๕๑

ฝ่ายลุยเหงเดินมาทางเขาเนียซัวเปาะพบไพร่พลของจูกุ้ยที่ตั้งโรงขายสุราอยู่ พวกจูกุ้ยนั้นจะเอาเงินค่าทางกับลุยเหงแล้วจึงจะปล่อยไป ลุยเหงบอกกับพวกเหล่านั้นว่า เราเป็นนายทหารอยู่ ณ เมืองหุนเสียกุ้ย ผู้รักษาเมืองใช้ให้ถือหนังสือไปเมืองตังเซียงฮู้กลับมาเงินทองก็ไม่มี พวกเหล่านั้นได้ฟังก็รีบมาแจ้งความกับจูกุ้ยทุกประการ จูกุ้ยรำลึกขึ้นได้ว่าซ้องกั๋งพูดถึงจูตง ลุยเหงนายทหารเมืองหุนเสียกุ้ยอยู่มิได้ขาดว่ามีคุณกับซ้องกั๋ง จำเราจะไปถามดู ถ้าเป็นลุยเหงแน่แล้วจะได้พาไปให้พบซ้องกั๋ง จูกุ้ยก็ออกจากโรงไปถามดูว่า ท่านชื่อลุยเหงเป็นนายทหารอยู่เมืองหุนเสียกุ้ยหรือ ลุยเหงว่าตัวเรานี้ชื่อลุยเหง จูกุ้ยก็มีความยินดีเชิญลุยเหงมาในโรง จัดโต๊ะและสุราเลี้ยง แล้วให้คนใช้ไปบอกซ้องกั๋งว่า ลุยเหงนายทหารเมืองหุนเสียกุ้ยมาอยู่ที่นี่

ขณะนั้นเตียวไก่ ซ้องกั๋งกับพี่น้องเสพสุราอยู่พร้อมกัน พอคนใช้ของจูกุ้ยมาแจ้งก็มีความยินดี เตียวไก่กับซ้องกั๋งจึงสั่งคนใช้ให้พาลุยเหงเข้ามา แล้วชวนโงวหยงซินแสออกต้อนรับคำนับกัน พูดว่านานนักหนาไม่ได้พบท่านเลย วันนี้เป็นบุญชักนำให้ท่านเดินมาทางนี้ได้พบปะกับข้าพเจ้ามีความยินดีนัก ลุยเหงรับคำนับแล้วพูดว่า บัดนี้ผู้รักษาเมืองให้ข้าพเจ้าถือหนังสือไปเมืองตังเซียงฮู้ กลับมาถึงโรงสุราพวกท่านจะเอาเงินค่าทาง ข้าพเจ้าบอกแซ่และชื่อให้ จูกุ้ยฟังความแล้วก็พาข้าพเจ้ามาพบท่าน ซ้องกั๋งได้ฟังก็เชิญลุยเหงมายังที่ชุมนุมให้รู้จักกับพี่น้องทั้งปวง แล้วจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ลุยเหงค้างอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะห้าวัน เวลาวันนั้นซ้องกั๋งนั่งสนทนาอยู่กับลุยเหงแล้วถามถึงจูตงว่าเป็นประการใดบ้าง ลุยเหงว่า ผู้รักษาเมืองมาเป็นใหม่ชอบพอรักใคร่จูตงตั้งแต่งให้เป็นที่เจียดคิบขุนนางฝ่ายกรมเมือง เตียวไก่ ซ้องกั๋งแจ้งความก็ยินดีพูดจาชักชวนให้ลุยเหงอยู่ด้วย ลุยเหงว่ามารดาข้าพเจ้าชรามากอยู่ไม่ได้จะขอลาท่านไปปฏิบัติรักษามารดาก่อน ถ้ามารดาดับสูญสิ้นไปแล้วจึงจะมาอยู่กับท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าขอลาพวกท่านไปก่อน ซ้องกั๋งกับพี่น้องทั้งปวงจะหน่วงเหนี่ยวให้อยู่อีก ลุยเหงก็ไม่ยอม จึงชวนกันจัดเงินทองมาให้ทุกคน ลุยเหงได้เงินทองเป็นอันมากก็มีความยินดี ลาเตียวไก่ซ้องกั๋งกับพี่น้องทั้งปวงออกจากเขาเนียซัวเปาะไป เตียวไก่ ซ้องกั๋งจึงปรึกษากับโงวหยงซินแสว่า บัดนี้พวกพ้องไพร่พลมาอีกจะต้องจัดการเสียใหม่ ซึ่งโรงขายสุราทั้งสี่ทิศก็สำคัญ จะต้องมีตัวนายโรงละสองคน ซึงซินกับนางโกวตัวซอชำนาญขายสุราให้เปลี่ยนตัวทองอุย ทองเม้งมาจะได้ว่าการอื่นต่อไป ซิเซียนนั้นให้ไปช่วยเจียะย้ง ให้งักหัวไปช่วยจูกุ้ย ให้แต้เทียนซิวไปช่วยลี้ลิบ ยังแต่การที่รักษาสิ่งของกับเขตแดนที่ไหนสำคัญเข้มแข็งก็ให้มีผู้ช่วย เฮงเอยโฮ้วให้ว่ากล่าวรักษาตำบลซัวทัว ให้ทองอุย ทองเม้งไปรักษาตำบลอะชุยทัว ให้โจวเอี๋ยน โจวยุนไปรักษาต้นทางที่จะเดินไปมาเขาเนียซัวเปาะ ให้เกยเตียน เกยโปรักษาอยู่หน้าเขาเนียซัวเปาะ ให้โตวเซียน ซองบานรักษาด่านที่สองตำบลอวนจือเสีย ให้เล่าตง มกหองรักษาด่านที่สาม อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิดให้รักษาเขาในน้ำข้างทิศใต้ เม่งคงนั้นให้รักษาเรือรบอยู่ตามเดิม ลิเอง โตวเฮง เจียเก็งสามนายให้รักษาเงินทองเสบียงอาหาร ให้ต้อจงอ๋วง สิย้งรักษาทางและกำแพงที่ไหนหักก็ให้จัดแจงทำใหม่ทั่วทั้งเขตแดน ให้โฮ้วเกียนรักษาเสื้อเกราะกับหมวกและธงเครื่องสำหรับออกศึกสงคราม จูบู๊กับซ้องเซ็งเป็นพนักงานจัดการเลี้ยงโต๊ะ เซียวเหยียง กิมไตเกียนเป็นพนักงานคอยรับตอบหนังสือไปมา ให้ปวยชวนเป็นที่กุนเจ็งซี ผู้ใดมีความชอบก็ให้รางวัล ผู้ใดทำผิดก็ทำโทษตามสมควร ให้ลือฮวง กวยเส็ง ซึงลิบ อาวเผ็ง เบ๊หลิน เต็งฮุย มกชุน แป๊ะสิน แปดนายช่วยกันระวังรักษาอยู่ทั้งแปดด้าน ตัวซ้องกั๋งกับเตียวไก่และ โงวหยงซินแสอยู่กลาง ฮวยหยง ฉินเหม็งรักษาข้างซ้าย ลิมชอง ไตจง อยู่ข้างขวา ลี้จุน ลีขุยอยู่ข้างหน้า เตียหวย เตียสุนอยู่ข้างหลัง เอียหยง เจียสิว นั้นรักษาที่ชุมนุม จัดการเรียบร้อยแล้วพี่น้องเหล่านั้นก็คำนับลาแยกย้ายไปรักษาว่ากล่าวตามหน้าที่ ตำบลเขาเนียซัวเปาะก็มั่งคั่งเข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า

