นิ่งได้ก็ชนะ

หมู่บ้านหนึ่งมีพราหมณ์สองผัวเมีย นางพราหมณีอยากกินปลาหมอ ใช้ให้พราหมณ์ผัวไปซื้อได้มาสามตัว นางพราหมณีตัดปลาเป็นชิ้นๆ ล้างน้ำแล้วต้ม ถึงเวลากินข้าว พราหมณ์ผัวเอ่ย “เจ้าปลาที่ซื้อมา ข้าจะกินสองตัว แกกินตัวเดียวก็พอ”

นางพราหมณี- “ไม่ได้ แกต้องกินตัวเดียว สองตัวเป็นของฉัน”

พราหมณ์ไม่ยอม- “หา! ทำไมจะกินสองตัวไม่ได้? ก็ข้าเป็นใหญ่เท่ากับเป็นนายเหมือนกัน ควรจะต้องนบนอบเอาอกเอาใจ สมกับที่จะกินปลาสองตัว”

พราหมณีย้อน “ถุย! ฉันหรือเป็นบ่าวแก ต้องกินตัวเดียว เมินเสียเถิด”

พราหมณ์- “ก็ใครไปตลาดซื้อมา? อยากรู้นัก”

พราหมณี- “ใครเป็นคนทำ? ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”

พราหมณ์- “ระวัง ข้าเป็นผัวแก เมียต้องปฏิบัติผัวให้สมกับหน้าที่เมีย รู้ไหม? ประการหนึ่ง ข้าต้องเมื่อยขาไปหาซื้อมา ต้องกินสองตัวจึงจะถูก”

พราหมณี- “ก็ฉันเป็นเมียแก หน้าที่ผัวต้องกรุณาเมียจึงจะควร เข้าใจไหม? ประการหนึ่ง ใครที่ต้องเหนื่อยทำปลากออกน่ากินอย่างนี้ ฉันต้องกินสองตัว”

ต่างคนไม่ยอม ถึงกับทะเลาะกันลั่นบ้าน ในที่สุดนางพราหมณีพูด “ไม่ต้องกินกัน ต่างคนเข้านอนเสีย ถ้าใครพูดก่อนเป็นแพ้ต้องกินปลาแต่ตัวเดียว”

พราหมณ์ผัว- “เอา!”

ทั้งสองเลิกกินข้าว เข้านอนนิ่งไม่พูดกัน ถึงเวลาเช้าตรู่ก็แล้ว เที่ยงก็แล้ว ต่างยังนอนนิ่งมานะไม่ลุกขึ้น ไม่ทำอะไรหมด.

ชาวบ้านเห็นประตูบ้านปิด ผิดสังเกตพากันเรียกตะโกนจนสุดเสียงก็เงียบ เคาะประตูก็เงียบ เอะใจ เชื่อว่าผัวเมียคงเป็นโรคปัจจุบันตายเสียในเวลากลางคืน พากันพังประตูบ้านเข้าไป ร้องเรียก เงียบ ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ ตรงเข้าห้องไปดู เห็นนอนนิ่ง เขย่าตัวก็แล้ว ฉุดขึ้นก็แล้ว ไม่ลุกขึ้น ทำตัวแข็งซื่อ ชาวบ้านสำคัญว่าตายแน่ ช่วยกันแบกไปเผาที่ป่าช้า ให้คอยอยู่ดูการเผาสามคน นอกนั้นกลับบ้านหมด

ชาวบ้านที่อยู่ทั้งสาม ลำดับฟืนเป็นกองแล้วยกตาพราหมณ์และยายพราหมณีขึ้นนอนเรียงบนนั้นจะเผา พอไฟติดเปลวแลบถูก ตาพราหมณ์ร้อนทนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นตึงตังจากกองฟืน ปากก็ร้อง “พราหมณี ข้ากินตัวเดียวเอง”

ยายพราหมณีก็ลุกขึ้น ตอบทันที “อย่างนั้นอีกสองตัวฉันกินละ”

ชาวบ้านสามคนตกใจ เชื่อว่าภูตเข้าสิง มันกะกันกินสามคนพอดี เลยเหิดตื๋อสุดกำลังที่จะไปได้ไม่เหลียวหลัง

ส่วนตาพราหมณ์และพราหมณี วิ่งกลับบ้านตามมาข้างหลัง ปากก็ร้องถี่ “ข้ากินตัวเดียวเอง” ยายเมียย้ำฉันกินสองตัว”

กลับมาบ้านกินข้าว พราหมณ์ผัวกินปลาแต่ตัวเดียว นางพราหมณีกินสองตัว.

