆีทันใด
มีป้อมปืนยืนเยี่ยมอยู่สองฟาก ปลาดหลากก่อเข้ากับเขาใหญ่
ยังป้อมขวางไว้กลางชลาไลย เรือไปสองข้างอยู่กลางคัน
เปนสง่าศึกงามทั้งสามป้อม ที่ก่อล้อมล้วนแหล่งแกล้งสรรค์
เอาโยธาเจนจัดให้ผลัดกัน เปนนิรันดร์รักษาระวังการ
ฝ่ายจีนจงเอี้ยซึ่งเปนใหญ่ ได้คุมไพร่สิบหมื่นรักษาสถาน
ก็ลงเรือรีบพลันมิทันนาน มาถามการข่าวข้อคดีดี
ฝ่ายทูตตอบว่าพระราชสาร พระผู้ผ่านอยุทธยาวดีศรี
มาจิ้มก้องโดยคลองประเพณี จำเริญราชไมตรีตามโบราณ
ฝ่ายจีนจดหมายเอารายชื่อ แล้วก็รื้อดูทรงส่งสัณฐาน
แต่จำกดจดไปจนไฝปาน แล้วเกณฑ์เจ้าพนักงานลงคุมไป
กับทหารสามสิบใส่เรือรบ เครื่องครบอาวุธสรรพไสว
พนักงานป้องกันให้ครรไล ก็แล่นไปตามเรื่องรัถยา
เห็นวารีนั้นไม่มีมัจฉาชาติ อรัญวาศเล่าก็ไร้รุกขา
บนอากาศขาดหมู่สกุณา พสุธาดาดาษด้วยคนไป
เปนชาวคามนิคมวาสี ช่างทำที่นั้นอุส่าห์น่าอาไศรย
ล้วนตึกก่อต่อเนื่องเปนเรื่องไป ทุกวุ้งเวิ้งเชิงไศลละลานตา
ที่พ้นน้ำนั้นก็ทำเปนเรือกสวน บ้างเพาะพวนปลูกผักก็หนักหนา
ที่ลุ่มลาดหาดน้ำก็ทำนา ไม่มีป่าปลูกไม้ไว้มากมี
พื้นผลแต่ที่คนตระการรศ จะกำหนดนามไซ้ก็ใช่ที่
แต่เข้าคลองไปได้สองราตรี ก็ถึงที่หยุดพักนัครา
เห็นกำปั่นแลสำเภาเขาค้าขาย เปนทิวทอดตลอดท้ายคฤหา
ทั้งสี่แถวตามแนวนัครา ก็ทอดท่าน่าเมืองเปนเรื่องกัน
แต่เสากระโดงที่ระดะตะกะก่าย จนสุดสายเนตรแลแปรผัน
บ้างขึ้นล่องเที่ยวท่องจรจรัล สุดอนันต์ที่จะนับจะคณนา
พิศภูมิสถานที่นัคเรศ เปนขอบเขตรอยู่แนวเนินผา
มีกำแพงสามชั้นกั้นนัครา ล้วนศิลาแลงปรับประดับดี
อันหอรบนางเรียงที่เรียงเรียบ ไว้ระเบียบป้องกันบุรีศรี
มีป้อมขวางอยู่กลางชลธี วารีแล่นรอบเปนขอบคัน
ตรงฟากเมืองไว้เครื่องข้างเรือรบ ก็เตรียมครบทอดราอยู่ท่านั่น
พอขุกเหตุสังเกตคืนวัน ก็เรียกทันถอยไล่ก็ได้ที
ที่กองเกณฑ์ให้ตระเวนก็สอดเสาะ เที่ยวรายเราะเรือรอบบุรีศรี
สรรพสรรพาวุธไว้มากมี ประจำที่จุกช่องอยู่อัตรา
เหล่าทหารประจำการกินเบี้ยหวัด ก็เปลี่ยนผลัดกันพิทักษ์รักษา
