๘๑

ฝ่ายซ้องกั๋งตั้งแต่ปล่อยตัวกอกิวไปแล้วมีความวิตกว่ากอกิวให้สัตย์สัญญาว่าจะกราบทูลให้เราเข้าไปทำราชการก็ยังหาได้ข่าวคราวไม่ แต่ตรึกตรองอยู่หลายเวลาไม่มีความสบาย จึงสั่งคนใช้ให้ไปเชิญโงวหยงมาปรึกษาว่ากอกิวสัญญาไว้นั้นจะจริงหรือไม่จริงประการใด โงวหยงพูดว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูลักษณะกอกิวมีอาการวิปริตหลายอย่าง คือตาเหมือนตาผึ้ง เมื่อจะเดินนั้นเดินเอี้ยวตัวยักเยื้องเหมือนงูเลื้อย ลักษณะกริยาเช่นนี้เป็นคนทุจริตมิได้ซื่อตรงกตัญญูต่อผู้มีคุณ ซึ่งรับคำสัญญาไว้นั้นเป็นการล่อลวงแก้ไขเอาตัวรอด ท่านจะวางใจไว้ธุระให้สำเร็จนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดจะแต่งทหารที่มีสติปัญญาไปสอดแนมฟังข่าวดู ถ้าได้ความประการใดจึงคิดผ่อนผันไปตามควร ซ้องกั๋งว่าการซึ่งท่านจะให้ทหารไปสืบข่าวนั้นเป็นการละเอียดสุขุมนัก ท่านจะให้ผู้ใดเข้าไป

โงวหยงยังไม่ทันจะตอบ เอียนเช็งจึงพูดว่าเมื่อครั้งก่อนนั้นท่านพาข้าพเจ้ากับลีขุยเข้าไปเที่ยวดูการนักขัตฤกษ์ในเมืองตังเกียจนได้ชอบพอกับนางหลีซือซือนั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงเคยเสด็จมาประพาสเล่นมิได้ขาด ข้าพเจ้าคิดจะเข้าไปให้ถึงบ้านนางหลีซือซือแล้วพูดจาประจบประแจงอาศัยอยู่ที่นั่น ถ้าได้ช่องโอกาสแล้วข้าพเจ้าจะกราบทูลความตามเรื่องของท่านให้ทรงทราบ แต่จะขอเงินทองกับพลอยสีต่างๆ ไปบ้าง พอได้เป็นของคำนับนางหลีซือซือ ไตจง ซิเซียนจึงบอกซ้องกั๋งว่า เอียนเช็งจะเข้าไปในเมืองตังเกียแต่ผู้เดียวเห็นไม่ชอบ ข้าพเจ้าทั้งสองขอไปเป็นเพื่อนเกลือกว่ามีเหตุภัยร้ายเกิดขึ้นจะได้ช่วยแก้ไข ซ้องกั๋ง โงวหยงก็อนุญาต

ขณะนั้นจูบู๊จึงพูดว่าท่านจะให้ทหารสามคนเข้าไปในเมืองตังเกียนั้น ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะวางใจด้วยเห็นว่าขุนนางในเมืองตังเกียเป็นพวกกังฉินมาก ที่เป็นคนตงฉินนั้นน้อยนัก ถ้าเพลี่ยงพล้ำเสียท่วงทีประการใดก็ไม่มีใครจะช่วยเพ็ดทูล ขอท่านจงมีหนังสือว่ากล่าวฝากฝังนายทหารทั้งสามคนไปถึงซกไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นให้แจ้ง ด้วยท่านได้ทำคุณไว้ให้ครั้งหนึ่ง ถ้าซกไทอวยมีความกตัญญู ระลึกคุณของท่านแล้วคงจะช่วยสงเคราะห์แก่นายทหารทั้งสามเป็นแท้

ซ้องกั๋งได้ฟังก็เห็นชอบแล้วคิดตรึกตรองไปว่า ซกไทอวยคนนี้ก็ไม่ได้ชอบพอคุ้นเคยกัน เป็นแต่เราช่วยแก้ไขให้พ้นไปครั้งเดียว จะหวังใจเอาเป็นที่ยึดเหนี่ยวมั่นคงไม่ได้ คิดแล้วจึงถามบุ้นฮวนเจียงว่า ท่านกับซกไทอวยได้รู้จักกันหรือไม่ บุ้นฮวนเจียงบอกว่าซกง่วนเก็งคนนี้ได้เรียนหนังสืออาจารย์เดียวกันกับข้าพเจ้า เป็นคนรักใคร่ชอบพอเชื่อถือสนิทสนม ตั้งแต่จากกันมาประมาณสามสิบปีแล้วยังไม่ได้พบปะกันเลย ซ้องกั๋งจึงว่าบัดนี้ท่านก็มาตกอยู่ในพวกเราท่านจงทำคุณไว้สักครั้งหนึ่งจะได้หรือไม่ บุ้นฮวนเจียงตอบว่าข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับได้ไม่ประหารชีวิต แล้วยังอุปถัมภ์เลี้ยงดูให้มีความสุขนั้น คุณของท่านหาสิ่งที่จะเปรียบมิได้ ท่านจะใช้สอยประการใดข้าพเจ้าขอสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นกำลัง ซ้องกั๋งจึงว่า ท่านจะมีหนังสือฝากฝังทหารของเราแก่ซกไทอวยจะได้หรือไม่ บุ้นฮวนเจียงตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระ จึงแต่งหนังสือเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าบุ้นฮวนเจียงขอคำนับมายังซกไทอวยให้แจ้งด้วยกอกิวรับข้าพเจ้ามาเป็นที่ปรึกษา และโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งไปเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋ง ใจความในหนังสือรับสั่งท่านย่อมแจ้งอยู่แก่ใจแล้ว แต่กอกิวนั้นเป็นคนอสัตย์อิจฉาคิดหาอุบายจะฆ่าซ้องกั๋งจึงให้คนอ่านหนังสือแปลความรับสั่งเสียหลายข้อ ซ้องกั๋งกับพวกเข้าใจในอุบายจึงได้เกิดรวนกันขึ้นแล้วกอกิวมีหนังสือบอกกล่าวโทษซ้องกั๋ง และขอกองทัพเพิ่มเติมออกไปอีก พระเจ้าซ้องฮุยจงไม่ทรงทราบ สำคัญว่าจริงทรงขัดเคืองซ้องกั๋งเป็นอันมาก จึงโปรดให้ทหารยกกองทัพไปช่วย กอกิวยิ่งมีใจกำเริบถือว่าพระเจ้าแผ่นดินปลงพระทัยพระราชทานอำนาจอาญาสิทธิ์ให้แก่ตัว จึงคิดอ่านยกกองทัพบกและทัพเรือไปทำศึกโดยลำพัง ข้าพเจ้าได้ตักเตือนห้ามปรามเป็นหลายครั้งหาฟังไม่ จนทหารโจรจับตัวกอกิวและข้าพเจ้าไปได้ ซ้องกั๋งซึ่งเป็นใหญ่นั้นเป็นคนดีมีเมตตาจิตไม่ประหารชีวิตข้าพเจ้าและกอกิว กลับเลี้ยงดูอุปถัมภ์ให้มีความสุขสบายเป็นอันมาก บัดนี้กอกิวรับคำสัญญาพาทหารซ้องกั๋งเข้าไปในเมืองหลวง ว่าจะกราบทูลให้ซ้องกั๋งเข้าไปเป็นข้าราชการ และมอบตัวข้าพเจ้าไว้เป็นจำนำนานแล้วยังหาได้ข่าวไม่ ซ้องกั๋งมีความวิตก จึงให้เอียนเช็ง ไตจง ซิเซียน เข้าไปสืบข่าวในเมืองหลวง ถ้าทหารทั้งสามมาถึงแล้วจะเกิดเหตุเภทภัยหรือธุระขัดข้องประการใด ขอท่านช่วยสงเคราะห์แก่คนทั้งสามด้วย” เขียนแล้วส่งให้ซ้องกั๋ง ๆ รับหนังสือมาอ่านดูก็ชอบใจ เอาหนังสือมอบให้เอียนเช็ง ๆ ไตจง ซิเซียน คำนับลาออกมาจากที่ประชุม แล้วจัดแจงแต่งกายเหมือนข้าหลวงถือท้องตราออกไปราชการหัวเมือง นายทหารทั้งสามพากันรีบเดินทางมาหลายวันถึงประตูเมืองตังเกียผู้เฝ้าประตูเมืองห้ามไว้