ฝ่ายลุยเหงออกจากเขาเนียซัวเปาะเดินทางไปได้หลายวันก็ถึงเมืองหุนเสียกุ้ย เอาหนังสือส่งให้ผู้รักษาเมืองแล้วลากลับมาบ้าน แจ้งความกับมารดาทุกประการ อยู่มาวันหนึ่งลุยเหงออกจากบ้านเดินไปทางหน้าเมือง ยังมีชายผู้หนึ่งชาวเมืองหุนเสียกุ้ยชื่อลิเซียวยี่ เห็นลุยเหงเดินไปก็ร้องเรียกว่า ท่านนายทหารมาถึงหลายวันแล้วหรือ ลุยเหงเหลียวไปดูเห็นลิเซียวยี่ก็ตอบว่า เรามาหลายวันแต่ไม่ได้มาเที่ยวเล่น ลิเซียวยี่จึงพูดว่าเมื่อท่านไปราชการมีชาวเมืองตังเกียมาสองคน บิดานั้นชื่อแป๊ะเง็กเกียวบุตรสาวซื่อแป๊ะสิวเอง รูปร่างงดงามฝีมือรำร้องเพลงไม่มีผู้ใดเสมอ วันนี้พ่อลูกสองคนก็ทำเพลงอยู่ที่โรงแถวตลาดเชิญท่านไปดูเล่นด้วยกันเถิด ลิเซียวยี่กับลุยเหงเดินไปถึงโรงที่รำทำไว้งดงามผู้คนยืนคอยจะดูอยู่เป็นอันมาก ลุยเหงกับลิเซียวยี่ก็พลัดกันไป ลุยเหงก็เบียดเข้าไปนั่งอยู่หน้าโรง

ฝ่ายแป๊ะเง็กเกียว ครั้นได้เวลาก็ร้องเรียกนางแป๊ะสิวเองขึ้นไปบนโรง จัดแจงแต่งตัวออกมายืนอยู่หน้าโรงคำนับตามบรรดาคนที่มาดูแล้วร้องว่า ข้าพเจ้าชื่อแป๊ะเง็กเกียวบุตรสาวชื่อนางแป๊ะสิวเองชาวเมืองตังเกีย พากันมาเต้นรำทำเพลงหาเลี้ยงชีวิต ตามแต่ท่านทั้งหลายจะให้ จงได้เมตตากับข้าพเจ้าคนอนาถาเถิด สองคนพ่อลูกก็เต้นรำร้องเพลงต่างๆ ลุยเหงกับชาวบ้านเห็นนางแป๊ะสิวเองรูปร่างงดงามว่องไว เสียงก็ไพเราะจึงชวนกันสรรเสริญว่าดีจริง ครั้นรำแล้วก็ลงจากโรง นางแป๊ะสิวเองเห็นลุยเหงนั่งอยู่หน้าคนทั้งปวงก็ตรงมาเรี่ยไรเงินที่ลุยเหงก่อน ลุยเหงคำดูเงินที่ในเสื้อก็ไม่มี จึงพูดว่าวันนี้เราไม่ได้เอาเงินมา ต่อพรุ่งนี้จะเอามาให้ นางแป๊ะสิวเองว่าการงานสิ่งใดถ้าช้าวันก็จืดจาง ตัวท่านนั่งอยู่หน้าจงออกเงินให้เป็นธรรมเนียมก่อนจึงจะควร คนเหล่านั้นจะได้ทำตาม

