บทละครเรื่องดาราวงศ์
เมื่อนั้น | พระบุดรีศรีเสน่ห์ |
.........(ต้นฉะบับลบ)......... | ........................... |
พี่เลี้ยงนางต่างเข้ามาริมอาสน์ | อภิวาทน์บาทมูลแล้วทูลถาม |
แม่เป็นไรไม่แถลงแจ้งความ | ถ้ารู้เรื่องจักได้ตามให้ชอบใจ |
ไม่สรงไม่เสวยโภชนา | ฤๅบังเกิดโรคาเป็นไฉน |
มาปิดบังโรคร้ายไว้ภายใน | จงตรัสให้รู้บ้างอย่าพรางกัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | พระบุตรีมีศักดิ์เฉิดฉัน |
ได้ฟังถ้อยคำที่รำพัน | เห็นเขารู้เท่าทันก็อายใจ |
ครั้นจะเล่าบอกออกให้รู้ | ก็อดสูหนักหนาไม่ว่าได้ |
แต่ความรักเหลือรักต้องหักใจ | อรทัยจึงกล่าววาที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
พี่เอยพี่เจ้า | มาน้องจะเล่าให้ถ้วนถี่ |
วานนี้สมเด็จพระชนนี | เอาผ้าของน้องนี้ไปให้พราหมณ์ |
จำเพาะต้องเครื่องยาพาสงสัย | อยากจะใคร่วานพี่ช่วยไถ่ถาม |
จะไปกล่าวขวัญเล่นไม่เห็นงาม | เป็นชีพราหมณ์อาจองทนงนัก ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | สองพี่เลี้ยงนารีมีศักดิ์ |
รู้ทำนองโฉมยงค์ว่าคงรัก | ต่างแย้มยิ้มพริ้มพักตร์แล้วทูลไป |
พ่อพราหมณ์น้อยคนนั้นฉันคะเน | ทำแสร้งเสมั่นคงอย่าสงสัย |
แกล้งขอผ้าริ้วทองเพราะต้องใจ | เครื่องหยูกยาที่ไหนไม่เคยพบ |
แต่ว่าโอสถที่บดมา | สมเด็จพระบิดาค่อยสงบ |
พี่จะลงไปหาให้พบ | อย่าทรงพระปรารภคงได้การ |
จะจัดแจงเข้าของเอาลงไป | ว่าของพระชลไนยทั้งคาวหวาน |
เพราะความชอบขอบใจให้ประทาน | ถึงใครรู้เหดุการณ์ก็ไม่อาย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพสุริยาโฉมฉาย |
ฟังพี่เลี้ยงพูดแอบแยบคาย | นางยิ้มพรายแล้วกล่าววาจา |
มิเสียทีพี่คิดสนิทเหลือ | ลงไปเรือถามซักให้หนักหนา |
พี่จัดแจงตบแต่งตามปัญญา | ไปแล้วรีบมาอย่าช้าที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | สองนางพี่เลี้ยงทั้งสองศรี |
ถวายบังคมคัลทันที | แล้วออกมาจากที่ทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ เสมอ ฯ
จึงชวนกันมาอาบวารี | ขัดสีนวลละอองผ่องใส |
ลูบไล้กระแจะจันทน์ทันใด | นั่งเช็ดไรหวีผมให้สมควร |
ผัดหน้านวลละอองผ่องผิว | สีสีผึ้งวาดคิ้วด่างแย้มสรวล |
นุ่งผ้าลายสุหรัดสัดสีนวล | ใส่แหวนล้วนเพชรพรายกระจายตา |
เจียนหมากดิบหยิบยานั้นมาสี | สองนารีงามเอกดังเมขลา |
ถือพัดด้ามจิ้วญี่ปุ่นงา | นางทาสาถือของตามไป ฯ |
ฯ ๖ คำ เพลง ฯ
ครั้นมาถึงท่านาวี | สองศรีนึกพรั่นหวั่นไหว |
ให้สะเทิ้นเขินขวยในใจ | แล้วสั่งบ่าวไพร่ให้บอกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ เจรจา ฯ
เมื่อนั้น | สามพราหมณ์เกษมสันต์หรรษา |
เห็นสองนางนารีศรีโสภา | ก็รู้ว่ามาแต่วังใน |
ต่างคนยิ้มย่องแล้วร้องเชิญ | อย่าเมียงเมินลงมาสำเภาใหญ่ |
ทั้งเพชรนิลจินดาข้าเลือกไว้ | จะขายให้ถูกดอกไม่หลอกเลย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | ทั้งสองนางฟังว่าทำหน้าเฉย |
ยิ่งอายใจด้วยมิได้คุ้นเคย | ครั้นได้เลยแล้วต้องไปให้ได้การ |
จึงย่างเท้าก้าวขึ้นสำเภาใหญ่ | นั่งใกล้แล้วแจ้งแถลงสาร |
พระเสาวนีย์ข้างในให้ประทาน | เครื่องคาวหวานนี้ให้พราหมณ์ทั้งสามนาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | เจ้าสองพราหมณ์งามเฉิดฉาย |
จึงเสแสร้งแกล้งกล่าวอภิปราย | กราบถวายบังคมพระเทวี |
จึงว่าตัวข้าทั้งพี่น้อง | พวกพ้องก็ไม่มีในกรุงศรี |
ถ้าฝืดเคืองเบื้องหน้าได้ปรานี | ฉันจะฝากไมตรีจนสืบไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | ทั้งสองนางฟังแจ้งแถลงไข |
แย้มยิ้มพริ้มพรายละอายใจ | จึงตอบคำไปฉับพลัน |
ซึ่งจะชอบชิดสนิทหน้า | ตัวข้าไม่รังเกียจเดียดฉัน |
จะรักใคร่ให้เหมือนวงศ์พงศ์พันธุ์ | จะถือชั้นเชิงไปทำไมมี |
