๗๒

ขณะนั้นลีขุยเห็นซ้องกั๋งจะเข้าไปดูงานในเมืองหลวงจึงว่าท่านจะไปเที่ยวครั้งนี้ข้าพเจ้าจะไปด้วย ซ้องกั๋งคิดว่าเราจะซุ่มซ่อนไปไม่ให้ใครรู้จัก ลีขุยเป็นคนโทโสมาก จะเข้าไปด้วยอันตรายคงมีมาถึงแก่เราเป็นแน่แท้ ครั้นจะไม่ให้ไปก็จะมีความน้อยใจ จำจะต้องเอาตัวเอียนเช็งไปด้วยจะได้ช่วยทัดทานเตือนสติลีขุยมิให้ทำการหยาบช้า คิดแล้วจึงให้เอียนเช็ง ลีขุยแยกกันไปทางหนึ่ง ซ้องกั๋งกับพี่น้องร่วมใจสิบคนออกจากเขาเนียซัวเปาะไปถึงเมืองหลวงพร้อมกันสำนักอยู่ ณ โรงเตี๊ยม

ซ้องกั๋งจึงว่าเรามาถึงวันนี้เป็นวันสิบเอ็ดค่ำ การเล่นยังไม่มีพร้อมพวกเราพักอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ก่อน ต่อเมื่อถึงวันสิบห้าค่ำจึงเข้าไปดู ชาจินว่าเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้ากับเอียนเช็งจะขอลาท่านเข้าไปในเมืองดูท่าทางเข้าออกไว้ ถ้ามีเหตุประการใดเกิดขึ้นจะได้แก้ตัวง่าย ซ้องกั๋งก็เห็นชอบด้วย ชาจินกับเอียนเช็งก็คำนับลาเดินไปตามทาง พวกขุนนางและราษฎรมิได้มีความสงสัย สำคัญว่าพ่อค้า ชาจิน เอียนเช็ง เที่ยวดูจนถึงประตูพระราชวังชั้นนอก เห็นขุนนางเดินเข้าออกไปมามาก ชาจิน เอียนเช็งเข้าไปข้างในประตู เห็นมีโรงเตี๊ยมใหญ่ก็ขึ้นไปนั่งหยุดพัก ชาจินเยี่ยมหน้าต่างดู เห็นคนประมาณยี่สิบเศษสวมใส่เสื้อแพรขาว ใส่หมวกลายมีดอกไม้ทองใบเขียวเสียบไม้บนหมวก เดินมาตามถนน ก็คิดสงสัยด้วยเห็นแต่งตัวประหลาด อยากจะใคร่รู้เหตุ จึงกระซิบบอกอุบายให้เอียนเช็ง ๆ ก็รีบลงไป เห็นคนหนึ่งท่วงทีเป็นผู้ดีมีอายุมากพอจะล่อถามเอาความจริงได้ จึงตรงเข้าไปคุกเข่าลงคำนับ แล้วถามว่าท่านนี้แซ่เตี้ยหรือ

ชายผู้นั้นบอกว่าเราแซ่ฮอง เอียนเช็งทำตกใจแล้วว่า ท่านแซ่ฮองจริง ข้าพเจ้าถามผิดไปขอโทษเสียเถิด บัดนี้นายข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนกับท่าน ให้เชิญขึ้นไปบนโรงเตี๊ยม ชายผู้นั้นพาซื่อก็ขึ้นไป ชาจินต้อนรับแล้วถามว่า ท่านกับเราเมื่อยังเป็นทารกเล่นคะนองเคยเล่นด้วยกันมิได้ขาดแต่จากกันมานานแล้ว เราเห็นท่านเดินมาจำรูปร่างได้ แต่ชื่อลืมไปจึงให้คนใช้เชิญมาหวังจะสนทนากัน ท่านยังจำเราได้หรือเปล่า