ล้วนเกาทัณฑ์สันทัดอยู่อัตรา ถือตำราที่โบราณท่านชิงไชย
ฝ่ายฝูงประชาชนชาติ ก็เกลื่อนกราดกลุ้มมาไม่นับได้
สพรั่งพร้อมล้อมพรูมาดูไทย ทั้งชายหญิงวิ่งไขว่กันไปมา
บ้างลงเรือน้อยน้อยมาพลอยทัก ยิ้มพยักด้วยไม่รู้ภาษา
บ้างลอยล้อมตอมรอบทั้งเภตรา เอาผักปลามาจำหน่ายขายไทย
อันนารีเรือลากสำหรับจ้าง นั้นรูปร่างหมดจดสดใส
นวลนิ่มจิ้มลิ้มลไมใจ เมื่อดูไกลเอกเอี่ยมลออตา
ครั้นเข้าใกล้ก็เห็นเลือดชายจะเผือดผาด ด้วยการสวาดิไม่หลีกเลือกภาษา
แขกฝรั่งอังกฤษวิลันดา จะไปมาย่อมได้อาไศรยกัน
ต้องห้ามทั้งมิให้ไปอยู่บก ประจำพกแหล่งหลักสำนักนั่น
ประกวดดีดูที่นับถือกัน ไม่เว้นวันชายหาจึงว่าดี
แต่บรรจงจริตจัดผัดภักตร์ บำรุงรักมิให้ชายหน่ายหนี
กันไรให้วิไลยกับเมาฬี มวยมีดอกไม้เงินงาม
นุ่งกังเกงใส่เสื้อที่สังเกต ทำแปลงเพศก็พอเอี่ยมออกสนาม
รู้ชำเลืองประปรายให้ชายตาม แต่ต้องห้ามมิให้ไทยไปพบพาน
ถ้าไปไหนพอพักสำนักนั่ง ไม่ระวังก็กระโจมเอาสูงสถาน
วิไสยเมืองเขาเปนเรื่องราวพาล ถึงนอนคลานข้ามได้ไม่ถือกัน
บำรุงเรือแต่ให้เกื้อการสังวาศ นั้นปูลาดจัดแจงแกล้งสรรค์
ล้วนภู่กลิ่นฟุ้งอบตระหลบครัน ปะไม่ทันรู้เข้าก็เอาแพง
เขามาชี้แจงความให้ตามกฎ ในกำหนดที่ตระหนักประจักษ์แจ้ง
ว่าสุวรรณขาวเหลืองเครื่องทองแดง ทั้งแพรไหมเหล็กแท่งแลสาตรา
มิให้ไทยเอาหญิงมาพิงพาด อันการสวาดินี้กำชับกันหนักหนา
ที่รักตัวเขาก็กลัวไม่พานพา ที่แกมกล้าก็เข้ากลั้วเอาตัวพัน
เสียแรงมาพาร่างถึงกวางตุ้ง เขม้นมุ่งว่าจะลองก็ต้องพรั่น
ได้ชมงามอยู่แต่ไกลมิได้กัน ครั้นถึงวันรวิวารเวลา[๘]
ภัทรบท[๙]กำหนดปีอุศุภศก[๑๐] ข้างหมูอี้จงตกเขาปฤกษา
แล้วมารับคำนับราชสารา กับทูตาข้าหลวงทั้งปวงไป
ขึ้นขี่เกวียนจรดลด้วยคนหาม ดำเนินตามที่ทางถนนใหญ่
ศิลาลาดดาดปูที่ดูไป นั้นอำไพเรียบริมรัถยา
อันร้านรายขายของทั้งสองฟาก ปลาดหลากล้วนทำด้วยฉำฉา
ประจงเจียนเขียนวาดแล้วชาดทา ที่ตั้งน่าตรงร้านกระดานทอง
เปนวิไสยลูกค้าบรรดาขาย จาฤกรายไว้ให้ดูรู้ของ