ลุยเหงได้ฟังก็อายคนทั้งปวงยิ่งนัก พูดว่าเราลืมไม่ได้เอาเงินมาจริง ๆ นางแป๊ะสิวเองว่า ท่านจะมาดูมาฟังเหตุไฉนจึงไม่เอาเงินมาบ้าง ไม่รู้จักอย่างธรรมเนียมหรือ ลุยเหงว่าทำไมกับเงินเล็กน้อยสักสี่ห้าตำลึงก็ให้ได้ แป๊ะเง็กเกียวจึงพูดแก่นางแป๊ะสิวเองว่า เจ้าไม่ดูเสียก่อนว่าเป็นคนชาวบ้านนอกหรือชาวเมืองนี้ อย่าได้ทวงถามเขาเลยไปที่ท่านผู้อื่นเถิด ลุยเหงได้ฟังจึงตอบว่า เราก็รู้ธรรมเนียมอยู่ อย่าได้วิตกคงจะเอามาให้ แป๊ะเง็กเกียวว่าถ้ารู้จักแล้วสุนัขก็มีเขา คนทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะ ลุยเหงได้ความอัปยศก็โกรธด่าว่าแป๊ะเง็กเกียวเป็นอันมาก แป๊ะเง็กเกียวก็ด่าลุยเหงเหมือนกัน ผู้ที่รู้จักลุยเหงจึงบอกกับแป๊ะเง็กเกียวว่าที่วิวาทนั้นเป็นนายทหาร อย่าได้ว่ากล่าวให้เหลือเกินเลย แป๊ะเง็กเกียวว่าเป็นนายทหารก็ไม่กลัวแล้วด่าว่าอีก ลุยเหงโกรธนักตรงเข้าเอาเท้าถีบถูกแป๊ะเง็กเกียวล้มลง คนทั้งปวงก็ห้ามไว้ ลุยเหงก็กลับไปบ้าน นางแป๊ะสิวเองนี้เดิมเมื่ออยู่เมืองตังเกีย รักใคร่ได้เสียกับผู้รักษาเมืองคนใหม่ ครั้นผู้รักษาเมืองมาว่าราชการอยู่ที่เมืองหุนเสียกุ้ยนางแป๊ะสิวเองชักชวนบิดาติดตามมา ผู้รักษาเมืองก็จัดหาปลูกโรงสำหรับเต้นรำร้องเพลงให้นางแป๊ะสิวเองหากินอยู่กับบิดา ครั้นเห็นลุยเหงทุบตีถีบบิดาล้มลงก็ขัดใจยิ่งนัก คิดจะแก้แค้นให้ได้ ก็จ้างคนเอาเกี้ยวมาหามแป๊ะเง็กเกียวไปยังบ้านผู้รักษาเมือง ฟ้องลุยเหงว่าทุบตีบิดาข้าพเจ้าล้มลงศีรษะแตกเจ็บป่วยเป็นอันมาก ผู้รักษาเมืองได้ฟังก็โกรธรับฟ้องของนางแป๊ะสิวเอง ใช้ให้ผู้คุมไปชันสูตรบาดแผลสืบพยาน บรรดาขุนนางที่ชอบพอกับลุยเหงก็มาช่วยขอต่อผู้รักษาเมือง ผู้รักษาเมืองก็ไม่ฟัง ให้ทหารไปเอาตัวลุยเหงมาเฆี่ยนแล้วมัดประจานไว้กลางตลาด คนทั้งปวงเห็นจะไม่ได้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ผู้คุมเอาตัวลุยเหงไปตามคำสั่ง นางแป๊ะสิวเองก็ยังไม่หายแค้นจึงมาร้องกับผู้รักษาเมืองว่า ลุยเหงทำกับบิดาข้าพเจ้าเหลือเกินจะเป็นตายเท่ากัน ขอท่านจงได้เอาตัวลุยเหงไปมัดเฆี่ยนตีที่โรงรำจึงจะสมกับทำบิดาข้าพเจ้า ผู้รักษาเมืองก็สั่งผู้คุมให้เอาตัวลุยเหงไปทำตามคำนางแป๊ะสิวเองว่า ผู้คุมที่ชอบพอกับลุยเหงนั้นก็มาแก้มัดลดหย่อนผ่อนให้ ลุยเหงค่อยมีความสบาย นางแป๊ะสิวเองตามไปดูเห็นดังนั้นก็โกรธจึงว่าท่านทำดังนี้เราจะไปร้องต่อผู้รักษาเมือง ผู้คุมเกรงกลัวก็เอาตัวลุยเหงมัดไว้ตามเดิม แต่บรรดาคนทั้งปวงเห็นก็มีความเวทนาลุยเหงทุกคน

ฝ่ายมารดาลุยเหงแจ้งว่า บุตรต้องโทษถูกเฆี่ยนก็มีความวิตกจัดหาอาหารมาส่ง ครั้นถึงโรงรำเห็นลุยเหงต้องมัดอยู่ก็ร้องไห้เข้าไปพูดกับผู้คุมว่า ท่านกับบุตรเราทำราชการอยู่ด้วยกันช่างไม่เวทนาลุยเหงบ้างจำครบเสียทุกอย่าง ผู้คุมว่าข้าพเจ้าก็ลดหย่อนผ่อนให้ แต่ผู้ที่เป็นโจทก์เขาติดตามมาดู ว่าไม่ทำตามสั่งจะไปร้องต่อผู้รักษาเมือง ข้าพเจ้าก็ต้องจำใจทำ นางแป๊ะสิวเองโจทก์นั้นเขารักใคร่ได้เสียกับผู้รักษาเมืองการจึงเป็นดังนี้ มารดาลุยเหงได้ฟังก็โกรธเข้าแก้มัดลุยเหงแล้วด่าว่านางแป๊ะสิวเองพลาง นางแป๊ะสิวเองโกรธตรงมาด่ามารดาลุยเหง แล้วเข้าทุบตีเอา มารดาลุยเหงเป็นคนชราสู้กำลังไม่ได้ล้มลง ลุยเหงตรงไปเอาคาฟาดถูกศีรษะนางแป๊ะสิวเองแตกตาย ผู้คุมเห็นดังนั้นก็ตกใจเอาตัวลุยเหงไปแจ้งกับผู้รักษาเมืองว่า นางแป๊ะสิวเองไปวิวาทกับมารดาลุยเหง ลุยเหงตีนางแป๊ะสิวเองตาย ผู้รักษาเมืองแจ้งความก็โกรธยิ่งนัก สั่งให้ผู้ชำระไปชันสูตรบาดแผลศพนางแป๊ะสิวเองแล้วถามลุยเหง ลุยเหงก็รับว่าข้าพเจ้าตีตายเอง ผู้รักษาเมืองสั่งให้เอาตัวลุยเหงไปจำขังไว้ให้มั่นคง แป๊ะเง็กเกียวบิดาก็เอาศพนางแป๊ะสิวเองไปฝังไว้ตามสมควร

