๖๑

โงวหยงซินแสได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ทำไมท่านจึงมาพูดดังนี้ ถ้าอยากจะได้โลวจุนหงีมาอยู่ด้วยนั้นไม่ผู้ยากนัก ซ้องกั๋งพูดว่าโลวจุนหงีคนนี้สติปัญญาดีฝีมือก็เข้มแข็งมีทรัพย์สินบริบูรณ์ จัดเป็นคนอย่างเอกอยู่ในเมืองปักเกีย ทำประการใดจึงจะได้โลวจุนหงีมาเป็นพวกพ้อง โงวหยงซินแสว่า ท่านอย่าวิตกเลยข้าพเจ้าจะคิดอุบายล่อลวงโลวจุนหงีมาอยู่ด้วยกันให้จงได้ โงวหยงก็กระซิบบอกอุบายให้ซ้องกั๋งฟัง แล้วจึงพูดว่า ถ้าข้าพเจ้าไปถึงพูดจาสองสามคำก็คงได้ตัวโลวจุนหงีมา เปรียบเหมือนของอยู่ในหีบหยิบได้โดยง่าย แต่จะต้องจัดเอาพวกพ้องที่มีสติปัญญาไปด้วยสักคนหนึ่ง

ลีขุยจึงพูดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะไปเป็นเพื่อนท่านซินแสสักครั้ง ซ้องกั๋งว่าถ้าแม้นจะไปตีปล้นฆ่าฟันผู้คนเอาไฟเผาบ้านเรือนก็ต้องให้เจ้าไป ด้วยใจคอของเจ้าผิดกว่าเขาทั้งปวงจะไปที่ไหนได้ ลีขุยว่าทุกครั้งทุกทีมีแต่ติเตียนว่าข้าพเจ้ารูปร่างไม่ดี หน้าตาเหมือนกับปิศาจ บัดนี้ยังกลับพูดล่อลวงต่างๆ ไม่ให้ข้าพเจ้าไป ซ้องกั๋งว่าจะพูดล่อลวงทำไม เมืองปักเกียนั้นมีขุนนางและทหารมากถ้าเห็นเจ้าคงจำได้ จะจับเอาตัวไปทำโทษชีวิตของเจ้ามิตายเสียเปล่าหรือ ลีขุยว่า ข้อนั้นไม่เป็นไร ถ้าข้าพเจ้าไม่ไปผู้อื่นก็ไม่ถูกใจท่านซินแส โงวหยงจึงพูดกับลีขุยว่า ถ้าน้องเชื่อฟังถ้อยคำห้ามสามข้อแล้วจึงจะไปด้วยกันได้ ลีขุยว่า ทำไมกับการสามข้อ ถึงสักสิบข้อก็ยอมเชื่อฟังทั้งสิ้น โงวหยงซินแสว่าข้อหนึ่งห้ามไม่ให้เสพสุรากลับมาจึงค่อยกิน ข้อสองเดินไปตามทางไม่ให้วิวาททุบตีกับผู้ใด ถ้าใช้จึงค่อยทำ ข้อสามไม่ให้พูดจา ถ้าเชื่อฟังการสามข้อได้จึงจะให้ไปด้วย ลีขุยว่าข้อที่ห้ามไม่ให้เสพสุรานั้นได้ แต่ข้อที่ไม่ให้พูดจาเหมือนกลับแกล้งฆ่าให้ตาย โงวหยงซินแสว่า ถ้าเจ้าพูดขึ้นก็คงเกิดความ ลีขุยว่าถ้ากระนั้นปากต้องคาบอีแปะไว้จึงจะพูดไม่ได้ บรรดาพี่น้องทั้งปวงก็ชวนกันหัวเราะทุกคน แล้วจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกัน ณ ตงงิตึงที่ชุมนุม เสร็จแล้วหลวงจีนเจ้าวัดก็ลาไป

ครั้นรุ่งขึ้นเช้าโงวหยงซินแสจัดเงินทองสิ่งของใส่ห่อผ้า ให้ลีขุยแต่งตัวเป็นศิษย์ ลาซ้องกั๋งกับพี่น้องทั้งปวงออกจากเขาเนียซัวเปาะ เดินทางไปหลายวันจนถึงปักเกีย ก็เข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง ลีขุยนั้นเชื่อถ้อยคำของโงวหยงแกล้งทำเป็นใบ้ ไม่ได้พูดจามาหลายวันเหลือที่จะอดได้ เวลาเย็นวันนั้นลีขุยจัดอาหารกินอยู่ที่หลังโรง ทุบตีเอาเซียวยี่เจ้าของโรงเตี๊ยมจนโลหิตไหลเจียนตาย เซียวยี่เจ้าของโรงก็มาฟ้องกับโงวหยงซินแส

โงวหยงแจ้งความก็ตกใจ จึงอ้อนวอนเซียวยี่เจ้าของโรงแล้วเอาเงินทำขวัญให้หลายตำลึง โงวหยงโกรธลีขุยยิ่งนักเรียกเข้าไปในห้องว่าเจ้าจะมาหาความตายให้ผู้อื่นด้วยหรือ ห้ามปรามเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง เวลาวันนี้จะเข้าไปเมืองปักเกียจะพาเอาชีวิตเราไปตายเสียด้วยดอกกระมัง

ลีขุยว่า ข้าพเจ้าเหลือทนจึงได้ทุบตีเอาเซียวยี่ ตั้งแต่นี้ไม่ทำต่อไป โงวหยงซินแสว่าจะสัญญาไว้ใหม่ ถ้าเข้าไปในเมืองเห็นเราสั่นศีรษะแล้วจงเชื่อฟังอย่าได้ทำวุ่นวาย ลีขุยก็รับคำ โงวหยงจึงแต่งตัวนุ่งห่มเหมือนกับซินแสหมอดู ลีขุยเป็นศิษย์หาบสิ่งของกับธงเทียนหนังสือปักอยู่ ใจความว่า “หมอดูคนนี้แม่นยำนัก ผู้ใดจะหาดูราคาเงินตำลึงหนึ่ง” เดินตามโงวหยงซินแสตรงเข้าไปประตูเมืองข้างทิศเหนือ