ชายผู้นั้นตอบว่า เราแซ่ฮอง ชื่อกวนชัด ท่านแปลกไปจำไม่ได้อย่าถือโทษเลย ชาจินจึงว่าเราได้พบกับท่านวันนี้มีความยินดีนักเชิญมานั่งข้างในเถิด แล้วให้เอียนเช็งไปซื้อสุราและกับแกล้มมาชวนกวนชัดเสพสุราด้วยกัน ชาจินจึงถามกวนชัดว่า ตัวท่านและพวกที่เดินมานั้นมีดอกไม้ทองแซมบนหมวกทุกคนนั้นเพื่อประสงค์อย่างไร กวนชัดตอบว่าพระเจ้าซ้องฮุยจงตั้งพิธีครั้งนี้เป็นการใหญ่ เกรงผู้คนจะแปลกปลอมเข้ามาทำอันตราย จึงโปรดตั้งพวกเรายี่สิบสี่คนเป็นผู้ตรวจในพระราชวังและภายนอกพระราชฐาน แลหมวกดอกไม้ทองกับหนังสือป้ายแขวนคอไม้ทุกคน เพื่อจะให้ขุนนางและราษฎรรู้ว่าเป็นผู้ตรวจ ชาจินได้ฟังกวนชัดบอกความจริงก็ยินดี จึงพิเคราะห์ดูหนังสือป้ายในกระดานที่แขวนคอกวนชัด เห็นอักษรว่าอือหมินตั้งลัก แปลว่าเป็นการสนุกด้วยกันกับราษฎร ชาจินคิดว่าถ้าเราได้เครื่องแต่งตัวและหนังสือป้ายของกวนชัดมาแต่งตัว เราก็จะไปมาได้ทั้งข้างในและข้างนอก จึงพยักหน้าเรียกเอียนเช็งเข้าไปใกล้กระชิบสั่งให้เอียนเช็งเอายาเมาใส่ลงในจอกสุรา กวนชัดเห็นชาจินพูดจาซุบซิบกับเอียนเช็งก็มีความสงสัยนักจึงถามว่าท่านพูดจากันด้วยธุระสิ่งใด ชาจินแกล้งบอกว่ากับแกล้มและสุราเกือบจะหมดให้จัดหามาเพิ่มเติมอีก กวนชัดได้ฟังก็สิ้นสงสัย

ฝ่ายเอียนเช็งไปจัดหากับแกล้มมาเพิ่มเติมลงพอสมควร แล้วรินสุราเอายาใส่ ส่งให้กวนชัด ๆ รับสุรามาดื่มก็มัวเมาล้มหลับอยู่บนเก้าอี้ ชาจินจึงเปลื้องเสื้อหมวกของกวนชัดมาสวมกาย เอากระดานป้ายแขวนคอเสร็จแล้วสั่งเอียนเช็งให้อยู่เฝ้ากวนชัด ถ้าหากว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมจะถามและว่ากล่าวประการใด จงพูดจาแก้ไขไปโดยควรกว่าเราจะกลับมา สั่งแล้วก็รีบเดินเข้าไปในพระราชวัง ขุนนางเจ้าพนักงานเห็นชาจินเดินไปมาก็ไม่สงสัย สำคัญว่าผู้ตรวจ ชาจินเที่ยวดูเก๋งพระที่นั่งต่างๆ เห็นที่ข้างในล้วนแล้วไปด้วยแก้วและทอง เสาผนังและฝาเพดานก็เขียนเป็นลวดลายงดงาม ชาจินเที่ยวชมไปจนถึงพระที่นั่งหยวยซือโต้วเป็นที่ทรงพระอักษร และในห้องนั้นมีฉากใหญ่จารึกแผนที่พงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ ชาจินเดินอ้อมเข้าไปในหลังฉาก เห็นจารึกไว้สี่ข้อ ข้อหนึ่งว่า ซ้องกั๋งตั้งกองซ่องสุมเป็นโจรอยู่แขวงเมืองซัวตัง ทิศตะวันออกกองหนึ่ง ข้อสองว่า อองเข่งตั้งกองโจรอยู่เมืองฮวยไซ ทิศตะวันตกกองหนึ่ง ข้อสามว่า ซันโฮ้วตั้งกองโจรอยู่เมืองฮ่อปัก ทิศเหนือกองหนึ่ง ข้อสี่ว่า ฮองละตั้งกองโจรอยู่เมืองกังหนำ ทิศใต้กองหนึ่ง ชาจินเห็นจดหมายออกชื่อซ้องกั๋งก็โกรธ จึงเอากระบี่แหวะกระดาษที่จดหมายชื่อซ้องกั๋งออกซ่อนไว้ในมือเสื้อรีบกลับมาโรงเตี๊ยมที่พัก เห็นกวนชัดยังนอนหลับอยู่ ครั้นจะแก้ไขให้ตื่นก็กลัวความจะฟุ้งซ่านจึงให้เอียนเช็งเรียกเจ้าของโรงเตี๊ยมมาคิดเงินค่าสิ่งของให้ครบแล้วสั่งว่า เสื้อและหมวกกระดานป้ายของกวนชัดนี้ท่านจงรักษาไว้ถ้ากวนชัดสร่างเมาขึ้นแล้วจงเอาของทั้งหมดนี้มอบให้