ฝ่ายจูตงเป็นขุนนางที่เจียดคิบว่ากล่าวฝ่ายกรมเมือง จูตงกับลุยเหงนั้นชอบพอรักใคร่กันมาแต่เดิม ครั้นผู้คุมเอาตัวลุยเหงไปส่ง จูตงแจ้งเรื่องความแล้วไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด รับลุยเหงไว้มิให้ลำบาก จัดอาหารมาเลี้ยงและห้องให้อยู่ตามสบาย

ฝ่ายมารดาลุยเหงกลับมาบ้านมีความวิตกถึงบุตรไม่แจ้งว่าจะเป็นตายประการใด ก็จัดหาอาหารมาให้ลุยเหงที่คุก พบจูตงพูดจากันแล้ว จูตงรับว่าตกพนักงานข้าพเจ้าเองอย่าวิตกเลยจงกลับไปบ้านเสียเถิด มารดาลุยเหงได้ฟังก็ดีใจคำนับลาจูตงกลับไปบ้าน

ฝ่ายแป๊ะเง็กเกียวบิดานางแป๊ะสิวเองโกรธแค้นลุยเหงนัก คิดจะให้ลุยเหงตายไปตามกัน ก็ไปร้องเตือนต่อผู้รักษาเมืองว่าให้ฆ่าลุยเหงเสีย ผู้รักษาเมืองปรึกษาโทษลุยเหงขังไว้หกสิบวันครบกำหนดแล้ว จึงจะส่งไปให้ผู้รักษาเมืองเจ๋จิวฮู้ฆ่าเสีย จูตงแจ้งความเอาเงินทองไปเดินเหินที่ผู้รักษาเมืองก็ไม่รับ ครั้นครบกำหนดหกสิบวันผู้รักษาเมืองให้ขุนนางถือหนังสือคำปรึกษาโทษลุยเหงไปส่งยังเมืองเจ๋จิวฮู้ก่อน แล้วให้จูตงกับทหารคุมตัวลุยเหงตามผู้ถือหนังสือไป จูตงคำนับลามาจัดไพร่พลเอาตัวลุยเหงออกจากเมืองหุนเสียกุ้ย ไปประมาณได้สิบลี้ เห็นมีโรงขายสุราอยู่ตามทางจูตงก็ชวนไพร่พลเหล่านั้นเข้าซื้อสุรากิน เรียกลุยเหงเดินมาที่หลังโรงถอดขื่อคาออกจากตัวแล้วบอกว่า น้องจงหลีกหนีกลับไปบ้านรับมารดาเร่งรีบไปอยู่ที่อื่น พี่จะรับโทษแทนเอง ลุยเหงว่าไม่ได้จะให้น้องหนีไปเสียอย่างไรพี่จะได้ความลำบาก จูตงว่าเจ้าไม่เข้าใจผู้รักษาเมืองนั้นรักใคร่กับนางแป๊ะสิวเองมาแต่เดิม จึงแค้นเคืองน้องนักแกล้งปรึกษาโทษให้ตายตามกัน บัดนี้หนังสือที่ปรึกษาโทษ ผู้รักษาเมืองให้เจ้าพนักงานถือไปเมืองเจ๋จิวฮู้แล้ว ถ้าน้องไปถึงเมื่อไรก็คงตาย พี่จึงคิดการปล่อยให้หนีไปจะได้พ้นอันตราย ถึงตัวพี่จะมีโทษก็ยังหาต้องตายไม่ ประการหนึ่งบิดามารดาพี่ก็ไม่มี จะลำบากยากเย็นสักหน่อยหนึ่งไม่เป็นไรนัก น้องจงพามารดาหนีเอาตัวรอดไปเถิด ลุยเหงก็คุกเข่าคำนับลาหนีออกทางหลังโรงตรงไปบ้านเก็บเงินทองใส่ห่อผ้า อุ้มมารดาขึ้นบ่าหนีเล็ดลอดตรงไปเขาเนียซัวเปาะ ฝ่ายจูตงครั้นปล่อยให้ลุยเหงหนีไปไกลแล้วก็ร้องบอกผู้คุมว่า ลุยเหงถอดขื่อคาออกหนีไปได้ ผู้คุมและพวกเหล่านั้นเดินไปดูเห็นแต่ขื่อคาทิ้งอยู่ ก็พากันพูดว่า ติดตามไปบ้านก็คงจะได้ตัว จูตงกับไพร่พลก็กลับมาแจ้งความกับผู้รักษาเมืองว่า ลุยเหงหนีไปเสียได้แล้ว โทษทัณฑ์สิ่งใดข้าพเจ้าจะรับเอง ผู้รักษาเมืองใช้คนไปตามทึ่บ้านลุยเหงก็ไม่พบ ผู้รักษาเมืองมีความเมตตาจูตงคิดจะผ่อนปรนให้ แต่แป๊ะเง็กเกียวนั้นมารบกวนนัก ผู้รักษาเมืองก็ให้เอาตัวจูตงส่งไปปรึกษาโทษ ณ เมืองเจ๋จิวฮู้ ขุนนางปรึกษาโทษจูตงให้เฆี่ยนยี่สิบทีเอาคาใส่ มอบให้ผู้คุมเนรเทศไปอยู่เมืองชองจิว ผู้คุมพาจูตงออกจากเมืองเจ๋จิวฮู้เดินทางไปหลายวันถึงเมืองชองจิว ก็เอาตัวจูตงกับหนังสือปรึกษาโทษเข้าไปส่งให้ ผู้รักษาเมืองชองจิวมาอ่านดูแจ้งในเรื่องความทุกประการ เห็นรูปร่างลักษณะจูตงดีมิใช่คนพาลก็มีจิตเมตตา สั่งคนใช้ให้ถอดขื่อคาที่ใส่จูตงออกเสีย แล้วเขียนหนังสือมอบให้ผู้คุมทั้งสองถือกลับไป ผู้คุมก็คำนับลาออกจากเมืองชองจิวกลับมายังเมืองเจ๋จิวฮู้