ในขณะนั้นบ้านเมืองไม่เป็นสุขโจรผู้ร้ายชุกชุม เนียตงซีผู้รักษาเมืองจึงจัดเอาขุนนางนายทหารที่เข้มแข็งมาตั้งรักษาตรวจตราอยู่แถวประตูกำแพงเมืองทุกแห่งทุกตำบลเป็นกวดขัน ฝ่ายโงวหยงซินแสกับลีขุยไปถึงประตูเมืองเห็นนายทหารผู้หนึ่งกับทหารเลวนั่งรักษาประตูอยู่ประมาณห้าสิบคน โงวหยงตรงเข้าไปยกมือขึ้นคำนับ พวกทหารเห็นก็สำคัญว่าเป็นหมอดู จึงถามว่า “ซิวไจ๋” (แปลว่าผู้เล่าเรียนหนังสือ) มาแต่ข้างไหน โงวหยงซินแสแกล้งบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่เตียชื่อหยง ศิษย์ของข้าพเจ้านั้นแซ่ลี้ เป็นหมอดูเที่ยวไปตามหัวเมืองต่างๆ ครั้งนี้ข้าพเจ้าเที่ยวมาถึงเมืองปักเกียอยากจะใคร่เข้าไปดูไข้พวกในเมือง พูดแล้วก็หยิบเอาตำราออกให้ดู พวกทหารก็ไม่ว่ากล่าวสิ่งใด เห็นลีขุยหน้าดำรูปร่างสูงใหญ่ก็ชวนกันพูดว่าศิษย์คนนี้หน้าตาเหมือนกับโจร

ลีขุยได้ฟังก็โกรธขยับจะเข้าทุบตีพวกทหาร โงวหยงซินแสเห็นก็สั่นศีรษะ ลีขุยจึงก้มหน้านิ่งอยู่ โงวหยงพูดกับนายทหารที่รักษาประตูว่า ศิษย์ของข้าพเจ้านี้เป็นใบ้พูดจาไม่ได้ หูก็หนวก มีแต่แรงหาบสิ่งของเท่านั้น เห็นว่าเป็นศิษย์ดั้งเดิม เสียไม่ได้ก็เอามาด้วยแต่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ขออภัยท่านทั้งปวงเถิดอย่าถือโทษเลย พูดแล้วก็ลาพวกทหารเข้าประตูเดินไปถึงแถวตลาดในเมืองปักเกีย โงวหยงซินแสก็ถือลูกพรวนกับตำราสั่น แล้วก็ร้องเพลงเป็นคำโคลงใจความว่า “เดิมกำโลวอายุถึงสิบสองปีเป็นถึงเซ็งเซียนขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการในแผ่นดิน เกียงจูแหยนั้นอายุแปดสิบปีจึงได้เป็นกุนซือขุนนางผู้ใหญ่ ฮวมตันนั้นขัดสนจนไม่มีจะกิน เจียะฉองมั่งมีทรัพย์สินเงินทองจนชื่อเสียงปรากฏ ก็เป็นเพราะปีเดือนวันคืนเวลาเมื่อจะเกิดประจำตัวมา ขัาพเจ้าเป็นหมอดูก็ล่วงรู้การทั้งปวง จะมีวาสนาหรือทรัพย์สินเงินทองและจะยากจนก็รู้อยู่ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดจะดูก็เอาเงินตำลึงหนึ่งมาก่อนจึงจะดูให้” เดินร้องไปตามแถวตลาดจนถึงหน้าบ้านโลวจุนหงี เด็กชาวบ้านแถวนั้นประมาณเจ็ดสิบคนเห็นหมอดูมา เดินร้องอยู่ก็ชวนกันตามฟังไป

ฝ่ายโลวจุนหงีเป็นคนมีสติปัญญาดี ฝีมือเข้มแข็งมั่งมีทรัพย์สินชื่อเสียงปรากฏมาก คนทั้งปวงเรียกว่าโลวอวนเงยเศรษฐี เวลานั้นเศรษฐีโลวจุนหงีออกมานั่งดูเสมียนคิดบัญชีเงินรายได้เข้าออกอยู่ที่หน้าตึก ได้ยินเสียงเด็กอื้ออึงที่หน้าบ้านก็ให้คนใช้ออกมาดู เห็นหมอดูเดินร้องอยู่ก็เข้ามาแจ้งความให้โลวจุนหงีฟัง โลวจุนหงีจึงพูดว่า หมอดูคนนี้เห็นจะดีนักหนาจึงเที่ยวร้องมาถึงนี่ จงไปเชิญเข้ามา คนใช้ออกไปบอกกับหมอดูว่า ท่านเศรษฐีให้มาเชิญเข้าไปในบ้าน โงวหยงทำเป็นถามว่าท่านเศรษฐีที่ไหน คนใช้บอกว่าชื่อโลวอวนเงยเศรษฐี โงวหยงได้ฟังก็เรียกลีขุย เดินตามคนใช้เข้าไปในบ้าน ให้ลีขุยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ตัวโงวหยงก็เข้าไปคำนับ โลวจุนหงีจึงต้อนรับแล้วถามว่า ท่านหมอดูอยู่บ้านเมืองไหน แซ่ใดชื่อไร

โงวหยงซินแสแกล้งบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่เตียชื่อหยง แต่ผู้คนมักเรียกว่าเทียนเค้า เป็นชาวเมืองซัวตัง เดิมข้าพเจ้าเล่าเรียนตำราหมอดูรู้เป็นตายหรือจะมีวาสนาและทรัพย์สิน จะยากจนก็ย่อมรู้ทั้งสิ้น แต่ต้องเอาเงินตำลึงหนึ่งมาจึงจะดูให้

โลวจุนหงีได้ฟังก็ไม่สงสัย เชิญหมอดูเข้ามาข้างในจัดที่ให้นั่งตามสมควร หยิบเอาเงินตำลึงหนึ่งมาส่งให้แล้วพูดว่า ท่านจงดูข้าพเจ้าจะร้ายดีประการใดบ้าง โงวหยงรับเงินวางไว้ที่บนโต๊ะแล้วถามว่า ท่านปีเดือนวันคืนเวลาใดจงบอกให้ทราบ โลวจุนหงีว่ามิใช่จะถามถึงบุญวาสนาและทรัพย์สินนั้นหามิได้ อยากจะใคร่รู้เคราะห์ดีและร้ายสืบไป ภายหน้าจะได้ป้องกันรักษาตัวต่อไป บัดนี้อายุข้าพเจ้าได้สามสิบสองปี ก็บอกเดือนวันคืนและเวลาโดยละเอียดให้โงวหยงฟัง