ที่กระถางธูปเทียนนั้นเขียนทอง ทั้งเตียงรองหลั่นลดนั้นรจนา
อันเครื่องร้านที่สำหรับประดับของ ล้วนแก้วแหวนเงินทองนั้นนักหนา
แพรพรรณสรรพสิ่งละลานตา ทั้งเสื้อผ้ามุ้งม่านตระการใจ
ทั้งถ้วยโถโอจานแลจันอับ จะคณนานามนับไปเปนไหนไหน
บ้างหาบคอนร่อนขายอุบายไป บ้างเคาะไม้แทนปากก็มากมาย
อันหมูแพะแกะกะทิงมหิงส์ห่าน วันละพันก็ไม่พานพอขาย
เต็มตลาดดาษดูไม่รู้วาย บ้างซื้อจ่ายวุ่นไขว่กันไปมา
มีแต่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวาตม์ เปนตรุษสารทไถยจิตรข้างมิจฉา
ไม่อายบาปหยาบพ้นที่คณนา ความอุส่าห์มิให้เสียสิ่งไรไป
ที่น่ากว้านร้านตลาดนั้นกวาดเลี่ยน ตะลิบเตียนมิให้มีสิ่งใดได้
อันหญิงชายประชาข้าเวียงไชย ก็วิ่งไขว่ซ้อนหน้ามาอลวน
บ้างอุ้มลูกจูงยายตะพายหลาน ก็ลนลานวิ่งเบียดกันเสียดสน
ที่ชรามายากลำบากตน ก็ขี่คนรีบเร่งมาเล็งแล
เอาแว่นตาติดเนตรเข้าเพ่งพิศ หวังจิตรให้รู้จักตระหนักแน่
ทั้งสาวหนุ่มกลุ้มกลัดมาอัดแอ ซ้อแซ้เพ่งพิศพินิจไทย
อันหมู่สาวสุดามัชฌิมาหม้าย นั้นแต่งกายแซมมวยด้วยไม้ไหว
ที่เยี่ยมยลอยู่บนตึกใน นั้นอำไพพิศพริ้งพรายตา
ดูยืนแต่ละอย่างกับนางเขียน ทั้งจีบเจียนยั่วยวนเสนหา
ผัดภักตร์ผิวพรรณดังจันทรา ไนยนากวัดแกว่งดังแสงนิล
นาสิกเสื้องทรง[๑๑]ดังวงขอ งามฅองามคิ้วควรถวิล
งามเกษดำเพศภุมริน ปักปิ่นมวยห้อยสร้อยสุวรรณ
ปากแดงนั้นด้วยแสงลิ้นจี่แต้ม เมื่อยิ้มแย้มน่าชมภิรมย์ขวัญ
ใส่เสื้องามสามสีสลับกัน พื้นสุวรรณแวววาบวิไลยใจ
แม้นองค์พระธิดาดวงสมร จะเอกเอี่ยมอรชรสักเพียงไหน
แต่ได้ดูหมู่ข้ายังอาไลย ดังสายใจนี้จะยืดไปหยิบชม
เห็นการอายทีชม้ายแล้วเมียงภักตร์ ก็ประจักษ์แต่ว่าต่างภาษาสม
แต่ศรเนตรเสียบเนตรสังเกตคม ยิ่งนิยมตอบต้องตลอดใจ
ถึงต่างชาติกันก็ดีโลกีย์จิตร อันการคิดนี้จะเว้นแก่ใครไฉน
ก็ห้ามเห็นไว้ให้เปนประมาณใจ แล้วครรไลตามรัถยามา
อันชมสาวที่ชาวสถลมาศ ไม่อุจาดเหมือนจีนประจำท่า
อันรูปทรงสรรเสริญจำเริญตา ครั้นพิศเบื้องบาทาก็เสียดาย
เอาผ้าคาดขึงเหนี่ยวจนเรียวรัด พาวิบัติอินทรีย์ให้มีสลาย