จะขอถามความจริงสักสิ่งหนึ่ง | ท่านอยู่ถึงต่างแดนบุรีศรี |
มาค้าขายแต่ชายทั้งสามนี้ | ลูกเมียมีอย่างไรบ้างอย่าพรางกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
บัดนั้น | สองพราหมณ์ตอบพลางทางสรวลสันต์ |
จะบอกความตามจริงทุกสิ่งอัน | ลูกเมียข้านั้นก็ไม่มี |
แต่พราหมณ์สามคนพี่น้องมาท่องเที่ยว | เปล่าเปลี่ยวไร้คู่เกษมศรี |
ทั้งลูกเรือมิได้เหลือม้วยชีวี | จะกลับคืนธานีก็สุดไกล |
ทุกวันนี้ก็อนาถอนาถา | ไม่มีที่พึ่งพาจะอาศัย |
พอได้เห็นหน้าค่อยสร่างใจ | จะฝากชีวิตไว้จนวันตาย |
อันพ่อพราหมณ์น้อยน้องยา | เจ้าช่วยเมตตาขยับขยาย |
ถวายเป็นขอเฝ้าของเจ้านาย | ตามแต่โฉมฉายจะปรานี |
ว่าพลางทางถอดเอาแหวนก้อย | ยื่นให้สาวน้อยทั้งสองศรี |
เจ้าจงรับไว้เป็นไมตรี | ของพราหมณ์ชีชาวนอกคอกนา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
บัดนั้น | สองนางยิ้มละมัยอยู่ในหน้า |
รับเอาแหวนพลันมิทันช้า | กัลยาตอบความเจ้าพราหมณ์พลัน |
นี่หรือชาวบ้านนอกคอกนา | เจรจาลิ้นลมคมสัน |
ถ้าจริงจังดังคำหม่อมรำพัน | ดิฉันจะอนุกูลไม่สนใจ |
อันพ่อพราหมณ์น้อยคนนี้ | จะถวายพระบุตรีศรีใส |
ถ้าแม้นเป็นขอเฝ้าต้องเหลาไม้ | จะทำได้แล้วฤๅพ่อฉันขอฟัง ฯ |
ฯ ๖ คำ เจรจา ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ตอบไปดังใจหวัง |
ถ้าแม้นพี่เมตตาการุนัง | ช่วยฝากฝังเพ็ดทูลนางเทวี |
ตามแต่ท่านจะใช้แล้วไม่ขัด | ฉันพอเหลาไม้กลัดเป็นดอกพี่ |
แม้นสมหวังดังใจถ้าได้ดี | ไม่ลืมคุณนารีทั้งสองรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | สองพี่เลี้ยงยิ้มพลางทางว่า |
ยังจะทำได้จริงเหมือนวาจา | พี่พูดมาฉันฟังยังประวิง |
รูปอย่างนี้หรือขอเฝ้าเหลาไม้กลัด | ดูสันทัดแต่เที่ยวเกี้ยวผู้หญิง |
ถ้าแม้นว่าหม่อมสาพิภักดิ์จริง | ฉันไม่นิ่งดอกจะทูลให้โปรดปราน |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | หน่อกษัตริย์ดาราวงศ์จึงว่าขาน |
พี่ทูลให้แล้วเห็นจะเป็นการ | เยาวมาลย์คงทรงพระปรานี |
พี่อยู่นี่อย่าเพ่อผันผาย | จะฝากของไปถวายโฉมศรี |
แล้วเสด็จมาแท่นท้ายบาลี | ภูมีร่างสารแล้วอ่านกลอน |
ครั้นเสร็จจึงประจงลงกระดาษ | ไม่คัดขาดศุภลักษณ์ในอักษร |
เอาธรรมรงค์รจนาค่านคร | ใส่ซ่อนในลิขิตดังจิตรจง |
ครั้นเสร็จสับพับห่อมายื่นให้ | กับสองนางในนวลละหง |
พี่อย่าให้ใครเห็นธำมรงค์ | ไปถวายกับองค์พระธิดา |
ช่วยทูลแทนว่าแหวนนี้จงจิต | ของพานิชผู้น้อยวาสนา |
ด้วยไม่มีที่เห็นเป็นกำพร้า | ทั้งชะตาตกอับที่คับแค้น |
เห็นแต่องค์พระบุตรีศรีสวัสดิ์ | อยากเป็นข้านางกษัตริย์นี้สุดแสน |
เป็นเคราะห์ขัดพลัดพรากมาจากแดน | ของนี้แทนธูปเทียนถวายตัว ฯ |
ฯ ๑๒ คำ เจรจา ฯ
บัดนั้น | สองพี่เลี้ยงได้ฟังก็ยิ้มหัว |
จึงว่าเวลาจะมืดมัว | นึกกลัวแต่จะปิดประตูวัง |
ว่าแล้วลาพราหมณ์ทั้งสามนาย | ผันผายห่วงหน้าระวังหลัง |
สองพราหมณ์ตามเรียกให้รอรั้ง | กระซิบสั่งสนทนาประสารัก |
ไปแล้วเมื่อไรเล่าเจ้าจะมา | พี่ยาจะวิตกเพียงอกหัก |
จะตั้งตาคอยกว่าจะพบพักตร์ | น้องรักอย่าลืมนะปลื้มใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
สองพี่เลี้ยงค้อนพลางแล้วทางว่า | ฉันคงจะมาอย่าสงสัย |
พระบุตรีว่าขานประการใด | จะมาบอกเหตุให้รู้เรื่องราว |
เย็นแล้วจะลาจรลี | อย่ามาเฝ้าเซ้าซี้จะมี่ฉาว |
ใครล่วงรู้ก็จะมีราคีคาว | พลางเรียกบ่าวคืนหลังเข้าวังใน ฯ |
ฯ ๔ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงจึงเข้าในห้องทอง | ทั้งสองกราบก้มบังคมไหว้ |
ทูลแถลงคดีพิรี้พิไร | ตามได้สนทนาพาที |
แล้วถวายธำมรงค์กับสารา | พ่อพราหมณ์น้อยให้มาถึงโฉมศรี |
ดูจริดกิริยาพาที | เป็นผู้ดีสันดานประมาณใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพยิ้มย่องสนองไข |
สองพี่นี้เห็นเป็นอย่างไร | จึงหลงใหลสำคัญสัญญา |