โงวหยงหมอดูจับพู่กันหยิบกระดาษมาทำเป็นจดไว้ แล้วคลี่ตำราออกคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำเป็นตกใจสีหน้าสลดลงพูดว่า ไม่ได้การ โลวจุนหงีไม่รู้อุบายก็ตกใจ จึงถามหมอดูว่าเคราะห์ของข้าพเจ้าจะดีร้ายประการใด โงวหยงบอกว่าข้าพเจ้าไม่อาจบอกตามจริงกลัวท่านเศรษฐีจะโกรธ โลวจุนหงีจึงว่าทำไมท่านมาพูดดังนั้น ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนไม่รู้จักทางจึงหาท่านมาแนะนำด้วยอยากจะใคร่รู้ ท่านอย่าเกรงใจจงบอกไปตามจริงเถิด โงวหยงเห็นได้ทีก็แกล้งบอกว่า เคราะห์ท่านร้ายนักเลือดจะตก แล้วจะตายด้วยอาวุธต่างๆ คนในบ้านก็ช่วยท่านไม่ได้

โลวจุนหงีได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่าท่านดูผิดไปดอกกระมัง ข้าพเจ้านี้ก็เกิดที่เมืองปักเกียมั่งมีทรัพย์สินเป็นถึงเศรษฐี ปู่และบิดาก็ไม่มีโทษสิ่งไรเกี่ยวข้อง พี่น้องชายหญิงที่จะทำให้เกิดความก็ไม่มี ตัวข้าพเจ้าจะทำการสิ่งไรก็เป็นยุติธรรม ภัยอันตรายจะมีมาแต่ไหน เคราะห์ของข้าพเจ้าจะร้ายถึงอย่างนั้นเจียวหรือ

โงวหยงได้ฟังก็ทำเป็นโกรธ หยิบเงินตำลึงนั้นส่งให้โลวจุนหงีทำทีจะเดินออกมา แกล้งพูดว่าการงานทุกวันนี้ยากนัก เหมือนกับคนร้ายเอาความชั่วมาให้ท่าน จะลาไปก่อนแล้ว โลวจุนหงีมิได้สงสัยพูดว่าท่านอย่าโกรธเลย ข้าพเจ้าเล่าความให้ฟังดอกใช่จะไม่เชื่อเมื่อไร โงวหยงว่าข้าพเจ้าทายตามจริงชาตาท่านในขณะนี้กำลังขึ้น แต่เคราะห์ร้ายนักไม่พ้นในร้อยวันคงจะได้เห็น โลวจุนหงีจึงถามว่า ถ้ากระนั้นจะหลีกเลี่ยงเสียได้หรือไม่

โงวหยงก็หยิบเอาตำรามาคลี่ออกดูอยู่ครู่หนึ่งทำเป็นพยักหน้ากับตำราแล้วพูดว่า ถ้าจะหลีกเลี่ยงต้องไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ให้ถึงพันลี้จึงจะพ้นเคราะห์ แต่จะมีความวิตกบ้างเล็กน้อย โลวจุนหงีว่าถ้าข้าพเจ้าไปพ้นภัยอันตรายคงจะตอบแทนบุญคุณท่าน โงวหยงว่าตำราดูเคราะห์นี้มีคำโคลงอยู่สี่บท ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านเขียนไว้ที่ฝาผนังตึก นานไปภายหน้าคงรู้เหตุ พูดแล้วโงวหยงบอกให้โลวจุนหงีเขียนเป็นใจความว่า “คิดกบฏ” โลวจุนหงีก็เขียนเป็นคำโคลงตามคำหมอดูบอกไว้ที่ฝาสำคัญว่าทายเคราะห์มิได้สงสัย โงวหยงก็เก็บตำรากับสิ่งของจะลาไป โลวจุนหงีจึงพูดว่า เวลาจวนเย็นเชิญท่านค้างอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าสักคืนหนึ่งเถิด โงวหยงว่าขอบใจท่านนักหนา ด้วยข้าพเจ้าเป็นคนหากิน ถ้าช้าก็ป่วยการจะต้องลาท่านเที่ยวหาเลี้ยงชีวิต พูดแล้วคำนับลาเดินมาเรียกลีขุยผู้เป็นศิษย์ ชวนกันออกจากบ้าน ตรงไปยังโรงเตี๊ยมนอกเมืองปักเกีย คิดเงินให้เซียวยี่เจ้าของโรงเสร็จแล้ว ก็เก็บสิ่งของไปในเวลากลางคืนพ้นหมู่บ้านเรือนไม่มีผู้คน โงวหยงซินแสบอกกับลีขุยว่าการที่คิดไว้นั้นคงสำเร็จ เรารีบไปเขาเนียซัวเปาะจัดการไว้คอยรับโลวจุนหงีเถิด พูดแล้วโงวหยงกับลีขุยก็รีบเดินทางไปถึงเขาเนียซัวเปาะ แจ้งความให้ซ้องกั๋งคับพี่น้องทั้งปวงฟังทุกประการ ซ้องกั๋งมีความยินดีจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกันเสร็จแล้ว โงวหยงซินแสกระซิบสั่งความลับกับพี่น้องเหล่านั้น ก็แยกย้ายไปทำตามอุบายของโงวหยงซินแสทุกประการ

ฝ่ายโลวจุนหงีตั้งแต่หมอดูกลับไปแล้วไม่มีความสบายเลย เวลาวันหนึ่งโลวจุนหงีนั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ผู้เดียว แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วคิดวิตกไปถึงเคราะห์ที่หมอดูทาย ให้งวยงงหลงใหลเหมือนกับถูกเวทมนต์ พูดเองเออเองหลงเชื่อทั้งสิ้น ใจของโลวจุนหงีวิตกหนักขึ้นทุกที ก็ให้คนไปเรียกลีโตวก๊วนผู้สำเร็จราชการในบ้านมา