จะดำเนินมิใคร่ตรงพอทรงกาย ย่อมใช้ชายขายค้ามาให้กิน
มีแต่จะพึ่งผัวเปนครัวใช้ ตัวได้แต่จะร่วมภิรมย์ถวิล
แต่ชายถ่อยทุจริตผิดกระบิล ย่อมคว่ำผินประดิพัทธอยู่อัตรา
จะเข้าออกนอกในก็ใช้สอย บุรุษรูปน้อยน้อยโอ่อ่า
อันยาจกวรรณิพกที่ไปมา เที่ยวภิกขาจารขอไม่พอกิน
ก็อุบายทำกายนั้นต่างต่าง จะร่ำปางโดยดูไม่รู้สิ้น
บ้างอุจาน[๑๒]ทานทำทั้งกายิน บ้างนั่งวอนนอนดิ้นลงโดยจน
บ้างก็เอามีดสับจับอิฐต่อย จนโลหิตแดงย้อยไปเต็มถนน
มิได้ของแล้วก็ร้องไม่จรดล ไปเห็นจนก็ได้คิดอนิจจา
อันเหล่าเจียงทหารใหญ่ในกรุงศรี นั้นใส่หมวกจามรีถ้วนหน้า
แวดล้อมเหล่าไทยให้ไคลคลา ใครผ่านหน้าตีต้อนตะบึงไป
ก็ลุดลตำบลกงกวนเก่า สถานทูตเคยเข้าอยู่อาไศรย
เปนตึกตรอกอยู่นอกเวียงไชย ก็เชิญราชสารไว้ที่ควรการ
แล้วส่งของที่คุมไปขึ้นไว้ห้าง ตามร่างเรื่องตราโกษาสาร
ทั้งสองห้างตามอย่างธรรมเนียมนาน แล้วแจ้งของที่ประทานนั้นออกไป
ข้างจงตกหมูอี๋[๑๓]ผู้มีสติ เขาดำริห์แล้วไม่รับประทานได้
ว่ากฎห้ามกวดขันถึงบรรไลย ประนมไหว้ควรขอบพระคุณมา
แล้วให้คนเร็วรีบยังนัคเรศ ถวายเหตุราชคฤคฤๅหา
แต่กำหนดนับไว้ทั้งไปมา นี่ทางม้ายี่สิบเจ็ดราตรี
ผู้ถือสารจึงเอาสารรับสั่งส่ง ให้กับจงตกดูหมูอี๋
แล้วคัดข้อสารามาพาที ว่าพระเจ้าหมื่นปีนั้นโปรดปราน
ให้ส่งทูตไปถวายอภิวาท ตามราชตำราบุราณสาร
กับสิ่งของในคลองบรรณาการ ที่นอกอย่างบุราณมีมา
นั้นไม่รับครั้นจะกลับให้คืนของ ระวางคลองเหมือนไม่แสนเสนหา
เสียดายราชไมตรีที่มีมา ทางทเลก็เปนท่ากันดารนาน
ก็ควรขายจำหน่ายเอาทุนทรัพย์ ให้คืนกลับอยุทธยามหาสถาน
แต่ช้างนอนั้นเปนข้อประสงค์นาน ให้บอกบรรณาการขึ้นส่งไป
อันจังกอบสินค้าบรรดาของ นั้นปลงปองโปรดปรานประทานให้
ให้นายห้างปฤกษาข้าหลวงไทย ตามใจจำหน่ายขายกัน
แต่ข้อทูตที่จะได้ไปอภิวาท ยังพระบาทหมื่นปีศรีสวรรค์
ต่อแล้วการเคารพอภิวันท์ ปั้นสื้อนิ้มหนำโหลาน
เปนปิ่นปักหลักจีนทุกจังหวัด เหมือนไทยถือน้ำพิพัฒน์พิธีสถาน
ประชุมชอบพร้อมหน้าบูชาการ วันประสูตรพระผู้ผ่านนัครา