เจ้าของโรงเตี๊ยมถามว่า ทำไมท่านจึงเปลื้องเอาเครื่องแต่งตัวของกวนชัดไว้ ชาจินบอกว่าเรากับกวนชัดเป็นพี่น้องกัน กวนชัดดื่มสุราเมาไปตรวจการไม่ได้ เราจึงเอาเครื่องแต่งตัวของกวนชัดมาใส่ไปตรวจการแทน บัดนี้เรามีธุระจะรีบไปก่อน แล้วก็ชวนเอียนเช็งลงจากโรงเตี๊ยมไป

ฝ่ายกวนชัด ครั้นฤทธิ์ยาเสื่อมก็ได้สติตื่นขึ้นมา ไม่เห็นเสื้อหมวกและกระดานป้ายก็ตกใจ จึงถามเจ้าของโรงเตี๊ยมว่าชายสองคนที่กินสุราอยู่ด้วยกับเรานั้นไปข้างไหน เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าชายสองคนนั้นไปแล้วได้เอาเสื้อและหมวกฝากเราไว้ให้แก่ท่าน กวนชัดได้ฟังก็มีความวิตกยิ่งนักแล้วเอาเสื้อและหมวกมาสวมรีบเข้าไปในพระราชวัง เที่ยวตรวจการและสิ่งของในพระที่นั่ง เห็นกระดาษลายพระหัตถ์จารึกชื่อซ้องกั๋งนั้นเป็นรอยกระบี่แหวะหายไป จึงคิดว่าชะรอยคนที่ชวนเราดื่มสุราปลอมเข้ามาลักเอาหนังสือไปเป็นมั่นคง ครั้นจะแจ้งแก่ขุนนางผู้ใหญ่เล่าตัวเราก็คงจะไม่พ้นความผิด คิดแล้วก็นิ่งความไว้

ฝ่ายชาจินกับเอียนเช็งพากันมาถึงโรงเตี๊ยมนอกเมืองซึ่งซ้องกั๋งกับทหารพักอยู่ก็เอาหนังสือส่งให้แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ ซ้องกั๋งรับหนังสือมาอ่านแจ้งความแล้วก็มิได้พูดประการใด ครั้นถึงวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลากลางคืน ซ้องกั๋งกับทหารก็พากันปลอมเข้าไปในเมืองแล้วต่างคนก็แยกทางไป แต่ลีขุยนั้นซ้องกั๋งให้อยู่เฝ้าสิ่งของ ณ โรงเตี๊ยม ซ้องกั๋งกับเอียนเช็ง ชาจิน ไตจงเดินมาตามถนนเห็นตึกใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เพดาน ซุ้มหน้าต่าง ประตูและมู่ลี่ล้วนแล้วไปด้วยสีเขียวท่วงทีดีกว่าตึกอื่น มีอักษรเขียนเป็นคำโคลงว่า หญิงคนขับร้องเพราะวิเศษกว่ามนุษย์ เปรียบเหมือนนางสวรรค์ ซ้องกั๋งนึกสงสัยจึงแวะเข้าไปในโรงขายน้ำชาริมตึกถามว่านี่ตึกของผู้ใด เจ้าของร้านน้ำชาบอกว่าตึกนางหลีซือซือ เป็นหญิงงามรูปร่างดีมีราคามาก ถ้าชายบรรดาศักดิ์ต่ำน้อยทรัพย์ไม่อาจขึ้นไปสนทนาด้วย ต่อขุนนางและเศรษฐีจึงได้มาหาสู่ จะพูดจาขับร้องเป็นที่ชอบใจชาย ถึงพระเจ้าซ้องฮุยจงก็เสด็จมาทรงพระสำราญเนืองๆ