วิสัยคนเจ้าชู้รู้ขนบ | เราจะคบก็ลำบากยากหนักหนา |
ข้างต้นหวานนานไปไม่ทะยา | จะพาหน้ามอมดำเหมือนน้ำคราม ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | ทั้งสองนางต่างว่าข้าได้ถาม |
ลูกเมียยังไม่มีเป็นชีพราหมณ์ | พยายามเที่ยวมาพาราไกล |
ดูท่วงทีองอาจฉลาดเฉลียว | กษัตริย์แท้แน่ทีเดียวพนันได้ |
จงทรงอ่านสารนั้นเป็นฉันใด | ก็จะได้ฟังสำนวนใคร่ครวญการ |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพสุริยาได้ฟังสาร |
ครั้นเห็นชอบมิได้ตอบพชมาน | นงคราญคลี่สารออกทัศนา |
แลเห็นธรรมรงค์รูจี | นางหยิบดูรู้ว่าดีมีค่า |
เช่นนี้ของไพร่ได้ไหนมา | กัลยาจึงอ่านสารสุนทร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ในลักษณะสาส์นศรีสวัสดิ์ | ขอเสี่ยงสัจศุภลักษณ์ในอักษร |
มาถึงแก้วแววดาสถาวร | แม้นปางก่อนเคยสมภิรมยา |
ให้พระบุดรีมีมาโนช | อย่ากริ้วโกรธตัดทางเสน่หา |
พี่คนยากฝากรักพระธิดา | ทำเกินวาสนาชาวพานิช |
ก็เจียมตัวกลัวผิดกษัตริย์สูง | ใจเฝ้ามุ่งหมายจะชมสมสนิท |
ยอมถวายไม่เสียดายกับชีวิต | แม้นชอบผิดยกโทษได้โปรดเอย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
นางทรงอ่านสาส์นสิ้นถวิลสวาท | พชนารถหวานฉ่ำคำเฉลย |
สนิทแอบแยบคายภิปรายเปรย | นางทรามเชยตรัสกับพี่เลี้ยงพลัน |
ทั้งถ้อยคำร่ำว่าหนักหนาหนัก | ทำถ่อมตัวกลัวศักดิ์ประชดฉัน |
ช่างเหน็บแนมแกมว่าสารพัน | พี่ช่วยกลั่นกรองความให้งามใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
บัดนั้น | ทั้งสองนางพี่เลี้ยงเฉลยไข |
อันถ้อยคำร่ำว่ามาเป็นนัย | อย่าสงสัยเที่ยงแท้กษัตรา |
ทั้งธำมรงค์เพชรเจ็ดกษัตริย์ | เห็นชัดทีเดียวแม่แน่นักหนา |
สังรเสิญถึงพราหมณ์ทั้งสามรา | นั่งพูดจาอยู่จนค่ำย่ำระฆัง ฯ |
ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ
เมื่อนั้น | พระบุตรีนึกในฤทัยหวัง |
ฟังพี่เลี้ยงพูดอิงเห็นจริงจัง | จะสมดังใจคิดไม่ผิดเลย |
ชะรอยเป็นเนื้อหน่อกษัตรา | แสวงหาคู่เคียงเรียงเขนย |
จึงมุ่งมาดหมายสนิทชิดเชย | อกเอ๋ยคิดมาก็น่าอาย |
ครั้นจะตัดไมตรีบัดนี้เล่า | พระจะเศร้าโศกซ้ำระส่ำระสาย |
แต่นิ่งนึกตรึกไตรไม่สบาย | โฉมฉายเอนองค์ลงไสยา |
สองพี่เลี้ยงนอนเรียงอยู่ริมอาสน์ | สุดสวาทเศร้าสร้อยละห้อยหา |
สามพราหมณ์นางคิดคะนึงถึงสามรา | จนนิทราม่อยหลับระงับไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ตระ ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ทรงภพสบสมัย |
ได้ชอบชิดสนิทกับนางใน | แต่ยังไม่ได้สมอารมณ์ปอง |
ช้านานประมาณได้หลายเวลา | ในอุราหมกหมุ่นขุ่นหมอง |
แสนคนึงถึงนาถนวลน้อง | ปรึกษาสองพี่เลี้ยงทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
เรารักษาภูวไนยเกือบหายโรค | แต่ความโศกยังไม่สร่างที่หมองศรี |
มาทำเมินเขินค้างอยู่อย่างนี้ | ทำไมกับสองพี่ได้สมคิด |
เขาเวียนไปเวียนมาหาไม่ขาด | น้องนี้ไกลสวาทอนาถจิต |
ไม่เอ็นดูกันด้วยไม่ช่วยคิด | ค่ำวันนี้เร่งประดิษฐ์เป็นหงส์ยนต์ |
จะเข้าไปให้ถึงปราสาททอง | เราเหาะล่องลอยฟ้าเวหาหน |
ใคร่จะรู้อุปเท่ห์เล่ห์กล | พี่ทั้งสองคนช่วยคิดการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
บัดนั้น | พี่เลี้ยงทั้งสองเกษมสานต์ |
จึงว่าพระคิดเห็นคงเป็นการ | ใช่ไม่ร้อนรำคาญอยู่เมื่อไร |
แต่ปัญญามืดเม้นไม่เห็นแผล | ต่อตรัสแปรเห็นทางสว่างไสว |
ต่างสรวลเสเฮฮาพอพาใจ | มาทำหงส์เกรียมไว้คอยตะวัน ฯ |
ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ทรงโฉมเฉิดฉัน |
ครั้นสิ้นแสงสีระวีวัน | ก็เสด็จจรจันมาสรงชล ฯ |
ฯ ๒ คำ โทน ฯ
ขัดสีฉวีวรรณด้วยจันทน์อบ | ฟุ้งกระหลบน้ำสุหร่ายดังสายฝน |
แล้วลูบไล้ปรายประพระสุคนธ์ | ทรงเครื่องต้นสนับเพลารจนา |