ฝ่ายจูตงครั้นผู้รักษาเมืองถอดเอาไว้ใช้สอยที่บ้าน ก็มีความยินดีคอยปรนนิบัติผู้รักษาเมืองอยู่ทุกเวลา บรรดาขุนนางที่ว่ากล่าวการงานทั้งปวง จูตงเอาเงินทองไปคำนับทุกคน ขุนนางเหล่านั้นก็ชอบพอรักใคร่จูตงมาก

เวลาวันหนึ่งผู้รักษาเมืองชองจิวออกมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน เรียกจูตงมาถามว่าเหตุใดเจ้าจึงปล่อยลุยเหงหนีไปเสีย จนตัวต้องโทษเนรเทศมาเมืองนี้ จูตงว่า ข้าพเจ้ามิได้ปล่อย แต่ไม่ทันระวังลุยเหงจึงหนีไปได้ ผู้รักษาเมืองว่าถ้าดังนั้นโทษเจ้าก็ไม่ถึงเพียงนี้ จูตงว่าแป๊ะเง็กเกียวผู้เป็นโจทก์เขาไม่ยอม มารบกวนผู้รักษาเมืองหุนเสียกุ้ย จึงส่งตัวข้าพเจ้าไปยังเมืองเจ๋จิวฮู้ปรึกษาโทษให้เนรเทศมา ผู้รักษาเมืองแจ้งความแล้วจึงถามว่า เหตุไฉนลุยเหงจึงได้ทุบตีหญิงนั้นตาย จูตงก็เล่าเรื่องลุยเหงให้ฟังทุกประการ

ฝ่ายเซียวเงหลายบุตรชายของผู้รักษาเมืองชองจิว อายุสี่ปีบิดารักใคร่นัก เซียวเงหลายออกมาเห็นจูตงสีหน้าแดงมีหนวดยาวนั่งพูดอยู่กับบิดาก็ตรงไปหา จูตงแจ้งว่าเป็นบุตรผู้รักษาเมืองก็อุ้มไว้ เซียวเงหลายจึงบอกบิดาว่าจะให้จูตงพาไปเที่ยวเล่น ผู้รักษาเมืองตามใจบุตรสั่งจูตงว่าถ้าบุตรเราจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนเจ้าจงพาไปเถิด จูตงก็อุ้มเซียวเงหลายไปเที่ยวเป็นนิตย์ทุกวัน

ฝ่ายลุยเหงพามารดาหนีไปถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะ แจ้งความซึ่งจูตงช่วยชีวิตไว้ให้เตียวไก่ ซ้องกั๋งฟังทุกประการ เตียวไก่ ซ้องกั๋งกับพี่น้องเหล่านั้นก็ยินดี สั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกันแล้วจัดที่ให้ลุยเหงกับมารดาอยู่ตามสบาย แต่ใจของเตียวไก่ ซ้องกั๋งคิดถึงคุณจูตงมิได้ขาดอยากจะใคร่ได้มาอยู่ด้วย ครั้นแจ้งว่าจูตงต้องโทษเนรเทศไปเมืองชองจิวผู้รักษาเมืองรักใคร่เอาจูตงไว้ใช้ที่บ้าน ซ้องกั๋งแจ้งความดังนั้นจึงพูดกับโงวหยงซินแสว่า บัดนี้จูตงไปอยู่กับผู้รักษาเมืองชองจิว ข้าพเจ้าจะให้ท่านกับลุยเหง ลีขุยถือหนังสือไปสำนักอยู่ที่บ้านชาจิน ณ เมืองชองจิวคิดอุบายเกลี้ยกล่อมจูตงมาอยู่ด้วยกันให้จงได้ โงวหยงว่าข้าพเจ้าจะอาสาไปเกลี้ยกล่อมจูตงมาเอง ซ้องกั๋งก็ยินดีเขียนหนังสือมอบให้ โงวหยงซินแสรับหนังสือแล้วก็ชวนลุยเหง ลีขุยออกจากเขาเนียซัวเปาะตรงไปตำบลบ้านเฮงไฮกุน แขวงเมืองชองจิว ครั้นถึงก็เอาหนังสือเข้าไปส่งให้ชาจิน ๆ รับคลี่อ่านแจ้งความแล้วก็เชิญ โงวหยง ลุยเหง ลีขุย เข้าไปข้างในจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกัน สามนายก็สำนักอยู่ที่บ้านชาจินหลายวัน ครั้นโงวหยงซินแสแจ้งว่าจูตงอุ้มบุตรผู้รักษาเมืองออกมาเที่ยวเล่นอยู่มิได้ขาด จึงบอกกับชาจินว่าพวกข้าพเจ้าจะชวนกันไปคอยให้พบจูตงแล้วจะล่อลวงมา ท่านจงช่วยว่ากล่าวจูตงด้วย โงวหยงกับลุยเหง ลีขุยก็ออกจากบ้านตรงไปยังเมืองชองจิว กระซิบบอกอุบายกับลุยเหง ลีขุยเป็นความลับแล้วชวนกันไปคอยจูตงอยู่