ซ้องกั๋งได้ฟังเจ้าของนํ้าชาบอกและสรรเสริญรูปร่างนางหลีซือซือก็นึกรัก จึงให้เอียนเช็งขึ้นไปสืบถามให้ได้ความว่าราคามากน้อยเท่าใด เอียนเช็งรับคำแล้วรีบขึ้นไปบนตึกถามหญิงคนใช้ว่านางหลีซือซืออยู่หรือ จงเชิญให้ออกมาหาเราสักหน่อย หญิงคนใช้ตอบว่าซึ่งจะให้เราเข้าไปบอกให้ออกมาหาเจ้านั้นไม่ได้ ด้วยนางรูปงาม แม้นชายใดจะใคร่เห็นต้องเสียเงินจึงจะได้ เจ้าจะให้ออกมานั้นมีเงินให้หรือ เอียนเช็งตอบว่าเราเป็นลูกจ้างของท่านพ่อค้าใช้มาเป็นสื่อเราจะเอาเงินที่ไหนให้ หญิงคนใช้จึงว่า ถ้าท่านพ่อค้าใช้มาแล้วเราจะเข้าไปบอกนางหลีมาม้าผู้มารดานางหลีซือซือออกมาพูดกับเจ้าจึงจะควร หญิงคนใช้ก็เข้าไปบอกนางหลีมาม้าออกมา

เอียนเช็งคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเตียเอยเป็นบุตรเตียอิด แต่ไปจากบ้านนี้ช้านานเที่ยวรับจ้างขายของอยู่เมืองซัวตังเมืองกังหนำเมืองฮ่อปัก บัดนี้ท่านพ่อค้านายข้าพเจ้ามาขายของในเมืองหลวง พอมีการนักขัตฤกษ์จึงยังไม่กลับไป ข้าพเจ้าทราบว่านางหลีซือซือบุตรของท่านรูปร่างงดงาม เสียงไพเราะขับร้องก็ดีกว่าคนทั้งปวง ท่านพ่อค้ามีความรักใคร่อ้อนวอนข้าพเจ้าว่าถึงจะเสียทองคำสักร้อยตำลึงก็ไม่เสียดาย ขอให้พบเห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจึงพามา บัดนี้ท่านพ่อค้าพักอยู่โรงนอกให้ข้าพเจ้าขึ้นมาแจ้งความเป็นทางไมตรีก่อน

นางหลีมาม้าได้ฟังเอียนเช็งบอกชื่อและแซ่ สำคัญว่าเป็นคนในเมืองหลวงชักพ่อค้ามาแต่บ้านนอกจริง จึงคิดว่าครั้งนี้ลาภใหญ่มาถึงบุตรเราเป็นแน่แท้ คิดแล้วจึงสั่งเอียนเช็งว่าเจ้าจงไปบอกพ่อค้าให้ขึ้นมาพักอยู่บนตึกนี้ก่อน ซึ่งจะไปอยู่ที่โรงขายน้ำชานั้นไม่สมควร แล้วลุกเข้าไปในห้องนางหลีซือซือ เอียนเช็งก็กลับไปนำซ้องกั๋ง ชาจิน ไตจงขึ้นไปบนตึก หญิงคนใช้ออกมาต้อนรับ เชิญนั่งพักอยู่ข้างนอก

ฝ่ายนางหลีมาม้าเข้าไปบอกนางหลีซือซือว่า ชายพ่อค้าบ้านนอกจะมาหาเจ้า พูดจาโน้มน้าวให้หลงด้วยกลแล้วจะต้องการเงินทองสักเท่าใดก็จะสมความปรารถนา เดี๋ยวนี้มาคอยอยู่ข้างนอก นางหลีซือซือรับคำแล้วมาจัดแจงแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มอย่างดี เสร็จแล้วออกมานั่งอยู่กลางห้องให้หญิงคนใช้ออกไปเชิญเข้ามา ซ้องกั๋งก็เข้าไปแต่ผู้เดียว นางหลีซือซือก็ต้อนรับเป็นอันดี แล้วเอามือตบลงบนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ซ้องกั๋งเห็นนางหลีซือซือรูปร่างงามก็มีใจรักมาก จึงพูดว่า เราเป็นพ่อค้ามาทางไกลกันดารนักด้วยอาหารและสิ่งของที่ชื่นอารมณ์ ได้ยินเขาเล่าลือว่าเจ้าขับร้องเสียงไพเราะรูปงามกว่าหญิงทั้งปวง จึงอุตส่าห์สืบเสาะมาได้พบก็เป็นบุญของเรานักหนา ซึ่งเรามาทั้งนี้มีความปรารถนาจะใคร่รู้จักเป็นไมตรีกันไปวันหน้ากว่าจะสิ้นชีวิต