ทรงภูษาพื้นเขียวเขียนทอง | เยียรบับปักกรองห้อยหน้า |
ฉลององค์ทรงเข็มขัดลงยา | ทับทรวงรจนาประดับเพชร |
ทองกรธำมรงค์ทรงพระหัตถ์ | ประดับเม็ดเพชรรัตน์กรัดเกร็ด |
ทรงมงกุฎจำรัสทัดดอกเพชร | ห้อยอุบะแก้วเกร็ดเจียรนัย |
เสร็จทรงพระขรรค์บรรจง | งามทรงใต้ฟ้าไม่หาได้ |
ฯ ร่าย ฯ
พระเสด็จย่างเยื้องคลาไคล | ตรงไปยังหน้านาวี ฯ |
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
ขึ้นทรงนั่งยังหลังหงส์ทอง | กับพี่เลี้ยงทั้งสองเกษมศรี |
แล้วชักบ่ายขึ้นบนเมฆี | ก็ลอยรี่มาปราสาทพระธิดา ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงจึงลงจากหงส์ยนต์ | ภูวดลแสนโสมนัสสา |
จึงร่ายพระเวทวิทยา | เสดาะกลอนที่หน้าบันชรไชย |
ฯ ๒ คำ ตระ ฯ
ครั้นหน้าแกลเปิดสมอารมณ์หมาย | พระโฉมฉายยิ้มแย้มแจ่มใส |
จึงชวนพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ | คลาไคลเยื้องย่องเข้าห้อง(ทอง) ฯ |
ฯ ๒ คำ เพลง ฯ
ครั้นถึงฉากทองห้องใน | สองพี่เลี้ยงแสนฉลาดค่อยยาดย่อง |
นั่งลงใกล้ทรามสงวนนวลละออง | ต่างประคองปลุกคู่ที่ชูใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ
บัดนั้น | สองนางนารีศรีใส |
เห็นสองเจ้าพราหมณ์งามวิไล | ก็รู้ว่าหน่อไทเสด็จมา |
เจ้าพราหมณ์จูงนางจรจัน | หลัดหลีกกำนัลซ้ายขวา |
พากันมาห้องไสยา | พูดจากันตามความสบาย |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ทรงโฉมเฉิดฉาย |
จึงเสด็จยุรยาดรนาดกราย | ขึ้นแท่นพรรณรายรูจี |
ลดองค์ลงนั่งแนบน้อง | กรประคองรับขวัญโฉมศรี |
หลับอยู่ไม่รู้สมประดี | ภูมีชื่นชมค่อยสมปอง ฯ |
ฯ ๔ คำ ชมโฉม ฯ
พิศพักตร์งามขนงดังก่งศิลป์ | จะสรรสิ้นมาเปรียบไม่เทียบสอง |
พิศปรางงามอย่างมะปรางทอง | โอษฐ์น้องตะละชาดวาดประจง |
เกศาสมสวยระทวยทอด | แม่งามยอดเลิศย่างดังนางหงส์ |
งามประทุมพุ่มพวงที่ทรวงทรง | หัตถ์ประจงปลอบปลุกวนิดา |
แม่งามปลื้มลืมเนตรขึ้นเถิดเจ้า | พี่โตนเดาคิดถึงจึงมาหา |
มิได้คิดแก่ชีวิตชีวาลา | ถึงจะต้องโทษาไม่น้อยใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | องค์พระบุตรีศรีใส |
แว่วเสียงสำเนียงภูวนัย | อรทัยสะดุ้งขึ้นทั้งองค์ |
ชายเนตรเห็นองค์พระทรงฤทธิ์ | ให้สะเทิ้นเขินจิตนวลละหง |
ใครหนอสามารถอาจอง | จะว่าดาราวงศ์ก็นึกแคลง |
ด้วยแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ | ศรีสวัสดิ์นึกอางขนางแหนง |
ฤๅว่าพระองค์มาแกล้ง | ยังไม่แจ้งค่อยมาจะดูที ฯ |
ฯ ๖ คำ โอ้โลม ฯ
น้องเอยน้องแก้ว | แขกมาถึงแล้วยังถอยหนี |
จะโอภาปราศรัยก็ไม่มี | เสียแรงพี่ตั้งหน้ามาหาน้อง |
ฤๅเคืองข้องข้อไหนจึงไม่ตรัส | ศรีสวัสดิ์อย่าได้มีราคีหมอง |
มาถวายตัวนางถึงปรางค์ทอง | ทูลถลองไว้แต่แรกเมื่อพี่มา |
ข้ากับเจ้าเฝ้าเห็นอยู่แต่ไกล | เสียน้ำใจจึงอุตส่าห์เข้ามาหา |
อยากให้ใกล้ได้สั่งสนทนา | จะบัญชาใช้สอยประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | พระบุตรีเยาวยอดพิสมัย |
ได้ฟังบัญชาภูวนัย | ก็แจ้งใจยิ่งประหวั่นครั่นคร้าม |
ว่าแล้วเอื้อนโอษฐ์พชนารถ | ช่างทำองอาจไม่เกรงขาม |
นี่หรือไว้ยศให้งดงาม | มาทำแต่ตามอำเภอใจ |
แม้นสองท้าวรู้แยบคาย | จะพากันวอดวายหาเหลือไม่ |
ถ้าพระเมดตาอาลัย | เชิญเสด็จกลับไปยังบุรี |
ให้ทูดนั้นถือหนังสือสาส์น | มาว่าขานแก่จอมบุรีศรี |
เป็นทางพระราชไมตรี | เช่นนี้สำหรับจะอับอาย ฯ |
ฯ ๘ คำ โอ้โลม ฯ
น้องเอยน้องรัก | อย่าพักตร์เหลียวเลี่ยงเบี่ยงบ่าย |
ไม่ควรตัดไมตรีพี่ชาย | โฉมฉายทรงดำริกริการ |
ความที่พี่แสนเสน่ห์นุช | ถึงจะสุดชีวิดสังขาร |
ก็สู้ม้วยด้วยสัตย์ปฏิญาณ | เยาวมาลย์อย่าแหนงแคลงใจ |
ซึ่งจะให้พี่กลับไปกรุงศรี | ข้อนี้นั้นยังรับไม่ได้ |
สุดจะสู้ทนรักหักฤทัย | กลับไปเมื่อไรจะถึงเมือง |