นายทหารทั้งสามจึงถามคนเฝ้าประตูว่า เหตุใดจึงห้ามมิให้เราเข้าไปในเมือง นายประตูบอกว่ามีรับสั่งให้ตรวจตราผู้คนเข้าออกเพราะกลัวว่าพวกโจรเขาเนียซัวเปาะจะปลอมเข้ามาทำอันตราย นี่ตัวท่านเป็นข้าราชการตำแหน่งไหนจะเข้าไปในเมืองด้วยเรื่องธุระสิ่งใดจงบอกให้แจ้ง ทหารทั้งสามบอกว่าเราสังกัดขึ้นฝ่ายบุ๋น เป็นคนสำหรับเดินตราไปหัวเมืองฝ่ายเหนือถือท้องตราออกไปเกณฑ์คนตามหัวเมืองอยู่หลายเดือนจึงไม่รู้ข้อรับสั่ง บัดนี้เราเกณฑ์คนได้ครบจำนวนแล้วจึงกลับเข้ามา แม้นมิเชื่อเราจะให้ดูใบตอบ

พูดแล้วหยิบหนังสือทั้งผนึกชูขึ้นให้เห็นเป็นสำคัญ นายประตูมิได้มีความสงสัยยอมให้ทหารโจรทั้งสามคนเข้าไปในเมือง เอียนเช็ง ไตจง ซิเซียนก็รีบเข้าไปในประตูเมืองเดินตามถนนใหญ่ ครั้นมาถึงโรงเตี๊ยมก็แวะเข้าซื้อสุรา แล้วเอียนเช็ง บอกไตจง ซิเซียนว่าท่านทั้งสองจงอาศัยคอยท่าเราอยู่ที่นี่ก่อน เราจะรีบไปหานางหลีซือซือให้ถึงบ้าน ถ้าตัวเรามีเหตุเภทภัยประการใดท่านอย่าได้ติดตามไปแก้ไขเลย จงพากันกลับไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋งและโงวหยงให้ทราบ

ไตจง ซิเซียนก็รับคำ เอียนเช็งรีบเดินมาถึงบ้านนางหลีซือซือแล้วยังนึกสงสัยด้วยตึกเก๋งนั้นทำใหม่แปลกกว่าเก่า แต่จำสำคัญได้เป็นแน่ จึงขึ้นไปบนบันไดเยี่ยมหน้าเข้าไปในประตู เห็นนางหลีซือซือนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอียนเช็งก็ตรงเข้าไปคำนับนางหลีมาม้าเห็นเอียนเช็งเข้ามาคำนับก็ตกใจ จึงถามว่าครั้งก่อนพวกเจ้าพากันมาเที่ยวเล่นแล้วก่อเหตุเอาไฟเผาบ้านเรือนเราครั้งหนึ่งแล้วกลับเข้ามาทำไมอีกเล่า เอียนเช็งตอบว่า ซึ่งเกิดเหตุครั้งก่อนใช่จะแกล้งนั้นหามิได้ ด้วยภัยมาถึงตัวก็จำเป็น และข้าพเจ้ามาหาท่านนี้ด้วยมีธุระใคร่จะพบนางหลีซือซือ นางหลีมาม้าว่าธุระสิ่งใดก็บอกกับเราเถิด เอียนเช็งว่าธุระครั้งนี้เป็นข้อใหญ่ ข้าพเจ้าจะบอกกับท่านการก็ไม่สำเร็จ

ขณะเมื่อเอียนเช็งพูดอยู่กับนางหลีมาม้านั้น นางหลีซือซืออยู่ในห้องเฟี้ยมได้ยินเสียงก็จำได้จึงเดินออกมา เอียนเซ็งแลเห็นก็มีความยินดีถ้อยทีคำนับกันตามธรรมเนียม นางหลีซือซือจึงพูดว่าครั้งก่อนท่านบอกกับเราว่า ชายผู้นั้นเป็นพ่อค้าชาวเมืองซัวตัง เราเชื่อคำท่านจึงได้พูดจารักใคร่กับชายผู้นั้นจนเกิดไฟไหม้ พระเจ้าแผ่นดินทรงขัดเคืองว่าเราคบคนพาล ไฟจึงไหม้บ้านเมือง รับสั่งให้ลงโทษแก่เราเสมอโทษต้นไฟ นี่หากว่าเรากราบทูลวิงวอนขอโทษเป็นหลายครั้งจึงพระราชทานโทษให้ และซึ่งชายสองคนที่ท่านพามานั้นเป็นชาวเมืองไหนชื่อเสียงอย่างไรจงบอกเราแต่ตามจริง ถ้าขืนปิดบังอำพรางแล้วท่านอย่าได้ไปมาพูดจากับเราอีกเลย