ลีโตวก๊วนคนนี้แซ่ลีชื่อกูเป็นชาวตังเกียเมืองหลวง เดิมมาหาพี่น้องที่เมืองปักเกียไม่พบลีกูป่วยลง ครั้นเดินมาถึงหน้าบ้านโลวจุนหงีเศรษฐีโรคกำเริบมากก็ล้มลงเจียนตาย โลวจุนหงีออกมาเห็นให้พยุงลีกูไปรักษาจนหาย โลวจุนหงีเห็นว่าลีกูเป็นคนเข้าใจหนังสือและคิดสิ่งของได้ จึงมอบการบ้านการเรือนให้ลีกูว่ากล่าวบัญชีเงินทองซื้อขายเข้าออกให้สิทธิ์ขาดอยู่กับลีกูทั้งสิ้น ลีกูนั้นมีพวกพ้องสำหรับใช้สอยอยู่ประมาณห้าสิบเศษ คนเหล่านั้นพากันเรียกลีกูว่าลีโตวก๊วน และลีกูกับนางเกสีภรรยาโลวจุนหงีนั้นรักใคร่เป็นชู้กันมาช้านาน แต่โลวจุนหงีหารู้ไม่ ครั้นลีกูแจ้งว่าโลวจุนหงีเศรษฐีผู้เป็นนายให้หา ก็ชวนพวกพ้องเหล่านั้นมาคำนับ โลวจุนหงีจึงถามว่าเอียนเช็งอีกคนหนึ่งไปข้างไหนไม่เห็นมา

พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นเอียนเช็งเดินมา เอียนเช็งรูปร่างสูงใหญ่อายุได้ยี่สิบสี่ปี เดิมบิดามารดาตายแต่ยังเล็ก โลวจุนหงีเอามาเลี้ยงไว้เติบใหญ่ผิวเนื้อขาวเหมือนสำลี โลวจุนหงีเศรษฐีจึงให้ช่างสักเป็นดอกไม้ไว้ทั่วทั้งตัว เอียนเช็งสติปัญญาดีเฉลียวฉลาดภาษาต่างๆ ก็พูดเป็น ฝีมือเข้มแข็งชำนิชำนาญเพลงอาวุธทุกสิ่ง มีลูกเกาทัณฑ์เหล็กสำหรับมืออยู่สามลูก ถ้าขว้างออกไปแล้วมิได้ผิดแม่นยำนัก ถ้าชาวเมืองจะทำการสิ่งใดก็ต้องให้เอียนเช็งขว้างสัตว์ต่างๆ มาให้ทุกแห่ง คนทั้งหลายจึงเรียกว่า ‘ลังจือ’ เอียนเช็งนี้เป็นชาวเมืองปักเกีย โลวจุนหงีรักใคร่สนิทมาก เอียนเช็งมาถึงก็เข้าไปคำนับโลวจุนหงีเศรษฐีแล้วก็ยืนอยู่ข้างขวา ลีกูยืนอยู่ข้างซ้าย

โลวจุนหงีเห็นคนทั้งสองกับพวกพ้องเหล่านั้นมาพร้อมจึงพูดว่า ครั้งนี้เราหาหมอมาดูทายว่าเคราะห์ร้ายนักจะถึงแก่ชีวิตในร้อยวัน ถ้าหลีกเลี่ยงไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้พันลี้จึงจะพ้นภัย และข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้เมืองไทอันจิวนั้นมีศาลเจ้าเทียนฉีเซี้ยตี้ มีแท่นทองอยู่ที่เขาตังงักไทซัวแห่งหนึ่งศักดิ์สิทธิ์นัก ชาวบ้านชาวเมืองพากันไปคำนับมิได้ขาด เราคิดจะหลีกเลี่ยงภัยไปทางนั้น จะได้เลยไปคำนับเจ้าด้วย ประการหนึ่งจะจัดหาสิ่งของต่างๆ ไปซื้อขาย ลีกูจงจัดเกวียนไว้สักสิบเล่มเอาสินค้าเมืองซัวตังลงบรรทุกให้พร้อม ลีกูต้องไปด้วยกับเรา ให้เอียนเช็งอยู่รักษาบ้านเรือนบัญชีเงินทองสิ่งของกับลูกกุญแจตึก ลีกูจงมอบให้เอียนเช็งรักษาตั้งแต่วันนี้ไป ให้สิทธิ์ขาดอยู่กับเอียนเช็งจนกว่าเราจะกลับมา

ลีกูได้ฟังจึงว่า ท่านพูดดังนี้ไม่ถูก เชื่อฟังอะไรกับหมอดูมาพูดล่อลวงจะเอาแต่เงินท่าเดียว ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยว่าภัยอันตรายจะมีมาถึงท่าน เชิญท่านอยู่บ้านให้เป็นสุขเถิด โลวจุนหงีพูดว่า เคราะห์ร้ายเช่นนี้ประจำติดตัวแน่นอน ต้องคิดอ่านผ่อนปรน เจ้าอย่าทัดทานเราเลย

เอียนเช็งจึงพูดขึ้นว่า ท่านเป็นใหญ่เปรียบเหมือนบิดามารดาจงเชื่อฟังข้าพเจ้าพูดเถิด ซึ่งจะไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้เมืองไทอันจิวนั้น ต้องเดินไปทางเนียซัวเปาะ ด้วยตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้น ซ้องกั๋งกับพวกพ้องไปตั้งซ่องสุมกันเป็นโจร เที่ยวตีปล้นอยู่เนืองๆ กองทัพหลวงยกไปปราบปรามหลายครั้ง ก็สู้พวกซ้องกั๋งไม่ได้ ทหารล้มตายเสียนักหนาท่านอย่าเพิ่งทำใจร้อนเร็วเลย คอยให้สงบเงียบเรียบร้อยจึงค่อยไป จะมาเชื่อฟังหมอดูนั้นไม่ได้หรือพวกโจรเขาเนียซัวเปาะปลอมเป็นหมอดู มาล่อลวงให้ท่านไปดอกกระมัง น่าเสียดายนักหนาเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่บ้าน ถ้าอยู่แล้วคงจะได้หัวเราะกัน