ครั้นถึงวันที่จะทำโดยกำหนด เดือนสิบเอ็ดขึ้นทศมาศา
จึงจงตกหมูอี๋ให้ลีลา มาเชิญทูตกับข้าหลวงจร
ไปอภิวันท์ปั้นสื้อในนัคเรศ ตามเพศขุนนางแต่ปางก่อน
ข้างทูตไทยผู้จะไปถวายกร ก็ผันผ่อนแต่งแง่ให้งามทรง
เปนคนเจนชัดเช่นในเชิงเก่า ถึงแก่เถ้าก็จริตยังหยิบหย่ง
นุ่งยกช่องกระจกโจงผจง ฉลององค์อัดตลัดประทานงาม
เอาเสนากุฏใส่วิไลยเกษ ดังไชยเชษฐบุราณชาญสนาม
พระพี่เลี้ยงข้าหลวงทั้งปวงตาม ทหารหามคันเกี้ยวด้วยกันไป
ครั้นไปถึงที่ประตูเห็นหมู่ทหาร ริมทวารขัดดาบดูไสว
ทั้งสองแถวรัถยาดาไป ที่ชั้นในไว้เหล่าที่เกาทัณฑ์
ทั้งง้าวปืนยืนงามไปตามถนน ที่ว่างคนลดเลี้ยวเปนหลายหลั่น
ถึงสถานที่จะได้ไปอภิวันท์ พิศพรรณเพียงจะแลละลานตา
ล้วนปิดทองธรรมชาติแล้ววาดเขียน ธงเทียนพื้นสุวรรณเลขา
ที่ถิ่นฐานสอ้านโอฬาร์ รจนาโคมเคียงเรียงกัน
อันโรงรีซึ่งเปนที่สำหรับรับ นั้นประดับแพรแดงแกล้งสรรค์
ใส่ภู่รายข่ายรอบเปนขอบคัน เอาพื้นพรรณแพรลาดเปนหลังคา
แล้วก็แซมดอกไม้กับใบสน เปนที่ยลนับถือกันหนักหนา
พอจงตกหมูอี๋ลีลามา ทั้งขุนนางซ้อนหน้ามาเนื่องกัน
แต่ยืนรับคำนับก็หนักหนา ออกระอาแล้วไม่วายที่ผายผัน
ครั้นพร้อมหน้าแล้วก็พากันจรจรัล ไปอภิวันท์ปั้นสื้อสำหรับมา
เขาขุยขลุกลุกพร้อมแล้วกรอมกราบ ข้างเหล่าไทยมิใคร่ราบแต่โรยหา
ก็กลั้นสรวลอยู่จนถ้วนทั้งสามครา แล้วกลับมาสถิตย์โรงเมื่อแรกไป
จงตกให้ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยง ตลอดเรียงรวดรายทั้งนายไพร่
ครั้นเสพย์เสร็จสำเร็จกันจะครรไล หมูอี๋จึงปราไสด้วยวาจา
เราปั้นสื้อด้วยกันในวันนี้ ก็เปนที่บุญธรรม์นั้นหนักหนา
ครั้นสายแสงแรงศรีพระสุริยา ก็ต่างคนต่างคลาไปจากกัน
ฝ่ายทูตก็คืนควรกงกวนเก่า คำนวณเนานับนานอยู่ที่นั่น
ครั้นถึงเดือนสิบสองศุกรวัน ขึ้นสำคัญสามค่ำจะจำจร
หมูอี๋จึงให้เชิญพระราชสาร บรรณาการทูตอันจะผันผ่อน
ประดับด้วยนาวาสถาวร ขึ้นนครราชคฤห์คราวดี
อันโดยทางที่จะไปนั้นไตรมาศ จึงถึงราชปักกิ่งกรุงศรี