เอียนเช็งจึงบอกว่าคนรูปร่างต่ำผิวเนื้อดำแดงนั่งเก้าอี้ที่หนึ่งนั้น ชื่อซ้องกั๋ง เป็นใหญ่อยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ที่นั่งเก้าอี้ที่สองนั้นชื่อชาจิน ที่อยู่ริมประตูสองคนนั้น ชื่อไตจง ลีขุย ตัวเรานี้ชื่อเอียนเช็ง นางหลีซือซือได้ฟังออกชื่อซ้องกั๋งก็ตกใจจึงพูดว่า ซ้องกั๋งคนนี้ข่าวเลื่องลือว่าเป็นโจรใจร้าย เหตุใดท่านจึงพามาหาเรา เอียนเช็งตอบว่าซ้องกั๋งพี่เรานี้เป็นคนใจดีมีความอารีโอบอ้อมแก่คนทั้งปวง คิดจะเข้ามาสามิภักดิ์ทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้บ้านเมืองมีความสุขก็ยังหาช่องโอกาสมิได้ เพราะขุนนางพวกกังฉินทูลยุยงกล่าวร้ายต่างๆ พระเจ้าซ้องฮุยจงไม่ทรงทราบก็สำคัญพระทัยว่าจริง ซึ่งพี่เรามาหาท่านครั้งก่อนนั้นใช่จะมาเที่ยวเล่นสนุกสนาน และหมายมาทำอันตรายแก่บ้านเมืองนั้นหามิได้ ด้วยทราบเหตุว่าพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาประพาสเล่นที่บ้านท่านมิได้ขาด จึงอุตส่าห์แอบแฝงเล็ดลอดเข้ามาหมายจะเข้าเฝ้ากราบทูลความชอบขอเข้ามาสามิภักดิ์ก็หาทันได้กราบทูลไม่ พอลีขุยกับขุนนางรักษาพระองค์เกิดวิวาทกันจึงได้กลับออกไปยังเขาเนียซัวเปาะ บัดนี้ซ้องกั๋งใช้ให้ข้าพเจ้าคุมทองคำกับเงินและเพชรพลอยสีต่างๆ มาคำนับท่าน บอกแล้วแก้ไถ้ออกจากเอวหยิบเอาเพชรพลอยเงินทองส่งให้

นางหลีซือซือได้สิ่งของทองเงินมีความยินดีจึงพูดว่า ซ้องกั๋งพี่ของท่านมีความเมตตาอุตส่าห์ฝากสิ่งของมาให้นั้นขอบคุณเป็นอันมาก ฝ่ายท่านซึ่งเป็นน้องก็อุตส่าห์นำสิ่งของมาให้ข้าพเจ้าจนถึงมือ มิคิดกลัวภัยอันตราย บุญคุณเป็นนักหนา ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนมีแต่กายกับน้ำใจจะสนองคุณท่าน ว่าแล้วสั่งคนใช้ให้ยกโต๊ะและสุรามา แล้วนางหลีซือซือก็เชิญให้เอียนเช็งกินโต๊ะเสพสุรา นางหลีซือซือกระทำปฏิบัติเข้ารินสุราส่งให้

ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น นางหลีซือซือพูดว่าข้าพเจ้าได้ทราบความว่า ซ้องกั๋งเป็นคนกตัญญูสัตย์ซื่อมิได้ประทุษร้ายต่อแผ่นดิน คิดแต่จะเข้ามาเป็นข้าราชการ แต่ไม่มีผู้ใดกราบทูลให้ ความเรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ทราบเพราะพวกขุนนางต่างพูดกัน เอียนเช็งได้ฟังจึงตอบว่าขุนนางที่สรรเสริญความดีเป็นพวกตงฉิน แต่ขุนนางพวกกังฉินกล่าวแต่คำติเตียนนินทาพี่เราต่างๆ แล้วเล่าความตั้งแต่ต้นจนถึงท่องกวน กอกิวเป็นแม่ทัพยกไปปราบทำศึกปราชัยกลับมานั้นให้นางหลีซือซือฟังทุกประการ นางหลีซือซือจึงห้ามว่าเวลานี้เป็นหน้าเหล้าหน้าข้าวจะสนทนากันด้วยกิจการบ้านเมืองนั้นของดไว้ก่อน เชิญท่านเสพสุราสนทนากันด้วยการสนุกเป็นที่บำเรอดวงจิตให้รื่นเริงมีความสบายจึงจะชอบ เอียนเช็งว่าจะให้เราพูดด้วยเรื่องการสนุกนั้นไม่ได้ด้วยพี่เรามีความทุกข์เป็นข้อใหญ่ นางหลีซือซือจึงว่าท่านอย่าวิตกการธุระของพี่ท่านคงสำเร็จโดยเร็ว เอียนเช็งจึงว่า ถ้าแม้นธุระของพี่เราสำเร็จก็จะมีความยินดีด้วย นางหลีซือซือพูดว่าเราได้ยินข่าวเลื่องลือว่าตัวท่านชำนาญในทางดนตรีและขับร้องลำต่างๆ ความอันนี้จะจริงเหมือนเขาว่าหรือ เอียนเช็งตอบว่า เราได้เรียนรู้บ้างเล็กน้อยไม่สู้สันทัดนัก นางหลีซือซือยิ้มแล้วว่าท่านอย่าทำถ่อมตัวซ่อนวิชาไว้เลยเราเข้าใจดอก จึงหยิบเอาขลุ่ยมาส่งให้เป่า เอียนเช็งว่าเราเป็นแขกมาสู่เรือนจะให้ลงมือทำการก่อนเจ้าของเรือนกระไรได้ นางหลีซือซือได้ฟังนึกอายจึงบอกว่าเราจะเป่าขลุ่ย ท่านจงตีต๊อกขยับกรับรับจังหวะเถิด บอกแล้วก็หยิบขลุ่ยเป่าเปลี่ยนเพลงไปต่างๆ นางหลีซือซือแสร้งเป่าซ้อนจังหวะหลอกลวงถึงสามชั้น เอียนเช็งก็ร้องรำตีต๊อกขยับรับจังหวะมิได้พลั้งพลาด แต่เป่าแปลงเพลงไปได้ประมาณยี่สิบเพลงแล้ว นางหลีซือซือก็เอาขลุ่ยส่งให้เอียนเช็งรับมาเปายักย้ายอยู่หลายเพลงเนื้อเพลงไม่ซ้ำต้องกับเพลงของนางหลีซือซือ นางหลีซือซือได้ฟังไพเราะจับในดวงจิต จึงคิดว่าชายผู้นี้รูปร่างลักษณะถูกถ้วนงดงามจะพูดจาก็เฉลียวฉลาดคมคาย ฝีปากจะผูกกลอนบรรเลงระบายลมใช้นิ้วดีกว่านักเลงดนตรีทั้งปวง ถ้าเราได้ไว้เป็นสามีแล้วความสุขเจริญก็จะมี เราจะได้ละเว้นการชั่วที่เคยประพฤติมาแต่ก่อนนั้นให้ขาดจากสันดาน

แต่คิดอยู่จนเคลิ้มสติความปฏิพัทธ์เสน่ห์หาจับผิวหน้าเผือดสลดสะกดใจไม่ใคร่จะได้ จึงตรองหาอุบายที่จะยั่วยวนชวนเอียนเช็งให้เกิดความยินดี พอนึกได้จึงแสร้งพูดว่าข้าพเจ้าได้ยินคนพูดกันว่า คนที่ชื่อเอียนเช็งนั้นมีวิชาใช้เกาทัณฑ์มือเป็นอาวุธ ในกายตัวนั้นสักหมึกเป็นลายก้านขดและดอกไม้ ข้าพเจ้านึกสงสัยจะจริงเหมือนถ้อยคำว่านั้นหรือไม่ เอียนเช็งรับคำว่า “จริง” นางหลีซือซือว่าถ้าจริงแล้วขอให้ข้าพเจ้าเห็นลายสักสักหน่อย เอียนเช็งพูดเป็นเกรงใจว่าเราเป็นชายจะปลดเปลื้องให้ท่านเห็นกายนั้นไม่ควร นางหลีซือซือจึงอุบายพูดว่าถ้าเราได้เห็นลายสักเป็นสำคัญแล้ว เราจึงจะเชื่อถือที่ท่านแกล้งพูดกลบเกลื่อนไม่ให้เราดูนั้นเพราะลายสักหามีไม่ มาล่อลวงอวดอ้างเอาแม้มิใช่เอียนเช็งจงเร่งลงไปเสีย ขืนนั่งอยู่จะเกิดความ