นางหลีซือซือว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นกำพร้าหาบิดามิได้ ก็หวังใจจะหาที่พึ่ง ซึ่งท่านมีใจเมตตานั้นขอบคุณเป็นอันมาก จึงให้หญิงคนใช้ยกนํ้าชามาเลี้ยง นางหลีซือซือก็รินคำนับส่งให้ซ้องกั๋งรับมาแล้วก็พูดจาเล้าโลมในเชิงเสน่หาปฏิพัทธ์

ขณะนั้นหญิงคนใช้เข้ามาบอกนางหลีซือซือว่า พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาประทับอยู่ที่หน้าตึก นางหลีซือซือได้ฟังแสร้งทำเป็นตกใจแล้วว่าข้าพเจ้าได้สนทนาด้วยท่านวันนี้ก็เป็นบุญแล้ว กลับมีกรรมมาแทรกแซงอีกเล่า ตัวข้าพเจ้าจะต้องจากท่านไปรับเสด็จ ครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยเป็นพระมหากษัตริย์

พูดแล้วทำเป็นร้องไห้เช็ดน้ำตาลุกเข้าไปคำนับ ซ้องกั๋งจึงยุดชายเสื้อนางหลีซือซือไว้แล้วว่า คำของเราที่ได้สัญญาไว้เจ้าอย่าได้ลืม นางหลีซือซือตอบว่าถ้อยคำของท่านนั้นข้าพเจ้าแหวกใส่ไว้ระหว่างผม เชิญท่านกลับไปก่อนพรุ่งนี้จึงค่อยมาพบกันอีก ซ้องกั๋งก็ลุกเดินออกจากห้อง ชวนชาจิน เอียนเช็ง ไตจงลงจากตึกเดินเที่ยวดูงานต่อไป พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งจึงพากันขึ้นไปจะซื้อสุรากิน เจ้าของโรงเตี๊ยมก็จัดโต๊ะและสุรามาให้ เมื่อซ้องกั๋งกับชาจิน เอียนเช็ง ไตจงเสพสุราอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนในห้องร้องเพลงข้อหนึ่งว่า “เกิดมาเป็นชายชาติทหารได้ฝึกหัดเพลงอาวุธและร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามไว้ชำนิชำนาญ ต้องคิดการให้สมกับความรู้” ข้อสองว่า “วิชาเรียนไว้ยังไม่ได้สำแดงให้ปรากฏแก่คนทั้งปวง” ข้อสามว่า “ถือกระบี่วิเศษยาวถึงสามศอกแล้ว ยังไม่ได้เกลือกกลั้วโลหิตคนคด” ข้อสี่ว่า “ถ้าตัดศีรษะพวกกังฉินเสียบประจานได้แล้วจึงจะมีความสุข” ซ้องกั๋งได้ฟังคำเพลงกล่าวหลักแหลมก็เดินเข้าไปในห้องจะดูให้รู้จักหน้า เห็นมกหอง ซือจินเสพสุราเมาร้องเพลงก็ตกใจ จึงกระซิบบอกว่าท่านเมาสุราร้องเพลงดังนี้ ถ้าขุนนางข้าราชการได้ยินจะเกิดความขึ้น จงรีบกลับไปโรงเตี๊ยมโดยเร็ว ซ้องกั๋ง ชาจิน เอียนเช็ง ไตจงก็พามกหอง ซือจินกลับมาโรงเตี๊ยมที่สำนักนอกเมือง ครั้น ณ วันสิบห้าค่ำเวลากลางคืน ซ้องกั๋ง ชาจิน เอียนเช็ง ไตจง ชวนกันจะเข้าไปเที่ยวดูงานในเมือง