ฝ่ายทูตเขาจะไปเห็นได้ดี เพราะธุลีบาทคุ้มคลุมไป
อันพวกผู้อยู่ขายจำหน่ายของ แต่นั่งตรองนอนตรอมจนผอมไผ่
ที่ขาดเหลือเจือครบบรรจบไป ก็มีในบาญชีว่าทั้งห้าบาน
ครั้นเสร็จของเงินทองสำเร็จรับ แล้วประดับเภตราจะมาสถาน
ความดีใจประหนึ่งได้วิมานปาน แต่นับวารคอยเคร่าทุกเช้าเย็น
อันเหล่าไทยที่ได้ไปเปนเพื่อนยาก ข้ามทเลลำบากนั้นแสนเข็ญ
แต่ตรากน้ำตรำฝนแล้วทนเย็น จะนั่งนอนแต่เขม้นไม่เว้นวาง
อันที่ท่านสี่ลำสำเภาหลวง นั้นพุ่มพวงสารพัดไม่ขัดขวาง
จะแสนยากอยู่แต่เหล่าที่เช่าระวาง ปิ้มปางจะไม่เห็นว่าเปนกาย
หากพระขันติคุณกรุณภาพ ก้มกราบถึงพระบาทไม่ขาดสาย
จึงได้พ้นไภยันอันตราย รอดตายมาชื่นคืนเมือง
เอากตัญญูตั้งระวังผิด ราชกิจนั้นอุส่าห์ไปว่าเนื่อง
ที่ภักดีโดยการก็งานเปลือง ไม่ยักเยื้องกิริยาเหมือนราไชย[๑๔]
เมื่อท่านยุกรบัตรหาปฤกษาของ ก็ปิดป้องโรคาไม่มาได้
เอาอาสัจที่วิบัตินั้นบอกไป พะวงใจอยู่ด้วยรักข้างลักชม
อีดอกทองราวทองธรรมชาติ พิศวาสมิได้เว้นวันสม
จนโรคันปันทบข้างอุปทม เสนหาส่าลมขึ้นเต็มตัว
ครั้นเขาถามเขาหยอกก็บอกพราง จนนายห้างยืนชี้ลงที่หัว
แล้วเขาภ้อว่าเจ้าคุณนี้บุญตัว จึงจับได้แต่ไอ้วัวนั้นไปแทน
ทำให้อ้อนวอนความถึงสามกลับ เขาจึงปรับเอาแต่น้อยก็ร้อยแผ่น
หากเอาเงินหลวงใส่ไปให้แทน จึงได้พ้นค่าแผ่นเพราะทำดี
ให้เขาชมชาวเราว่าเจ้าชู้ พิเคราะห์ดูก็เปนน่าบัดสีผี
พลอยเอาตมแต้มหน้าให้ราคี มิเสียทีเจ้าใช้ไปได้อาย
ประการใดไปทางระวางเหตุ ก็สังเกตรัถยาเข้ามาถวาย
เห็นการค้าเหลือบ่าจะแบกตะพาย ถ้าหักค่ายฤาตีทัพขอรับไป
ไม่เห็นช่องเลยว่าของพระราชทรัพย์ จะได้กลับฤามากลายเปนง่ายได้
แล้วแสนยากที่ทเลคะเนไกล ก็กลับพามาได้สดวกดี
ดังเทวามาสุมประชุมทรัพย์ ไว้สำหรับเนื้อหน่อพระชินศรี
จะสร้างสมอบรมพระบารมี ในยุคนี้บรรจบให้ครบกัลป์
ชรอยอรรคบุรุษอุดมวงษ์ ในสิบองค์โพธิสัตวดุสิตสวรรค์
ได้ลัทธยาเทศทายทำนายธรรม์ ในอนันตสำนักชิเนนทร์นาน
จึงดลใจให้พระองค์ทรงนั่ง บัลลังก์รักรศพระกรรมฐาน