ฝ่ายจูตงเคยอุ้มเซียวเงหลายไปเที่ยวซื้อสิ่งของให้เล่นอยู่ทุกวัน เงินทองของตัวก็เบาบางน้อยลง ครั้นถึงวันเดือนเจ็ดข้างจีน ชาวบ้านจัดการจะลอยกระทง ผู้รักษาเมืองสั่งจูตงให้อุ้มเซียวเงหลายไปดู พอถึงเวลาค่ำจูตงก็อุ้มเซียวเงหลายไปที่หน้าศาลเจ้าริมแม่น้ำ เห็นผู้คนชวนกันมาดูเป็นอันมาก จูตงก็ให้เซียวเงหลายขึ้นนั่งดูอยู่บนลูกกรง

ฝ่ายโงวหยงซินแสกับลุยเหงและลีขุย คอยอยู่ตามแถวหน้าเมือง ครั้นเห็นจูตงอุ้มเซียวเงหลายไปยืนดูกระทิงอยู่หน้าศาล โงวหยงแอบอยู่หลังศาลเจ้า ลีขุยก็แยกย้ายไปตามอุบายโงวหยงซินแส ลุยเหงจึงตรงไปถึงจับมือจูตงแล้วพูดว่า พี่เดินมาข้างนี้สักหน่อยน้องจะพูดให้ฟัง จูตงเหลียวมาดูเป็นลุยเหงก็ตกใจ จึงบอกกับเซียวเงหลายว่า จงนั่งอยู่ที่นี่อย่าไปข้างไหนเราจะไปซื้อขนมมาให้กิน แล้วก็เดินตามลุยเหงมาข้างหลังศาลเจ้าพ้นผู้คนแล้ว จูตงจึงถามว่าเหตุใดน้องจึงมาถึงเมืองนี้ ลุยเหงคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่าตั้งแต่พี่ช่วยชีวิตไว้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ จึงต้องไปเข้าเป็นพวกพ้องซ้องกั๋งอยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะ น้องแจ้งความซึ่งพี่ช่วยชีวิตไว้ให้เตียวไก่ ซ้องกั๋งฟังพากันสรรเสริญถึงพี่ทุกคน ซ้องกั๋งคิดถึงบุญคุณของพี่อยู่มิได้ขาด จึงให้โงวหยงซินแสกับน้องมาสืบข่าว จูตงถามว่า โงวหยงซินแสอยู่ที่ไหนเล่า ขณะนั้นโงวหยงซินแสแอบดูอยู่ ครั้นได้ฟังจูตงก็ทำเดินออกมาคำนับจูตงเป็นอันดี จูตงจึงรับคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้พบปะกันกับท่านซินแสมาช้านาน มีความสุขสบายอยู่หรือ โงวหยงว่าข้าพเจ้าอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะก็มีความสุข แต่เตียวไก่ ซ้องกั๋ง กับพี่น้องเหล่านั้นคิดถึงท่านอยู่ทุกวัน จึงให้ข้าพเจ้ากับลุยเหงมาเชิญท่านไปอยู่ด้วยกันจะได้เป็นที่ปรึกษา ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้วไม่อาจจะมาให้พบ เวลาค่ำวันนี้เป็นวันดี เชิญท่านไปเขาเนียซัวเปาะด้วยกัน เตียวไก่ ซ้องกั๋ง จะได้คลายความวิตก จูตงได้ฟังก็นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงว่าท่านซินแสพูดดังนี้ผิดไป ถ้าผู้คนเขาได้ยินก็จะไม่ดีด้วยเลย ลุยเหงโทษถึงตาย ข้าพเจ้าแข็งใจสู้ปล่อยไป ลุยเหงอยู่ที่ไหนไม่ได้จึงต้องไปเข้าเป็นพวกพ้อง ซึ่งตัวข้าพเจ้านี้เข้ารับโทษก็ยังไม่ถึงที่ตายจึงได้เนรเทศมา ถ้าแม้นเทพยดาฟ้าและดินช่วยให้สิ้นโทษกลับไปบ้านเมืองจะได้ว่าราชการสืบตระกูลต่อไป ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเข้าเป็นพวกพ้องด้วยนั้นไม่ได้ เชิญท่านกับลุยเหงกลับไปเถิด ลุยเหงว่าพี่มาอยู่ที่นี่ ถึงไม่มีโทษก็จริง แต่ยังอยู่ในบังคับให้เขาใช้สอย จะว่าเป็นชายชาติทหารอย่างไรได้ เตียวไก่ ซ้องกั๋ง คิดถึงบุญคุณเห็นว่าพี่เป็นคนสัตย์ซื่อ อยากจะให้ไปอยู่มีความสุขด้วยกัน จูตงว่าพูดอะไรไม่คิดถึงความหลังบ้างเลย พี่เห็นมารดาของน้องชราแล้วยากจนจึงปล่อยให้หนี ยังกลับมาชักชวนเข้าเป็นพวกพ้องด้วยจะมิเสียชื่อเสียงไปหรือ โงวหยงทำเป็นพูดว่า ถ้าท่านไม่ยอมเราชวนกันกลับไปเถิด จูตงว่า จงบอกกับท่านทั้งสองว่าข้าพเจ้าขอบใจนักหนา แล้วโงวหยงซินแสกับลุยเหงก็เดินตามจูตงมาด้วยกัน