โลวจุนหงีว่า เจ้าเอาอะไรมาพูด ผู้ใดจะมาล่อลวงเรา พวกโจรเขาเนียซัวเปาะนั้นเปรียบเหมือนหญ้าฟาง จะไปจับตัวมาให้สิ้น ตัวเราได้ฝึกหัดเพลงอาวุธต่างๆ จนฝีมือเข้มแข็งจะไปกลัวอะไรกับพวกโจร

ขณะนั้นนางเกสีภรรยาของโลวจุนหงีก็เดินออกมาห้ามสามีว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านบ่นมาหลายกันแล้วว่าจะไปเที่ยวให้พ้นภัย แต่โบราณย่อมว่าไว้ ถ้าออกจากบ้านไปจนลี้หนึ่งก็สู้อยู่บ้านไม่ได้ จะเชื่อฟังหมอดูทำไม จงอยู่ที่บ้านจัดแจงซื้อขายตามสบาย ท่านอย่าไปเลย โลวจุนหงีได้ฟังจึงว่า ตัวเจ้าเป็นหญิงไม่รู้จักสิ่งใด เราตรึกตรองการไว้แน่นอนแล้ว อย่ามาห้ามปรามให้มากความไปเลย เอียนเช็งเห็นว่าโลวจุนหงีผู้เป็นนายไม่เชื่อฟัง จึงพูดว่า พระเดชพระคุณของท่านได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้าและสั่งสอนเพลงอาวุธต่างๆ ให้จนฝีมือเข้มแข็ง ซึ่งบัดนี้ท่านมีธุระจะไปเที่ยว ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย ฉวยว่าพบปะพวกโจรจะออกมาแย่งชิง ข้าพเจ้าคนเดียวก็สู้รบได้ถึงหกสิบคน ท่านจงให้ลีกูอยู่รักษาบ้านเรือนตามเดิมเถิด โลวจุนหงีจึงว่า ซึ่งไปครั้งนี้เอาสินค้าไปที่ไหนตัวเราจะได้ซื้อขาย จึงให้ลีกูไปด้วยจะได้เอาสิ่งของเที่ยวขายตามหัวเมือง ลีกูบอกว่า ข้าพเจ้าป่วยเท้ามาหลายวันเดินยังขัดอยู่เห็นจะไปทางไกลไม่ได้

โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธ จึงพูดว่า เราอุตส่าห์เลี้ยงมาถึงพันวันมีธุระการงานจะใช้สักเวลาเดียวก็ไม่ได้ พูดจาบิดพลิ้วเสีย ถ้าทีนี้ผู้ใดขัดไม่ไปก็คงเห็นดีกัน ลีกูได้ฟังก็ตกใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด แลดูตานางเกสีภรรยาของโลวจุนหงีอยู่ นางเกสีจึงเดินกลับไปข้างใน เอียนเช็งก็ไม่อาจจะทัดทาน ต่างคนคำนับลาโลวจุนหงีกลับมาที่อยู่ ลีกูใจไม่สบาย ครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ จึงมาจัดหาเกวียนบรรทุกสิ่งของต่างๆ ไว้พร้อม รุ่งขึ้นวันที่สาม โลวจุนหงีสั่งให้ลีกูคุมเกวียนสิ่งของและสินค้าออกจากเมืองปักเกียก่อนแล้วโลวจุนหงีแต่งตัวนุ่งห่มดี สั่งนางเกสีภรรยาว่า เจ้าอุตส่าห์รักษาบ้านเราไปสามเดือนจะกลับมา นางเกสีว่าท่านไปตามทางจงระวังตัวให้ดีถ้าจะอยู่ช้ามีหนังสือมาให้ทราบบ้าง

ขณะนั้นเอียนเช็งอยู่ด้วย เห็นโลวจุนหงีสั่งบุตรภรรยาก็ร้องไห้คุกเข่าคำนับ โลวจุนหงีจึงสั่งเอียนเช็งว่า เจ้าจงอยู่รักษาบ้านเรือนการงานทั้งปวงให้เรียบร้อย เราไปไม่ช้าพ้นกำหนดเคราะห์จึงจะกลับมา โลวจุนหงีก็ถืออาวุธสำหรับมือออกจากบ้านตรงไปนอกเมืองปักเกีย พบลีกูหยุดเกวียนคอยอยู่ โลวจุนหงีสั่งลีกูกับบ่าวไพร่ให้คุมเกวียนเดินล่วงหน้าไปก่อน ถ้าเวลาจวนเย็นเห็นมีโรงเตี๊ยมจะเข้าไปอาศัย จัดอาหารไว้คอยท่าเราเถิด ลีกูกับคนเหล่านั้นก็คุมเกวียนเดินทางล่วงหน้าไป โลวจุนหงีกับบ่าวเจ็ดแปดคนเดินตามเกวียนไป เห็นป่าและภูเขาต้นไม้ต่างๆ โลวจุนหงีก็ยินดีจึงคิดว่าถ้าแม้นเราอยู่บ้านที่ไหนจะได้เห็นดังนี้

ฝ่ายลีกูคุมเกวียนเดินทางไป เห็นมีโรงเตี๊ยมก็เข้าอาศัยจัดอาหารไว้คอยท่า พอโลวจุนหงีมาถึงเข้าพักอาศัย รุ่งขึ้นเช้าลีกูคุมเกวียนเดินไปหน้า โลวจุนหงีกับบ่าวไพร่ตามไปต่อภายหลัง แต่เดินทางไปหลายวันจนถึงโรงเตี๊ยมเซียวยี่ก็เข้าพักอาศัย

เซียวยี่เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดกับโลวจุนหงีว่า ข้าพเจ้าจะแจ้งให้ท่านทราบ ตั้งแต่โรงนี้ไปทางประมาณยี่สิบลี้ถึงหน้าเขาเนียซัวเปาะ ซ้องกั๋งไต้อ๋องเจ้าของตำบลนั้นใจคอดีมิได้ทำร้ายแก่ผู้ใดแต่พวกพ้องทั้งหลายที่ดุร้ายก็มีมาก ถ้าท่านเดินไปทางนั้นแล้วอย่าให้อื้ออึง