ถึงเขาจะนินทาว่าร้าย | หญิงชายจะระบือลือเรื่อง |
ข้อนี้จะรับมิให้เคือง | แล้วจะแต่งเครื่องบรรณามา |
ว่าพลางทางถดเข้าใกล้ | จะถอยหนีพี่ไยขนิษฐา |
พระเพลาทับเพลากัลยา | หัตถ์คว้าเชยพุ่มประทุมทอง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
น้อยเอยน้อยใจ | นางค้อนควักผลักไสมิให้ต้อง |
อย่ามาทำพูดเทียมเลียมลอง | ตัวน้องสำหรับจะอับอาย |
เขาจะค่อนนินทาว่ากล่าว | อื้อฉาวเหมือนหญิงมักง่าย |
ทำไมกับเธอเป็นผู้ชาย | อัปยศอดอายที่ไหนมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ยอดเอยยอดมิ่ง | งามพริ้งช่างละเมียดเสียดสี |
เพราะไม่เมตตาปรานี | จึงพาทีเปรียบอ้างทุกอย่างไป |
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ | บาดซ้ำเจ็บปวดที่กรงไหน |
จะห้ามปากมนุษย์เห็นสุดไกล | แม้นรักใคร่สรรเสริญเจริญยศ |
ถ้าแม้นชังก็นินทาว่าร้าย | โฉมฉายก็ย่อมจะแจ้งหมด |
มีแต่เคืองค้อนย้อนประชด | พลางเลี้ยวลดสอดหัตถ์สัมผัสเชย |
ฯ ๖ คำ ฯ
น้อยเอยน้อยใจ | ช่างคุมเหงนี่กระไรเจ้าข้าเอ๋ย |
มาชักทำเนียบเปรียบเปรย | อย่าพูดเลยไม่เชื่อพชมาน |
พระเลือกตรัสดัดความเอาตามใจ | นานไปก็จะไม่เป็นแก่นสาร |
นี่หรือว่ารักทำหักราน | พชมานกับใจนี่ไกลกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
แสนเอยแสนแขนง | กล่าวแกล้งเปรียบเปรยเย้ยหยัน |
สีปากพี่นี้ก็แพ้แก้ไม่ทัน | ตามแต่ขวัญเนตรจะว่าประการใด |
ว่าพลางทางละโบมโลมลูบ | กอดจูบด้วยความพิสมัย |
ร่วมภิรมย์สมสนิทติดใจ | ดั่งได้ฟากฟ้าดุษดี ฯ |
ฯ ๔ คำ โลม ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพสุริยาโฉมศรี |
แสนสนิทพิศวาทด้วยภูมี | เทวีประดิพัทผูกพัน |
แอบอิงพิงทับอยู่กับเพลา | พระหยอกเย้าปรีด์เปรมเกษมสันต์ |
เป็นบรมสมสุขทุกนิรันดร์ | เกษมสันต์สำราญบานใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ทรงฤทธิพิสมัย |
ครั้นเสร็จสมประสงค์จงใจ | ภูวนัยนิ่งนึกตรึกตรอง |
แม้นสององค์รู้ไปจะได้ผิด | จำจะคิดพาไปเห็นได้ช่อง |
จึงตรัสชวนทรามสงวนนวลละออง | จะพาน้องไปชมยมนา |
ขี่หงส์ทองล่องฟ้าไปเที่ยวเล่น | ไม่เคยเห็นฝูงสัตว์เหล่ามัจฉา |
แต่ละตัวไม่เบาเท่าเภตรา | ต่อเกือบรุ่งสุริยาจึงกลับวัง ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพชื่นชมด้วยสมหวัง |
แล้วจัดแจงแต่งองค์ไม่รอรั้ง | จะรีบไปเสียแต่ยังไม่สองยาม |
ทั้งสององค์ย่างเยื้องลงจากอาสน์ | ยุรยาตรรีบเสด็จไม่เข็ดขาม |
มาถึงห้องสองพี่เลี้ยงกับเจ้าพราหมณ์ | พระแถลงแจ้งความฉับพลัน |
น้องจะพาแม่ประไพไปเที่ยวเล่น | ให้หล่อนเห็นหงษ์ยนต์กลขยัน |
จะได้ชมคงคาปลาทุกพรรณ | แต่ทั้งสี่พี่นั้นไปเภตรา |
แล้วเร่งรีบใช้ใบไปให้ทัน | เกือบรุ่งแสงสุริยันให้ถึงท่า |
พระให้พักตร์กับพราหมณ์ตามสัญญา | จึงเสด็จเลยมาหน้าบัญชร ฯ |
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
พระอุ้มองค์ขนิษฐามาขึ้นหงส์ | สี่พี่เลี้ยงรีบลงสโมสร |
ชักระใบสายยนต์ขึ้นอำพร | ลอยร่อนมาเภตราไม่ช้าที ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงสี่คนลงนาวา | ชักใบเภตราออกจากที่ |
พระชักหงส์กรงขึ้นยังเมฆี | สำเภารี่ตามไปยังอำพร |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
แล้วชักใบร่อนลงคงคา | ค่อยเคลื่อนคล้อยลอยมาสโมสร |
ฯ จำปาทองเทศ ฯ
พระชี้ชวนชมปลาในสาคร | ดารากรเกลื่อนสว่างดังกลางวัน |
ฉนากฉลามดามคู่ขึ้นฟูฟ่อง | โลมาท่องดำมุดแล้วผุดผัน |
มัดติมิงค์กลิ้งเกลือกมาตามทัน | สาวสวรรค์ทูลถามถึงนามปลา |
พระตรัสบอกยอดมิ่งมเหสี | ว่าตรงนี้มีหางนางมัจฉา |
ถ้าแม้นใครแลพบมักหลบตา | แต่นั้นปลาก็เหมือนเราชาวมนุษย์ |
สายสมรค้อนควรแล้วสรวลสันด์ | ซึ่งกระนั้นแล้วดีเป็นที่สุด |
นางนั่งเรียงเคียงองค์พระทรงภุช | ชักหงส์ทองท่องสมุทรสำราญบาน ฯ |