๒-นักเลงกัญชา

นักเลงแก่กัญชาสามคน มีธุระออกจากบ้านเดินทางไปแต่เช้า จวนเที่ยงรู้สึกเหนื่อยหิว เห็นข้างถนนมีสระ ต้นไม้ขึ้นร่มเย็นสบาย พากันแวะเข้าไปพักจัดหาข้าวกิน นั่งลงโคนไม้ต้นหนึ่ง ควัหมอกัญชาออกมาสูบเสียคนละบ้องชื่นใจ แล้วออกไปหาข้าวกินมาหุงต้มสุกเรียบร้อยดี คราวนี้ไม่มีใบตองรองข้าว คนหนึ่งส่งมีดให้อีกคนไปตัด เจ้าคนนั้นส่งต่อไปคนที่สาม คนที่สามกลับส่งไปให้คนที่หนึ่งตัด แล้วก็ส่งต่อวกไปวกมาอยู่หลายเที่ยว ต่างเกี่ยงให้กันไปตัด ถึงที่สุดไม่มีใครไป เลยทำสัญญากันว่า ถ้าใครเปิดปากพูดขึ้นก่อน ต้องเป็นคนไปตัดใบตอง ตกลงยอมกันตามนั้น ลงนั่งนิ่งไม่พูดกัน.

ล่วงไปชั่วโมงหนึ่งสองชั่วโมง ไม่มีใครพูด เจ้าสุนัขกลางถนนถือโอกาสตรงเข้ามากินหมด แต่กระนั้นคนไหนจะยอมแพ้อ้าปากทำเสียงไล่สุนัขเป็นไม่มี ได้แต่นั่งนิ่งดูหมาทำตาปริบๆ ตกกลางคืนก็ยังทนนั่งนิ่งเป็นใบ้ จนใกล้สองยาม เดือนมืดจัด บ้ากัญชาทั้งสามยังคงนั่งนิ่งตามเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงกิริยาอย่างไร คนยามเดินตรวจการณ์ในหมู่บ้านนั้น เดินมาพบคนนั่งอยู่ผิดสังเกตร้องถาม “ใคร! มานั่งอยู่นี่ทำไม?” เงียบ ไม่ได้ยินเสียงตอบ เข้าใจว่าเป็นขโมยตรงเข้าจับตัว เจ้ากัญชาสามเกลอยอมให้จับโดยดี ไม่พูดจาตอบโต้ว่ากระไร คนยามคุมตัวไปขังไว้ รุ่งเช้าขึ้นศาล.

ศาลเรียกตัวเข้ามาถามคนหนึ่ง ซักเท่าไรไม่ได้เรื่อง ไม่อ้าปากตอบสักคำเดียว ถึงกับตำรวจที่ประจำศาล ใช้อาชญาเถื่อนเตือนเพื่อให้พูดก็ไม่สำเร็จ ศาลเลยเข้าใจว่าใบ้ สั่งให้ไล่ไป.

พลตำรวจตรงเข้าฉวยคอฉุดออกไป มิหนำซ้ำถีบส่งด้วย หกคะเมนสองทอดสามทอด เจ้ากัญชาทนไม่ไหว ฉุนเต็มกลั้น เผลอตัวดุตำรวจ “อุบ๊ะ ! ให้ออกมาดีๆ ไม่ได้ ต้องถีบกันด้วย” พูดไม่ทันขาดเสียงดี เจ้าเพื่อนสองคนที่ยังรอไต่สวนอยู่ในศาล ก็ลุกพรวดพราด ยื่นมีดให้แก่เจ้าคนที่พูด และร้องด้วยอาการดีใจชนะพนัน “ไปตัดใบกล้วยมาเดี๋ยวนี้”

คนในศาลไม่รู้เรื่องเดิม พากันตกตลึงแลตาเป๋ง ต่อไต่ถามขึ้น จึงทราบมูลพิสดารของเขา เสียงฮากันลั่น ศาลจึงยกฟ้อง สั่งปล่อยตัวนักกัญชาทั้งสามไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