โลวจุนหงีจึงว่าไม่กลัวดอก พูดแล้วก็เรียกคนใช้มาไขหีบหยิบแพรขาวมาตัดเป็นธง เขียนหนังสือไว้ใจความว่า “โลวจุนหงีชาวเมืองปักเกีย จัดเอาทองคำและแพร เพชร พลอย มาจนถึงตำบลนี้ บ้านเมืองก็เรียบร้อยดี เกวียนที่มาด้วยนั้นจะให้กลับไปแต่เกวียนเปล่าอย่างไร เราจะจัดหาของดีที่ตำบลนี้บรรทุกเกวียนกลับไป” เขียนหนังสือแล้วให้ผูกกับปลายเอาไม้ปักไว้ที่หน้าเกวียน ลีกูกับพวกพ้องเห็นหนังสือที่ธงก็ตกใจ

เซียวยี่เจ้าของโรงเตี๊ยมถามโลวจุนหงีว่า ท่านเป็นพี่น้องของซ้องกั๋งเจ้าของตำบลเขาเนียซัวเปาะหรือ จึงกล้าเขียนหนังสือว่ากล่าวดังนี้ โลวจุนหงีตอบว่า เราเป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองปักเกีย จะเป็นพี่น้องอะไรกับพวกโจร เราปรารถนาจะมาจับตัวซ้องกั๋งนายโจรให้จงได้ เซียวยี่จึงว่าท่านเมตตาพูดแต่เบาๆ เถิด จะพลอยถูกข้าพเจ้าด้วย ถึงท่านจะมาสักหมื่นหนึ่งก็ทำอันตรายพวกเขาเนียซัวเปาะไม่ได้ โลวจุนหงีว่า อย่าล่อลวงเราเลย เจ้านี่เห็นจะเป็นพวกเดียวกัน เซียวยี่เจ้าของได้ฟังก็ไม่โต้ตอบสิ่งใด บรรดาพวกที่คุมเกวียนมากับลีกูจึงคุกเข่าลงคำนับโลวจุนหงีแล้วว่า ท่านผู้เป็นนายได้เมตตาเถิด ถ้าทำดังนี้พวกข้าพเจ้าก็คงตาย

โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธร้องตวาดว่า มาพูดอะไรเช่นนั้น พวกโจรเขาเนียซัวเปาะเปรียบเหมือนนกเล็ก จะมาสู้กับพญานกอย่างไรได้ ตัวเรานี้เดิมก็ฝึกหัดเพลงอาวุธจนฝีมือเข้มแข็ง ยังไม่เคยทดลองเลย ครั้งนี้มาพบเข้าก็ดีแล้ว จะได้ฆ่าพวกโจรเสียให้สิ้น จับแต่ตัวนายโจรมัดใส่เกวียนคุมเข้าไปส่ง ณ เมืองหลวง ความชอบก็คงมีมาก ถ้าผู้ใดไม่อาจไปกลัวพวกโจรเราก็จะฆ่าเสีย พูดแล้วก็ให้เอาธงปักบนเกวียน ชวนกันออกจากโรงเตี๊ยมเดินทางไป ลีกูกับพวกพ้องเหล่านั้นมีความเกรงกลัวพวกโจรยิ่งนักครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ เดินร้องไห้ไปทุกคน โลวจุนหงีถือกระบี่เดินไปข้างหลังรีบให้บ่าวไพร่เหล่านั้นขับเกวียนเดินทางไปใกล้จะถึงเขาเนียซัวเปาะ พวกบ่าวไพร่เหล่านั้นเห็นทางไม่เรียบร้อยก็ไม่อาจจะเดินต่อไป โลวจุนหงีก็เร่งบ่าวไพร่ให้เดินไปจนเวลากลางวันถึงป่าแห่งหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่เป็นทางจำเพาะเดิน

ฝ่ายพวกซ้องกั๋งที่โงวหยงซินแสคิดอุบายให้แยกย้ายกันมาคอยท่าโลวจุนหงีอยู่นั้น ครั้นเห็นโลวจุนหงีกับบ่าวไพร่คุมเกวียนล่วงเข้ามาก็เป่าสัญญาขึ้น ไพร่พลห้าร้อยได้ยินเสียงก็ตรูกันออกมายืนอยู่ตามทาง ลีกูกับพวกที่คุมเกวียนเห็นโจรออกมายืนอยู่เป็นอันมากก็ตกใจ โลวจุนหงีจึงสั่งให้เทียบเกวียนไว้ริมทาง บ่าวไพร่เหล่านั้นก็เข้าแอบอยู่ใต้เกวียนพากันร้องไห้ โลวจุนหงีร้องตวาดว่า พวกเจ้าอย่าวิตกเลย ถ้าเราเข้าต่อสู้พวกโจร ๆ เสียทีจงช่วยกันจับมัดไว้เถิด

พูดยังไม่ทันขาดคำ เห็นโจรยกออกมาอีกพวกหนึ่ง ประมาณสี่ห้าร้อย ได้ยินเสียงประทัดสัญญาจุดขึ้นอีก ลีขุยคุมไพร่พลตรงมาใกล้จะถึงก็ร้องถามว่า ท่านเศรษฐีจำศิษย์ใบ้ที่หาบตำราได้หรือเปล่า โลวจุนหงีเห็นก็จำได้ จึงร้องตวาดว่า เราตั้งใจมาจับโจร พวกเจ้าถ้าเกรงกลัวก็ไปบอกซ้องกั๋งมาสามิภักดิ์เสียแต่โดยดี จะได้รอดชีวิตแม้นขัดขืนจะพากันตายทั้งสิ้น

ลีขุยได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า เดิมโงวหยงซินแสปลอมเป็นหมอดูไปทักทายไว้ก็ถูกต้องตามวาสนา เผอิญให้มาจนถึงตำบลนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปนั่งเก้าอี้พูดจากันก่อนเถิด

โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธ ตรงเข้าต่อสู้ขับลีขุย ๆ ก็ทำสู้ไม่ได้ ถอยห่างออกมาแล้วหนีเข้าป่าไป โลวจุนหงีไล่ตามไปไม่เห็นลีขุยก็จะกลับ หลวงจีนลูตีซิมคุมไพร่พลไปซุ่มอยู่เห็นดังนั้นก็ตรงออกมาร้องถามว่า ท่านเศรษฐีจะไปข้างไหน ทางที่จะไปลำบากนัก เชิญท่านหยุดพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด

โลวจุนหงีเห็นหลวงจีนรูปร่างสูงใหญ่ก็ร้องตวาดว่า หลวงจีนรูปนี้มาแต่ไหน หลวงจีนลูตีซิมว่า ข้าพเจ้าชื่อลูตีซิม โงวหยงซินแสใช้ให้ข้าพเจ้ามาต้อนรับท่าน โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธตรงเข้าต่อสู้กับหลวงจีนลูตีซิม ๆ ก็รับรองป้องปัดไว้ บู๊สงออกมาร้องบอกว่า ท่านเศรษฐีไปกับข้าพเจ้าเถิด โทษเคราะห์ร้ายของท่านนั้นคงสูญหาย โลวจุนหงีได้ฟังก็ตรงเข้าต่อสู้กับบู๊สง ๆ ป้องปัดล่าถอยออกมาแล้วหนีไป โลวจุนหงีเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า เราจะไล่ตามไปทำไม พวกโจรเหล่านี้สำคัญว่ามีฝีมือเข้มแข็ง ต่อสู้ยังไม่ทันเหนื่อยก็พากันหนีไปสิ้น

พูดไม่ทันขาดคำ เล่าตงแอบอยู่ชายป่า เดินตรงมาร้องบอกว่า ท่านเศรษฐีท่านอย่าพูดจาถือดี วิสัยเหล็ก ใส่เตาเผาก็คงแดง วิสัยคนเที่ยวเร่ร่อนไม่ยุติก็ไม่ดี โงวหยงซินแสดูแน่นอนแล้วจึงคิดอุบายไว้ต้อนรับ วาสนาของท่านจำเพาะเป็นดังนั้นถึงดำดินไปก็ไม่พ้น

โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธยิ่งนัก ร้องตวาดว่านี่คือผู้ใดหรือ เล่าตงว่า ข้าพเจ้าชื่อเล่าตง โลวจุนหงีว่าดีแล้วอย่าวิ่งหนี ก็ตรงเข้าต่อสู้กับเล่าตง พอมกหองมาช่วยเล่าตงต่อสู้ได้สองเพลงโลวจุนหงีมิได้เกรงกลัว คิดจะต่อสู้กับพวกโจรให้เต็มฝีมือ พอได้ยินเสียงประทัดสัญญาจุดขึ้น เล่าตง มกหองก็ชวนกันวิ่งหนีไป โลวจุนหงีไม่อาจไล่ตามทันกลับมายังเกวียน

ฝ่ายไพร่พลของซ้องกั๋ง ครั้นเห็นโลวจุนหงีไล่ติดตามลีขุยกับพวกนั้นไป ก็กรูกันเข้าจับลีกูกับบ่าวไพร่ของโลวจุนหงีมัดไว้ แล้วขับเกวียนรีบตรงเข้าป่าไป

ฝ่ายโลวจุนหงีกลับมาถึงชายป่า ไม่เห็นเกวียนกับบ่าวไพร่ก็คิดสงสัย ครั้นเหลียวไปดูเห็นพวกโจรขับเกวียนหนี จับบ่าวไพร่เหล่านั้นมัดไปทั้งสิ้น โลวจุนหงีก็โกรธยิ่งนัก ไล่ติดตามไปโดยเร็ว

ฝ่ายจูตง ลุยเหงมาซุ่มอยู่ในป่า เห็นโลวจุนหงีไล่ตามพวกนั้นไปก็ออกมาสกัดขวางทางร้องถามว่า ท่านเศรษฐีจะไปข้างไหน โลวจุนหงีเห็นพวกโจรออกมากั้นไว้ก็ด่าว่า พวกโจรเหล่านี้บังอาจนัก จับเอาคนและเกวียนของเราไป จูตงได้ฟังก็หัวเราะตอบว่า ท่านเศรษฐีช่างไม่รู้จักการบ้างเลย ข้าพเจ้าได้ยินโงวหยงซินแสทายไว้ วิสัยดาวพวกเดียวกันมีแต่ลอยมาแน่แล้ว เชิญท่านไปนั่งเก้าอี้เป็นพวกเดียวกันมิดีหรือ โลวจุนหงีได้ฟังก็โกรธ ตรงเข้าเอากระบี่ฟันจูตงกับลุยเหง จูตงกับลุยเหงก็ต่อสู้บ้างเล็กน้อยแล้ววิ่งหนีไป

โลวจุนหงีจึงคิดว่า จำเราจะไล่ตามไปจับพวกโจรสักคนหนึ่งคงได้เกวียนกับบ่าวไพร่กลับคืนมา คิดแล้วไล่ตามจูตงกับลุยเหงไปถึงชายเขาก็ไม่แลเห็นพวกโจรสองคน ได้ยินเสียงม้าล่อและกลองอยู่บนเขา โลวจุนหงีก็หยุดดู เห็นพวกโจรห้อมล้อมกันเดินมา ซ้องกั๋งนั้นอยู่กลาง สองข้างซ้ายขวาโงวหยงกับกงซุนสินซินแสและพวกพ้องไพร่พลเป็นอันมาก มีธงเหลืองนำหน้าเขียนอักษรสี่ตัว ใจความว่า “ช่วยบำรุงแผ่นดิน” โลวจุนหงีเห็นซ้องกั๋งกับพวกมาใกล้จะถึงจึงหยุดอยู่ที่เนินเขา จึงร้องด่าซ้องกั๋งกับโงวหยงซินแสและพวกพ้องไพร่พลทั้งปวง

โงวหยงซินแสก็ห้ามปรามโลวจุนหงี แล้วพูดว่า ท่านเศรษฐีอย่าโกรธแค้นเลย ซ้องกั๋งแจ้งว่าชื่อเสียงท่านปรากฏจึงใช้ให้ข้าพเจ้าไปเชิญมา ปรารถนาจะได้ช่วยกันบำรุงแผ่นดินสืบไป โลวจุนหงีได้ฟังก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จึงว่าพวกโจรเหล่านี้บังอาจนักไปล่อลวงเรามาจนถึงที่นี่