ให้ทรงเครื่องนพรัตน์ชัชวาล พระชมฌานแทนเบญจกกกุภัณฑ์
เอาพระไตรลักษณ์ทรงเปนมงกุฎ ก็งามสุดยอดฟ้าสุธาสวรรค์
เอาพระศีลสุจริตในกิจธรรม์ เปนสุวรรณเนาวรัตน์สังวาล
เอาพระวิมุติธรรม์เปนคันฉัตร เอาพระสัจเปนระไบไพศาล
ล้วนเครื่องศีลวัตรอันชัชวาลย์ พระอุเบกขาญาณเปนธารกร
เอาพระไวยปัญญาเปนอาวุธ ตัดวิมุติสงไสยแล้วสั่งสอน
สว่างแจ้งกว่าแสงทินกร สถาวรทั่วโลกแลงาม
จะดูโดยโลกีย์เปนที่รัก ก็งามนักสุดโลกเหลือถาม
จะดูฤทธิเล่าก็คล้ายนารายน์ราม จะชูงามไปทั่วกัลปา
ขอพรพระศรีรัตนไตรย อันเปนใจจอมพุทธสาสนา
ช่วยบำบัดตัดบาปธรรมา ให้ลุโดยเจตนาโพธิญาณ
ขอพรบรเมศวร์เรืองฤทธิ ซึ่งสถิตย์อุศุภราชเรืองสถาน
เชิญช่วยพระองค์ทรงชนมาน ให้คงการกำหนดพระไทยตรอง
ขอพระพิศณุพงษ์ทรงสังข์ ประธมทิพบัลลังก์ภุชงค์ฉลอง
ช่วยล้างมารผลาญหมู่ศัตรูปอง ให้มาซ้องเศียรก้มบังคมคัล
ขอบวรบงกชพิวัลย์ไว ที่ครรไลหงษ์ทิพรังสรรค์
ช่วยดับโศกวรรณโรคโรคัน ให้ทรงพระฉวีวรรณสมบูรณ์งาม
ขอพรสหัสไนยครรไลคช สารเสวตรตรีทศเศียรสาม
ช่วยดำรงดำริห์ชี้คดีความ พยายามไพร่ฟ้าประชาชน
อันสมบัติในจังหวัดทวีปนี้ ให้อยู่ในพระบารมีทุกแห่งหน
ให้พระเกียรดิก้องฟ้าสุธาดล ขอพระชนม์ได้ร้อยพระวษาเอย ๚


[๑] หมายถึงประเทศจีน คติโบราณเรียกประเทศจีนว่าราชคฤห์ มีปรากฏในหนังสือเก่าๆ คฤาหา เป็นสร้อยคำของราชคฤห์

[๒] นอกจิ้มก้อง – ภาษาจีน จิ้มแปลว่าให้ ก้องแปลว่าของกำนัล ในที่นี้หมายถึงของกำนัลนอกเหนือจากเครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียม

[๓] บรรณาการ – เครื่องราชบรรณาการซึ่งทูตนำไปตามธรรมเนียม

[๔] วันภุมเชษฐมาสี – วันอังคาร เดือน ๗

[๕] กาฬปักษ์ – ข้างแรม

[๖] ประจุสสมัย – เวลาเช้า

[๗] ปาสัก – ชื่อเมืองในญวน

[๘] รวิวาร – วันอาทิตย์

[๙] ภัทรบท – ๑ ค่ำ

[๑๐] อุศุภศก – ปีฉลู

[๑๑] เสื้องทรง หมายถึงรูปร่างสูงแหลม

[๑๒] อุจาน หมายถึงอุจาด

[๑๓] จงตกหมูอี๋ – อุปราชเมืองกวางตุ้ง

[๑๔] หลวงราไชย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