เอียนเช็งได้ฟังนึกกลัวจะโกรธจึงลดเสื้อลงจากไหล่ซ้ายแล้วยื่นแขนไปให้ นางหลีซือซือมีความยินดีจึงตรงเข้าจับต้นแขนทำพิจารณาดูลายสัก พลางยกมือเอียนเช็งขึ้นแล้วเคล้นไคล้ทำยียวนรอยหน้าเข้าใกล้ชิดกับเอียนเช็ง

ขณะเมื่อนางหลีซือซือทำยียวนนั้นเอียนเช็งก็เกิดความปั่นป่วนใจคิดจะใคร่ร่วมรสเสน่หาด้วยนาง แต่แล้วคิดได้กลัวจะเสียทีจึงตัดสวาทหักใจตั้งสติข่มอารมณ์เอาไว้ เมื่อเอียนเช็งสะกดใจอดกลั้นความรักเสียได้แล้ว จึงสะบัดมือให้หลุดจากมือนางหลีซือซือแล้วพูดว่า เราจะเสพสุราให้สบาย นางหลีซือซือได้สติมีความอายจึงแสร้งพูดแก้ตัวว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูลายสักในตัวท่านเพลิดเพลินจนท่านป่วยการเสพสุรานั้นขออภัยเสียเถิด ว่าแล้วก็รินสุราใส่จอกคำนับส่งให้เอียนเช็ง ๆ รับเอาสุราแล้วตรึกตรองว่า หญิงคนนี้เป็นคนเจ้าเล่ห์กลลึกซึ้งเข้ามายียวนจนเราเกือบจะเสียการ ถ้าเราหลงด้วยมายานางแล้วที่ไหนนางจะพาเราเข้าเฝ้าและยอมให้กลับไปตำบลเขาเนียซัวเปาะ คงหาอุบายหนักหน่วงไว้ให้เนิ่นช้าการของพี่เราก็จะไม่สำเร็จ จำจะคิดอ่านตัดทางไมตรีให้นางหายพิศวาสเสียจึงจะได้ คิดแล้วแสร้งอุบายพูดว่าท่านกับเราก็ชอบอัชฌาสัยคุ้นเคยกัน แต่ยังไม่รู้จักปีเดือนวันคืนกำเนิดและตัวของท่านอายุได้สักเท่าใด นางหลีซือซือบอกว่าอายุเราพอดีครบยี่สิบเจ็ดปี และตัวของท่านนั้นอายุได้เท่าใดเล่าจงบอกให้เรารู้บ้าง เอียนเช็งจึงว่าข้าพเจ้าอ่อนกว่าท่านสองปีควรเป็นน้อง ประการหนึ่งซ้องกั๋งพี่ข้าพเจ้าก็ได้สนทนาเป็นไมตรีกันแต่ก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าผู้น้องมาหาท่านก็มีความเมตตาเลี้ยงดูเพราะเห็นแก่ไมตรี ข้าพเจ้าเคยเคารพนับถือซ้องกั๋งพี่ข้าพเจ้าฉันใดก็จะนบน้อมยำเกรงแก่ท่านฉันนั้น พูดแล้วลุกลงจากเก้าอี้เข้าไปคุกเข่าคำนับ นางหลีซือซือได้ฟังเอียนเช็งกล่าวคำถ่อมยอมเป็นน้องมาคำนับก็นึกเสียใจ อุตส่าห์รับคำนับไปตามธรรมเนียม แล้วว่าเจ้าอ่อนกว่าเราและยอมตัวเป็นน้องนั้น จะรักเจ้าให้เหมือนน้องร่วมครรภ์มิได้มีความรังเกียจ ซึ่งธุระของซ้องกั๋งนั้นตกเป็นพนักงานของเราจะให้เจ้าเข้าเฝ้า เจ้าจงอยู่ที่นี่กว่าพระเจ้าซ้องฮุยจงจะเสด็จมา เอียนเช็งได้ฟังนางหลีซือซือรับธุระและยอมอนุญาตให้อยู่อาศัยก็มีความยินดี จึงบอกว่าข้าพเจ้าจะขอลาพี่ไปเอาของซึ่งฝากไว้ที่โรงเตี๊ยมแล้วจะกลับมา นางหลีซือซือว่าเวลาเย็นแล้วจงรีบไปอย่าให้ค่ำ กองตระเวนเขาจะจับตัว เอียนเช็งตอบว่าพี่อย่าวิตกข้าพเจ้าจะรีบมาโดยเร็ว พูดแล้วลงจากตึกรีบเดินมาถึงโรงเตี๊ยม ไตจง ซิเซียน เห็นเอียนเช็งมาก็มีความยินดีออกไปรับแล้วถามว่าท่านไปพบกับนางหลีซือซือแล้วหรือ เอียนเช็งจึงเล่าความที่นางหลีซือซือมีความรักใคร่และยอมให้อยู่อาศัยนั้นทุกประการ

ไตจง ซิเซียนจึงพูดว่า เรากลัวแต่ท่านจะไปหลงอยู่ด้วยอิสตรีธุระของพี่จะเนิ่นช้า เอียนเช็งตอบว่าความข้อนั้นเราไม่สู้กระไรนัก ท่านอย่าวิตกสงสัยเลย ครั้นพูดจาสั่งเสียกันเสร็จแล้วเอียนเช็งจัดแจงสิ่งของห่อ เดินกลับมายังบ้านนางหลีซือซือ พอเวลาค่ำเอียนเช็งก็เอาเงินแจกให้แก่คนใช้บนตึกและในเขตบ้านทั่วทุกคน หวังจะให้มีความสนิทรักใคร่ไม่ให้แพร่งพรายความลับ นางหลีซือซือก็จัดแจงห้องให้เอียนเช็งอยู่บนตึกเป็นปรกติ แต่เอียนเช็งอาศัยอยู่ด้วยนางหลีซือซือหลายเวลา นางหลีซือซือก็ชักชวนให้ขับร้องซักซ้อมการดนตรีมิได้ขาด