ฯ ๘ คำ ยานี ฯ
มาจะกล่าวบทไป | ถือเสื้อ(เมือง)ฤทธิไกรใจหาญ |
ซึ่งสถิตอยู่เขาอันทกาน | คอยฟังเหตุการในบุรี |
ท้าวพรมทัตเคยบวงสรวง | ให้รักษาเมืองหลวงเกษมศรี |
อยู่ระวังเหตุภัยมิไต้มี | คืนวันนั้นขึ้นคีรีแลดู |
เห็นมนุษย์ลักพาธิดาท้าว | ร้องเรียกบ่าวอึงลั่นสนั่นหู |
พวกเสื้อไพร่ได้ยินก็เกรียวกรู | ล้วนอสูร์ปีศาจฉกาจฉกรรจ์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | พระเสื้อเมืองฤทธิแรงแข็งขัน |
พร้อมอสูรหมู่มารชาญฉกรรจ์ | ก็เร่งรีบจรจรัลตามไป ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงท่าทางกลางสมุทร | สำแดงฤทธิรุทธ์หวั่นไหว |
เป็นเมฆหมอกมืดมิดทุกทิศไป | พายุใหญ่พัดโบกกระโชกซ้ำ |
ทั้งฝนตกหกห่าคงคาลั่น | สำเภา(สั่น)ดูเพียงจะเอียงคว่ำ |
ทั้งสายยนต์กลไกก็เปียกน้ำ | ด้วยมืดค่ำหงส์ดังจะพังลง ฯ |
ฯ ๔ คำ กราวใน ฯ
สงสารพระบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางกษัตริย์ร้องเรียกจนเสียงหลง |
ก็พลัดกับสำเภาลำทรง | นางกอดองค์ภัสดาโศกาลัย ฯ |
ฯ ๒ คำ โอด ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์องค์สั่นหวั่นไหว |
เห็นพายุมืดมนไม่พ้นภัย | ร้องเรียกพี่เลี้ยงไปก็ไกลกัน |
ทั้งฝนดกงกงันสั่นสะท้าน | พระกอดมิ่งเยาวมาลย์เมียขวัญ |
แล้วเอาภูษานั้นมาพัน | ผูกกรไว้ให้มั่นทั้งสองรา |
พอหงส์หกตกน้ำระส่ำระสาย | สองกษัตริย์แทบจะวายสังขาร์ |
พระยึดกรโฉมฉายค่อยว่ายมา | เสียงคงคาลูกคลื่นก็ครืนไป |
ภูษาหลุดนงนุชก็จมน้ำ | ด้วยมืดค่ำไม่รู้แห่งตำแหน่งไหน |
สองกษัตริย์พลัดพรายกระจายไป | โศกาลัยไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๘ คำ โอด ช้า ฯ
มาจะกล่าวบทไป | ถึงนางเงือกอยู่ในนทีศรี |
นั่งอยู่ในถ้ำมณี | ได้ยินเสียงวารีครึกครื้น |
จำจะออกไปดูที่นอกถ้ำ | เห็นมืดค่ำหนักหนาไม่ฝ่าฝืน |
ผิดระดูก่อนปางใช่กลางคืน | มิใช่คลื่นผิดสังเกตนี่เหตุใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ร่าย ฯ
คิดแล้วนางเงือกจรลี | ออกจากถ้ำมณีศรีใส |
โดตลงในน้ำทันใต | ก็แหวกคงคาไลยขึ้นมา ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงจึงเห็นนางมนุษย์ | รูปโฉมบริสุทธิ์งามหนักหนา |
มาจมน้ำสมเพชเวทนา | แม้นไม่ช่วยชีวาจะม้วยมรณ์ |
คิดแล้วเท่านั้นมิทันช้า | เข้าช้อนกายกายาสายสมร |
ประคองว่ายมาตามสายชโลธร | รีบร้อนเข้าถ้ำอำไพ |
วางองค์ลงบนอาสน์ศิลา | นางจะฟื้นคืนมาก็หาไม่ |
เงือกน้ำยิ่งกระหนกตกใจ | เข้านวดฟั้นอรทัยทั้งกายา |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | พระบุตรีแน่งน้อยเสน่หา |
ครั้นฟื้นขึ้นได้สติมา | กัลยาเหลือบแลแปรไป |
เห็นนางเงือกน้อยกลอยจิต | มานั่งชิดช่วยนวดฟั้นให้ |
ไม่เห็นพระภูวนาถเพียงขาดใจ | อรทัยจึงตรัสถามมา |
ดูกรพี่เจ้าผู้มีคุณ | การุณแก่น้องนี้นักหนา |
ตัวข้าตกน้ำลอยมา | ภัสดาไปอยู่แห่งไร |
เมื่อพี่ไปพาข้ามานั้น | ยังเห็นองค์ทรงธรรม์บ้างฤๅไม่ |
เอ็นดูด้วยช่วยพาข้าขึ้นไป | ให้ได้พบองค์พระสามี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางเงือกผู้เฉิดโฉมศรี |
ได้ฟังกัลยาพาที | จึงแจ้งคดีแต่เดิมมา |
ข้าไปพบสลบอยู่กลางน้ำ | มืดค่ำไม่ใคร่จะเห็นหน้า |
กลัวว่าจะม้วยชีวา | จึงรีบพามาทันที |
ผัวนางคนไหนก็ไม่เห็น | จะตายหรือเป็นไม่รู้ที่ |
คลื่นละลอกลูกใหญ่ใช่พอดี | ป่านฉะนี้จะเป็นประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ โอ้ปี่ ฯ
ฟังเอยฟังพลาง | นวลนางยิ่งทรงกรรแสงให้ |
โอ้ว่าพระองค์ทรงชัย | จะบรรลัยในท้องชโลธร |
เลือดเนื้อจะเป็นเหยื่อมัจฉา | ไหนจะได้เห็นหน้าพระทรงศร |
ทั้งพี่เลี้ยงหายไปในสาคร | ม้วยมรณ์หรือจะเป็นประการใด |
ทั้งพระปิตุเรศมารดา | จะแสนโศกโศกาอยู่กรุงใหญ่ |