ฝ่ายลีขุยแอบฟังโงวหยงซินแสกับลุยเหงพูดจาเกลี้ยกล่อมจูตงว่าไม่ยอมไป ลีขุยก็ตรงมาหน้าศาลอุ้มเซียวเงหลายบุตรผู้รักษาเมืองขึ้นบ่าพาออกนอกเมืองซองจิวไปตามอุบายโงวหยงซินแสสั่ง

ฝ่ายจูตงไปถึงหน้าศาลเจ้าที่ลูกกรงไม่เห็นเซียวเงหลาย สำคัญว่าหลงไปดูที่อื่น เที่ยวค้นหาตามแถวนั้นจนเช้าไม่พบก็ตกใจยิ่งนักไม่รู้จะไปทางไหน ลุยเหงเดินตามจูตงไป เห็นจูตงเที่ยวหาเด็กนั้นอยู่วุ่นวาย ก็ตรงไปบอกว่าพี่อย่าเที่ยวหาเลยไม่พบดอก เห็นจะเป็นพวกที่มากับข้าพเจ้านั้นได้ฟังพี่ว่าไม่ไป ก็มาอุ้มเอาเซียวเงหลายไปก่อนแล้ว ข้าพเจ้าจะพาพี่ไปตามให้พบ จูตงว่าการอันนี้ไม่ใช่เล่น เซียวเงหลายนั้นบิดารักใคร่เหมือนแก้วตา ถ้าเป็นอันตรายไปอย่างไรผู้รักษาเมืองก็คงตายตามบุตร ลุยเหงว่าอย่าวิตก ก็พาจูตงกับโงวหยงซินแสตามไปจนออกนอกเมืองชองจิว จูตงถามว่าพวกที่มากับน้องเอาเซียวเงหลายไปข้างไหน ลุยเหงว่าพี่ไปด้วยกันเถิดจะส่งตัวเซียวเงหลายให้ จูตงว่าถ้าผู้รักษาเมืองแจ้งความก็จะโกรธพี่ โงวหยงซินแสว่า พวกพ้องที่มากับข้าพเจ้าเห็นอุ้มเซียวเงหลายไปบ้านที่อาศัยดอกกระมัง จูตงว่าพวกที่มาอุ้มเซียวเงหลายไปนั้นแซ่ไรชื่อใด ลุยเหงว่าน้องก็ยังไม่รู้จัก แต่ได้ยินเขาเรียกว่าเฮกซวนฮองชื่อหนึ่ง ลีขุยชื่อหนึ่ง จูตงถามว่าลีขุยคนนี้ที่ฆ่าฟันคนในเมืองกังจิวครั้งก่อนหรือ โงวหยงซินแสว่าคนนั้นแหละ จูตงได้ฟังก็เสียใจนักรีบติดตามไป

ฝ่ายลีขุยอุ้มเซียวเงหลายออกจากเมืองซองจิวไปถึงป่า ตามทางไม่มีผู้คนก็เอายาเบื่อให้กินพอมึนเมา ก็อุ้มเอาเข้าไปวางไว้ในพุ่มไม้เอาขวานฟันศีรษะเซียวเงหลายแตกตายแล้ว เดินออกมายืนคอยอยู่ตามทาง ลุยเหงกับโงวหยงพาจูตงตามไปประมาณทางยี่สิบลี้ ลีขุยเห็นจูตงไล่ตามมาก็ร้องบอกว่าเด็กอยู่ที่นี่ จูตงตรงไปถามลีขุยว่าเซียวเงหลายอยู่ที่ไหน ลีขุยคำนับแล้วบอกว่าเด็กนั้นอยู่ดอก จูตงว่าเจ้าจงเมตตาพี่อุ้มเซียวเงหลายมาให้แต่โดยดีเถิด ลีขุยว่าหมวกที่เด็กใส่นั้นอยู่บนศีรษะข้าพเจ้า แต่เด็กนั้นถูกยาเบื่อน้องอุ้มเอามาซ่อนไว้ในพุ่มไม้ตรงนี้เชิญพี่ไปดูเถิด จูตงได้ฟังก็ตกใจเดินตรงไปยังพุ่มไม้ โงวหยงกับลุยเหงก็ชวนกันหลบหลีกเข้าป่าหนีตรงมาซ่อนอยู่ในบ้านชาจินก่อน ลีขุยยืนดูอยู่แต่ไกลจะคอยล่อให้จูตงติดตามไป