ฮวยหยงยืนอยู่ข้างหลังซ้องกั๋งได้ฟังก็โกรธร้องตวาดว่า ท่านเศรษฐีอย่าอวดอ้างว่าฝีมือเข้มแข็ง ข้าพเจ้าจะยิงเกาทัณฑ์ให้ดูฝีมือบ้าง ว่าแล้วก็จับเกาทัณฑ์หมายจะยิงหมวกจะให้โลวจุนหงีตกใจ ลูกเกาทัณฑ์ก็ถูกหมวกที่โลวจุนหงีใส่พลัดตกลงมา โลวจุนหงีตกใจกลัวหันหน้ากลับวิ่งหนี บนเขานั้นก็ตีม้าล่อและกลองอื้ออึง ฉินเหม็งกับลิมชองคุมไพร่พลไปซุ่มอยู่ ครั้นได้ยินเสียงม้าล่อสัญญาก็คุมไพร่พลตรงมาทิศตะวันออก อูเอียนเจียกกับซือเหล็งคุมไพร่พลมาทางทิศตะวันตก โลวจุนหงีวิ่งหนีมาเห็นพวกโจรยกมาทั้งสองทางก็ไม่รู้ที่จะหนีไปข้างไหน

ขณะนั้นเวลาจวนค่ำ โลวจุนหงีเหน็ดเหนื่อยหิวอ่อนลง หนีเลยไปถึงป่าแขมริมแม่น้ำ ทางจะเดินต่อไปก็ไม่มี เห็นพวกโจรยกติดตามมาจึงหยุดยืนอยู่ที่ชายป่า แล้วคิดว่าเราไม่เชื่อฟังพวกพ้องห้ามจึงเกิดเหตุขึ้นถึงเพียงนี้ ไม่รู้ที่จะคิดอ่านประการใดก็ยืนวิตกอยู่

ฝ่ายลี้จุนเอาเรือมาซุ่มอยู่ในป่าแขม ตามอุบายโงวหยงซินแสสั่ง ครั้นเห็นโลวจุนหงีหนีมาถึงริมแม่น้ำ ก็ถ่อเรือออกจากป่าแขม แจวตรงมาใกล้จะถึงฝั่งก็ร้องถามว่า ท่านนี้มาแต่ข้างไหน ไม่กลัวเกรงบ้างเลยหรือ เขตแดนของพวกเขาเนียซัวเปาะทั้งสิ้น เวลาค่ำมืดแล้วทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ โลวจุนหงีได้ฟังก็ไม่สงสัยจึงว่าเราหลงทางมา เที่ยวหาที่พักก็ไม่มีท่านจงสงเคราะห์ด้วยเถิด ลี้จุนว่า แถวเหล่านี้เดินลัดไปหน่อยหนึ่งก็ถึงหมู่บ้านพอจะอาศัยได้ ตั้งแต่นี้ไปทางสามสิบลี้สับสนมาก ถ้าไปเรือสักสามลี้ก็ถึง ใกล้กว่าทางบก ถ้ายอมให้เงินข้าพเจ้าสักสิบตำลึงจึงจะเอาเรือรับท่านไปส่ง โลวจุนหงีว่า ถ้ารับเราไปส่งที่หมู่บ้านนั้นได้ ท่านจะเอาเงินเท่าไรก็ไม่ขัดข้องตามแต่ใจเถิด ลี้จุนเจ้าของเรือก็แจวเรือแวะเข้ารับโลวจุนหงี ลงเรือไปประมาณทางได้สี่ลี้ เห็นเรือแจวออกจากป่าแขมมาอีกสามลำ คนอยู่ในเรือลำละสองคน ร้องเพลงใจความว่า “คนที่ฝีมือเข้มแข็งนั้น ถ้าไม่รู้จักหนังสือก็ต้องมาอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะ ด้วยตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้นเหมือนกับจั่นคอยดักเสือ เบ็ดเกี่ยวเหยื่อคอยล่อปลา ถ้าตกเข้ามาในนี้แล้วหนีไม่พ้นเลย”

โลวจุนหงีได้ฟังก็ตกใจ คิดสงสัยว่าเห็นจะเป็นพวกโจรดอกกระมัง เรืออีกลำหนึ่งก็ร้องเพลงใจความเหมือนกับโงวหยงบอกให้โลวจุนหงีเขียนไว้ที่บ้าน โลวจุนหงีได้ฟังก็แจ้งว่าพวกโจร แต่ไม่รู้ที่จะทำประการใด เรือสามลำนั้นก็ประดังกันเข้าไป เรือลำกลางนั้นคืออวนเซียวยี่ ลำข้างซ้ายคืออวนเซียวเหงา ลำข้างขวาคืออวนเซียวชิด โลวจุนหงีเห็นเรือสามลำกระชั้นเข้ามาก็มีความวิตก ด้วยว่ายน้ำไม่เป็น จึงบอกกับลี้จุนเจ้าของเรือว่า ท่านจงรีบพาเอาเราไปส่งริมฝั่งโดยเร็วเถิด

ลี้จุนหัวเราะแล้วพูดว่า ข้างบนก็ฟ้าข้างล่างก็น้ำ ตัวข้าพเจ้าเกิดที่แม่น้ำซิมเอียงกัง มาอยู่เขาเนียซัวเปาะที่เรียกว่า ‘ฮุนกังเหล็ง’ ชื่อลี้จุน ถ้าท่านเศรษฐีไม่ยอมสามิภักดิ์มิถึงแก่ชีวิตหรือ โลวจุนหงีรู้ว่าถูกอุบายของพวกโจรก็โกรธยิ่งนัก ร้องตวาดว่า พวกโจรกับเราคงได้เห็นกันเดี๋ยวนี้ ก็ถือกระบี่ตรงเข้าฟันลี้จุน ๆ ก็โดดลงน้ำดำหนีไป กระบี่หลุดจากมือตกน้ำหายไป เตียสุนซุ่มอยู่ริมฝั่งเห็นดังนั้น ก็ดำน้ำตรงมาทำให้เรือล่มลง โลวจุนหงีว่ายน้ำไม่เป็นก็จมน้ำ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