นี่กรรมเวรเคยสร้างแต่ปางใด | นางสะอึกสะอื้นไห้โศกี ฯ |
ฯ ๖ คำ โอด ฯ
เมื่อนั้น | นางเงือกปลอบประโลมนางโฉมศรี |
จงกลืนกลั้นกรรแสงอย่าโศกี | แม้นไม่ม้วยชีวีคงพบกัน |
เจ้าจงอยู่กับพี่ที่คูหา | แล้วจะพาขึ้นไปยังไพรสัณฑ์ |
เที่ยวค้นดูกว่าจะพบประสบกัน | แต่เดี๋ยวนี้เจ้านั้นไม่สบาย |
รักษาตัวเสียให้หายเถิดจอมขวัญ | พี่จะพาจรจรัลผันผาย |
ถ้าแม้นภูวไนยยังไม่ตาย | ดีร้ายจะประสบพบพาน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | นางประไพสุริยาได้ฟังสาร |
แสนวิโยคโศกเศร้าไม่เบิกบาน | นงคราญกลืนกลั้นชลนา |
ยิ่งระทดกำสรดทรวงง่วงเหงา | นงเยาว์ทุกข์เทวศถึงเชษฐา |
กับเงือกน้ำสองคนนั่งสนทนา | สุริยารุ่งเช้าเราจะไป ฯ |
ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ
เมื่อนั้น | นางเมขลานารีศรีใส |
สถิตย์อยู่วิมานแก้วแววไว | อรทัยผาสุกทุกราตรี |
เจ็ดวันเคยไปเยี่ยมคงคา | ด้วยได้รักษานทีศรี |
คิดแล้วก็รีบจรลี | เทวีออกจากวิมานฟ้า ฯ |
ฯ ๔ คำ เพลงฉิ่ง ฯ
ครั้นมาถึงสาคเรศเขตสมุทร | นงนุชผันแปรแลหา |
เห็นพระโฉมเฉิดเลิศฟ้า | ลอยมาในกลางนที |
เล็งดูก็รู้แจ้งเหตุ | ว่าพลัดกับอัคเรศมเหสี |
แม้นไม่ช่วยก็จะม้วยชีวี | นางมณีเมขลาก็เหาะลง ฯ |
ฯ ๔ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงท่าทางกลางสาคร | บังอรชื่นชมสมประสงค์ |
ยอกรช้อนอุ้มวรองค์ | แล้วเหาะกรงมายังคีรี ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ครั้นถึงเขาแก้วมยุรา | นางฟ้าปรีด์เปรมเกษมศรี |
เห็นสินลาเลี่ยนลาดสะอาดดี | ก็วางองค์ภูมีลงบนนั้น |
แล้วจารึกอักษรกลับสินลา | เราช่วยมาให้พ้นอาสัญ |
จงเร่งรีบไปเอาแก้วแพรวพรรณ | นกยูงนั้นอยู่ในถ้ำอำไพ |
ผ่าทรวงล้วงเอาจินดา | ทั้งเหาะเหิรเดินฟ้าไปได้ |
เมียเจ้านั้นเขาไม่เป็นไร | ตามไปก็จะพบประสบกัน |
ครั้นจารึกอักษรเสร็จสรรพ | นางจะกลับขึ้นไปยังสวรรค์ |
ยุรยาดรนาดกรจรจรัล | เหาะไปปรางค์สุวรรณรูจี ฯ |
ฯ ๘ คำ เชิด ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์พงศ์กษัตริย์รัศมี |
เปลี่ยวดำจับหลับใหลไม่สมประดี | แว่วเสียงสกุณีสนั่นไพร |
รวยรินกลิ่นพุทธิชาดชื่น | รื่นรื่นหวาดจิตคิดสงสัย |
ทอดพระเนตรผันแปรแลไป | เหตุไฉนมาอยู่บนคีรี |
แล้วเห็นอักษรที่สินลา | พระพิจารณาดูถ้วนถี่ |
รู้ว่าเทวาท่านปรานี | มาช่วยชีวีให้คืนคง |
แล้วบอกให้แก้วที่ในเขา | ทั้งได้ข่าวนงเยาว์ดังประสงค์ |
ค่อยเคลื่อนคลายหายที่กำสรดทรง | พระองค์ประนมหัตถ์วันทา |
แล้วเสด็จย่างเยื้องยุรยาตร | ภูวนาถผันแปรแลหา |
เห็นปากถ้ำสุวรรณโอฬาร์ | พระรีบเสด็จมาทันใด |
ฯ เสมอ ๑๐ คำ ฯ
ครั้นมาถึงปากถ้ำมณี | เห็นนกยูงยืนที่สูงใหญ่ |
สมคำเทวาที่ว่าไว้ | ภูวไนยชักพระขรรค์ออกทันที |
ยอกรวันทาสุรารักษ์ | ซึ่งสำนักอยู่บนคีรีศรี |
ทั้งพระไพรเจ้าป่าพนาลี | ข้าจะเจาะมยุรีสินลา |
เทเวศอันเรืองฤทธิรงค์ | ให้ข้าได้ดังจำนงค์ปรารถนา |
แล้วแกว่งพระขรรค์อันศักดา | ก็เข้าเจาะสินลาสกุณี ฯ |
ฯ ๖ คำ เพลงฉิ่ง ฯ
จึงล้วงเอาที่ดวงหทัย | ได้แก้วแววไวเรืองศรี |
พระชื่นชมสมถวิลยินดี | อมมณีเหาะขึ้นยังเมฆา ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
แล้วลอยลงตรงฝั่งสาคเรศ | พระทรงเดชผันแปรเที่ยวแลหา |
ไม่เห็นนุชสุดสวาสดิ์อนาถตา | ทั้งนาวาพี่เลี้ยงก็หายไป ฯ |
ฯ ๒ คำ โอ้ลาว ฯ
พระเดินเลียบมาริมคงคา | ราชาทอดถอนใจใหญ่ |
กรรมเวรเคยสร้างแต่ปางใด | เผอิญให้พลัดพรากจากกั |
ป่านนี้จะขึ้นได้จากคงคา | ฤๅว่าจะม้วยอาสัญ |
พี่เร่งรีบตามไปจะให้ทัน | ไม่รู้ว่าขวัญเนดรพี่อยู่แห่งไร |
อนิจาน่าน้อยน้ำใจนัก | อกจะหักแล้วกรรมจะทำไฉน |
เพราะพี่พามาจากเวียงชัย | จึงได้เกิดเข็ญถึงเช่นนี้ |
โอ้สงสารน้องเอ๋ยไม่เคยเดิน | จะระหกระเหินในไพรศรี |