ลีขุยจึงว่า เราตั้งใจมาด้วยหมายจะได้ดูงานเล่นบ้าง ท่านทั้งหลายจะใช้ให้เฝ้าของอยู่โรงเตี๊ยมเหมือนลูกจ้างเราไม่ยอม วันนี้จะไปเที่ยวบ้าง ซ้องกั๋งว่าถ้าท่านสงบปากสะกดใจได้เราจึงจะให้ไปด้วย ลีขุยรับคำแล้วก็เอาสิ่งของฝากเจ้าของโรงเตี๊ยมไว้ ลีขุยเดินมากับซ้องกั๋ง ๆ สั่งเอียนเช็งคอยห้ามปรามตักเตือนลีขุย ครั้นมาถึงตึกนางหลีซือซือ ซ้องกั๋งจึงให้เอียนเช็งเอาทองคำหนักร้อยตำลึงขึ้นไปให้ นางหลีซือซือเห็นเอียนเช็งมาก็ดีใจออกไปต้อนรับแล้วถามว่าท่านพ่อค้ามาด้วยหรือ เอียนเช็งบอกว่าท่านพ่อค้ามาพักอยู่ที่เชิงบันได ใช้เราเอาทองคำร้อยตำลึงมาให้ นางหลีซือซือเห็นทองคำก็มีความยินดีมาก แต่ปากพูดว่าไม่พอที่จะวุ่นวาย ถึงได้แล้วแหวนเงินทองเท่าใดก็ไม่ยินดี เรารักนํ้าใจท่านพ่อค้ามากกว่าสิ่งของทั้งปวงสักร้อยเท่า ว่าแล้วก็ลงมาต้อนรับคำนับเชิญให้ขึ้นไปบนตึก ซ้องกั๋งกับชาจิน ไตจงก็ตามขึ้นไป ให้ลีขุยอยู่เฝ้าประตู นางหลีซือซือสั่งหญิงคนใช้ให้แต่งโต๊ะมา แล้วเชิญซ้องกั๋งกับพวกที่มาให้กินโต๊ะ นางหลีซือซือกระทำปฏิบัติรินสุราให้ซ้องกั๋ง แล้วขับร้องให้ฟังเป็นเพลงต่างๆ ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาอีก หญิงคนใช้เข้าไปบอก นางหลีซือซือจึงสั่งให้ซ้องกั๋งกับพวกซ่อนตัวอยู่ในห้องเฟี้ยม นางหลีซือซือก็ลงไปรับเสด็จ

ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่ออยู่ในห้องมองดูตามช่องฝาเฟี้ยม เห็นพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมา ประกอบด้วยยศศักดิ์เป็นสง่างามก็มีความรักใคร่กตัญญูคิดถึงพระคุณพระมหากษัตริย์ จึงปรึกษาชาจินว่าตัวเราไม่ทำราชการออกตั้งกองโจรทั้งนี้จะได้เป็นกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดินนั้นหามิได้ เพราะคิดจะแก้แค้นขุนนางพวกกังฉินให้ถึงขนาด พระองค์ไม่ทรงทราบ สำคัญพระทัยว่าพวกเราเป็นกบฏ ทรงเชื่อฟังแต่ถ้อยคำพวกกังฉินทูลยุยง เราคิดจะทำเรื่องราวลุกะโทษสำแดงความจริงในใจถวายให้ทรงทราบ แม้นทรงพระเมตตาให้เราเข้าทำราชการจะเอาความสัตย์และความเพียรสนองพระคุณโดยสุจริต เห็นจะโปรดพระราชทานยศศักดิ์ให้แก่เราเป็นมั่นคง ท่านจะเห็นประการใด

ชาจินตอบว่า ในระหว่างนี้ขุนนางพวกกังฉินยังมีมาก ถึงจะทำเรื่องราวถวายความจริง พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงพระเมตตาแก่ท่าน แต่พวกกังฉินก็จะเอาเหตุต่างๆ มากราบทูลทัดทาน การที่คิดไว้คงไม่สมปรารถนา ถ้าทรงกินแหนงในพระทัยไม่โปรดแล้ว ความทุกข์จะเกิดขึ้นต่างๆ ประการหนึ่งเราเข้ามาในเมืองหลวงครั้งนี้ด้วยการสนุก ซึ่งจะตรึกตรองความสุขุมนั้นเห็นไม่ตลอดของดไว้ก่อน ซ้องกั๋งได้ฟังชาจินทัดทานก็เห็นจริงไม่ตอบประการใด