อยู่มาวันหนึ่งเวลาค่ำพระเจ้าซ้องฮุยจงรำคาญพระทัยไม่สบาย ทรงพระราชดำริว่าจะเสด็จไปทรงฟังมโหรีที่บ้านนางหลีซือซือจึงเสด็จดำเนินตามช่องอุโมงค์แต่พระราชวังตลอดมาถึงเชิงบันไดตึก นางหลีซือซือทราบว่าพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมามีความยินดีนัก รีบลงไปรับเชิญเสด็จขึ้นมาประทับบนที่ซึ่งตกแต่งไว้ แล้วนางหลีซือซือจึงสั่งคนให้จัดเทียบโต๊ะเครื่องเสวย เสร็จแล้วเชิญมาตั้งถวาย พระเจ้าซ้องฮุยจงเสวยแล้วรับสั่งให้นางหลีซือซือขับเพลงมโหรี นางหลีซือซือกราบทูลว่า เพลงมโหรีข้าพเจ้านั้นเคยขับร้องถวายมามากแล้วคิดจะให้น้องชายข้าพเจ้าขับถวายบ้าง

พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสถามว่า น้องชายของเจ้าไปอยู่ที่ไหนเราจึงไม่รู้จัก นางหลีซือซือทูลว่าน้องชายข้าพเจ้านี้เป็นคนเที่ยวเล่นไม่ใคร่จะอยู่บ้านมาแต่เล็กจึงไม่ได้ถวาย บัดนี้กลับมาถึงได้สี่ห้าวันแล้ว พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสถามว่าความรู้ในการดนตรีนั้นเจ้ากับน้องชายใครจะดีกว่ากัน นางหลีซือซือทูลว่าน้องชายนั้นชำนาญดีกว่าข้าพเจ้า พระเจ้าซ้องฮุยจึงตรัสว่า ถ้าดีจริงแล้วจงหาตัวมาขับร้องให้เราฟัง นางหลีซือซือก็เรียกเอียนเช็งออกมาเฝ้าถวายบังคม พระเจ้าซ้องฮุยจงพิเคราะห์ดูลักษณะกิริยาเป็นคนฉลาดก็ชอบพระทัย จึงตรัสถามว่า เจ้ารู้จักเพลงขับร้องในกลอนการสิ่งใดบ้าง เอียนเช็งทูลว่าข้าพเจ้าเคยขับร้องแต่กลอนสังวาส จึงรับสั่งให้ขับ เอียนเช็งก็ขับเพลงฮือแกลักถวายเป็นคำสัตย์ครวญถึงชายชู้เมื่อจากไป ครั้นสิ้นคำขับแล้วเอียนเช็งก็ถวายบังคม พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังก็ชอบพระทัย จึงตรัสแก่นางหลีซือซือว่าน้องชายของเจ้าคนนี้สำนวนผูกกาพย์กลอนช่างไพเราะ เสียงขับร้องเหมือนเสียงเรไรน่าฟัง ตั้งแต่นี้เจ้าจงห้ามอย่าให้ไปเที่ยว เราอยากฟังเมื่อใดจะได้ขับร้องให้ฟังแล้วตรัสสั่งเอียนเช็งให้ขับเพลงไปอีก เอียนเช็งกราบทูลว่าข้าพเจ้าถวายอีกก็ได้แต่เกรงว่าถ้อยคำจะกล่าวนั้นไม่ถูกกับพระอัชฌาสัยแล้วเกรงพระราชอาญา พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่าเรามาทั้งนี้มีความประสงคํในการที่จะฟังเสียงขับร้องให้เป็นที่สบาย ใช่จะมาตั้งเกียรติยศไว้สง่าแก่พวกเจ้าเหล่านี้ก็หาไม่ เจ้าจะขับร้องประการใดก็ตามใจ แต่ให้ได้จังหวะคล้องจองกันเราไม่ถือโทษด้วยคำหยาบดอก เอียนเช็งได้โอกาสแล้วจึงขับเพลงมกลันฮวยถวายเป็นใจความว่า “ทุกข์ของข้าพเจ้าครั้งนี้มากนักถึงจะจดจำใส่ในอากาศและแผ่นดินก็ไม่พอจะจารึก ในอกนั้นร้อนเหมือนอยู่ในกองเพลิง ไม่ทราบว่าจะผินหน้าไปพึ่งผู้ใดได้ เห็นแต่พระเจ้าแผ่นดินจะช่วยดับร้อนของข้าพเจ้าให้เสื่อมหาย” พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังนึกสงสัย ตรัสถามว่าทุกข์ของเจ้าเป็นประการใดจงบอกไปให้แจ้งเถิด เอียนเช็งจึงอุบายร้องไห้สะอึกสะอื้นซบหน้าลงแทบพระบาท แล้วกราบทูลว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้ามีความผิดเป็นมหันตโทษจึงไม่อาจกราบทูลให้ทราบ พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่าเจ้าอย่าทุกข์โศกเสียใจเลยถึงจะทำความผิดไว้ประการใดเราก็ไม่เอาโทษ เอียนเช็งได้ฟังรับสั่งมีความยินดีจึงกราบทูลว่า เมื่อข้าพเจ้ายังหนุ่มนั้นหลบหนีมารดาและพี่ไปเที่ยวเล่นอยู่ ณ เมืองซัวตังประมาณเจ็ดปีมีความวิตกถึงมารดาจึงออกจากเมืองเดินกลับมาตามทางเขาเนียซัวเปาะ พวกโจรพากันออกสกัดจับตัวไปไว้สองปี บัดนี้ข้าพเจ้าหนีกลับมาได้จึงซุ่มซ่อนอยู่ในห้อง ไม่อาจออกเดินเที่ยวตามท้องถนนกลัวขุนนางและพวกกองตระเวนจะจับว่าเป็นพวกโจร ถึงจะให้การตามจริงไหนจะเชื่อ คงพากันจับทุบตีทำโทษ พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังไม่รับสั่งประการใด เอียนเช็งจึงชายตาดูนางหลีซือซือหวังจะให้ช่วยกราบทูล นางหลีซือซือเข้าใจในทีจึงกราบทูลวิงวอนว่าน้องข้าพเจ้าไม่ได้ยอมสมัครไปเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่กับซ้องกั๋ง เดินทางมาพวกโจรจับตัวไว้จึงจำใจอยู่ด้วย ครั้นมีโอกาสได้ช่องจึงหนีกลับมา ใช่จะตั้งใจไปคบค้าเอาอำนาจแห่งโจรเป็นที่พึ่งหามิได้ ขอพระบารมีช่วยปกแผ่ป้องกันน้องข้าพเจ้าไว้อย่าให้มีอันตรายด้วย พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ฟังนางหลีซือซือทูลวิงวอนก็ทรงเมตตา จึงตรัสว่าเมื่อพวกขุนนางรู้ว่าเป็นน้องของเจ้าแล้วที่ไหนจะจับ เราก็ได้ออกวาจายกโทษเสียแล้วเจ้าอย่าได้มีความวิตกเลย นางหลีซือซือกราบทูลว่า ซึ่งรับสั่งโปรดมานั้นถูกทุกประการแล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์เสด็จเวลานี้มีขันทีตามมาคนเดียว ข้อรับสั่งยังไม่ปรากฏแก่ขุนนางทั้งปวง ถึงข้าพเจ้าจะบอกความว่ามีรับสั่งโปรดยกโทษเสียแล้วไหนจะเชื่อคงว่าแอบอ้างรับสั่งเป็นแท้ ถ้าหากทรงพระเมตตาจะชุบเลี้ยงน้องข้าพเจ้าแล้วขอพระราชทานหนังสือรับสั่งไว้คุมตัวฉบับหนึ่งพอเป็นพยานแก่ขุนนางทั้งปวงด้วยเถิด

พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสว่า เรามาเที่ยวเล่นเวลานี้ไม่ได้เอาตรามาด้วย ทำไมจึงจะได้ประทับให้เป็นสำคัญ นางหลีซือซือกราบทูลว่าพระองค์จะทรงเมตตาข้าพเจ้าแล้ว ก็โปรดจารึกอักษรด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ก็เหมือนกับตรายี่ห้อสำหรับแผ่นดิน พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงทรงพระอักษรมีความว่า “ซึ่งเอียนเช็งมีความผิดไปคบค้าพวกโจรนั้น บัดนี้ยอมสามิภักดิ์เข้ามาถวายตัวอยู่ในพระเจ้าแผ่นดินได้ยกโทษเสียแล้ว ห้ามอย่าให้ขุนนางเจ้าพน้กงานและราษฎรจับกุมทำอันตรายแก่เอียนเช็งเป็นอันขาด” ครั้นทรงพระอักษรแล้วพระราชทานให้เอียนเช็งถวายบังคมคำนับรับพระอักษรมาสอดแซมไว้บนหมวกแล้วถวายบังคมอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสถามเอียนเช็งว่า เจ้าไปอยู่ด้วยซ้องกั๋ง ณ ตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้น เห็นซ้องกั๋งกับพวกประพฤติการดีและชั่วประการใดบ้าง เอียนเช็งกราบทูลว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูลักษณะกิริยาวาจาและน้ำใจซ้องกั๋งกับทหารทั้งปวงนั้นไม่ประพฤติเป็นพาล จะทำการสิ่งใดก็ตรึกตรองหาสิ่งซึ่งเป็นยุติธรรม มิได้เที่ยวทำโจรกรรมเบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนเลย ประการหนึ่ง ซึ่งจะได้คิดกบฏหมายจะปล้นชิงเอาราชสมบัติของพระองค์นั้นหามิได้ คิดแต่จะเข้ามาสามิภักดิ์ถวายตัวเป็นข้าราชการฉลองพระเดชพระคุณช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขตลอดทั่วทั้งพระราชอาณาเขต จึงได้จารึกอักษรไว้ในธงว่า เทยเทียนเกียเต๋า แปลว่าจะตั้งใจประพฤติสุจริต การที่คิดจะเข้ามาสามิภักดิ์ฉลองพระเดชพระคุณนั้นยังหาช่องโอกาสมิได้ จึงจำใจอยู่ที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะไปก่อน ถ้ามีรับสั่งโปรดให้เข้ามาทำราชการแล้วก็คงจะเข้ามา

พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสถามว่า ครั้งก่อนเราได้มีหนังสือให้ตั้นจองเสียนถือออกไปหาตัวก็ไม่เข้ามา กลับให้พวกเข้าตีด่าคนถือหนังสือ เราจึงให้ท่องกวนยกกองทัพออกไปหวังจะให้เกลี้ยกล่อมอ่อนน้อมต่อแม่ทัพ ซ้องกั๋งกลับใจกำเริบยกกองทัพออกต่อสู้กองทัพหลวง แล้วลอบเอาพิษใส่ในบึงห้วยหนอง ทหารเราดื่มอาบน้ำก็ป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ท่องกวนจึงพาทหารล่าถอยกลับเข้าเมือง ภายหลังเราจึงให้กอกิวยกกองทัพใหญ่ไปอีก พวกโจรจับตัวฮั่นซุนป๊อไปไว้ค่ายเขาเนียซัวเปาะแล้วปล่อยตัวให้กลับเข้ามาแจ้งความว่า ซ้องกั๋งกับพวกไม่คิดทำการศึกต่อสู้กองทัพ หลวงขอยอมสามิภักดิ์เข้าทำราชการ เราจึงมีหนังสือให้บุ้นฮวนเจียงถือไปว่าแต่โดยดี กอกิวจึงหาตัวมาพร้อมกันที่เมืองจีจิวแล้วอ่านหนังสือให้ฟัง ซ้องกั๋งกลับมีใจกำเริบ ให้ฮวยหยงเอาเกาทัณฑ์ยิงคนอ่านหนังสือตายแล้วฆ่าฟันผู้คนเสียเป็นอันมาก กอกิวมีหนังสือบอกเข้ามาขอกองทัพเพิ่มเติมออกไป พอกอกิวป่วยลงก็เลิกกองทัพกลับเข้ามาการศึกจึงได้สงบอยู่ ซึ่งเจ้าว่าซ้องกั๋งมีความกตัญญูคิดจะมาสามิภักดิ์นั้นเราไม่เห็นด้วย ซ้องกั๋งหลอกลวงเราให้เสียเกียรติยศก็หลายครั้ง

เอียนเช็งจึงกราบทูลว่า พระองค์ครองราชสมบัติเป็นสุขอยู่แต่ในพระนคร การสิ่งใดจะทรงทราบก็เพราะขุนนางกราบทูล เรื่องซ้องกั๋งนี้พระองค์ทรงทราบไม่ตลอด ด้วยขุนนางผู้ใหญ่ที่พระองค์ไว้วางพระทัยนั้นไม่นำความดีของซ้องกั๋งขึ้นกราบทูลบ้าง ทูลแต่ความร้ายหาโทษซ้ำเติมทุกครั้ง พระองค์ไม่ทราบก็ขัดเคือง ครั้นข้าพเจ้าจะกราบทูลให้ทรงทราบก็เกรงพระราชอาญาและกลัวอำนาจขุนนางผู้ใหญ่จะลงโทษ

พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่าเจ้าจงเล่าไปเถิดอย่ากลัวเลย การควรจะเชื่อฟังได้เราก็เชื่อ เอียนเช็งได้โอกาสแล้วจึงกราบทูลว่าเมื่อมีหนังสือรับสั่งตั้นจองเสียนถือหนังสือไปนั้น ข้อความในหนังสือวิปลาสอยู่หลายข้อคือให้ริบทรัพย์สิ่งของและครอบครัวให้สิ้น และสุราที่พระราชทานไปนั้นก็ปนเจือไปด้วยนํ้า ประการหนึ่งข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งก็ปราศจากความเมตตาทำอำนาจเฆี่ยนตีคนรับเจ็บป่วยหลายคน แล้วว่าหยาบช้าต่างๆ พวกทหารเหล่านั้นเหลือที่จะอดทนจึงได้เกิดวิวาทกันขึ้น ซ้องกั๋งก็ช่วยห้ามปรามป้องกันมิให้ทหารทำอันตรายแก่พวกข้าหลวง แล้วทำโทษแก่ทหารที่ทำหยาบช้าต่อข้าหลวงเป็นอันมาก ครั้นข้าหลวงกลับเข้ามาถึงแล้ว ท่องกวนจึงได้ยกกองทัพออกไปโจมตีด้วยกำลัง ครั้นจะนิ่งเสียก็ไม่ได้ด้วยภัยมาถึงตัว จึงจำใจสู้จนทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นอันมาก ท่องกวนเสียทัพแตกหนีกลับเข้ามาแล้ว กอกิวจึงได้ยกกองทัพใหญ่ออกไปทำศึกอีก กอกิวเสียทีก็แตกทัพหลายครั้งหนีมาอยู่เมืองจีจิว บุ้นฮวนเจียงเชิญหนังสือรับสั่งออกไป ข้อความในหนังสือนั้นไม่โปรดยกโทษ ให้เอาตัวซ้องกั๋งมาในกองทัพกอกิว การเป็นเช่นนี้ ซ้องกั๋งจึงมีความสงสัยด้วยกอกิวนั้นเป็นคู่ทำศึกสงครามกัน การจึงยังไม่ได้เข้ามาสามิภักดิ์ กอกิวมีความโกรธซ้องกั๋งจึงคิดอ่านต่อเรือจักรถึงห้าร้อยลำ ยกกองทัพไปรบที่เขาเนียซัวเปาะก็เสียที ทหารซ้องกั๋งจับตัวกอกิว บุ้นฮวนเจียงและทหารเอกทหารเลวได้ไว้เป็นอันมาก ซ้องกั๋งก็มิได้ทำอันตรายแก่ชีวิต เพราะหมายเอาบารมีของพระองค์เป็นที่พึ่ง แล้วกอกิวให้สัตย์สัญญาแก่ซ้องกั๋งว่าจะกลับเข้ามากราบทูลขอให้ซ้องกั๋งเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวง ยอมให้บุ้นฮวนเจียงอยู่เป็นตัวจำนำ กอกิวกับทหารก็พากันกลับเข้ามาเมืองหลวง

พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังเอียนเช็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงเชื่อ ด้วยซัวเกียกราบทูลความเรื่องกอกิวป่วยนั้นก็แปลกพระทัยอยู่แล้วจึงตรัสว่า เรื่องความเป็นเช่นนี้เราไม่รู้เลย ซึ่งเจ้ามาบอกให้เรารู้การตื้นลึกหนักเบานั้นเราขอบใจเป็นอันมาก นางหลีซือซือจึงทูลว่าพระองค์ไม่ทรงทราบความดีของซ้องกั๋งนั้นเพราะขุนนางพวกกังฉินปกปิดไว้ ยกเอาแต่ความร้ายขึ้นกราบทูลหวังจะให้พระองค์มีความอาฆาตแก่ซ้องกั๋ง ถ้ายังจะทรงเชื่อถือพวกขุนนางกังฉินแล้วราษฎรก็จะได้ความเดือดร้อนต่างๆ พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่าเวลานี้ของดไว้ก่อน พรุ่งนี้เราจะถามให้ได้ความจริง เอียนเช็งได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ถวายบังคมลากลับออกไปนอนอยู่ห้องนอก พระเจ้าซ้องฮุยจงก็เสด็จเข้าที่ นางหลีซือซือเข้าอยู่ปฏิบัติให้ชอบตามพระอัธยาศัยจนรุ่งสว่าง พระเจ้าซ้องฮุยจงก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง เอียนเช็งจึงบอกนางหลีซือซือว่า ข้าพเจ้าจะลาพี่ไปหาพวกพ้องแล้วจะกลับมา ก็คำนับลาไปยังโรงเตี๊ยมเล่าความที่ได้กราบทูลนั้นให้ทราบทุกประการ ไตจง ซิเซียนได้แจ้งมีความยินดี เอียนเช็งก็ชวนไตจง ซิเซียนมายังบ้านซกไทอวย ครั้นถึงประตูบ้านเอียนเช็งก็ให้ไตจง ซิเซียนอยู่นอกประตู เอียนเช็งก็ตรงขึ้นไปบนตึกรับแขกเห็นซกไทอวยนอนดูหนังสืออยู่บนเก้าอี้

เอียนเช็งคำนับแล้วบอกว่าข้าพเจ้าเดินทางมาแต่เมืองซัวตัง พบบุ้นฮวนเจียงฝากหนังสือมาให้ท่านก็เอาหนังสือส่งให้ ซกไทอวยรับมาเปิดผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วนึกสะดุ้งใจจึงถามว่าเจ้าชื่อไร เอียนเช็งบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเอียนเช็ง เมื่อท่านไปไหว้พระ ณ เมืองฮัวจิวนั้นท่านก็ได้ใช้สอยข้าพเจ้าบ้าง ซกไทอวยได้ฟังก็นึกได้พูดว่า เราลืมไปขออภัยเสียเถิด เอียนเช็งจึงเอาเพชรและพลอยสีต่างๆ ส่งให้แล้วบอกว่า ซ้องกั๋งพี่ข้าพเจ้าฝากมาคำนับท่าน ซกไทอวยรับแล้วมีความยินดีจึงว่า ซ้องกั๋งทำคุณแก่เราไว้ครั้งหนึ่งก็ยังมิได้ทดแทนคุณ ครั้งนี้ฝากสิ่งของมาให้อีกคุณก็ยิ่งทวีขึ้น เจ้าจงกลับไปบอกซ้องกั๋งเถิดว่าเราขอบใจเป็นอันมาก การธุระของซ้องกั๋งนั้นอย่าได้วิตกจะช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จโดยเร็ว เอียนเช็งรับคำแล้วคำนับลาออกจากบ้านพากันกลับมายังโรงเตี๊ยม

เอียนเช็งจึงว่าการธุระของเราก็สำเร็จไปสองอย่างแล้ว แต่เซียวเหยียง งักหัว ซึ่งเข้ามาด้วยกอกิวนั้นยังไม่รู้ว่าจะร้ายดีเป็นประการใด เราจะต้องไปเที่ยวสืบข่าวให้พบตัว ซิเซียนว่าท่านจะไปถึงบ้านกอกิว เกลือกผู้คนที่ไปด้วยในกองทัพรู้จักตัวจำหน้าพวกเราได้อาจจะมีเหตุร้ายขึ้น เอียนเช็งจึงว่าตัวเราจะเที่ยวไปข้างไหนก็ได้ตลอดทั่วทั้งเมือง ผู้ใดจะทำอันตรายแก่เราได้ ด้วยพระเจ้าซ้องฮุยจงพระราชทานพระอักษรคุ้มตัวให้เราไว้ ท่านกลัวแล้วก็อย่าไปจงเฝ้าสิ่งของอยู่ที่นี่ เอียนเช็งกับไตจงก็แต่งตัวเป็นคนราชการเที่ยวเดินหมายพากันไปถึงหน้าบ้านกอกิว พอแลเห็นคนใช้เดินออกมาจากบ้าน เอียนเช็งก็พูดจาทักถามทอดสนิท แล้วบอกว่าเชิญท่านไปที่โรงขายน้ำชาสักครู่หนึ่งเถิดเราจะบอกลาภให้ ชายผู้นั้นก็มาด้วย เอียนเช็งซื้อน้ำชาเลี้ยงสู่กันกินแล้วจึงถามชายผู้นั้นว่ากอกิวนายของท่านยกกองทัพไปรบกับโจรนั้นได้พวกโจรมาสองคนจริงหรือ ชายผู้นั้นบอกว่าจริง เอียนเช็งจึงว่าคนที่ชื่องักหัวนั้นเป็นญาติของพวกเราคนนี้ อยากจะใคร่พบสักหน่อยท่านจงช่วยพามาให้พบสักครู่หนึ่งเถิด ท่านก็จะได้เงินค่าจ้างสักเตียะหนึ่งเป็นเงินสิบตำลึง ชายผู้นั้นบอกว่ากอกิวให้ชายสองคนนั้นเข้าอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน สั่งพวกเราคุมตัวไว้มิให้ใครพบปะและเที่ยวไปข้างไหน ถ้าอยากจะพบแล้วจงไปคอยอยู่หน้าบ้านเราจะพาออกมาให้พบ