แต่เทวาท่านว่าอยู่ดี | แก้วพี่จะเป็นประการใด |
ทั้งสี่พี่เลี้ยงก็พลัดพรา | มาจำจากกันในทะเลใหญ่ |
หนทางก็ไม่มีที่จะไป | จนใจพี่แล้วนะแก้วตา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ครั้นจะหยุดที่นี่ก็มิได้ | จะรีบไปตามติดขนิษฐา |
คิดแล้วเหาะทรงขึ้นเมฆา | บ่ายหน้าไปทิศหรตี ฯ |
ฯ ๒ คำ เชิด ฯ
ลอยคว้างมากลางเวหน | ภูวดลแลเห็นบุรีศรี |
ดูมั่งคั่งกว้างกว่าทุกธานี | ภูมีนิ่งนึกตรึกไดร |
จะลงไปสืบดูให้รู้เหตุ | อัคเรสเผื่อจะมาอยู่อาศัย |
ถ้าไม่พบจึงตลบออกเดินไพร | คงจะได้ประสบพบกัน |
คิดพลางทางเหาะลงมา | ถึงท้ายนัคราเขตขันต์ |
พระเสด็จย่างเยื้องจรจรัล | พอดะวันยอแสงลงแฝงไม้ |
มาถึงสวนขวัญมิทันนาน | ภูบาลแสวงหาที่อาศัย |
เห็นยายตาสองเฒ่าก็เข้าไป | นั่งใกล้แล้วกล่าวไปโดยปอง |
จึงว่าคุณตาคุณยาย | เรือกสวนมากมายเป็นแถวถ่อง |
ผลไม้เหลือหลายก่ายกอง | พี่น้องมีบ้างหรืออย่างไร ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
บัดนั้น | ยายมาลีตามาลาอัชฌาสัย |
เห็นพระกุมารชาญชัย | พูดจาปราศรัยก็น่ารัก |
จึงตอบว่าตายายทั้งสองนี้ | เป็นข้าพระบุตรีมีศักดิ์ |
หากินตามแรงปลูกแฟงฟัก | เก็บผักขายซื้อพอเลี้ยงกาย |
ลูกหลานพี่น้องก็ไม่มี | พ่อนี้มาแต่ไหน ณ โฉมฉาย |
น่าขอบใจนักมาทักทาย | จงภิปรายบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
เมื่อนั้น | ดาราวงศ์ทรงฤทธิพิศมัย |
จึงบอกว่าข้ามาแต่เมืองไกล | จะอาศัยคุณตาได้ปรานี |
พี่น้องพวกพ้องก็พลัตพราย | จะดีร้ายอย่างไรไม่รู้ที่ |
เพื่อจะพลัตซัดมาในบุรี | แจ้งคดีแล้วจะลาคุณตาไป ฯ |
ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ
บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่ |
ครั้นรุ่งรางส่างแสงอโณทัย | ต่างคนเข้าไปพร้อมกัน |
ไม่เห็นโฉมตรูอยู่ในที่ | ทาสีกระหนกอกสั่น |
หายไปไม่รู้สำคัญ | ก็ปรึกษากันอยู่วุ่นวาย |
ทั้งสองพี่เลี้ยงก็ไปด้วย | เราจะพากันม้วยฉิบหาย |
จำจะไปทูลแถลงแพร่งพราย | เป็นตายก็ตามแต่บุญญา |
ว่าแล้วก็ชวนกันคลาไคล | ให้ประหวั่นพรั่นใจหนักหนา |
เร่งรีบลินลาดยาตรา | กรงมาปรางค์สุวรรณทันที ฯ |
ฯ ๘ คำ ชุบ ฯ
ครั้นถึงกราบก้มบังคมบาท | สองกษัตริย์ธิราชเรืองศรี |
ทูลว่าพระราชบุตรี | กับพี่เลี้ยงสองศรีหายไป |
พวกเถ้าแก่ทูลว่าเมื่อคืนนี้ | เภตราสามพราหมณ์ชีหาเห็นไม่ |
เที่ยวตามหากันยันรุ่งทั้งกรุงไกร | หายไปแต่ประมาณสักสามยาม |
ฯ ๔ คำ ฯ
เมื่อนั้นกรุงกษัตริย์ฟังอรรถทั้งสองเรื่อง | ให้ขุ่นเคืองหวั่นไหวฤทัยหวาม |
พระนิ่งนึกกรึกกรองทำนองความ | เห็นจะเป็นพวกพราหมณ์มันพาไป |
ยิ่งโศกเศร้าอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล |
ครั้นจะคิดติดตามอรทัย | เจ็บไข้ยังไม่คลายหายดี |
จำจะงดรอรั้งฟังข่าว | สืบสาวให้รู้ตำแหน่งที่ |
แต่พอเจ็บค่อยคลายหายดี | ก็จะยกโยธีไปจับมัน |
ยิ่งคิดแค้นแสนช้ำระกำจิต | ดังหนึ่งชีวิตจะอาสัญ |
ไม่ตายก็จะได้เห็นกัน | ทรงธรรม์มิได้ตรัสประการใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
เมื่อนั้น | องค์พระชนนีศรีใส |
สองกรค่อนทรวงเข้าร่ำไร | นี้กรรมเวรสิ่งใดได้ทำมา ฯ |
ฯ ๒ คำ โอ้ปี่ ฯ
โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ย | ทรามเชยผู้ยอดเสน่หา |
เจ้าพลัดพรากไปจากพารา | จะมอดม้วยมรณาไม่เห็นกัน |
เพราะอีพี่เลี้ยงกับพราหมณ์ชี | มาล่อลวงเทวีให้ผายผัน |
ตั้งแต่นี้นับเดือนจะเลื่อนวัน | จอมขวัญยิ่งกำสรดโศกา |
ฯ ๔ คำ โอด ฯ
ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายโศกศัลย์ | จึงตรัสสั่งกำนัลซ้ายขวา |
จงเร่งบวงบนเทวา | ใครรู้ตำราอย่างไร |
ยายมดยายท้าวไปเข้าดู | โหว่าโฉมกรูอยู่ไหน |
จะได้คิดติดตามทรามวัย | ซักไซ้ตูให้รู้พลัน ฯ |
ฯ ๔ คำ เจรจา ฯ