ฝ่ายจูตงเดินมาถึงพุ่มไม้เห็นเซียวเงหลายนอนกลิ้งอยู่ จึงพยุงขึ้นดูเห็นศีรษะแตกตายก็เสียใจจนลมจับ ครั้นได้สติขึ้นมีความโกรธลีขุยยิ่งนัก วิ่งออกมาจะฆ่าเสียให้ตายก็ไม่เห็น โงวหยงกับลุยเหง ลีขุย ยืนอยู่ไกลมือถือขวานสองมือร้องเรียกจูตงว่ามานี่เถิด จูตงก็ยิ่งโกรธวิ่งไล่ตามไป ลีขุยเป็นคนชาวป่าชำนิชำนาญรู้ทาง จึงวิ่งหนีล่อให้จูตงไล่ตามไปจนเวลาใกล้สว่าง ลีขุยล่อพลางหนีพลางไปถึงบ้านชาจินก็วิ่งเข้าไปซ่อนอยู่ จูตงไล่ตามมาถึงประตูเห็นเครื่องศัสตราวุธตั้งเรียงรายอยู่เป็นอันมาก ก็รู้ว่าบ้านขุนนางไม่อาจวิ่งตามเข้าไปหยุดยืนอยู่ที่ประตู ร้องถามว่ามีผู้ใดอยู่บ้าง ชาจินได้ฟังจึงเดินออกมาดู จูตงเห็นท่วงทีลักษณะก็รู้ว่าเป็นขุนนางเจ้าของบ้านจึงคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าชื่อจูตง เป็นขุนนางตำแหน่งเจียดคิบอยู่ ณ เมืองหุนเสียกุ้ย ต้องโทษเนรเทศมาเมืองชองจิว ผู้รักษาเมืองเมตตาถอดข้าพเจ้าไว้ใช้สอย ให้อุ้มเซียวเงหลายบุตรมาดูกระทง ลีขุย เฮกซวนฮอง ฆ่าเซียวเงหลายบุตรผู้รักษาเมืองตายเสีย แล้ววิ่งหนีเข้ามาในบ้านท่าน ขอท่านจงช่วยจับลีขุยส่งไปยังผู้รักษาเมืองด้วย ชาจินว่าท่านก็เป็นขุนนางมาแต่เดิมเชิญนั่งพูดจากันก่อนเถิด จูตงว่าข้าพเจ้าขออภัยอยากจะใคร่รู้จักท่าน ชาจินบอกว่าเราชื่อชาจิน แต่เขามักเรียกว่าเซียวชวนฮอง จูตงได้ฟังก็คุกเข่าคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงท่านปรากฏมาช้านานแต่ไม่ได้มาคำนับ วันนี้เป็นบุญของข้าพเจ้าได้มาพบปะท่าน ชาจินว่าได้ยินข่าวเล่าลือสรรเสริญว่าท่านเป็นคนซื่อตรง เชิญมาพูดจากันข้างในเถิด ก็พาจูตงเข้าไปจัดที่ให้นั่งตามสมควร จูตงถามว่าเหตุใดลีขุยจึงกลัว วิ่งหนีเข้ามาแอบอยู่ในบ้านท่าน ชาจินว่าบรรดาผู้ที่มีฝีมือเข้มแข็งอยู่ในแผ่นดินก็เป็นพวกพ้องทั้งนั้น ตัวข้าพเจ้าเป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าชาซีจง ครั้นพระเจ้าเตียคังเอี๋ยนได้ครองสมบัติจึงพระราชทานอาญาสิทธิ์ไว้มิให้ผู้ใดข่มเหง คนทั้งปวงที่ต้องโทษจนถึงตายหลบหนีมาอยู่ในบ้านก็ไม่มีผู้ใดมาจับกุมได้ ข้าพเจ้ายังมีพวกพ้องที่รักใคร่อยู่อีกคนหนึ่งกับท่านก็ชอบกัน บัดนี้เป็นใหญ่อยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ชื่อซ้องกั๋งที่เรียกว่ากิบสิโหวซ้องกงเหม็ง มีหนังสือให้โงวหยง ลุยเหง ลีขุย ถือมาพำนักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า จะเชิญท่านไปยังเขาเนียซัวเปาะท่านก็ไม่ไป จึงคิดอ่านให้ลีขุยฆ่าฟันเซียวเงหลายบุตรผู้รักษาเมืองตาย ตัดทางมิให้ท่านกลับไปได้ ปรารถนาจะให้ไปอยู่เป็นสุขด้วยกัน โงวหยงซินแสกับลุยเหงอยู่ที่ไหน ไม่ออกมาขอโทษท่านเสียเล่า

ฝ่ายโงวหยงซินแสกับลุยเหงหลีกหนีมาถึงบ้านชาจินเข้าไปแอบอยู่ข้างใน ครั้นได้ฟังชาจินพูดดังนั้นก็ออกมาคำนับจูตงแล้วว่า ท่านอย่าถือโกรธข้าพเจ้าเลย การสิ่งนี้ก็เพราะด้วยซ้องกั๋งใช้ให้มา มีใช่ข้าพเจ้าทำเอง ขอเชิญไปอยู่เขาเนียซัวเปาะ ซ้องกั๋งจะได้ตอบแทนคุณท่าน จูตงจึงพูดว่าการที่จะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยนั้นก็ควร แต่มาฆ่าฟันบุตรผู้รักษาเมืองเสียข้อนี้ผิดมากไม่ควรจะทำ ชาจินอ้อนวอนว่า ไหนๆ ก็ได้ฆ่าเสียแล้วเชิญไปอยู่เป็นสุขเถิด จูตงโกรธแค้นลีขุยนักไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงว่าข้าพเจ้าจะไปด้วยดอก แต่ให้พบกับลีขุยสักหน่อยเถิด ชาจินร้องเรียกลีขุยให้ออกมาขอโทษเสีย ลีขุยก็ออกมาคำนับ จูตงเห็นลีขุยก็ยิ่งโกรธมากขึ้นตรงเข้าไปใกล้จะฆ่าฟันลีขุยให้ถึงแก่ชีวิต ชาจิน ลุยเหง โงวหยง ก็กั้นกลางห้ามปรามอ้อนวอนไว้ จูตงไม่รู้ที่จะทำอย่างไรจึงพูดว่า ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยก็ต้องทำตามคำจึงจะไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