พูดแล้วก็พากันกลับมาบ้านกอกิว ชายผู้นั้นจึงเข้าไปบอกงักหัวแล้วคุมตัวออกมาด้วย งักหัวเห็นเอียนเช็ง ไตจงมามีความยินดีเดินตรงเข้าไปหาเอียนเช็ง ไตจง ก็พากันเดินหลีกออกไป งักหัวตามไปถึงแล้วเอียนเช็งจึงกระซิบบอกว่าเราเข้ามาครั้งนี้นางหลีซือซือพาเข้าเฝ้า ได้กราบทูลความให้ทรงทราบทุกประการแล้ว บัดนี้เราจะพากันกลับไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋ง แต่นึกเป็นห่วงด้วยท่านจึงสืบเสาะมาหาหวังจะได้กลับไปพร้อมกัน งักหัวจึงบอกว่าตั้งแต่กอกิวพาเรามาถึงบ้านแล้ว เอาไปคุมไว้ในสวนดอกไม้หลังบ้านมิให้ไปมาข้างไหน เพิ่งได้ออกมาถึงหน้าบ้านเวลานี้ เราตรึกตรองจะหนีออกข้างหลังสวนก็ไม่ได้ ด้วยกำแพงล้อมนั้นสูงนักเหลือกำลังที่จะปีน ครั้นจะออกทางหน้าบ้านเล่า ผู้คุมคอยพิทักษ์รักษาห้ามปรามทั้งกลางวันกลางคืน เป็นความจนใจไม่รู้ที่จะคิดอ่านหนีไปได้ เอียนเช็งจึงถามว่าริมกำแพงหลังสวนนั้นมีต้นไม้อยู่บ้างหรือ งักหัวบอกว่าที่เชิงกำแพงด้านตะวันออกริมคลองนั้นมีต้นสิ้วอยู่ต้นหนึ่ง เอียนเช็งจึงนัดว่าเวลาค่ำวันนี้ท่านจงคอยเราอยู่ที่ใต้ต้นสิ้ว ดึกสามยามสงัดคนเราจะโยนเชือกเข้าไปให้แล้วท่านจงขึ้นไปบนต้นสิ้วเอาเงื่อนเชือกผูกสะเอวไว้ให้มั่น เราจะโรยเชือกหย่อนเอาตัวท่านลงมาข้างนอกกำแพง

เมื่อพูดกันอยู่นั้นชายผู้คุมจึงร้องว่าอย่าพูดซุบซิบให้นานนัก แม้นใครมาพบแล้วไปบอกกับกอกิวจะทำโทษเรา อย่าอยู่ช้าเลยรีบเอาเงินมาให้เสียแล้วจงรีบกลับไปเถิด เอียนเช็งก็เอาเงินเตียะหนึ่งส่งให้ชายผู้นั้นแล้วเดินกลับไปทางท้องตลาด ซื้อเชือกได้สองเส้นจึงพากันไปโรงเตี๊ยมที่สำนัก ในเวลาค่ำวันนั้นเอียนเช็ง ไตจง ซิเซียนก็เตรียมตัวพร้อมเสร็จเรียกเจ้าของโรงเตี๊ยมมาคิดเงินให้แล้วพากันรีบมายังหลังบ้านกอกิว เห็นเรือจอดอยู่ลำหนึ่งจึงพากันลงไปซ่อนอยู่ในเรือ

ฝ่ายงักหัวครั้นเวลาค่ำจึงค่อยกระซิบบอกเซียวเหยียงตามที่ได้นัดไว้กับเอียนเช็งนั้นให้แจ้งทุกประการ เซียวเหยียงก็มีความยินดีพากันไปนั่งคอยอยู่ใต้ต้นสิ้ว ครั้นเวลาดึกสามยามเอียนเช็งขึ้นจากเรือก็เอาเชือกขว้างเข้าไปในกำแพงตกลงริมต้นสิ้ว เซียวเหยียง งักหัวก็หยิบเอาปลายเชือกได้พากันปีนขึ้นไปบนต้นสิ้ว ถึงกำแพงจึงเอาเชือกกระหวัดคล้องโอบเข้ากับต้นสิ้ว แล้วผูกสะเอวเข้าให้มั่นหย่อนตัวลงนอกกำแพง คนทั้งสามก็โรยเชือกหย่อนลงมาถึงดินพร้อมกันทั้งห้าคนแล้วก็พากันรีบหนีมาถึงประตูเมือง พอดีรุ่งสว่างผู้รักษาประตูถามเอียนเช็ง เอียนเช็งก็พูดจาบอกความดังอุบายเหมือนหนหลัง แล้วชวนกันรีบเดินทางไปถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะ ทหารทั้งห้าก็เข้าไปคำนับซ้องกั๋ง โงวหยง แจ้งความตามที่นางหลีซือซือพาเข้าเฝ้าได้กราบทูลความตามเรื่องนั้นให้ทราบทุกประการ แล้วเอาพระอักษรซึ่งพระราชทานไว้คุ้มตัวนั้นส่งให้ ซ้องกั๋งคำนับรับมาดูได้แจ้ง มีความยินดีสรรเสริญยกย่องสติปัญญาเอียนเช็งเป็นอันมาก

โงวหยงว่าการที่เอียนเช็งได้นำความของเราขึ้นกราบทูลทรงทราบแล้ว เห็นจะโปรดให้มีหนังสือรับสั่งหาพวกเราเข้าไปทำราชการจะต้องจัดม้าใช้ให้ไปคอยสืบ ถ้าได้ความว่ามีข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งมาเมื่อใด เราจะได้จัดการแต่งรับไว้ให้สมควรกับเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดิน ซ้องกั๋งได้ฟังก็เห็นชอบสั่งให้ม้าใช้ผลัดเปลี่ยนกันไปคอยสืบข่าวข้าหลวงมิได้ขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