ฝ่ายลีขุยซึ่งซ้องกั๋งให้เฝ้าประตูตึกอยู่นั้น คิดน้อยใจว่าเรามาปรารถนาจะดูงาน ซ้องกั๋งไม่ให้ไป ใช้เฝ้าของอยู่โรงเตี๊ยมนอกเมืองครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้ได้เข้ามาในเมือง กลับให้เฝ้าประตูตึกอีก ก็มีความแค้นซ้องกั๋งเป็นอันมากไม่รู้ที่จะทำประการใด เอามือทุบอกชกศีรษะของตัวจนฟกชํ้าหลายแห่ง

ขณะนั้นเอียไซอ้วยขุนนางฝ่ายทหารทราบว่า พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาถึงตึกนางหลีซือซือ จึงรีบไปรับเสด็จเดินอ้อมขึ้นทางประตูที่ลีขุยเฝ้า เห็นลีขุยยืนแอบประตูอยู่ก็ตกใจตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้คนนี้เป็นพวกผู้ใด บังอาจมายืนอยู่ในที่ล้อมวง ลีขุยได้ฟังไม่ตอบประการใด ยกเก้าอี้ฟาดเอาเอี้ยไซอ้วยถูกศีรษะล้มลง ไตจงเห็นจะมาห้ามก็ไม่ทัน พวกบ่าวเอี้ยไซอ้วยเข้ากลุ้มรุมช่วยนาย ลีขุยเอาเก้าอี้รับป้องปัดฟาดตีถูกบ่าวเอี้ยไซอ้วยแตกกระจายไป เมื่อเอี้ยไซอ้วยกับลีขุยวิวาทกันนั้นอื้ออึง พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ยินก็รีบเสด็จกลับเข้าพระราชวัง ผู้คนก็แตกตื่นเป็นอลหม่าน ซ้องกั๋ง ชาจิน เอียนเช็ง ไตจงก็หนีลงจากตึกออกไปนอกเมือง

ฝ่ายลีขุยไม่เห็นพวกของตัวมาช่วยยิ่งมีโทโสมากขึ้น จึงเอาเชื้อเพลิงจุดไฟเผาตึกนางหลีซือซือ เพลิงก็ไหม้ตึกและโรงราษฎรติดเนื่องกันไป ชาวเมืองช่วยกันดับเพลิงเป็นอลหม่าน

ฝ่ายกอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เห็นเพลิงไหม้ราษฎรแตกตื่นระส่ำระสายก็รีบพาทหารกองตระเวนมาช่วยดับเพลิง พบลีขุยเห็นแปลกหน้ากิริยาผิดประหลาด สังเกตดูไม่ใช่ชาวเมืองหลวงก็สงสัย กอไทอวยสั่งทหารให้จับตัวให้จงได้ ลีขุยเห็นดังนั้นก็เข้าแย่งชิงเอาไม้พลองและอาวุธของพวกทหารไล่ฆ่าฟันถอยร่นไป ขุนนางกับราษฎรคุมกันพวกๆ ยกหนุนมาช่วยกอไทอวยอีกหลายกอง ลีขุยเห็นเหลือกำลัง สู้พลางหนีพลางมาตามถนน พอพบซือจิน มกหองก็เข้าช่วยต่อสู้ตะลุมบอน

ฝ่ายลูตีซิม บู๊สงรู้ความก็รีบมาช่วยต่อสู้เป็นสามารถ ฝ่ายโงวหยงที่ปรึกษาซึ่งซ้องกั๋งให้อยู่รักษาค่าย ณ เขาเนียซัวเปาะ ตั้งแต่ซ้องกั๋งพาพี่น้องไปเที่ยวดูงานในเมืองหลวงก็วิตกเป็นอันมาก จึงสั่งกวนเส็ง ฉินเหม็ง ลิมชอง อูเอียนเจียก ตังเผ็ง ห้านายให้คุมกองทัพตามมา ครั้นถึงเมืองตังเกียพบซ้องกั๋งกับพี่น้องสามคน ห้านายก็เข้าไปคำนับแล้วแจ้งความว่าโงวหยงให้ข้าพเจ้ามารับท่านกลับไปค่าย ซ้องกั๋งจึงสั่งเอียนเช็งว่า ท่านอย่าเพิ่งไปด้วยเราเลยจงรอคอยฟังข่าวลีขุยอยู่ที่นี่ก่อน สั่งแล้วรีบกลับไป ณ เขาเนียซัวเปาะ เอียนเช็งก็รอคอยลีขุยอยู่ตามคำซ้องกั๋งสั่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